คำสัตย์ใต้ดอกเหมย

คำสัตย์ใต้ดอกเหมย

last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-03
Oleh:  BosskerrOngoing
Bahasa: Thai
goodnovel18goodnovel
Belum ada penilaian
21Bab
337Dibaca
Baca
Tambahkan

Share:  

Lapor
Ringkasan
Katalog
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi

สายลมหนาวจากเทือกเขาฉู่เป่ยพัดเอื่อยเฉื่อยลงมายังลุ่มแม่น้ำซานหลิง สายลมที่ขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะละเอียดระยิบระยับราวเกล็ดแก้วโปรยปรายไปทั่วผืนแผ่นดิน อากาศเหน็บหนาวจนอาจทำให้เนื้อไม้แตกระแหง ทว่ากลับมิอาจทำลายกลีบดอกเหมยที่บานท่ามกลางฤดูเหมันต์ได้

Lihat lebih banyak

Bab 1

บทที่ 1 หิมะแรกกับสัญญาระหว่างกัน

สายลมหนาวจากเทือกเขาฉู่เป่ยพัดเอื่อยเฉื่อยลงมายังลุ่มแม่น้ำซานหลิง สายลมที่ขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะละเอียดระยิบระยับราวเกล็ดแก้วโปรยปรายไปทั่วผืนแผ่นดิน อากาศเหน็บหนาวจนอาจทำให้เนื้อไม้แตกระแหง ทว่ากลับมิอาจทำลายกลีบดอกเหมยที่บานท่ามกลางฤดูเหมันต์ได้

ท่ามกลางภูเขาหิมะที่ล้อมรอบด้วยป่าสนดำและลำธารน้ำแข็ง มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อ “หมู่บ้านชิงเหมย” ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขา บ้านเรือนไม้หลังเล็กตั้งเรียงรายลดหลั่นไปตามไหล่เขา มีเพียงคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ใหญ่โตตั้งตระหง่านเป็นเอกอยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป ล้อมรอบด้วยรั้วไม้สนทาสีดำและธงผืนใหญ่ประทับตรากระเรียนคู่ นั่นคือตระกูลไป๋ หนึ่งในสี่ขุนศึกหลักของแคว้นหลานโจว

ในบ่ายวันนั้น หิมะแรกเพิ่งเริ่มตก หิมะบริสุทธิ์คลุมไปทั่วสนามหญ้าหลังคฤหาสน์ จนไม่อาจมองเห็นสีเขียวของฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งผ่านไปได้แม้เพียงเสี้ยวเดียว

“คุณหนู! ท่านไปที่ใดมาเจ้าคะ หิมะเริ่มตกแล้ว!” เสียงร้องลั่นของสาวใช้คนหนึ่ง ดังแว่วมากับสายลม

เด็กหญิงอายุประมาณแปดขวบในชุดคลุมสีม่วงอ่อน ยืนอยู่เพียงลำพังใต้ต้นเหมยต้นหนึ่งหลังเรือนรอง สีหน้าของนางนิ่งเงียบอย่างผิดวิสัย มือเล็ก ๆ กำลังลูบกลีบดอกเหมยที่เพิ่งผลิบานรับหิมะแรก นัยน์ตากลมโตทอดมองกลีบสีชมพูนั้นราวกับต้องมนต์สะกด

“คุณหนูซูเหยียน! ฮูหยินตามหาท่านให้วุ่น พวกเราเองก็ตามหาท่านไปทั่วทั้งคฤหาสน์แล้วนะเจ้าคะ!” เสียงอีกคนร้องเตือนขณะที่เร่งฝีเท้าขึ้นมาหา

ไป๋ซูเหยียนหันกลับมาช้า ๆ นางยิ้มบางราวกับไร้ความหวาดกลัว ทั้งที่อากาศหนาวจนลมหายใจกลั่นเป็นไอขาวออกมา

“ข้าแค่มาดูต้นเหมย เห็นมันบานแล้ว ก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนมัน”

สาวใช้สองคนมองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ เด็กหญิงผู้นี้ดูจากภายนอกเหมือนคุณหนูที่ว่านอนสอนง่าย ทว่าหากนางจะดื้อ ก็สามารถแอบหายไปโดยไม่บอกผู้ใดเช่นนี้เสมอ

“ฮูหยินกำลังโกรธมากเลยนะเจ้าคะ รีบไปเถิด หิมะตกแรงขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”

“ข้ายังอยากอยู่ตรงนี้อีกหน่อย” ไป๋ซูเหยียนเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเศร้าลงเล็กน้อย

“เจ้ารู้หรือไม่.. ข้าเคยฝันถึงต้นเหมยนี่เมื่อหลายปีก่อน มันบานในคืนหิมะตก และมีผู้หนึ่งมอบผ้าคลุมให้ข้า”

“ฝันหรือเจ้าคะ?” สาวใช้ผู้น้อยขมวดคิ้วสงสัย

“บางทีอาจมิใช่เพียงความฝัน...” เด็กหญิงกระซิบเบา ๆ ราวกับลมพัด

คืนวันเดียวกันนั้นเอง เป็นค่ำคืนที่พายุกำลังจะมา ขณะที่ชาวบ้านเร่งปิดหน้าต่างและอพยพสัตว์เข้าคอก เด็กหญิงร่างเล็กกลับย่องเงียบออกจากเรือน เดินไปตามทางหินเลียบเชิงเขา ดวงหน้าแดงระเรื่อเพราะความหนาว แม้ชุดคลุมขนสัตว์ที่ใส่จะหนาพอสมควร แต่ไม่อาจต้านลมแรงที่พัดจากหุบเขาเบื้องบนได้

