คำสัตย์ใต้ดอกเหมย

คำสัตย์ใต้ดอกเหมย

last updateLast Updated : 2025-07-03
By:  BosskerrOngoing
Language: Thai
goodnovel18goodnovel
Not enough ratings
21Chapters
1views
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

สายลมหนาวจากเทือกเขาฉู่เป่ยพัดเอื่อยเฉื่อยลงมายังลุ่มแม่น้ำซานหลิง สายลมที่ขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะละเอียดระยิบระยับราวเกล็ดแก้วโปรยปรายไปทั่วผืนแผ่นดิน อากาศเหน็บหนาวจนอาจทำให้เนื้อไม้แตกระแหง ทว่ากลับมิอาจทำลายกลีบดอกเหมยที่บานท่ามกลางฤดูเหมันต์ได้

View More

Chapter 1

บทที่ 1 หิมะแรกกับสัญญาระหว่างกัน

สายลมหนาวจากเทือกเขาฉู่เป่ยพัดเอื่อยเฉื่อยลงมายังลุ่มแม่น้ำซานหลิง สายลมที่ขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะละเอียดระยิบระยับราวเกล็ดแก้วโปรยปรายไปทั่วผืนแผ่นดิน อากาศเหน็บหนาวจนอาจทำให้เนื้อไม้แตกระแหง ทว่ากลับมิอาจทำลายกลีบดอกเหมยที่บานท่ามกลางฤดูเหมันต์ได้

ท่ามกลางภูเขาหิมะที่ล้อมรอบด้วยป่าสนดำและลำธารน้ำแข็ง มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อ “หมู่บ้านชิงเหมย” ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขา บ้านเรือนไม้หลังเล็กตั้งเรียงรายลดหลั่นไปตามไหล่เขา มีเพียงคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ใหญ่โตตั้งตระหง่านเป็นเอกอยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป ล้อมรอบด้วยรั้วไม้สนทาสีดำและธงผืนใหญ่ประทับตรากระเรียนคู่ นั่นคือตระกูลไป๋ หนึ่งในสี่ขุนศึกหลักของแคว้นหลานโจว

ในบ่ายวันนั้น หิมะแรกเพิ่งเริ่มตก หิมะบริสุทธิ์คลุมไปทั่วสนามหญ้าหลังคฤหาสน์ จนไม่อาจมองเห็นสีเขียวของฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งผ่านไปได้แม้เพียงเสี้ยวเดียว

“คุณหนู! ท่านไปที่ใดมาเจ้าคะ หิมะเริ่มตกแล้ว!” เสียงร้องลั่นของสาวใช้คนหนึ่ง ดังแว่วมากับสายลม

เด็กหญิงอายุประมาณแปดขวบในชุดคลุมสีม่วงอ่อน ยืนอยู่เพียงลำพังใต้ต้นเหมยต้นหนึ่งหลังเรือนรอง สีหน้าของนางนิ่งเงียบอย่างผิดวิสัย มือเล็ก ๆ กำลังลูบกลีบดอกเหมยที่เพิ่งผลิบานรับหิมะแรก นัยน์ตากลมโตทอดมองกลีบสีชมพูนั้นราวกับต้องมนต์สะกด

“คุณหนูซูเหยียน! ฮูหยินตามหาท่านให้วุ่น พวกเราเองก็ตามหาท่านไปทั่วทั้งคฤหาสน์แล้วนะเจ้าคะ!” เสียงอีกคนร้องเตือนขณะที่เร่งฝีเท้าขึ้นมาหา

ไป๋ซูเหยียนหันกลับมาช้า ๆ นางยิ้มบางราวกับไร้ความหวาดกลัว ทั้งที่อากาศหนาวจนลมหายใจกลั่นเป็นไอขาวออกมา

“ข้าแค่มาดูต้นเหมย เห็นมันบานแล้ว ก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนมัน”

สาวใช้สองคนมองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ เด็กหญิงผู้นี้ดูจากภายนอกเหมือนคุณหนูที่ว่านอนสอนง่าย ทว่าหากนางจะดื้อ ก็สามารถแอบหายไปโดยไม่บอกผู้ใดเช่นนี้เสมอ

