คำสัตย์ใต้ดอกเหมย

คำสัตย์ใต้ดอกเหมย

last update최신 업데이트 : 2025-07-03
에:  Bosskerr연재 중
언어: Thai
goodnovel18goodnovel
평가가 충분하지 않습니다.
21챕터
204조회수
읽기
서재에 추가

공유:  

보고서
개요
목록
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.

สายลมหนาวจากเทือกเขาฉู่เป่ยพัดเอื่อยเฉื่อยลงมายังลุ่มแม่น้ำซานหลิง สายลมที่ขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะละเอียดระยิบระยับราวเกล็ดแก้วโปรยปรายไปทั่วผืนแผ่นดิน อากาศเหน็บหนาวจนอาจทำให้เนื้อไม้แตกระแหง ทว่ากลับมิอาจทำลายกลีบดอกเหมยที่บานท่ามกลางฤดูเหมันต์ได้

더 보기

1화

บทที่ 1 หิมะแรกกับสัญญาระหว่างกัน

สายลมหนาวจากเทือกเขาฉู่เป่ยพัดเอื่อยเฉื่อยลงมายังลุ่มแม่น้ำซานหลิง สายลมที่ขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะละเอียดระยิบระยับราวเกล็ดแก้วโปรยปรายไปทั่วผืนแผ่นดิน อากาศเหน็บหนาวจนอาจทำให้เนื้อไม้แตกระแหง ทว่ากลับมิอาจทำลายกลีบดอกเหมยที่บานท่ามกลางฤดูเหมันต์ได้

ท่ามกลางภูเขาหิมะที่ล้อมรอบด้วยป่าสนดำและลำธารน้ำแข็ง มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อ “หมู่บ้านชิงเหมย” ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขา บ้านเรือนไม้หลังเล็กตั้งเรียงรายลดหลั่นไปตามไหล่เขา มีเพียงคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ใหญ่โตตั้งตระหง่านเป็นเอกอยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป ล้อมรอบด้วยรั้วไม้สนทาสีดำและธงผืนใหญ่ประทับตรากระเรียนคู่ นั่นคือตระกูลไป๋ หนึ่งในสี่ขุนศึกหลักของแคว้นหลานโจว

ในบ่ายวันนั้น หิมะแรกเพิ่งเริ่มตก หิมะบริสุทธิ์คลุมไปทั่วสนามหญ้าหลังคฤหาสน์ จนไม่อาจมองเห็นสีเขียวของฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งผ่านไปได้แม้เพียงเสี้ยวเดียว

“คุณหนู! ท่านไปที่ใดมาเจ้าคะ หิมะเริ่มตกแล้ว!” เสียงร้องลั่นของสาวใช้คนหนึ่ง ดังแว่วมากับสายลม

เด็กหญิงอายุประมาณแปดขวบในชุดคลุมสีม่วงอ่อน ยืนอยู่เพียงลำพังใต้ต้นเหมยต้นหนึ่งหลังเรือนรอง สีหน้าของนางนิ่งเงียบอย่างผิดวิสัย มือเล็ก ๆ กำลังลูบกลีบดอกเหมยที่เพิ่งผลิบานรับหิมะแรก นัยน์ตากลมโตทอดมองกลีบสีชมพูนั้นราวกับต้องมนต์สะกด

“คุณหนูซูเหยียน! ฮูหยินตามหาท่านให้วุ่น พวกเราเองก็ตามหาท่านไปทั่วทั้งคฤหาสน์แล้วนะเจ้าคะ!” เสียงอีกคนร้องเตือนขณะที่เร่งฝีเท้าขึ้นมาหา

ไป๋ซูเหยียนหันกลับมาช้า ๆ นางยิ้มบางราวกับไร้ความหวาดกลัว ทั้งที่อากาศหนาวจนลมหายใจกลั่นเป็นไอขาวออกมา

“ข้าแค่มาดูต้นเหมย เห็นมันบานแล้ว ก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนมัน”

สาวใช้สองคนมองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ เด็กหญิงผู้นี้ดูจากภายนอกเหมือนคุณหนูที่ว่านอนสอนง่าย ทว่าหากนางจะดื้อ ก็สามารถแอบหายไปโดยไม่บอกผู้ใดเช่นนี้เสมอ

“ฮูหยินกำลังโกรธมากเลยนะเจ้าคะ รีบไปเถิด หิมะตกแรงขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”

“ข้ายังอยากอยู่ตรงนี้อีกหน่อย” ไป๋ซูเหยียนเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเศร้าลงเล็กน้อย

“เจ้ารู้หรือไม่.. ข้าเคยฝันถึงต้นเหมยนี่เมื่อหลายปีก่อน มันบานในคืนหิมะตก และมีผู้หนึ่งมอบผ้าคลุมให้ข้า”

“ฝันหรือเจ้าคะ?” สาวใช้ผู้น้อยขมวดคิ้วสงสัย

“บางทีอาจมิใช่เพียงความฝัน...” เด็กหญิงกระซิบเบา ๆ ราวกับลมพัด

คืนวันเดียวกันนั้นเอง เป็นค่ำคืนที่พายุกำลังจะมา ขณะที่ชาวบ้านเร่งปิดหน้าต่างและอพยพสัตว์เข้าคอก เด็กหญิงร่างเล็กกลับย่องเงียบออกจากเรือน เดินไปตามทางหินเลียบเชิงเขา ดวงหน้าแดงระเรื่อเพราะความหนาว แม้ชุดคลุมขนสัตว์ที่ใส่จะหนาพอสมควร แต่ไม่อาจต้านลมแรงที่พัดจากหุบเขาเบื้องบนได้