ไป๋ซูเหยียนเดินฝ่าหิมะไปเรื่อย ๆ ราวกับถูกแรงบางอย่างพาไป จนในที่สุด นางก็ไปถึงลานหินด้านหลังเขา ซึ่งมีต้นเหมยต้นหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ต้นเหมยต้นนี้มิใช่ต้นธรรมดา มันเก่าแก่จนเปลือกไม้หยาบกระด้าง โค้งเงาสูงใหญ่เหนือศีรษะ กลีบเหมยผลิเต็มกิ่งอย่างผิดฤดู สะท้อนแสงจันทร์ลาง ๆ ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมทั่วทั้งลาน

นางค่อย ๆ เดินเข้าไปใต้ต้นไม้ แล้วหยุดลง หายใจช้า ๆ ดวงตาจับจ้องกลีบดอกไม้ตรงหน้า และจู่ ๆ ลมหิมะก็กระโชกแรงขึ้น ร่างเล็กเซไปเล็กน้อย และพลัดตกลงไปในหลุมหิมะริมโขดหิน

“อึก...” เสียงเล็กหลุดจากริมฝีปาก นางพยายามลุกขึ้นแต่ไม่สำเร็จ หนาวเย็นกัดกร่อนจนปลายนิ้วชา น้ำตาเอ่อคลอ

และแล้ว...

เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นในความเงียบ มีร่างเงาหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากม่านหิมะ ชายหนุ่มอายุประมาณสิบสองสิบสามปีในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ตรงขอบหลุม หิมะเกาะตามไหล่และผมดำขลับของเขา แต่ดวงตาสีดำสนิทกลับคมกริบจ้องมองลงมาเงียบ ๆ

“เจ้าเป็นใคร” ไป๋ซูเหยียนถามเสียงสั่น

เขาไม่ตอบ เพียงยื่นมือมาให้ นางลังเลเล็กน้อย แต่ก็คว้ามือนั้นไว้ และถูกดึงขึ้นมาเบา ๆ

“ขอบใจเจ้า” นางกระซิบ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงบนแก้มแดงจากลมหนาว

เด็กชายถอดผ้าคลุมของตน แล้วคลุมให้นางอย่างเงียบ ๆ มือของเขาอุ่นอย่างประหลาด

“เหตุใดเจ้าถึงมาช่วยข้า ” นางถามอีกครั้ง

เขานิ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “เพราะเจ้าร้องไห้ใต้ต้นเหมย ต้นเหมยที่ข้าชอบ ไม่ควรได้ยินเสียงเศร้า”

ประโยคนั้นทำให้ไป๋ซูเหยียนชะงัก ดวงตาสั่นไหว

“เช่นนั้น เจ้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ?” นางถาม

เด็กชายส่ายหน้าเบา ๆ

“ข้าจะกลับมา ใต้ต้นเหมยนี้ หากหิมะตก และเจ้ามายืนใต้ต้นเหมยต้นนี้ ข้าจะมาหาเจ้า”

“นี่ถือเป็นคำสัตย์หรือไม่?” เด็กหญิงเอียงคอถาม

เขาพยักหน้า “ขอเพียงเจ้าไม่ลืมชื่อของข้า”

“แต่เจ้ายังไม่บอกชื่อข้าเลย” นางขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขายิ้มบาง แล้วเงียบงัน ไม่ตอบสิ่งใดอีก

ไป๋ซูเหยียนรู้สึกคล้ายกับว่าหัวใจถูกดึงออกจากร่าง รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ในความเงียบ ทั้งที่อีกฝ่ายยังยืนอยู่ตรงหน้า

"เขาคือใครกันแน่...?"

รุ่งเช้า ลำแสงอ่อน ๆ ของดวงอาทิตย์ในฤดูเหมันต์ส่องลอดม่านหิมะลงมายังหมู่บ้านชิงเหมย ต้นเหมยกลางลานเก่าแก่นั้นยังคงยืนเงียบสงบ ไม่เหลือร่องรอยการพบพานใดในคืนก่อน ทว่าในใจเด็กหญิงหนึ่งคนกลับเต็มไปด้วยคำถาม ความทรงจำ และความรู้สึกบางอย่างที่ยังหาคำตอบไม่ได้

ภายในคฤหาสน์สกุลไป๋ ตำหนักรองของท่านแม่ทัพใหญ่ ไป๋ซูเหยียนถูกพากลับมาโดยคนของตระกูลตั้งแต่ยังไม่ทันฟ้าสาง นางถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่าหน้าห้องโถงโดยไร้เสื้อคลุม เหล่าสาวใช้ได้แต่ยืนมองอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เจ้าเด็กดื้อ! ไปปีนเขากลางหิมะหนักเช่นนั้น เจ้าไม่คิดชีวิตบ้างหรือ?!”

ไป๋ฟู่เหวิน มารดาของนางตวาดเสียงดังลั่น ดวงหน้าสวยงามเริ่มมีร่องรอยแห่งวัยเพราะความกังวล

“ข้าเพียงแต่อยากไปดูต้นเหมย” ซูเหยียนตอบเบา ๆ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของเจ้าเกือบสั่งให้ทหารออกค้นหา คิดว่าเจ้าถูกลักพาตัวไปแล้ว!”

“ข้าไม่ได้ไปไกลเสียหน่อย” เด็กหญิงยังคงยืนยัน

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอากาศหนาวข้างนอกเพียงใด หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบบรรพชนของตระกูล!”

ไป๋ฟู่เหวินกล่าวเสียงสั่น เผยให้เห็นว่าแม้จะดุด่าแต่ก็เต็มไปด้วยห่วงใยที่มีต่อบุตรสาว เงียบไปพักใหญ่ ก่อนหญิงผู้นั้นจะเอ่ยเสียงเบาลง

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ ห้าปีที่ผ่านมา เจ้าชอบไปยืนใต้ต้นเหมยนั้นเสมอ ไม่ว่าฤดูไหน ข้ายังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้ายืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนเพราะบอกว่ากำลังรอใครบางคน”

ไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ “เขามีตัวตนอยู่จริง ๆ นะท่านแม่” นางพูดเสียงเบา

ไป๋ฟู่เหวินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า

“เด็กน้อย คนเราฝันไปมากมายในวัยเยาว์ แต่เมื่อเติบโตขึ้น ย่อมต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน”

เวลาผ่านไปอีกหลายปี ความทรงจำเรื่องเด็กชายใต้ต้นเหมยค่อย ๆ เลือนรางลงไปจากใจของไป๋ซูเหยียน หากแต่บางคืนในฤดูหนาว เมื่อกลีบเหมยร่วงหล่น นางก็ยังคงเผลอฝันถึงดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองนางจากความเงียบ

จนกระทั่งในปีที่นางอายุสิบแปดปี ก็เป็นปีที่เปลี่ยนชะตาทั้งชีวิต

ฤดูหนาวมาเยือนเร็วกว่าปีก่อน ท้องฟ้าครึ้มตั้งแต่ยังไม่เข้าเหมันต์ เดือนสิบยังไม่สิ้น หิมะแรกก็โปรยปรายลงมาเหนือคฤหาสน์สกุลไป๋

และในวันหนึ่ง ข่าวสารจากวังหลวงก็มาถึง

มีราชโองการจากวังหลวง..”

เสียงแหลมของขันทีผู้ส่งสาส์นจากวังหลวงเอ่ยขึ้น ทุกคนต่างรีบคุกเข่ารอรับราชโองการ

ราชโองการแห่งฟ้า ด้วยเห็นว่าตระกูลไป๋เป็นขุนศึกคู่ราชบัลลังก์มาแต่โบราณ ฮ่องเต้จึงมีบัญชาให้ไป๋ซูเหยียน บุตรีของไป๋เทียนหย่ง เข้าหมั้นหมายกับ ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ราชวงศ์กับฝ่ายทหาร รับราชโองการ...”

ไป๋ซูเหยียนนั่งสงบเงียบ ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลคุกเข่ารับราชโองการอยู่ข้างหน้า นางมิได้แสดงสีหน้าตื่นตกใจแม้แต่น้อย ริมฝีปากเม้มบางราวกับรออยู่แล้ว

หลังขันทีผู้ส่งสาส์นและเหล่าทหารจากไป ความเงียบงันปกคลุมทั่วห้องโถงใหญ่ของจวกสกุลไป๋ ท่านแม่ทัพไป๋เทียนหย่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น

“ท่านอ๋องสี่ คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังกองกำลังพิทักษ์หลวง แม้จะไม่อยู่ในสายราชบัลลังก์โดยตรง แต่ก็มีอิทธิพลสูง ข้าเชื่อว่าเขาย่อมไม่เลือกใครหมั้นหมายอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า”

ไป๋ฟู่เหวินพูดขึ้นเสียงแผ่ว

“แต่ในวังต่างก็ร่ำลือว่าเขาเย็นชา นิ่งเฉย และไม่เคยยิ้มให้ผู้ใดมากว่าสิบปีแล้ว”

“ข้าไม่กลัว” ไป๋ซูเหยียนกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย

ทุกสายตามองมายังนาง นางยังคงสงบเหมือนหิมะที่ตกเบา ๆ

“ท่านแม่ ข้าจะไปเป็นพระชายาในวังหลวง ไม่ใช่เพื่อเกียรติยศหรือเพื่อท่านพ่อ หรือเพียงเพื่อสกุลไป๋ แต่เพราะข้ารู้ว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางของข้าที่ชะตาได้กำหนดไว้แล้ว”

ไป๋ฟู่เหวินนิ่งเงียบ เหลือบมองใบหน้าของบุตรสาวแล้วจึงค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเข้าใจ

หลายสัปดาห์ต่อมา

ราชรถจากวังมาถึงหน้าคฤหาสน์สกุลไป๋ในเช้าวันที่หิมะตกหนัก ท้องฟ้าขาวโพลน หมอกหนาวปกคลุมทั่วลานหิน ไป๋ซูเหยียนแต่งกายเรียบหรูงดงามด้วยชุดสีฟ้า ปักลวดลายมังกรเมฆประดับไข่มุก ดวงหน้าเรียบเฉย ใต้ดวงตานั้นมีแววเด็ดเดี่ยวอันมิอาจพร่าเลือนได้

ก่อนก้าวขึ้นราชรถ นางหันไปมองต้นเหมยต้นหนึ่งที่ปลูกอยู่มุมรั้วด้านนอก มันกำลังผลิบาน และในหัวใจของนางก็มีเสียงหนึ่งกระซิบว่า

“จะได้พบเขาอีกหรือไม่นะ ผู้ที่อยู่ใต้ต้นเหมยในคืนนั้น”

วังหลวงแห่งแคว้นหลานโจวตั้งตระหง่านอยู่เหนือเนินเขาหลวง สูงตระหง่านจนแม้แต่สายตาจากทิศใดก็ยากที่จะไม่สังเกตเห็น หลังคากระเบื้องเคลือบสีทองสะท้อนแสงหิมะ เสาไม้แก่นหอมที่แกะสลักลายมังกรพันเมฆรายล้อมไปทั่วบริเวณตำหนักหลัก ต้นเหมยสีแดงแก่แซมขาวปลูกเรียงรายสองข้างทางเดินราวกับเป็นดอกไม้ประจำฤดูแห่งโชคชะตา