“ฮูหยินกำลังโกรธมากเลยนะเจ้าคะ รีบไปเถิด หิมะตกแรงขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”

“ข้ายังอยากอยู่ตรงนี้อีกหน่อย” ไป๋ซูเหยียนเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเศร้าลงเล็กน้อย

“เจ้ารู้หรือไม่.. ข้าเคยฝันถึงต้นเหมยนี่เมื่อหลายปีก่อน มันบานในคืนหิมะตก และมีผู้หนึ่งมอบผ้าคลุมให้ข้า”

“ฝันหรือเจ้าคะ?” สาวใช้ผู้น้อยขมวดคิ้วสงสัย

“บางทีอาจมิใช่เพียงความฝัน...” เด็กหญิงกระซิบเบา ๆ ราวกับลมพัด

คืนวันเดียวกันนั้นเอง เป็นค่ำคืนที่พายุกำลังจะมา ขณะที่ชาวบ้านเร่งปิดหน้าต่างและอพยพสัตว์เข้าคอก เด็กหญิงร่างเล็กกลับย่องเงียบออกจากเรือน เดินไปตามทางหินเลียบเชิงเขา ดวงหน้าแดงระเรื่อเพราะความหนาว แม้ชุดคลุมขนสัตว์ที่ใส่จะหนาพอสมควร แต่ไม่อาจต้านลมแรงที่พัดจากหุบเขาเบื้องบนได้

ไป๋ซูเหยียนเดินฝ่าหิมะไปเรื่อย ๆ ราวกับถูกแรงบางอย่างพาไป จนในที่สุด นางก็ไปถึงลานหินด้านหลังเขา ซึ่งมีต้นเหมยต้นหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ต้นเหมยต้นนี้มิใช่ต้นธรรมดา มันเก่าแก่จนเปลือกไม้หยาบกระด้าง โค้งเงาสูงใหญ่เหนือศีรษะ กลีบเหมยผลิเต็มกิ่งอย่างผิดฤดู สะท้อนแสงจันทร์ลาง ๆ ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมทั่วทั้งลาน

นางค่อย ๆ เดินเข้าไปใต้ต้นไม้ แล้วหยุดลง หายใจช้า ๆ ดวงตาจับจ้องกลีบดอกไม้ตรงหน้า และจู่ ๆ ลมหิมะก็กระโชกแรงขึ้น ร่างเล็กเซไปเล็กน้อย และพลัดตกลงไปในหลุมหิมะริมโขดหิน

“อึก...” เสียงเล็กหลุดจากริมฝีปาก นางพยายามลุกขึ้นแต่ไม่สำเร็จ หนาวเย็นกัดกร่อนจนปลายนิ้วชา น้ำตาเอ่อคลอ

และแล้ว...

เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นในความเงียบ มีร่างเงาหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากม่านหิมะ ชายหนุ่มอายุประมาณสิบสองสิบสามปีในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ตรงขอบหลุม หิมะเกาะตามไหล่และผมดำขลับของเขา แต่ดวงตาสีดำสนิทกลับคมกริบจ้องมองลงมาเงียบ ๆ

“เจ้าเป็นใคร” ไป๋ซูเหยียนถามเสียงสั่น

เขาไม่ตอบ เพียงยื่นมือมาให้ นางลังเลเล็กน้อย แต่ก็คว้ามือนั้นไว้ และถูกดึงขึ้นมาเบา ๆ

“ขอบใจเจ้า” นางกระซิบ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงบนแก้มแดงจากลมหนาว

เด็กชายถอดผ้าคลุมของตน แล้วคลุมให้นางอย่างเงียบ ๆ มือของเขาอุ่นอย่างประหลาด

“เหตุใดเจ้าถึงมาช่วยข้า ” นางถามอีกครั้ง

เขานิ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “เพราะเจ้าร้องไห้ใต้ต้นเหมย ต้นเหมยที่ข้าชอบ ไม่ควรได้ยินเสียงเศร้า”