ไป๋ซูเหยียนเดินฝ่าหิมะไปเรื่อย ๆ ราวกับถูกแรงบางอย่างพาไป จนในที่สุด นางก็ไปถึงลานหินด้านหลังเขา ซึ่งมีต้นเหมยต้นหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ต้นเหมยต้นนี้มิใช่ต้นธรรมดา มันเก่าแก่จนเปลือกไม้หยาบกระด้าง โค้งเงาสูงใหญ่เหนือศีรษะ กลีบเหมยผลิเต็มกิ่งอย่างผิดฤดู สะท้อนแสงจันทร์ลาง ๆ ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมทั่วทั้งลาน

นางค่อย ๆ เดินเข้าไปใต้ต้นไม้ แล้วหยุดลง หายใจช้า ๆ ดวงตาจับจ้องกลีบดอกไม้ตรงหน้า และจู่ ๆ ลมหิมะก็กระโชกแรงขึ้น ร่างเล็กเซไปเล็กน้อย และพลัดตกลงไปในหลุมหิมะริมโขดหิน

“อึก...” เสียงเล็กหลุดจากริมฝีปาก นางพยายามลุกขึ้นแต่ไม่สำเร็จ หนาวเย็นกัดกร่อนจนปลายนิ้วชา น้ำตาเอ่อคลอ

และแล้ว...

เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นในความเงียบ มีร่างเงาหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากม่านหิมะ ชายหนุ่มอายุประมาณสิบสองสิบสามปีในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ตรงขอบหลุม หิมะเกาะตามไหล่และผมดำขลับของเขา แต่ดวงตาสีดำสนิทกลับคมกริบจ้องมองลงมาเงียบ ๆ

“เจ้าเป็นใคร” ไป๋ซูเหยียนถามเสียงสั่น

เขาไม่ตอบ เพียงยื่นมือมาให้ นางลังเลเล็กน้อย แต่ก็คว้ามือนั้นไว้ และถูกดึงขึ้นมาเบา ๆ

“ขอบใจเจ้า” นางกระซิบ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงบนแก้มแดงจากลมหนาว

เด็กชายถอดผ้าคลุมของตน แล้วคลุมให้นางอย่างเงียบ ๆ มือของเขาอุ่นอย่างประหลาด

“เหตุใดเจ้าถึงมาช่วยข้า ” นางถามอีกครั้ง

เขานิ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “เพราะเจ้าร้องไห้ใต้ต้นเหมย ต้นเหมยที่ข้าชอบ ไม่ควรได้ยินเสียงเศร้า”

ประโยคนั้นทำให้ไป๋ซูเหยียนชะงัก ดวงตาสั่นไหว

“เช่นนั้น เจ้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ?” นางถาม

เด็กชายส่ายหน้าเบา ๆ

“ข้าจะกลับมา ใต้ต้นเหมยนี้ หากหิมะตก และเจ้ามายืนใต้ต้นเหมยต้นนี้ ข้าจะมาหาเจ้า”

“นี่ถือเป็นคำสัตย์หรือไม่?” เด็กหญิงเอียงคอถาม

เขาพยักหน้า “ขอเพียงเจ้าไม่ลืมชื่อของข้า”

“แต่เจ้ายังไม่บอกชื่อข้าเลย” นางขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขายิ้มบาง แล้วเงียบงัน ไม่ตอบสิ่งใดอีก

ไป๋ซูเหยียนรู้สึกคล้ายกับว่าหัวใจถูกดึงออกจากร่าง รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ในความเงียบ ทั้งที่อีกฝ่ายยังยืนอยู่ตรงหน้า

"เขาคือใครกันแน่...?"

รุ่งเช้า ลำแสงอ่อน ๆ ของดวงอาทิตย์ในฤดูเหมันต์ส่องลอดม่านหิมะลงมายังหมู่บ้านชิงเหมย ต้นเหมยกลางลานเก่าแก่นั้นยังคงยืนเงียบสงบ ไม่เหลือร่องรอยการพบพานใดในคืนก่อน ทว่าในใจเด็กหญิงหนึ่งคนกลับเต็มไปด้วยคำถาม ความทรงจำ และความรู้สึกบางอย่างที่ยังหาคำตอบไม่ได้

ภายในคฤหาสน์สกุลไป๋ ตำหนักรองของท่านแม่ทัพใหญ่ ไป๋ซูเหยียนถูกพากลับมาโดยคนของตระกูลตั้งแต่ยังไม่ทันฟ้าสาง นางถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่าหน้าห้องโถงโดยไร้เสื้อคลุม เหล่าสาวใช้ได้แต่ยืนมองอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เจ้าเด็กดื้อ! ไปปีนเขากลางหิมะหนักเช่นนั้น เจ้าไม่คิดชีวิตบ้างหรือ?!”

ไป๋ฟู่เหวิน มารดาของนางตวาดเสียงดังลั่น ดวงหน้าสวยงามเริ่มมีร่องรอยแห่งวัยเพราะความกังวล

“ข้าเพียงแต่อยากไปดูต้นเหมย” ซูเหยียนตอบเบา ๆ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของเจ้าเกือบสั่งให้ทหารออกค้นหา คิดว่าเจ้าถูกลักพาตัวไปแล้ว!”

“ข้าไม่ได้ไปไกลเสียหน่อย” เด็กหญิงยังคงยืนยัน

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอากาศหนาวข้างนอกเพียงใด หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบบรรพชนของตระกูล!”

ไป๋ฟู่เหวินกล่าวเสียงสั่น เผยให้เห็นว่าแม้จะดุด่าแต่ก็เต็มไปด้วยห่วงใยที่มีต่อบุตรสาว เงียบไปพักใหญ่ ก่อนหญิงผู้นั้นจะเอ่ยเสียงเบาลง

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ ห้าปีที่ผ่านมา เจ้าชอบไปยืนใต้ต้นเหมยนั้นเสมอ ไม่ว่าฤดูไหน ข้ายังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้ายืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนเพราะบอกว่ากำลังรอใครบางคน”

ไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ “เขามีตัวตนอยู่จริง ๆ นะท่านแม่” นางพูดเสียงเบา

ไป๋ฟู่เหวินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า

“เด็กน้อย คนเราฝันไปมากมายในวัยเยาว์ แต่เมื่อเติบโตขึ้น ย่อมต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน”

เวลาผ่านไปอีกหลายปี ความทรงจำเรื่องเด็กชายใต้ต้นเหมยค่อย ๆ เลือนรางลงไปจากใจของไป๋ซูเหยียน หากแต่บางคืนในฤดูหนาว เมื่อกลีบเหมยร่วงหล่น นางก็ยังคงเผลอฝันถึงดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองนางจากความเงียบ

จนกระทั่งในปีที่นางอายุสิบแปดปี ก็เป็นปีที่เปลี่ยนชะตาทั้งชีวิต

ฤดูหนาวมาเยือนเร็วกว่าปีก่อน ท้องฟ้าครึ้มตั้งแต่ยังไม่เข้าเหมันต์ เดือนสิบยังไม่สิ้น หิมะแรกก็โปรยปรายลงมาเหนือคฤหาสน์สกุลไป๋

และในวันหนึ่ง ข่าวสารจากวังหลวงก็มาถึง

มีราชโองการจากวังหลวง..”

เสียงแหลมของขันทีผู้ส่งสาส์นจากวังหลวงเอ่ยขึ้น ทุกคนต่างรีบคุกเข่ารอรับราชโองการ

ราชโองการแห่งฟ้า ด้วยเห็นว่าตระกูลไป๋เป็นขุนศึกคู่ราชบัลลังก์มาแต่โบราณ ฮ่องเต้จึงมีบัญชาให้ไป๋ซูเหยียน บุตรีของไป๋เทียนหย่ง เข้าหมั้นหมายกับ ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ราชวงศ์กับฝ่ายทหาร รับราชโองการ...”

ไป๋ซูเหยียนนั่งสงบเงียบ ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลคุกเข่ารับราชโองการอยู่ข้างหน้า นางมิได้แสดงสีหน้าตื่นตกใจแม้แต่น้อย ริมฝีปากเม้มบางราวกับรออยู่แล้ว

หลังขันทีผู้ส่งสาส์นและเหล่าทหารจากไป ความเงียบงันปกคลุมทั่วห้องโถงใหญ่ของจวกสกุลไป๋ ท่านแม่ทัพไป๋เทียนหย่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น

“ท่านอ๋องสี่ คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังกองกำลังพิทักษ์หลวง แม้จะไม่อยู่ในสายราชบัลลังก์โดยตรง แต่ก็มีอิทธิพลสูง ข้าเชื่อว่าเขาย่อมไม่เลือกใครหมั้นหมายอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า”

ไป๋ฟู่เหวินพูดขึ้นเสียงแผ่ว

“แต่ในวังต่างก็ร่ำลือว่าเขาเย็นชา นิ่งเฉย และไม่เคยยิ้มให้ผู้ใดมากว่าสิบปีแล้ว”

“ข้าไม่กลัว” ไป๋ซูเหยียนกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย

ทุกสายตามองมายังนาง นางยังคงสงบเหมือนหิมะที่ตกเบา ๆ

“ท่านแม่ ข้าจะไปเป็นพระชายาในวังหลวง ไม่ใช่เพื่อเกียรติยศหรือเพื่อท่านพ่อ หรือเพียงเพื่อสกุลไป๋ แต่เพราะข้ารู้ว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางของข้าที่ชะตาได้กำหนดไว้แล้ว”

ไป๋ฟู่เหวินนิ่งเงียบ เหลือบมองใบหน้าของบุตรสาวแล้วจึงค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเข้าใจ

หลายสัปดาห์ต่อมา

ราชรถจากวังมาถึงหน้าคฤหาสน์สกุลไป๋ในเช้าวันที่หิมะตกหนัก ท้องฟ้าขาวโพลน หมอกหนาวปกคลุมทั่วลานหิน ไป๋ซูเหยียนแต่งกายเรียบหรูงดงามด้วยชุดสีฟ้า ปักลวดลายมังกรเมฆประดับไข่มุก ดวงหน้าเรียบเฉย ใต้ดวงตานั้นมีแววเด็ดเดี่ยวอันมิอาจพร่าเลือนได้

ก่อนก้าวขึ้นราชรถ นางหันไปมองต้นเหมยต้นหนึ่งที่ปลูกอยู่มุมรั้วด้านนอก มันกำลังผลิบาน และในหัวใจของนางก็มีเสียงหนึ่งกระซิบว่า

“จะได้พบเขาอีกหรือไม่นะ ผู้ที่อยู่ใต้ต้นเหมยในคืนนั้น”

วังหลวงแห่งแคว้นหลานโจวตั้งตระหง่านอยู่เหนือเนินเขาหลวง สูงตระหง่านจนแม้แต่สายตาจากทิศใดก็ยากที่จะไม่สังเกตเห็น หลังคากระเบื้องเคลือบสีทองสะท้อนแสงหิมะ เสาไม้แก่นหอมที่แกะสลักลายมังกรพันเมฆรายล้อมไปทั่วบริเวณตำหนักหลัก ต้นเหมยสีแดงแก่แซมขาวปลูกเรียงรายสองข้างทางเดินราวกับเป็นดอกไม้ประจำฤดูแห่งโชคชะตา

