สายลมหนาวจากเทือกเขาฉู่เป่ยพัดเอื่อยเฉื่อยลงมายังลุ่มแม่น้ำซานหลิง สายลมที่ขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะละเอียดระยิบระยับราวเกล็ดแก้วโปรยปรายไปทั่วผืนแผ่นดิน อากาศเหน็บหนาวจนอาจทำให้เนื้อไม้แตกระแหง ทว่ากลับมิอาจทำลายกลีบดอกเหมยที่บานท่ามกลางฤดูเหมันต์ได้
View Moreสายลมหนาวจากเทือกเขาฉู่เป่ยพัดเอื่อยเฉื่อยลงมายังลุ่มแม่น้ำซานหลิง สายลมที่ขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะละเอียดระยิบระยับราวเกล็ดแก้วโปรยปรายไปทั่วผืนแผ่นดิน อากาศเหน็บหนาวจนอาจทำให้เนื้อไม้แตกระแหง ทว่ากลับมิอาจทำลายกลีบดอกเหมยที่บานท่ามกลางฤดูเหมันต์ได้
ท่ามกลางภูเขาหิมะที่ล้อมรอบด้วยป่าสนดำและลำธารน้ำแข็ง มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อ “หมู่บ้านชิงเหมย” ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขา บ้านเรือนไม้หลังเล็กตั้งเรียงรายลดหลั่นไปตามไหล่เขา มีเพียงคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ใหญ่โตตั้งตระหง่านเป็นเอกอยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป ล้อมรอบด้วยรั้วไม้สนทาสีดำและธงผืนใหญ่ประทับตรากระเรียนคู่ นั่นคือตระกูลไป๋ หนึ่งในสี่ขุนศึกหลักของแคว้นหลานโจว
ในบ่ายวันนั้น หิมะแรกเพิ่งเริ่มตก หิมะบริสุทธิ์คลุมไปทั่วสนามหญ้าหลังคฤหาสน์ จนไม่อาจมองเห็นสีเขียวของฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งผ่านไปได้แม้เพียงเสี้ยวเดียว
“คุณหนู! ท่านไปที่ใดมาเจ้าคะ หิมะเริ่มตกแล้ว!” เสียงร้องลั่นของสาวใช้คนหนึ่ง ดังแว่วมากับสายลม
เด็กหญิงอายุประมาณแปดขวบในชุดคลุมสีม่วงอ่อน ยืนอยู่เพียงลำพังใต้ต้นเหมยต้นหนึ่งหลังเรือนรอง สีหน้าของนางนิ่งเงียบอย่างผิดวิสัย มือเล็ก ๆ กำลังลูบกลีบดอกเหมยที่เพิ่งผลิบานรับหิมะแรก นัยน์ตากลมโตทอดมองกลีบสีชมพูนั้นราวกับต้องมนต์สะกด
“คุณหนูซูเหยียน! ฮูหยินตามหาท่านให้วุ่น พวกเราเองก็ตามหาท่านไปทั่วทั้งคฤหาสน์แล้วนะเจ้าคะ!” เสียงอีกคนร้องเตือนขณะที่เร่งฝีเท้าขึ้นมาหา
ไป๋ซูเหยียนหันกลับมาช้า ๆ นางยิ้มบางราวกับไร้ความหวาดกลัว ทั้งที่อากาศหนาวจนลมหายใจกลั่นเป็นไอขาวออกมา
“ข้าแค่มาดูต้นเหมย เห็นมันบานแล้ว ก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนมัน”
สาวใช้สองคนมองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ เด็กหญิงผู้นี้ดูจากภายนอกเหมือนคุณหนูที่ว่านอนสอนง่าย ทว่าหากนางจะดื้อ ก็สามารถแอบหายไปโดยไม่บอกผู้ใดเช่นนี้เสมอ
“ฮูหยินกำลังโกรธมากเลยนะเจ้าคะ รีบไปเถิด หิมะตกแรงขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้ายังอยากอยู่ตรงนี้อีกหน่อย” ไป๋ซูเหยียนเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเศร้าลงเล็กน้อย
“เจ้ารู้หรือไม่.. ข้าเคยฝันถึงต้นเหมยนี่เมื่อหลายปีก่อน มันบานในคืนหิมะตก และมีผู้หนึ่งมอบผ้าคลุมให้ข้า”