ไป๋ซูเหยียนก้าวลงจากราชรถอย่างสงบ แม้ในใจจะวูบไหวเมื่อประตูวังใหญ่เปิดออกต่อหน้าต่อตานางเป็นครั้งแรก

สาวใช้ของวังหลวงในชุดผ้าสีหม่นต่างโค้งคำนับ แล้วนำทางนางเข้าสู่ “ตำหนักเฟิ่งเยว่” ซึ่งเป็นตำหนักแยกสำหรับว่าที่พระชายา

การรับเข้าไม่ได้เป็นพิธีใหญ่โต เนื่องจากยังมิได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เพียงรับไว้ในฐานะว่าที่ชายาเท่านั้น

“ว่าที่พระชายา โปรดพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ฝ่าบาทและพระมารดาของท่านอ๋องสี่จะเรียกเข้าเฝ้าในอีกสามวัน” นางกำนัลคนหนึ่งกล่าวพลางก้มศีรษะต่ำ

“ท่านอ๋องสี่ มิได้มาพบด้วยหรือ” ไป๋ซูเหยียนถามอย่างสงบ

“ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับราชกิจ ยังมิได้รับสั่งให้ท่านอ๋องสี่เข้าเฝ้าเจ้าค่ะ” เสียงตอบนั้นระมัดระวังอย่างยิ่ง

นางพยักหน้าเบา ๆ มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ

ยามค่ำในวันนั้น หิมะยังคงตกอย่างไม่หยุดหย่อน ไฟในตำหนักเฟิ่งเยว่ลุกสว่างไสว แต่หัวใจของนางกลับเย็นยะเยียบ

ไป๋ซูเหยียนเดินไปยืนที่หน้าต่างบานเล็กทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังตำหนัก และที่นั่น ห่างออกไปราวกับลึกเข้าไปในเงาไม้ มีลานหนึ่งซึ่งปลูกต้นเหมยเดี่ยวต้นใหญ่เอาไว้

แสงโคมส่องให้เห็นลาง ๆ ว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น

นางนิ่งงันไปอึดใจใหญ่ ก่อนตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมแล้วออกจากตำหนักไปอย่างเงียบงัน

ยิ่งเข้าใกล้เขตต้องห้ามด้านหลัง นางยิ่งสัมผัสได้ถึงความเงียบที่ผิดปกติ ไม่ได้มีทหารยาม ไม่มีนางกำนัล มีเพียงลานหินเงียบงันและต้นเหมยโบราณที่บานท้าหิมะ

และเขา...

ชายในชุดคลุมสีขาว ยืนหันหลังให้ต้นไม้ กลีบเหมยปลิวลงบนไหล่ของเขาราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน

นางเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบงัน

ยังไม่ถึงก้าวสุดท้าย ชายผู้นั้นก็หันมาสบตานาง

เป็นดวงตาคู่เดิม...

เหมือนดั่งในความฝัน

เหมือนดั่งในความทรงจำ

เหมือนดั่งในคืนนั้น...

นางนิ่งงัน ปลายเท้าชะงัก หัวใจเต้นแรงเสียจนแทบหลุดจากอก

เขาคือเด็กชายคนนั้น ใช่หรือไม่?

เขาไม่พูด ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เพียงเดินผ่านนางไปอย่างเงียบงัน กลีบเหมยร่วงปลิวลงแตะแก้มของนางตอนที่เขาเดินสวนผ่าน นางหันกลับมามองร่างของเขาที่ค่อย ๆ หายไปในเงาไม้

“หากเจ้าคือเขา เหตุใดจึงไม่เอ่ยสิ่งใดแก่ข้าสักนิด”

“หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว คำสัตย์ในคืนนั้น ใต้ต้นเหมยต้นนั้น...”

คืนต่อมา

“ท่านอ๋องสี่จะไม่มาเข้าพบเจ้าอีกหรือ?” เสียงของคุณหนูจากสกุลหลิวที่มาเยี่ยมถามขึ้น

“ข้าไม่เคยพบเขามาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว” ไป๋ซูเหยียนตอบเรียบ ๆ ขณะจิบชา

“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ร่วมกับชายที่ไม่รู้หน้าไม่รู้ใจได้อย่างไร” หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ

“หากบุรุษผู้นั้นเคยให้คำสัตย์ไว้กับข้าตั้งแต่สิบปีก่อน ต่อให้ลืมข้าไปแล้ว แต่ข้าไม่มีวันลืมเขาแน่”

หลิวเสวี่ยหลานมองนางด้วยแววตาประหลาด

“เช่นนั้น เจ้ายังจดจำเขาได้อยู่หรือ” ไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายในแสงเทียน

“ไม่ว่าหน้าตาของเขาจะเปลี่ยนไปเพียงใด แต่แววตาของเขานั้น ข้ายังจดจำได้ ไม่มีวันลืม”

และในคืนนั้นเอง เมื่อหิมะตกหนักจนทั่วตำหนักต้องสั่นสะเทือน ไป๋ซูเหยียนก็แอบลอบกลับไปยังลานต้นเหมยเดิมอีกครั้ง

แต่เขาไม่อยู่แล้ว

มีเพียงรอยเท้าลาง ๆ ท่ามกลางหิมะ กับเศษกลีบดอกไม้ที่ปลิวว่อน

นางเงยหน้ามองต้นไม้ “สิบปีก่อนเราต่างยังเด็ก สิบปีผ่านไป เจ้ากลับลืมข้าแล้วงั้นหรือ”