ไป๋ซูเหยียนก้าวลงจากราชรถอย่างสงบ แม้ในใจจะวูบไหวเมื่อประตูวังใหญ่เปิดออกต่อหน้าต่อตานางเป็นครั้งแรก

สาวใช้ของวังหลวงในชุดผ้าสีหม่นต่างโค้งคำนับ แล้วนำทางนางเข้าสู่ “ตำหนักเฟิ่งเยว่” ซึ่งเป็นตำหนักแยกสำหรับว่าที่พระชายา

การรับเข้าไม่ได้เป็นพิธีใหญ่โต เนื่องจากยังมิได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เพียงรับไว้ในฐานะว่าที่ชายาเท่านั้น

“ว่าที่พระชายา โปรดพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ฝ่าบาทและพระมารดาของท่านอ๋องสี่จะเรียกเข้าเฝ้าในอีกสามวัน” นางกำนัลคนหนึ่งกล่าวพลางก้มศีรษะต่ำ

“ท่านอ๋องสี่ มิได้มาพบด้วยหรือ” ไป๋ซูเหยียนถามอย่างสงบ

“ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับราชกิจ ยังมิได้รับสั่งให้ท่านอ๋องสี่เข้าเฝ้าเจ้าค่ะ” เสียงตอบนั้นระมัดระวังอย่างยิ่ง

นางพยักหน้าเบา ๆ มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ

ยามค่ำในวันนั้น หิมะยังคงตกอย่างไม่หยุดหย่อน ไฟในตำหนักเฟิ่งเยว่ลุกสว่างไสว แต่หัวใจของนางกลับเย็นยะเยียบ

ไป๋ซูเหยียนเดินไปยืนที่หน้าต่างบานเล็กทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังตำหนัก และที่นั่น ห่างออกไปราวกับลึกเข้าไปในเงาไม้ มีลานหนึ่งซึ่งปลูกต้นเหมยเดี่ยวต้นใหญ่เอาไว้

แสงโคมส่องให้เห็นลาง ๆ ว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น

นางนิ่งงันไปอึดใจใหญ่ ก่อนตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมแล้วออกจากตำหนักไปอย่างเงียบงัน

ยิ่งเข้าใกล้เขตต้องห้ามด้านหลัง นางยิ่งสัมผัสได้ถึงความเงียบที่ผิดปกติ ไม่ได้มีทหารยาม ไม่มีนางกำนัล มีเพียงลานหินเงียบงันและต้นเหมยโบราณที่บานท้าหิมะ

และเขา...

ชายในชุดคลุมสีขาว ยืนหันหลังให้ต้นไม้ กลีบเหมยปลิวลงบนไหล่ของเขาราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน

นางเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบงัน

ยังไม่ถึงก้าวสุดท้าย ชายผู้นั้นก็หันมาสบตานาง

เป็นดวงตาคู่เดิม...

เหมือนดั่งในความฝัน

เหมือนดั่งในความทรงจำ

เหมือนดั่งในคืนนั้น...

นางนิ่งงัน ปลายเท้าชะงัก หัวใจเต้นแรงเสียจนแทบหลุดจากอก

เขาคือเด็กชายคนนั้น ใช่หรือไม่?

เขาไม่พูด ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เพียงเดินผ่านนางไปอย่างเงียบงัน กลีบเหมยร่วงปลิวลงแตะแก้มของนางตอนที่เขาเดินสวนผ่าน นางหันกลับมามองร่างของเขาที่ค่อย ๆ หายไปในเงาไม้

“หากเจ้าคือเขา เหตุใดจึงไม่เอ่ยสิ่งใดแก่ข้าสักนิด”

“หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว คำสัตย์ในคืนนั้น ใต้ต้นเหมยต้นนั้น...”

คืนต่อมา

“ท่านอ๋องสี่จะไม่มาเข้าพบเจ้าอีกหรือ?” เสียงของคุณหนูจากสกุลหลิวที่มาเยี่ยมถามขึ้น

“ข้าไม่เคยพบเขามาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว” ไป๋ซูเหยียนตอบเรียบ ๆ ขณะจิบชา

“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ร่วมกับชายที่ไม่รู้หน้าไม่รู้ใจได้อย่างไร” หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ

“หากบุรุษผู้นั้นเคยให้คำสัตย์ไว้กับข้าตั้งแต่สิบปีก่อน ต่อให้ลืมข้าไปแล้ว แต่ข้าไม่มีวันลืมเขาแน่”

หลิวเสวี่ยหลานมองนางด้วยแววตาประหลาด

“เช่นนั้น เจ้ายังจดจำเขาได้อยู่หรือ” ไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายในแสงเทียน

“ไม่ว่าหน้าตาของเขาจะเปลี่ยนไปเพียงใด แต่แววตาของเขานั้น ข้ายังจดจำได้ ไม่มีวันลืม”

และในคืนนั้นเอง เมื่อหิมะตกหนักจนทั่วตำหนักต้องสั่นสะเทือน ไป๋ซูเหยียนก็แอบลอบกลับไปยังลานต้นเหมยเดิมอีกครั้ง

แต่เขาไม่อยู่แล้ว

มีเพียงรอยเท้าลาง ๆ ท่ามกลางหิมะ กับเศษกลีบดอกไม้ที่ปลิวว่อน

นางเงยหน้ามองต้นไม้ “สิบปีก่อนเราต่างยังเด็ก สิบปีผ่านไป เจ้ากลับลืมข้าแล้วงั้นหรือ”

ลมหนาวพัดกลีบเหมยลงบนเส้นผมของนาง ไป๋ซูเหยียนยกมือขึ้นรับกลีบนั้นเอาไว้แนบอก และในหัวใจของนาง เสียงของเด็กชายในคืนนั้นยังดังก้อง