“ฝันหรือเจ้าคะ?” สาวใช้ผู้น้อยขมวดคิ้วสงสัย
“บางทีอาจมิใช่เพียงความฝัน...” เด็กหญิงกระซิบเบา ๆ ราวกับลมพัด
คืนวันเดียวกันนั้นเอง เป็นค่ำคืนที่พายุกำลังจะมา ขณะที่ชาวบ้านเร่งปิดหน้าต่างและอพยพสัตว์เข้าคอก เด็กหญิงร่างเล็กกลับย่องเงียบออกจากเรือน เดินไปตามทางหินเลียบเชิงเขา ดวงหน้าแดงระเรื่อเพราะความหนาว แม้ชุดคลุมขนสัตว์ที่ใส่จะหนาพอสมควร แต่ไม่อาจต้านลมแรงที่พัดจากหุบเขาเบื้องบนได้
ไป๋ซูเหยียนเดินฝ่าหิมะไปเรื่อย ๆ ราวกับถูกแรงบางอย่างพาไป จนในที่สุด นางก็ไปถึงลานหินด้านหลังเขา ซึ่งมีต้นเหมยต้นหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ต้นเหมยต้นนี้มิใช่ต้นธรรมดา มันเก่าแก่จนเปลือกไม้หยาบกระด้าง โค้งเงาสูงใหญ่เหนือศีรษะ กลีบเหมยผลิเต็มกิ่งอย่างผิดฤดู สะท้อนแสงจันทร์ลาง ๆ ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมทั่วทั้งลาน
นางค่อย ๆ เดินเข้าไปใต้ต้นไม้ แล้วหยุดลง หายใจช้า ๆ ดวงตาจับจ้องกลีบดอกไม้ตรงหน้า และจู่ ๆ ลมหิมะก็กระโชกแรงขึ้น ร่างเล็กเซไปเล็กน้อย และพลัดตกลงไปในหลุมหิมะริมโขดหิน
“อึก...” เสียงเล็กหลุดจากริมฝีปาก นางพยายามลุกขึ้นแต่ไม่สำเร็จ หนาวเย็นกัดกร่อนจนปลายนิ้วชา น้ำตาเอ่อคลอ
และแล้ว...
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นในความเงียบ มีร่างเงาหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากม่านหิมะ ชายหนุ่มอายุประมาณสิบสองสิบสามปีในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ตรงขอบหลุม หิมะเกาะตามไหล่และผมดำขลับของเขา แต่ดวงตาสีดำสนิทกลับคมกริบจ้องมองลงมาเงียบ ๆ
“เจ้าเป็นใคร” ไป๋ซูเหยียนถามเสียงสั่น
เขาไม่ตอบ เพียงยื่นมือมาให้ นางลังเลเล็กน้อย แต่ก็คว้ามือนั้นไว้ และถูกดึงขึ้นมาเบา ๆ
“ขอบใจเจ้า” นางกระซิบ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงบนแก้มแดงจากลมหนาว
เด็กชายถอดผ้าคลุมของตน แล้วคลุมให้นางอย่างเงียบ ๆ มือของเขาอุ่นอย่างประหลาด
“เหตุใดเจ้าถึงมาช่วยข้า ” นางถามอีกครั้ง
เขานิ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “เพราะเจ้าร้องไห้ใต้ต้นเหมย ต้นเหมยที่ข้าชอบ ไม่ควรได้ยินเสียงเศร้า”
ประโยคนั้นทำให้ไป๋ซูเหยียนชะงัก ดวงตาสั่นไหว
“เช่นนั้น เจ้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ?” นางถาม
เด็กชายส่ายหน้าเบา ๆ
“ข้าจะกลับมา ใต้ต้นเหมยนี้ หากหิมะตก และเจ้ามายืนใต้ต้นเหมยต้นนี้ ข้าจะมาหาเจ้า”
“นี่ถือเป็นคำสัตย์หรือไม่?” เด็กหญิงเอียงคอถาม
เขาพยักหน้า “ขอเพียงเจ้าไม่ลืมชื่อของข้า”
“แต่เจ้ายังไม่บอกชื่อข้าเลย” นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขายิ้มบาง แล้วเงียบงัน ไม่ตอบสิ่งใดอีก
ไป๋ซูเหยียนรู้สึกคล้ายกับว่าหัวใจถูกดึงออกจากร่าง รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ในความเงียบ ทั้งที่อีกฝ่ายยังยืนอยู่ตรงหน้า
"เขาคือใครกันแน่...?"