ลมหนาวพัดกลีบเหมยลงบนเส้นผมของนาง ไป๋ซูเหยียนยกมือขึ้นรับกลีบนั้นเอาไว้แนบอก และในหัวใจของนาง เสียงของเด็กชายในคืนนั้นยังดังก้อง

“ข้าจะกลับมา ใต้ต้นเหมยนี้ หากหิมะตก และเจ้ามายืนใต้ต้นเหมยต้นนี้ ข้าจะมาหาเจ้า”

Tampilkan Lebih Banyak
Bab Selanjutnya
Unduh

Bab terbaru

Bab Lainnya
Tidak ada komentar
21 Bab
บทที่ 1 หิมะแรกกับสัญญาระหว่างกัน
สายลมหนาวจากเทือกเขาฉู่เป่ยพัดเอื่อยเฉื่อยลงมายังลุ่มแม่น้ำซานหลิง สายลมที่ขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะละเอียดระยิบระยับราวเกล็ดแก้วโปรยปรายไปทั่วผืนแผ่นดิน อากาศเหน็บหนาวจนอาจทำให้เนื้อไม้แตกระแหง ทว่ากลับมิอาจทำลายกลีบดอกเหมยที่บานท่ามกลางฤดูเหมันต์ได้ท่ามกลางภูเขาหิมะที่ล้อมรอบด้วยป่าสนดำและลำธารน้ำแข็ง มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อ “หมู่บ้านชิงเหมย” ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขา บ้านเรือนไม้หลังเล็กตั้งเรียงรายลดหลั่นไปตามไหล่เขา มีเพียงคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ใหญ่โตตั้งตระหง่านเป็นเอกอยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป ล้อมรอบด้วยรั้วไม้สนทาสีดำและธงผืนใหญ่ประทับตรากระเรียนคู่ นั่นคือตระกูลไป๋ หนึ่งในสี่ขุนศึกหลักของแคว้นหลานโจวในบ่ายวันนั้น หิมะแรกเพิ่งเริ่มตก หิมะบริสุทธิ์คลุมไปทั่วสนามหญ้าหลังคฤหาสน์ จนไม่อาจมองเห็นสีเขียวของฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งผ่านไปได้แม้เพียงเสี้ยวเดียว“คุณหนู! ท่านไปที่ใดมาเจ้าคะ หิมะเริ่มตกแล้ว!” เสียงร้องลั่นของสาวใช้คนหนึ่ง ดังแว่วมากับสายลมเด็กหญิงอายุประมาณแปดขวบในชุดคลุมสีม่วงอ่อน ยืนอยู่เพียงลำพังใต้ต้นเหมยต้นหนึ่งหลังเรือนรอง สีหน้าของนางนิ่งเงียบอย่างผิดวิสัย มือเล็ก ๆ กำลังลู
last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-02
Baca selengkapnya
บทที่ 2 การหมั้นที่ไม่ได้เลือกเอง
หิมะยังคงโปรยปรายในวังหลวง แม้จะผ่านไปสามวันแล้วนับจากวันที่ไป๋ซูเหยียนก้าวเท้าเข้าสู่พระราชวังหลวง แต่ตำหนักเฟิ่งเยว่ก็ยังคงเงียบเช่นเดิม ไม่มีพระบัญชาใดจากฮ่องเต้ ไม่มีข่าวคราวจากท่านอ๋องสี่ และไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าของคนแปลกหน้าเดินผ่านบริเวณตำหนักนางกำนัลทั้งห้าในตำหนักเฟิ่งเยว่เริ่มกระซิบกระซาบกันเอง บางคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “ว่าที่พระชายา” อาจไม่มีความสำคัญเท่าที่พวกนางคิด หรืออาจเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานหมากที่ไม่มีสิทธิ์เลือกเองได้ด้วยซ้ำไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หอมประดับลายเมฆหมอก ดวงตาคมจ้องมองกลีบเหมยที่ปลิวผ่านหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย นางรอคอยคำอธิบายในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีใครอธิบายสิ่งใดให้ฟัง“คุณหนู” เสียงของจิ่นฮวา นางกำนัลที่เป็นสาวใช้คนสนิทของไป๋ซูเหยียนดังขึ้นอย่างแผ่วเบา“วันนี้จะไม่กินอาหารเช้าหรือเจ้าคะ”“ข้ายังไม่หิว” ซูเหยียนตอบเสียงเรียบ ๆ ดวงตายังคงเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง“หากท่านอ๋องสี่เสด็จมาเห็นว่าคุณหนูมิได้ดูแลสุขภาพ อาจจะ...”“เขาไม่เคยมาที่นี่” ไป๋ซูเหยียนกล่าวขัดเสียงเรียบ ในใจขุ่นมัว“สามวันแล้ว...แม้แต่เงาของเขา ข้าก็ยังไม่เห็น”จิ่
last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-02
Baca selengkapnya
บทที่ 3 กลีบเหมยปลิวกลางวังหลวง