“ข้าจะกลับมา ใต้ต้นเหมยนี้ หากหิมะตก และเจ้ามายืนใต้ต้นเหมยต้นนี้ ข้าจะมาหาเจ้า”

펼치기
다음 화 보기
다운로드

최신 챕터

더보기

댓글

댓글 없음
21 챕터
บทที่ 1 หิมะแรกกับสัญญาระหว่างกัน
สายลมหนาวจากเทือกเขาฉู่เป่ยพัดเอื่อยเฉื่อยลงมายังลุ่มแม่น้ำซานหลิง สายลมที่ขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะละเอียดระยิบระยับราวเกล็ดแก้วโปรยปรายไปทั่วผืนแผ่นดิน อากาศเหน็บหนาวจนอาจทำให้เนื้อไม้แตกระแหง ทว่ากลับมิอาจทำลายกลีบดอกเหมยที่บานท่ามกลางฤดูเหมันต์ได้ท่ามกลางภูเขาหิมะที่ล้อมรอบด้วยป่าสนดำและลำธารน้ำแข็ง มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อ “หมู่บ้านชิงเหมย” ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขา บ้านเรือนไม้หลังเล็กตั้งเรียงรายลดหลั่นไปตามไหล่เขา มีเพียงคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ใหญ่โตตั้งตระหง่านเป็นเอกอยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป ล้อมรอบด้วยรั้วไม้สนทาสีดำและธงผืนใหญ่ประทับตรากระเรียนคู่ นั่นคือตระกูลไป๋ หนึ่งในสี่ขุนศึกหลักของแคว้นหลานโจวในบ่ายวันนั้น หิมะแรกเพิ่งเริ่มตก หิมะบริสุทธิ์คลุมไปทั่วสนามหญ้าหลังคฤหาสน์ จนไม่อาจมองเห็นสีเขียวของฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งผ่านไปได้แม้เพียงเสี้ยวเดียว“คุณหนู! ท่านไปที่ใดมาเจ้าคะ หิมะเริ่มตกแล้ว!” เสียงร้องลั่นของสาวใช้คนหนึ่ง ดังแว่วมากับสายลมเด็กหญิงอายุประมาณแปดขวบในชุดคลุมสีม่วงอ่อน ยืนอยู่เพียงลำพังใต้ต้นเหมยต้นหนึ่งหลังเรือนรอง สีหน้าของนางนิ่งเงียบอย่างผิดวิสัย มือเล็ก ๆ กำลังลู
last update최신 업데이트 : 2025-07-02
더 보기
บทที่ 2 การหมั้นที่ไม่ได้เลือกเอง
หิมะยังคงโปรยปรายในวังหลวง แม้จะผ่านไปสามวันแล้วนับจากวันที่ไป๋ซูเหยียนก้าวเท้าเข้าสู่พระราชวังหลวง แต่ตำหนักเฟิ่งเยว่ก็ยังคงเงียบเช่นเดิม ไม่มีพระบัญชาใดจากฮ่องเต้ ไม่มีข่าวคราวจากท่านอ๋องสี่ และไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าของคนแปลกหน้าเดินผ่านบริเวณตำหนักนางกำนัลทั้งห้าในตำหนักเฟิ่งเยว่เริ่มกระซิบกระซาบกันเอง บางคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “ว่าที่พระชายา” อาจไม่มีความสำคัญเท่าที่พวกนางคิด หรืออาจเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานหมากที่ไม่มีสิทธิ์เลือกเองได้ด้วยซ้ำไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หอมประดับลายเมฆหมอก ดวงตาคมจ้องมองกลีบเหมยที่ปลิวผ่านหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย นางรอคอยคำอธิบายในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีใครอธิบายสิ่งใดให้ฟัง“คุณหนู” เสียงของจิ่นฮวา นางกำนัลที่เป็นสาวใช้คนสนิทของไป๋ซูเหยียนดังขึ้นอย่างแผ่วเบา“วันนี้จะไม่กินอาหารเช้าหรือเจ้าคะ”“ข้ายังไม่หิว” ซูเหยียนตอบเสียงเรียบ ๆ ดวงตายังคงเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง“หากท่านอ๋องสี่เสด็จมาเห็นว่าคุณหนูมิได้ดูแลสุขภาพ อาจจะ...”“เขาไม่เคยมาที่นี่” ไป๋ซูเหยียนกล่าวขัดเสียงเรียบ ในใจขุ่นมัว“สามวันแล้ว...แม้แต่เงาของเขา ข้าก็ยังไม่เห็น”จิ่
last update최신 업데이트 : 2025-07-02
더 보기
บทที่ 3 กลีบเหมยปลิวกลางวังหลวง