รุ่งเช้า ลำแสงอ่อน ๆ ของดวงอาทิตย์ในฤดูเหมันต์ส่องลอดม่านหิมะลงมายังหมู่บ้านชิงเหมย ต้นเหมยกลางลานเก่าแก่นั้นยังคงยืนเงียบสงบ ไม่เหลือร่องรอยการพบพานใดในคืนก่อน ทว่าในใจเด็กหญิงหนึ่งคนกลับเต็มไปด้วยคำถาม ความทรงจำ และความรู้สึกบางอย่างที่ยังหาคำตอบไม่ได้
ภายในคฤหาสน์สกุลไป๋ ตำหนักรองของท่านแม่ทัพใหญ่ ไป๋ซูเหยียนถูกพากลับมาโดยคนของตระกูลตั้งแต่ยังไม่ทันฟ้าสาง นางถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่าหน้าห้องโถงโดยไร้เสื้อคลุม เหล่าสาวใช้ได้แต่ยืนมองอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เจ้าเด็กดื้อ! ไปปีนเขากลางหิมะหนักเช่นนั้น เจ้าไม่คิดชีวิตบ้างหรือ?!”
ไป๋ฟู่เหวิน มารดาของนางตวาดเสียงดังลั่น ดวงหน้าสวยงามเริ่มมีร่องรอยแห่งวัยเพราะความกังวล
“ข้าเพียงแต่อยากไปดูต้นเหมย” ซูเหยียนตอบเบา ๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของเจ้าเกือบสั่งให้ทหารออกค้นหา คิดว่าเจ้าถูกลักพาตัวไปแล้ว!”
“ข้าไม่ได้ไปไกลเสียหน่อย” เด็กหญิงยังคงยืนยัน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอากาศหนาวข้างนอกเพียงใด หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบบรรพชนของตระกูล!”
ไป๋ฟู่เหวินกล่าวเสียงสั่น เผยให้เห็นว่าแม้จะดุด่าแต่ก็เต็มไปด้วยห่วงใยที่มีต่อบุตรสาว เงียบไปพักใหญ่ ก่อนหญิงผู้นั้นจะเอ่ยเสียงเบาลง
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ ห้าปีที่ผ่านมา เจ้าชอบไปยืนใต้ต้นเหมยนั้นเสมอ ไม่ว่าฤดูไหน ข้ายังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้ายืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนเพราะบอกว่ากำลังรอใครบางคน”
ไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ “เขามีตัวตนอยู่จริง ๆ นะท่านแม่” นางพูดเสียงเบา
ไป๋ฟู่เหวินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า
“เด็กน้อย คนเราฝันไปมากมายในวัยเยาว์ แต่เมื่อเติบโตขึ้น ย่อมต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน”
เวลาผ่านไปอีกหลายปี ความทรงจำเรื่องเด็กชายใต้ต้นเหมยค่อย ๆ เลือนรางลงไปจากใจของไป๋ซูเหยียน หากแต่บางคืนในฤดูหนาว เมื่อกลีบเหมยร่วงหล่น นางก็ยังคงเผลอฝันถึงดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองนางจากความเงียบ
จนกระทั่งในปีที่นางอายุสิบแปดปี ก็เป็นปีที่เปลี่ยนชะตาทั้งชีวิต
ฤดูหนาวมาเยือนเร็วกว่าปีก่อน ท้องฟ้าครึ้มตั้งแต่ยังไม่เข้าเหมันต์ เดือนสิบยังไม่สิ้น หิมะแรกก็โปรยปรายลงมาเหนือคฤหาสน์สกุลไป๋
และในวันหนึ่ง ข่าวสารจากวังหลวงก็มาถึง
“มีราชโองการจากวังหลวง..”