วังหลวงแห่งหลานโจวไม่เคยเงียบสงบ แม้ในยามหิมะตกหนักปิดฟ้า ทหารยามยังคงเดินลาดตระเวนตามจุด ขันทีและนางกำนัลยังคงก้มหน้าเดินเร็วในทางเดินอันซับซ้อน กลิ่นยาสมุนไพรจากตำหนักในลอยอ้อยอิ่งเคล้ากับกลิ่นน้ำหอมจางจากกิ่งเหมยที่โปรยปรายอยู่ทั่วบริเวณภายใต้ความสงบงามนั้น วังหลวงกลับเต็มไปด้วยเงาเงียบ เป็นเงาของการจับตามองเงาของความระแวดระวัง และเงาของความลับที่ยิ่งหนาวเหน็บยิ่งกว่าหิมะที่โปรยจากฟ้าไป๋ซูเหยียนรู้สึกถึงเงานั้น แม้นางจะอยู่เพียงในตำหนักเฟิ่งเยว่อย่างสงบ แต่นางรู้ดีว่าไม่มีวันใดที่สายตาเหล่านั้นจะละไปจากตนในทุกย่างก้าวทุกคำพูดแม้แต่ขณะที่นางยืนดูดอกเหมยบาน ก็ยังมีใครบางคนจ้องมองจากที่ใดที่หนึ่ง แต่ไป๋ซูเหยียนไม่เคยหวั่นยามซื่อ (09.00 น.)“คุณหนูเจ้าคะ มีพระบัญชาจากท่านอ๋องสี่เจ้าค่ะ”จิ่นฮวารีบเดินเข้ามาพร้อมตราสัญลักษณ์ของตำหนักหย่งจิ้งในมือไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือบทกวีบนโต๊ะ “เขามีบัญชาหรือ?”“ใช่เจ้าค่ะ พระองค์ทรงเชิญให้ว่าที่พระชายาไปที่ตำหนักหย่งจิ้งในยามอู่เจ้าค่ะ” (ประมาณ 11.00 น.)“ได้บอกเหตุผลหรือไม่?”“มิได้กล่าว แต่เป็นครั้งแรกที่ทรงมีบัญชาเชิญท่านโดยตรง”ยาม
last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-02
Baca selengkapnya
บทที่ 4 ท่านอ๋องผู้ไม่เคยยิ้ม
ยามเฉิน (07.00 น.)พระอาทิตย์ในฤดูหนาวโผล่พ้นขอบฟ้าเพียงครึ่งเดียว แสงสีทองจาง ๆ สะท้อนผ่านละอองหิมะในสวนหลวงที่ขาวโพลน สะท้อนกลีบเหมยสีชมพูอ่อนราวหมึกแต้มบนกระดาษข้าว แต่ตำหนักหย่งจิ้ง ยังคงมืดมิด หน้าต่างทุกบานปิดสนิท ธงราชวงศ์มิได้โบกสะบัด เงาเงียบของท่านอ๋องสี่ยังปกคลุมดั่งหิมะที่ไม่ละลายแม้ยามแสงส่องหลี่เหยียนนั่งอยู่เดียวดายในห้องหนังสือ มือข้างหนึ่งถือพู่กัน แต่กระดาษเบื้องหน้ากลับว่างเปล่า มีเพียงถ้วยชาที่เย็นชืดไปแล้ว และแผ่นกระดาษใบหนึ่งที่เขาถืออยู่มาหลายชั่วยาม กระดาษซึ่งมีลายมือของไป๋ซูเหยียน เขียนด้วยอักษรคัดอย่างสง่างามว่า“ข้ามิได้หวังให้ท่านเลือกข้า ข้าเพียงหวังว่าท่านจะไม่ห้ามข้ารู้สึก”หลี่เหยียนอ่านประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ใช่ผู้ที่ชื่นชอบบทกวี ไม่หลงใหลในเสียงพิณ ไม่เคยเสียเวลาคิดถึงความหมายของกลอนรักใด ๆ แต่ถ้อยคำเพียงไม่กี่บรรทัดนี้ กลับฝังในหัวใจราวกับตราประทับ“ท่านอ๋อง” เสียงของอวี้กงกง ขันทีคนสนิทดังขึ้นเบื้องหลัง“พระองค์ยังมิได้เสวยแม้แต่น้ำชา ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ กระหม่อมเกรงว่าพระวรกายจะ...”“พอแล้ว” หลี่เหยียนพูดโดยไม่เงยหน้าอวี้กงกงรีบก้มตัวถอย
last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-02
Baca selengkapnya
บทที่ 5 กลิ่นเลือดกลางหิมะ
หิมะยังไม่หยุดตกในคืนที่สามของเดือน แม้เพิ่งเริ่มต้นฤดูเหมันต์ แต่พระราชวังหลานโจวกลับถูกปกคลุมด้วยม่านหิมะขาวแน่นหนาตา สวนหลวงเหมือนถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนอีกภพหนึ่ง เสาแกะสลักมังกรในเขตวังในยังสะท้อนแสงจันทร์ลาง ๆ ขณะกลีบเหมยที่บานในยามวิกาลเริ่มร่วงหล่นลงตามแรงลมหนาวทว่าในเงาของความงดงามนั้นเริ่มมีกลิ่นบางอย่างแฝงมากับลม กลิ่นโลหะจาง ๆ ปนกลิ่นคาวเลือด เจืออยู่ในอากาศหนาวราวกับเงาล่องหนยามไฮ่ (21.00 น.) ตำหนักเฟิ่งเยว่ไป๋ซูเหยียนยังคงนั่งอ่านกลอนโบราณเงียบ ๆ หลังจากวันที่ท่านอ๋องสี่ยิ้มให้ครั้งแรก แม้เพียงนิดเดียว แต่ในใจของนางกลับสั่นไหวลึกยิ่งกว่าลมหนาวบนเขาเหมยซาน นางเฝ้าทบทวนคำพูดของเขา“ข้าจะเฝ้ารอ จนกว่ากลีบเหมยสุดท้ายจะร่วงลงมา”แต่ก่อนที่นางจะทันได้ยิ้มอย่างเต็มที่เสียงฝีเท้าเร่งรีบของจิ่นฮวาก็ดังมาจากด้านนอก“คุณหนู! มีเหตุร้าย!”ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน “เกิดอะไรขึ้น?”“มีผู้ลอบสังหารในวังเพคะ! ตอนนี้ทหารล้อมเขตตำหนักไว้ทั้งหมด ตรวจสอบคนจากตำหนักในทุกตำหนัก!”“ผู้ใดเป็นเป้าหมาย?”จิ่นฮวาสูดลมหายใจเข้า เสียงของนางสั่นเครือ“อะ...ท่านอ๋องสี่เจ้าค่ะ”คำคำนั้นราวกับสั่น