วังหลวงแห่งหลานโจวไม่เคยเงียบสงบ แม้ในยามหิมะตกหนักปิดฟ้า ทหารยามยังคงเดินลาดตระเวนตามจุด ขันทีและนางกำนัลยังคงก้มหน้าเดินเร็วในทางเดินอันซับซ้อน กลิ่นยาสมุนไพรจากตำหนักในลอยอ้อยอิ่งเคล้ากับกลิ่นน้ำหอมจางจากกิ่งเหมยที่โปรยปรายอยู่ทั่วบริเวณภายใต้ความสงบงามนั้น วังหลวงกลับเต็มไปด้วยเงาเงียบ เป็นเงาของการจับตามองเงาของความระแวดระวัง และเงาของความลับที่ยิ่งหนาวเหน็บยิ่งกว่าหิมะที่โปรยจากฟ้าไป๋ซูเหยียนรู้สึกถึงเงานั้น แม้นางจะอยู่เพียงในตำหนักเฟิ่งเยว่อย่างสงบ แต่นางรู้ดีว่าไม่มีวันใดที่สายตาเหล่านั้นจะละไปจากตนในทุกย่างก้าวทุกคำพูดแม้แต่ขณะที่นางยืนดูดอกเหมยบาน ก็ยังมีใครบางคนจ้องมองจากที่ใดที่หนึ่ง แต่ไป๋ซูเหยียนไม่เคยหวั่นยามซื่อ (09.00 น.)“คุณหนูเจ้าคะ มีพระบัญชาจากท่านอ๋องสี่เจ้าค่ะ”จิ่นฮวารีบเดินเข้ามาพร้อมตราสัญลักษณ์ของตำหนักหย่งจิ้งในมือไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือบทกวีบนโต๊ะ “เขามีบัญชาหรือ?”“ใช่เจ้าค่ะ พระองค์ทรงเชิญให้ว่าที่พระชายาไปที่ตำหนักหย่งจิ้งในยามอู่เจ้าค่ะ” (ประมาณ 11.00 น.)“ได้บอกเหตุผลหรือไม่?”“มิได้กล่าว แต่เป็นครั้งแรกที่ทรงมีบัญชาเชิญท่านโดยตรง”ยาม
last update최신 업데이트 : 2025-07-02
더 보기
บทที่ 4 ท่านอ๋องผู้ไม่เคยยิ้ม
ยามเฉิน (07.00 น.)พระอาทิตย์ในฤดูหนาวโผล่พ้นขอบฟ้าเพียงครึ่งเดียว แสงสีทองจาง ๆ สะท้อนผ่านละอองหิมะในสวนหลวงที่ขาวโพลน สะท้อนกลีบเหมยสีชมพูอ่อนราวหมึกแต้มบนกระดาษข้าว แต่ตำหนักหย่งจิ้ง ยังคงมืดมิด หน้าต่างทุกบานปิดสนิท ธงราชวงศ์มิได้โบกสะบัด เงาเงียบของท่านอ๋องสี่ยังปกคลุมดั่งหิมะที่ไม่ละลายแม้ยามแสงส่องหลี่เหยียนนั่งอยู่เดียวดายในห้องหนังสือ มือข้างหนึ่งถือพู่กัน แต่กระดาษเบื้องหน้ากลับว่างเปล่า มีเพียงถ้วยชาที่เย็นชืดไปแล้ว และแผ่นกระดาษใบหนึ่งที่เขาถืออยู่มาหลายชั่วยาม กระดาษซึ่งมีลายมือของไป๋ซูเหยียน เขียนด้วยอักษรคัดอย่างสง่างามว่า“ข้ามิได้หวังให้ท่านเลือกข้า ข้าเพียงหวังว่าท่านจะไม่ห้ามข้ารู้สึก”หลี่เหยียนอ่านประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ใช่ผู้ที่ชื่นชอบบทกวี ไม่หลงใหลในเสียงพิณ ไม่เคยเสียเวลาคิดถึงความหมายของกลอนรักใด ๆ แต่ถ้อยคำเพียงไม่กี่บรรทัดนี้ กลับฝังในหัวใจราวกับตราประทับ“ท่านอ๋อง” เสียงของอวี้กงกง ขันทีคนสนิทดังขึ้นเบื้องหลัง“พระองค์ยังมิได้เสวยแม้แต่น้ำชา ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ กระหม่อมเกรงว่าพระวรกายจะ...”“พอแล้ว” หลี่เหยียนพูดโดยไม่เงยหน้าอวี้กงกงรีบก้มตัวถอย
last update최신 업데이트 : 2025-07-02
더 보기
บทที่ 5 กลิ่นเลือดกลางหิมะ
หิมะยังไม่หยุดตกในคืนที่สามของเดือน แม้เพิ่งเริ่มต้นฤดูเหมันต์ แต่พระราชวังหลานโจวกลับถูกปกคลุมด้วยม่านหิมะขาวแน่นหนาตา สวนหลวงเหมือนถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนอีกภพหนึ่ง เสาแกะสลักมังกรในเขตวังในยังสะท้อนแสงจันทร์ลาง ๆ ขณะกลีบเหมยที่บานในยามวิกาลเริ่มร่วงหล่นลงตามแรงลมหนาวทว่าในเงาของความงดงามนั้นเริ่มมีกลิ่นบางอย่างแฝงมากับลม กลิ่นโลหะจาง ๆ ปนกลิ่นคาวเลือด เจืออยู่ในอากาศหนาวราวกับเงาล่องหนยามไฮ่ (21.00 น.) ตำหนักเฟิ่งเยว่ไป๋ซูเหยียนยังคงนั่งอ่านกลอนโบราณเงียบ ๆ หลังจากวันที่ท่านอ๋องสี่ยิ้มให้ครั้งแรก แม้เพียงนิดเดียว แต่ในใจของนางกลับสั่นไหวลึกยิ่งกว่าลมหนาวบนเขาเหมยซาน นางเฝ้าทบทวนคำพูดของเขา“ข้าจะเฝ้ารอ จนกว่ากลีบเหมยสุดท้ายจะร่วงลงมา”แต่ก่อนที่นางจะทันได้ยิ้มอย่างเต็มที่เสียงฝีเท้าเร่งรีบของจิ่นฮวาก็ดังมาจากด้านนอก“คุณหนู! มีเหตุร้าย!”ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน “เกิดอะไรขึ้น?”“มีผู้ลอบสังหารในวังเพคะ! ตอนนี้ทหารล้อมเขตตำหนักไว้ทั้งหมด ตรวจสอบคนจากตำหนักในทุกตำหนัก!”“ผู้ใดเป็นเป้าหมาย?”จิ่นฮวาสูดลมหายใจเข้า เสียงของนางสั่นเครือ“อะ...ท่านอ๋องสี่เจ้าค่ะ”คำคำนั้นราวกับสั่น
last update최신 업데이트 : 2025-07-02
더 보기
บทที่ 6 ความลับในตำหนักเย็น
เมื่อใดที่วังหลวงเงียบผิดปกติ เมื่อนั้นมักมีสิ่งไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่เสมอหิมะยังคงตกต่อเนื่องเป็นวันที่ห้า ทางเดินหินเริ่มลื่นเกินปลอดภัย กลีบเหมยที่เคยงาม เริ่มแปรเปื้อนสีสนิมจากรองเท้าทหารและคราบเลือดเก่าที่ยังไม่ชำระออกหมด ภายในเขตวังหลัง มีตำหนักหนึ่งถูกปิดเงียบมาเกือบสิบปี ไม่มีผู้คน ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียงลมหายใจของผู้ใดตำหนักนั้นมีชื่อว่า “ตำหนักเยี่ยนหรู” หรือที่ผู้คนเรียกกันว่า “ตำหนักเย็น”ยามเฉิน (07.00 น.) ตำหนักเฟิ่งเยว่ไป๋ซูเหยียนสะดุ้งจากนิทราเมื่อจิ่นฮวาวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน“คุณหนู! เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”ซูเหยียนลุกขึ้นทันที “มีเรื่องอันใด?”“ขันทีตำหนักในค้นพบของบางอย่างที่...ที่ตำหนักเย็นเจ้าค่ะ! ท่านแม่ทัพเวรกลางคืนรายงานขึ้นไปยังเบื้องบน ว่ามีคนเห็นแสงเทียนจากตำหนักเยี่ยนหรูทั้งที่ควรปิดตายมาสิบปีแล้ว!”ไป๋ซูเหยียนขมวดคิ้วทันที “ตำหนักเย็น...?”“ใช่เจ้าค่ะ เป็นตำหนักที่แต่ก่อนเคยมีพระชายาทรงอาคมอาศัยอยู่ นางถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการตายขององค์ชายรอง และถูกเนรเทศเข้าตำหนักเย็น ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย”เสียงจิ่นฮวาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ส่วนไป๋ซูเหยียนนิ่
last update최신 업데이트 : 2025-07-02
더 보기
บทที่ 7 เสียงพิณใต้เงาจันทร์
หิมะคืนที่เจ็ดตกหนา หมู่เมฆบดบังจันทร์จนเห็นเพียงแสงสลัวบางเบาราวม่านผ้าบางคลุมฟ้า ในความเงียบของวังหลัง กลับมีเสียงหนึ่งดังกังวาน เป็นเสียงของพิณที่ไม่ควรมีใครได้ยินในยามนี้มันดังมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวังบริเวณนั้นเรียกว่า “สวนเงาจันทร์” สวนต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่าง ตั้งแต่วันหนึ่ง ที่องค์ชายรองจบชีวิตลงใต้ต้นเหมยในคืนหิมะตกเมื่อสิบปีก่อน...ตำหนักเฟิ่งเยว่ ยามจื่อ (23.00 น.)ไป๋ซูเหยียนสะดุ้งตื่นกลางดึก เสียงพิณดังแผ่วคล้ายมีคนดีดอยู่ข้างหู นางลุกขึ้นเปิดหน้าต่าง แสงจันทร์ลอดผ่านม่านเมฆ เสียงพิณนั้นไม่ได้ดังจากความฝัน มันดังจริง ๆ ดังกังวาน ชัดเจน และคุ้นเคย“จิ่นฮวา ได้ยินเสียงพิณหรือไม่?”นางกำนัลที่หลับอยู่สะดุ้งโหยง “เอ๊ะ!? บ่าวก็นึกว่าบ่าวฝันไป คุณหนูจะให้ตามใครไปตรวจดูหรือไม่เจ้าคะ?”ไป๋ซูเหยียนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าจะไปดูเอง”เงาของนางเคลื่อนผ่านผืนหิมะ เส้นทางที่นำไปสู่สวนเงาจันทร์ถูกหิมะปิดหมด ต้องฝ่าไปอย่างยากลำบาก รองเท้าทรงบูทของนางเปียกจนเย็นชืด แต่เสียงพิณยังคงนำทางอยู่ไม่ไกลนางหยุดยืนตรงหน้า “ศาลาระฆังเหมันต์” กลางสวน เสียงพิณดังกังวานที่สุดที่นี่ แ
last update최신 업데이트 : 2025-07-03
더 보기
บทที่ 8 บทเพลงจากวันวาน
ค่ำคืนในตำหนักเฟิ่งเยว่ ไฟตะเกียงในห้องส่องแสงริบหรี่ ทว่าในใจของไป๋ซูเหยียนกลับมีแสงเจิดจ้าเกินกว่าห้วงรัตติกาลใด ๆ ที่ผ่านมา นางนั่งอยู่เบื้องหน้ากระดาษขาว พลางเขียนกลอนบทใหม่มือที่เคยสั่นไหวกลับมั่นคงในยามที่นึกถึงบทสนทนาใต้ต้นเหมยกับท่านอ๋องสี่“หิมะไม่อาจลบเงาแห่งคำสัตย์ กลีบเหมยไม่อาจปกปิดใจผู้เคยจำ บทเพลงนั้นยังไม่จบ แม้ฤดูกาลเปลี่ยนผัน เพราะข้าเฝ้ารอเจ้า ดังเงาจันทร์ทุกคืนยาม”เสียงลมเบา ๆ พัดผ่านหน้าต่าง แล้วจู่ ๆ เสียงพิณก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ มิใช่เสียงจากอดีต มิใช่เสียงจากม่านความทรงจำหากเป็นเสียงจริง ใกล้เพียงเบื้องนอกตำหนักซูเหยียนผลุนผลันออกไป พบว่าศาลาหน้าตำหนักมีชายผู้หนึ่งกำลังบรรเลงพิณอยู่ ไม่ใช่ม่อเสวี่ย และไม่ใช่ท่านอ๋องสี่เขาเป็นชายหนุ่มในชุดขาว รูปโฉมสง่างาม ผูกผ้าปิดตาไว้แน่นหนา ทว่าท่าทางบรรเลงกลับไร้ที่ตินางเอ่ยถาม “ท่านเป็นใคร?”