เสียงแหลมของขันทีผู้ส่งสาส์นจากวังหลวงเอ่ยขึ้น ทุกคนต่างรีบคุกเข่ารอรับราชโองการ
“ราชโองการแห่งฟ้า ด้วยเห็นว่าตระกูลไป๋เป็นขุนศึกคู่ราชบัลลังก์มาแต่โบราณ ฮ่องเต้จึงมีบัญชาให้ไป๋ซูเหยียน บุตรีของไป๋เทียนหย่ง เข้าหมั้นหมายกับ ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ราชวงศ์กับฝ่ายทหาร รับราชโองการ...”
ไป๋ซูเหยียนนั่งสงบเงียบ ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลคุกเข่ารับราชโองการอยู่ข้างหน้า นางมิได้แสดงสีหน้าตื่นตกใจแม้แต่น้อย ริมฝีปากเม้มบางราวกับรออยู่แล้ว
หลังขันทีผู้ส่งสาส์นและเหล่าทหารจากไป ความเงียบงันปกคลุมทั่วห้องโถงใหญ่ของจวกสกุลไป๋ ท่านแม่ทัพไป๋เทียนหย่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น
“ท่านอ๋องสี่ คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังกองกำลังพิทักษ์หลวง แม้จะไม่อยู่ในสายราชบัลลังก์โดยตรง แต่ก็มีอิทธิพลสูง ข้าเชื่อว่าเขาย่อมไม่เลือกใครหมั้นหมายอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า”
ไป๋ฟู่เหวินพูดขึ้นเสียงแผ่ว
“แต่ในวังต่างก็ร่ำลือว่าเขาเย็นชา นิ่งเฉย และไม่เคยยิ้มให้ผู้ใดมากว่าสิบปีแล้ว”
“ข้าไม่กลัว” ไป๋ซูเหยียนกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย
ทุกสายตามองมายังนาง นางยังคงสงบเหมือนหิมะที่ตกเบา ๆ
“ท่านแม่ ข้าจะไปเป็นพระชายาในวังหลวง ไม่ใช่เพื่อเกียรติยศหรือเพื่อท่านพ่อ หรือเพียงเพื่อสกุลไป๋ แต่เพราะข้ารู้ว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางของข้าที่ชะตาได้กำหนดไว้แล้ว”
ไป๋ฟู่เหวินนิ่งเงียบ เหลือบมองใบหน้าของบุตรสาวแล้วจึงค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเข้าใจ
หลายสัปดาห์ต่อมา
ราชรถจากวังมาถึงหน้าคฤหาสน์สกุลไป๋ในเช้าวันที่หิมะตกหนัก ท้องฟ้าขาวโพลน หมอกหนาวปกคลุมทั่วลานหิน ไป๋ซูเหยียนแต่งกายเรียบหรูงดงามด้วยชุดสีฟ้า ปักลวดลายมังกรเมฆประดับไข่มุก ดวงหน้าเรียบเฉย ใต้ดวงตานั้นมีแววเด็ดเดี่ยวอันมิอาจพร่าเลือนได้
ก่อนก้าวขึ้นราชรถ นางหันไปมองต้นเหมยต้นหนึ่งที่ปลูกอยู่มุมรั้วด้านนอก มันกำลังผลิบาน และในหัวใจของนางก็มีเสียงหนึ่งกระซิบว่า
“จะได้พบเขาอีกหรือไม่นะ ผู้ที่อยู่ใต้ต้นเหมยในคืนนั้น”
วังหลวงแห่งแคว้นหลานโจวตั้งตระหง่านอยู่เหนือเนินเขาหลวง สูงตระหง่านจนแม้แต่สายตาจากทิศใดก็ยากที่จะไม่สังเกตเห็น หลังคากระเบื้องเคลือบสีทองสะท้อนแสงหิมะ เสาไม้แก่นหอมที่แกะสลักลายมังกรพันเมฆรายล้อมไปทั่วบริเวณตำหนักหลัก ต้นเหมยสีแดงแก่แซมขาวปลูกเรียงรายสองข้างทางเดินราวกับเป็นดอกไม้ประจำฤดูแห่งโชคชะตา