last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-02
Baca selengkapnya
บทที่ 6 ความลับในตำหนักเย็น
เมื่อใดที่วังหลวงเงียบผิดปกติ เมื่อนั้นมักมีสิ่งไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่เสมอหิมะยังคงตกต่อเนื่องเป็นวันที่ห้า ทางเดินหินเริ่มลื่นเกินปลอดภัย กลีบเหมยที่เคยงาม เริ่มแปรเปื้อนสีสนิมจากรองเท้าทหารและคราบเลือดเก่าที่ยังไม่ชำระออกหมด ภายในเขตวังหลัง มีตำหนักหนึ่งถูกปิดเงียบมาเกือบสิบปี ไม่มีผู้คน ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียงลมหายใจของผู้ใดตำหนักนั้นมีชื่อว่า “ตำหนักเยี่ยนหรู” หรือที่ผู้คนเรียกกันว่า “ตำหนักเย็น”ยามเฉิน (07.00 น.) ตำหนักเฟิ่งเยว่ไป๋ซูเหยียนสะดุ้งจากนิทราเมื่อจิ่นฮวาวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน“คุณหนู! เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”ซูเหยียนลุกขึ้นทันที “มีเรื่องอันใด?”“ขันทีตำหนักในค้นพบของบางอย่างที่...ที่ตำหนักเย็นเจ้าค่ะ! ท่านแม่ทัพเวรกลางคืนรายงานขึ้นไปยังเบื้องบน ว่ามีคนเห็นแสงเทียนจากตำหนักเยี่ยนหรูทั้งที่ควรปิดตายมาสิบปีแล้ว!”ไป๋ซูเหยียนขมวดคิ้วทันที “ตำหนักเย็น...?”“ใช่เจ้าค่ะ เป็นตำหนักที่แต่ก่อนเคยมีพระชายาทรงอาคมอาศัยอยู่ นางถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการตายขององค์ชายรอง และถูกเนรเทศเข้าตำหนักเย็น ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย”เสียงจิ่นฮวาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ส่วนไป๋ซูเหยียนนิ่
last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-02
Baca selengkapnya
บทที่ 7 เสียงพิณใต้เงาจันทร์
หิมะคืนที่เจ็ดตกหนา หมู่เมฆบดบังจันทร์จนเห็นเพียงแสงสลัวบางเบาราวม่านผ้าบางคลุมฟ้า ในความเงียบของวังหลัง กลับมีเสียงหนึ่งดังกังวาน เป็นเสียงของพิณที่ไม่ควรมีใครได้ยินในยามนี้มันดังมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวังบริเวณนั้นเรียกว่า “สวนเงาจันทร์” สวนต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่าง ตั้งแต่วันหนึ่ง ที่องค์ชายรองจบชีวิตลงใต้ต้นเหมยในคืนหิมะตกเมื่อสิบปีก่อน...ตำหนักเฟิ่งเยว่ ยามจื่อ (23.00 น.)ไป๋ซูเหยียนสะดุ้งตื่นกลางดึก เสียงพิณดังแผ่วคล้ายมีคนดีดอยู่ข้างหู นางลุกขึ้นเปิดหน้าต่าง แสงจันทร์ลอดผ่านม่านเมฆ เสียงพิณนั้นไม่ได้ดังจากความฝัน มันดังจริง ๆ ดังกังวาน ชัดเจน และคุ้นเคย“จิ่นฮวา ได้ยินเสียงพิณหรือไม่?”นางกำนัลที่หลับอยู่สะดุ้งโหยง “เอ๊ะ!? บ่าวก็นึกว่าบ่าวฝันไป คุณหนูจะให้ตามใครไปตรวจดูหรือไม่เจ้าคะ?”ไป๋ซูเหยียนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าจะไปดูเอง”เงาของนางเคลื่อนผ่านผืนหิมะ เส้นทางที่นำไปสู่สวนเงาจันทร์ถูกหิมะปิดหมด ต้องฝ่าไปอย่างยากลำบาก รองเท้าทรงบูทของนางเปียกจนเย็นชืด แต่เสียงพิณยังคงนำทางอยู่ไม่ไกลนางหยุดยืนตรงหน้า “ศาลาระฆังเหมันต์” กลางสวน เสียงพิณดังกังวานที่สุดที่นี่ แ
last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-03
Baca selengkapnya
บทที่ 8 บทเพลงจากวันวาน
ค่ำคืนในตำหนักเฟิ่งเยว่ ไฟตะเกียงในห้องส่องแสงริบหรี่ ทว่าในใจของไป๋ซูเหยียนกลับมีแสงเจิดจ้าเกินกว่าห้วงรัตติกาลใด ๆ ที่ผ่านมา นางนั่งอยู่เบื้องหน้ากระดาษขาว พลางเขียนกลอนบทใหม่มือที่เคยสั่นไหวกลับมั่นคงในยามที่นึกถึงบทสนทนาใต้ต้นเหมยกับท่านอ๋องสี่“หิมะไม่อาจลบเงาแห่งคำสัตย์ กลีบเหมยไม่อาจปกปิดใจผู้เคยจำ บทเพลงนั้นยังไม่จบ แม้ฤดูกาลเปลี่ยนผัน เพราะข้าเฝ้ารอเจ้า ดังเงาจันทร์ทุกคืนยาม”เสียงลมเบา ๆ พัดผ่านหน้าต่าง แล้วจู่ ๆ เสียงพิณก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ มิใช่เสียงจากอดีต มิใช่เสียงจากม่านความทรงจำหากเป็นเสียงจริง ใกล้เพียงเบื้องนอกตำหนักซูเหยียนผลุนผลันออกไป พบว่าศาลาหน้าตำหนักมีชายผู้หนึ่งกำลังบรรเลงพิณอยู่ ไม่ใช่ม่อเสวี่ย และไม่ใช่ท่านอ๋องสี่เขาเป็นชายหนุ่มในชุดขาว รูปโฉมสง่างาม ผูกผ้าปิดตาไว้แน่นหนา ทว่าท่าทางบรรเลงกลับไร้ที่ตินางเอ่ยถาม “ท่านเป็นใคร?”