เสียงพิณหยุดลงทันใด ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากคลี่ยิ้ม“ข้าเป็นเพียงนักดนตรีที่เดินผ่าน แต่อยากฝากเพลงหนึ่งบทแก่ผู้ที่เคยฟัง”เขาวางพิณเบา ๆ และยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้นาง ขณะที่มือของนางเอื้อมไปรับ เขาก็เอ่ยอย่างแผ่วเบา
last update최신 업데이트 : 2025-07-03
더 보기
บทที่ 9 สองใจในเงาเหมย
รุ่งสาง พระราชวังต้าหลี่ เสียงฆ้องเตือนภัยสงบลงแล้ว แต่ความตึงเครียดยังคงแผ่คลุมทั่วพระราชวัง ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน ยืนอยู่เบื้องหน้าหอวางแผนสงคราม ใบหน้าสงบนิ่งแต่แววตาเคร่งเครียด“พวกมันถอยกลับไปโดยไม่รุกล้ำเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว?”หลี่เหยียนทวนคำที่องครักษ์รายงาน“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์คุกเข่ารายงาน “กลุ่มบุรุษชุดดำเคลื่อนไหวในความมืด แต่เมื่อเห็นกำลังเสริมจากตำหนักหลวงก็ถอยกลับไปทันที ไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้”ท่านอ๋องสี่ไม่พูดอีก แต่ลอบกัดฟันแน่นกรอดเขากลับมา และเขากำลังแสดงตัว แสดงตัวให้ผู้คนได้รู้ ถึงการกลับมาของเขาตำหนักเฟิ่งเยว่ ในเช้าวันเดียวกัน ไป๋ซูเหยียนยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลือง นางมองตนเองอย่างเงียบงัน ใบหน้าของหญิงสาวที่สะท้อนกลับมา ไม่เหมือนหญิงสาวในวัยเยาว์ผู้เคยเฝ้าฝันถึงเสียงพิณ ไม่ใช่หญิงสาวผู้อ่อนไหว แต่เป็นหญิงผู้กำลังยืนกลางสมรภูมิของอำนาจและหัวใจ“ข้าควรทำอย่างไรดี...”นางพึมพำ ดวงตาเต็มไปด้วยความลังเล ระหว่างคนผู้เคยช่วยชีวิตนาง กับคนที่ยืนอยู่เคียงข้างนางในทุกความมืดมิดของวังหลวงม่อเสวี่ย คือเงาอี้เหวิน คืออดีตแล้วหลี่เหยียน…เขาคือใครในใจของนางกันแน่?“คุณหนู!”
last update최신 업데이트 : 2025-07-03
더 보기
บทที่ 10 กระจกแห่งความจริง
หนึ่งเดือนหลังพิธีแต่ง ตำหนักเฟิ่งเยว่ถึงแม้หิมะจะยังคงโปรยปราย แต่น้ำแข็งบางส่วนเริ่มละลาย สวนเหมยหน้าตำหนักบานสะพรั่งมากกว่าทุกปี ไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ใต้ต้นเหมย กำลังคัดลอกตำรากลอนด้วยลายมือของตนเอง ในยามที่หัวใจสงบ ความรู้สึกก็มักทบทวนกลับไปยังบางสิ่งที่หลงลืม“กระจกเงาในตำหนักเย็น”“บันทึกปีเจี่ยอวี๋”“กล่องไม้ลายคำสัตย์”ชิ้นส่วนของอดีตเหล่านี้เริ่มก่อตัวขึ้นในใจนางอย่างประหลาด เสียงจิ่นฮวาเบา ๆ ดังจากด้านหลัง“พระชายาเพคะ มีข้าราชสำนักนำสิ่งหนึ่งมาถวาย บอกว่าเป็นของเก่าจากคลังหลวงเพคะ”ไป๋ซูเหยียนหันมา “ของเก่าหรือ?”หญิงรับใช้วางหีบเล็กลงตรงหน้า เป็นกล่องไม้โบราณที่ปิดผนึกด้วยครั่ง[1] สลักอักษรคำว่า“คำสัตย์ใต้ต้นเหมย”ไป๋ซูเหยียนมองของสิ่งนั้นนิ่ง มือของนางสั่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ แกะผนึกออก ภายในกล่องมีเพียงของสามชิ้น คือกล่องกระจกทองคำขนาดเล็ก กลอนบทหนึ่งบนแผ่นผ้า และแผ่นไม้บางสลักชื่อผู้ให้คำสัตย์ซูเหยียนหยิบกล่องกระจกขึ้นก่อน ในยามแสงตกกระทบ กล่องใบนั้นส่องประกายราวเงาหิมะที่เคลือบด้วยแสงจันทร์ นางเปิดฝาช้า ๆ ภายในมีเพียง “แผ่นโลหะขัดเงา” รูปกลีบดอกเหมยมันมิใช่กระจกธรรม
last update최신 업데이트 : 2025-07-03
더 보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status