ไป๋ซูเหยียนก้าวลงจากราชรถอย่างสงบ แม้ในใจจะวูบไหวเมื่อประตูวังใหญ่เปิดออกต่อหน้าต่อตานางเป็นครั้งแรก
สาวใช้ของวังหลวงในชุดผ้าสีหม่นต่างโค้งคำนับ แล้วนำทางนางเข้าสู่ “ตำหนักเฟิ่งเยว่” ซึ่งเป็นตำหนักแยกสำหรับว่าที่พระชายา
การรับเข้าไม่ได้เป็นพิธีใหญ่โต เนื่องจากยังมิได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เพียงรับไว้ในฐานะว่าที่ชายาเท่านั้น
“ว่าที่พระชายา โปรดพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ฝ่าบาทและพระมารดาของท่านอ๋องสี่จะเรียกเข้าเฝ้าในอีกสามวัน” นางกำนัลคนหนึ่งกล่าวพลางก้มศีรษะต่ำ
“ท่านอ๋องสี่ มิได้มาพบด้วยหรือ” ไป๋ซูเหยียนถามอย่างสงบ
“ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับราชกิจ ยังมิได้รับสั่งให้ท่านอ๋องสี่เข้าเฝ้าเจ้าค่ะ” เสียงตอบนั้นระมัดระวังอย่างยิ่ง
นางพยักหน้าเบา ๆ มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ
ยามค่ำในวันนั้น หิมะยังคงตกอย่างไม่หยุดหย่อน ไฟในตำหนักเฟิ่งเยว่ลุกสว่างไสว แต่หัวใจของนางกลับเย็นยะเยียบ
ไป๋ซูเหยียนเดินไปยืนที่หน้าต่างบานเล็กทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังตำหนัก และที่นั่น ห่างออกไปราวกับลึกเข้าไปในเงาไม้ มีลานหนึ่งซึ่งปลูกต้นเหมยเดี่ยวต้นใหญ่เอาไว้
แสงโคมส่องให้เห็นลาง ๆ ว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น
นางนิ่งงันไปอึดใจใหญ่ ก่อนตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมแล้วออกจากตำหนักไปอย่างเงียบงัน
ยิ่งเข้าใกล้เขตต้องห้ามด้านหลัง นางยิ่งสัมผัสได้ถึงความเงียบที่ผิดปกติ ไม่ได้มีทหารยาม ไม่มีนางกำนัล มีเพียงลานหินเงียบงันและต้นเหมยโบราณที่บานท้าหิมะ
และเขา...
ชายในชุดคลุมสีขาว ยืนหันหลังให้ต้นไม้ กลีบเหมยปลิวลงบนไหล่ของเขาราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน
นางเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบงัน
ยังไม่ถึงก้าวสุดท้าย ชายผู้นั้นก็หันมาสบตานาง
เป็นดวงตาคู่เดิม...
เหมือนดั่งในความฝัน
เหมือนดั่งในความทรงจำ
เหมือนดั่งในคืนนั้น...
นางนิ่งงัน ปลายเท้าชะงัก หัวใจเต้นแรงเสียจนแทบหลุดจากอก
เขาคือเด็กชายคนนั้น ใช่หรือไม่?
เขาไม่พูด ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เพียงเดินผ่านนางไปอย่างเงียบงัน กลีบเหมยร่วงปลิวลงแตะแก้มของนางตอนที่เขาเดินสวนผ่าน นางหันกลับมามองร่างของเขาที่ค่อย ๆ หายไปในเงาไม้
“หากเจ้าคือเขา เหตุใดจึงไม่เอ่ยสิ่งใดแก่ข้าสักนิด”
“หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว คำสัตย์ในคืนนั้น ใต้ต้นเหมยต้นนั้น...”