เสียงพิณหยุดลงทันใด ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากคลี่ยิ้ม“ข้าเป็นเพียงนักดนตรีที่เดินผ่าน แต่อยากฝากเพลงหนึ่งบทแก่ผู้ที่เคยฟัง”เขาวางพิณเบา ๆ และยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้นาง ขณะที่มือของนางเอื้อมไปรับ เขาก็เอ่ยอย่างแผ่วเบา
last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-03
Baca selengkapnya
บทที่ 9 สองใจในเงาเหมย
รุ่งสาง พระราชวังต้าหลี่ เสียงฆ้องเตือนภัยสงบลงแล้ว แต่ความตึงเครียดยังคงแผ่คลุมทั่วพระราชวัง ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน ยืนอยู่เบื้องหน้าหอวางแผนสงคราม ใบหน้าสงบนิ่งแต่แววตาเคร่งเครียด“พวกมันถอยกลับไปโดยไม่รุกล้ำเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว?”หลี่เหยียนทวนคำที่องครักษ์รายงาน“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์คุกเข่ารายงาน “กลุ่มบุรุษชุดดำเคลื่อนไหวในความมืด แต่เมื่อเห็นกำลังเสริมจากตำหนักหลวงก็ถอยกลับไปทันที ไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้”ท่านอ๋องสี่ไม่พูดอีก แต่ลอบกัดฟันแน่นกรอดเขากลับมา และเขากำลังแสดงตัว แสดงตัวให้ผู้คนได้รู้ ถึงการกลับมาของเขาตำหนักเฟิ่งเยว่ ในเช้าวันเดียวกัน ไป๋ซูเหยียนยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลือง นางมองตนเองอย่างเงียบงัน ใบหน้าของหญิงสาวที่สะท้อนกลับมา ไม่เหมือนหญิงสาวในวัยเยาว์ผู้เคยเฝ้าฝันถึงเสียงพิณ ไม่ใช่หญิงสาวผู้อ่อนไหว แต่เป็นหญิงผู้กำลังยืนกลางสมรภูมิของอำนาจและหัวใจ“ข้าควรทำอย่างไรดี...”นางพึมพำ ดวงตาเต็มไปด้วยความลังเล ระหว่างคนผู้เคยช่วยชีวิตนาง กับคนที่ยืนอยู่เคียงข้างนางในทุกความมืดมิดของวังหลวงม่อเสวี่ย คือเงาอี้เหวิน คืออดีตแล้วหลี่เหยียน…เขาคือใครในใจของนางกันแน่?“คุณหนู!”
last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-03
Baca selengkapnya
บทที่ 10 กระจกแห่งความจริง
หนึ่งเดือนหลังพิธีแต่ง ตำหนักเฟิ่งเยว่ถึงแม้หิมะจะยังคงโปรยปราย แต่น้ำแข็งบางส่วนเริ่มละลาย สวนเหมยหน้าตำหนักบานสะพรั่งมากกว่าทุกปี ไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ใต้ต้นเหมย กำลังคัดลอกตำรากลอนด้วยลายมือของตนเอง ในยามที่หัวใจสงบ ความรู้สึกก็มักทบทวนกลับไปยังบางสิ่งที่หลงลืม“กระจกเงาในตำหนักเย็น”“บันทึกปีเจี่ยอวี๋”“กล่องไม้ลายคำสัตย์”ชิ้นส่วนของอดีตเหล่านี้เริ่มก่อตัวขึ้นในใจนางอย่างประหลาด เสียงจิ่นฮวาเบา ๆ ดังจากด้านหลัง“พระชายาเพคะ มีข้าราชสำนักนำสิ่งหนึ่งมาถวาย บอกว่าเป็นของเก่าจากคลังหลวงเพคะ”ไป๋ซูเหยียนหันมา “ของเก่าหรือ?”หญิงรับใช้วางหีบเล็กลงตรงหน้า เป็นกล่องไม้โบราณที่ปิดผนึกด้วยครั่ง[1] สลักอักษรคำว่า“คำสัตย์ใต้ต้นเหมย”ไป๋ซูเหยียนมองของสิ่งนั้นนิ่ง มือของนางสั่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ แกะผนึกออก ภายในกล่องมีเพียงของสามชิ้น คือกล่องกระจกทองคำขนาดเล็ก กลอนบทหนึ่งบนแผ่นผ้า และแผ่นไม้บางสลักชื่อผู้ให้คำสัตย์ซูเหยียนหยิบกล่องกระจกขึ้นก่อน ในยามแสงตกกระทบ กล่องใบนั้นส่องประกายราวเงาหิมะที่เคลือบด้วยแสงจันทร์ นางเปิดฝาช้า ๆ ภายในมีเพียง “แผ่นโลหะขัดเงา” รูปกลีบดอกเหมยมันมิใช่กระจกธรรม
last updateTerakhir Diperbarui : 2025-07-03
Baca selengkapnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status