คืนต่อมา
“ท่านอ๋องสี่จะไม่มาเข้าพบเจ้าอีกหรือ?” เสียงของคุณหนูจากสกุลหลิวที่มาเยี่ยมถามขึ้น
“ข้าไม่เคยพบเขามาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว” ไป๋ซูเหยียนตอบเรียบ ๆ ขณะจิบชา
“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ร่วมกับชายที่ไม่รู้หน้าไม่รู้ใจได้อย่างไร” หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“หากบุรุษผู้นั้นเคยให้คำสัตย์ไว้กับข้าตั้งแต่สิบปีก่อน ต่อให้ลืมข้าไปแล้ว แต่ข้าไม่มีวันลืมเขาแน่”
หลิวเสวี่ยหลานมองนางด้วยแววตาประหลาด
“เช่นนั้น เจ้ายังจดจำเขาได้อยู่หรือ” ไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายในแสงเทียน
“ไม่ว่าหน้าตาของเขาจะเปลี่ยนไปเพียงใด แต่แววตาของเขานั้น ข้ายังจดจำได้ ไม่มีวันลืม”
และในคืนนั้นเอง เมื่อหิมะตกหนักจนทั่วตำหนักต้องสั่นสะเทือน ไป๋ซูเหยียนก็แอบลอบกลับไปยังลานต้นเหมยเดิมอีกครั้ง
แต่เขาไม่อยู่แล้ว
มีเพียงรอยเท้าลาง ๆ ท่ามกลางหิมะ กับเศษกลีบดอกไม้ที่ปลิวว่อน
นางเงยหน้ามองต้นไม้ “สิบปีก่อนเราต่างยังเด็ก สิบปีผ่านไป เจ้ากลับลืมข้าแล้วงั้นหรือ”
ลมหนาวพัดกลีบเหมยลงบนเส้นผมของนาง ไป๋ซูเหยียนยกมือขึ้นรับกลีบนั้นเอาไว้แนบอก และในหัวใจของนาง เสียงของเด็กชายในคืนนั้นยังดังก้อง
“ข้าจะกลับมา ใต้ต้นเหมยนี้ หากหิมะตก และเจ้ามายืนใต้ต้นเหมยต้นนี้ ข้าจะมาหาเจ้า”
เสียงลมตอนเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านระเบียงเรือนไม้ กลิ่นชาดอกเหมยที่เพิ่งชงเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แสงแดดลอดผ่านบานประตูไม้ไผ่ที่แง้มออกครึ่งหนึ่ง ทาบเงาลวดลายบนผ้าไหมปักลายเหมยซึ่งคลุมอยู่บนเตียงนอนกว้างไป๋ซูเหยียนขยับตัวพลิกกายเล็กน้อย ปอยผมหลุดจากปิ่นหยกเคลื่อนไหลลงมาแนบแก้มขาวราวหยกนวล เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะแผ่วดังขึ้นใกล้ใบหูของนาง“หากเจ้าไม่ลุก แล้วใครจะรินชาให้ข้า?”นางปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้ายังเปื้อนรอยง่วงงุน“ท่านมิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วนะ? เหตุใดยังอวดอำนาจกับข้าได้อยู่อีก?”หลี่เหยียนนั่งพิงเสาเตียง ในมือถือพัดกระดูกงูพับครึ่ง พลิกไปมาอย่างว่าง่าย“อำนาจหรือ? ข้ามีแค่อำนาจเดียว คือการทำให้เจ้ารำคาญใจในตอนเช้า”นางกลอกตาเบา ๆ แล้วฝืนลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียง“หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะเปลี่ยนชาวันนี้เป็นชาดอกไม้ขมแทนชาดอกเหมย”เขาหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากล้าหรือ?”“ก็ลองดูสิ” นางยิ้มอย่างท้าทายแสงแดดอ่อนสาดกระทบใบหน้าทั้งสองที่ใกล้ชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรก มือที่สัมผัสกันเบา ๆ บนกล่องชา กลายเป็นเหตุให้หล
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกบางในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นเหมยแห่งคำสัตย์กลางพระราชวังยังคงผลิบานอย่างเงียบงาม กลีบดอกบางเบาลอยล่องบนสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชื่นชมในตำหนักกลาง พระราชพิธีสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเริ่มต้นอย่างสง่างาม ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน สวมชุดครุยพิธีเต็มยศ ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีด้วยใบหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างบนเก้าอี้รองพระเกียรติในชุดฉลองพระองค์ผ้ากรุทองอ่อน พรมผืนยาวที่ทอดยาวจากบันไดสู่แท่นพิธีประดับด้วยกลีบเหมยซึ่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เปล่งประกายเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนผืนแผ่นดินเหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร และแขกบ้านแขกเมืองต่างมาเข้าร่วมอย่างพร้อมใจ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงกลองพิธีบรรเลงรับแสงแห่งเช้าวันใหม่“วันนี้ เรามิได้แต่งตั้งเพียงบุคคลผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน แต่เราสถาปนาหัวใจของแผ่นดินด้วย” เสียงเสนาบดีผู้ดำเนินพิธีประกาศดังกังวานหลี่เหยียนคุกเข่าลงบนแท่น พร้อมรับมอบตราสัญลักษณ์ราชการ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทั้งห้องโถงเปี่ยมไปด้วยพลังของความศรัทธาหลังพิธีจบลง เข
ยามเช้าของฤดูเหมันต์เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนโยนที่ส่องทะลุม่านหิมะเหนือยอดหลังคาพระราชวัง วังหลวงที่เคยเงียบเย็นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใจของผู้คนใต้ต้นเหมยกลางลานตำหนักเย็น กลีบดอกผลิบานสะพรั่งในเวลาเดียวกันทั่วทั้งต้น สีชมพูสดแต้มแต่งหิมะขาว กลายเป็นภาพงดงามที่แม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องหยุดยืนมองด้วยสายตาไม่เชื่อไป๋ซูเหยียนเดินช้า ๆ ออกจากตำหนัก นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนา แต่สีเลือดฝาดบนแก้มบ่งบอกว่าสุขภาพเริ่มฟื้นตัวแล้ว ใบหน้ายิ้มบางนั้นเป็นสิ่งที่บ่าวไพร่หลายคนไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน“กลีบเหมยบานแล้ว...” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปรับกลีบดอกที่ลอยมาติดแขนเสื้อหลี่เหยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองนางโดยไม่หลบสายตา ท่านอ๋องสี่ในยามนี้ไม่ใช่ชายผู้เย็นชาอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้ในชีวิต“เจ้าดูสดใสขึ้นมาก” เขาเอ่ย“ก็เพราะท่านทำให้ข้ามีชีวิตอยู่” นางยิ้มให้เขา “และเพราะข้าไม่ต้องเฝ้ารอคำสัญญาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ยื่นมือจับมือของนางแน่นแนบอก“คำสัญญานั้น ข้า
หิมะตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน ปกคลุมยอดเขาและลานหินทั่วเขตวังหลวง จนต้นไม้บางต้นเริ่มโค้งกิ่งลงเพราะทานแรงลมไม่ไหว แต่ในตำหนักเย็นแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเงียบมานานกลับมีแสงไฟอบอุ่นลอดออกจากช่องหน้าต่างไม้ซูเหยียนนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเตาไฟในชุดคลุมหนาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าซีดจางเพราะพิษในร่างที่ยังไม่หายขาดจากพิธีเลือด แต่นัยน์ตานางกลับเปล่งแสงสว่างประหลาด ราวกับได้รับการปลุกจากภายในอย่างแท้จริงตรงข้ามกับนาง หลี่เหยียนนั่งเงียบในอาภรณ์สีดำสนิท หน้าตาเย็นชาเช่นเดิม แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า ความอ่อนโยนในดวงตาก็ชัดเจนจนไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป“ข้าเห็นภาพต้นเหมยในความฝัน” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “มันเหี่ยวเฉา ดอกโรยจนหมด แล้วจู่ ๆ ก็มีลมหายใจหนึ่งพัดผ่าน ทำให้มันผลิบานอีกครั้ง”หลี่เหยียนเอ่ยช้า ๆ “ข้าก็ฝันเช่นเดียวกัน เจ้าคือผู้ที่ทำให้มันบาน”นางหัวเราะเบา ๆ แล้วเงียบลง นัยน์ตาจับจ้องเตาไฟครู่หนึ่งก่อนเอ่ย“ท่านรู้หรือไม่ พิธีนั้น มิได้ลบความจำข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังฝากเศษพิษในเส้นชีพจร หากไม่ได้รับการรักษาในสิบวัน พิษนี้จะกลืนกินลมหายใจสุดท้ายของข้า”หลี่เหยียนหันขวับมาหานางทันที ใบหน้าเปลี่ยน
ลมหายใจเย็นยะเยือกพัดพาเอาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายเหนือยอดเขาเหมยซาน แสงจันทร์จาง ๆ ในคืนเดือนแรมทอผ่านม่านเมฆบาง ราวกับฉายภาพความรู้สึกในใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างสูงในอาภรณ์นักพรตสีเทาเข้ม ห่มเสื้อคลุมยาวแตะข้อเท้า ที่ชายเสื้อมีคราบเปื้อนจากการเดินทางไกล“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว…” หลี่เหยียนพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแตกแห้งสีเลือดจางเบื้องหน้าเขา คือประตูไม้เก่าแก่ที่ถูกตะไคร่จับหนาแน่น เป็นทางเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของอดีต สำนักหิมะดำเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีต้องห้าม และแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายไปในการศึกคราวก่อน แต่ข่าวลือยังคงลือว่ามีคนหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดชายหนุ่มยกมือลูบกระบี่ที่พาดบ่าซ้าย มันคือกระบี่เล่มเดียวกับที่เขาใช้ในศึกครั้งที่ช่วยซูเหยียนให้รอดจากพิธีเลือด ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วผ่านกระบี่นั้น ทำให้เขาหวนคิดถึงวินาทีที่ร่างของนางล้มลงในอ้อมแขนเขา“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังอีก ข้าจะทำตามนั้น”เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวห่มไหล่ นางเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลาง
ยามหนึ่งของค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดเขาเหมยซาน หิมะขาวสะท้อนแสงนวลราวผืนผ้าไหมที่คลี่ออกกลางสวรรค์ เสียงสายลมหนาวพัดหวีดหวิวพาเอากลีบเหมยปลิวไหวราวจะกระซิบบอกข่าวเงียบงันที่ลานกว้างหน้าศาลาไม้โบราณกลางหุบเขา หญิงสาวผู้หนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่สีดำเส้นบางราวสายไหม เส้นโซ่พาดผ่านลำแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ ข้อมือของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการดิ้นรน แม้สายตาจะพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา แต่นางยังพยายามเงยหน้าขึ้นจ้องแสงจันทร์“องค์หญิงอิงเยว่”เสียงขานนามเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา หญิงชราในอาภรณ์สีดำสนิทเดินออกมาจากศาลา ดวงตาของนางคมกริบ ดั่งผู้เฝ้ามองโลกมาหลายทศวรรษ“อีกไม่ถึงเจ็ดชั่วยาม พิธีจะเริ่ม เจ้าจะได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน ด้วยเลือดของเจ้า”หญิงชราเอื้อมมือแตะหน้าผากขององค์หญิงอิงเยว่ แล้วกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด ร่างขององค์หญิงกระตุกเล็กน้อยก่อนหมดสติไปอีกครั้งหอหลวงฝ่ายใน ตำหนักต้าหลี่เสียงบันลือจากรายงานขององครักษ์ด่วนพิเศษ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงกลายเป็นความอึมครึม หลี่เหยียนเดินลงจากบัลลังก์พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้
Comments