ประโยคนั้นทำให้ไป๋ซูเหยียนชะงัก ดวงตาสั่นไหว

“เช่นนั้น เจ้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ?” นางถาม

เด็กชายส่ายหน้าเบา ๆ

“ข้าจะกลับมา ใต้ต้นเหมยนี้ หากหิมะตก และเจ้ามายืนใต้ต้นเหมยต้นนี้ ข้าจะมาหาเจ้า”

“นี่ถือเป็นคำสัตย์หรือไม่?” เด็กหญิงเอียงคอถาม

เขาพยักหน้า “ขอเพียงเจ้าไม่ลืมชื่อของข้า”

“แต่เจ้ายังไม่บอกชื่อข้าเลย” นางขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขายิ้มบาง แล้วเงียบงัน ไม่ตอบสิ่งใดอีก

ไป๋ซูเหยียนรู้สึกคล้ายกับว่าหัวใจถูกดึงออกจากร่าง รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ในความเงียบ ทั้งที่อีกฝ่ายยังยืนอยู่ตรงหน้า

"เขาคือใครกันแน่...?"

รุ่งเช้า ลำแสงอ่อน ๆ ของดวงอาทิตย์ในฤดูเหมันต์ส่องลอดม่านหิมะลงมายังหมู่บ้านชิงเหมย ต้นเหมยกลางลานเก่าแก่นั้นยังคงยืนเงียบสงบ ไม่เหลือร่องรอยการพบพานใดในคืนก่อน ทว่าในใจเด็กหญิงหนึ่งคนกลับเต็มไปด้วยคำถาม ความทรงจำ และความรู้สึกบางอย่างที่ยังหาคำตอบไม่ได้

ภายในคฤหาสน์สกุลไป๋ ตำหนักรองของท่านแม่ทัพใหญ่ ไป๋ซูเหยียนถูกพากลับมาโดยคนของตระกูลตั้งแต่ยังไม่ทันฟ้าสาง นางถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่าหน้าห้องโถงโดยไร้เสื้อคลุม เหล่าสาวใช้ได้แต่ยืนมองอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เจ้าเด็กดื้อ! ไปปีนเขากลางหิมะหนักเช่นนั้น เจ้าไม่คิดชีวิตบ้างหรือ?!”

ไป๋ฟู่เหวิน มารดาของนางตวาดเสียงดังลั่น ดวงหน้าสวยงามเริ่มมีร่องรอยแห่งวัยเพราะความกังวล

“ข้าเพียงแต่อยากไปดูต้นเหมย” ซูเหยียนตอบเบา ๆ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของเจ้าเกือบสั่งให้ทหารออกค้นหา คิดว่าเจ้าถูกลักพาตัวไปแล้ว!”

“ข้าไม่ได้ไปไกลเสียหน่อย” เด็กหญิงยังคงยืนยัน

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอากาศหนาวข้างนอกเพียงใด หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบบรรพชนของตระกูล!”

ไป๋ฟู่เหวินกล่าวเสียงสั่น เผยให้เห็นว่าแม้จะดุด่าแต่ก็เต็มไปด้วยห่วงใยที่มีต่อบุตรสาว เงียบไปพักใหญ่ ก่อนหญิงผู้นั้นจะเอ่ยเสียงเบาลง

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ ห้าปีที่ผ่านมา เจ้าชอบไปยืนใต้ต้นเหมยนั้นเสมอ ไม่ว่าฤดูไหน ข้ายังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้ายืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนเพราะบอกว่ากำลังรอใครบางคน”

ไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ “เขามีตัวตนอยู่จริง ๆ นะท่านแม่” นางพูดเสียงเบา

ไป๋ฟู่เหวินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า

“เด็กน้อย คนเราฝันไปมากมายในวัยเยาว์ แต่เมื่อเติบโตขึ้น ย่อมต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน”

เวลาผ่านไปอีกหลายปี ความทรงจำเรื่องเด็กชายใต้ต้นเหมยค่อย ๆ เลือนรางลงไปจากใจของไป๋ซูเหยียน หากแต่บางคืนในฤดูหนาว เมื่อกลีบเหมยร่วงหล่น นางก็ยังคงเผลอฝันถึงดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองนางจากความเงียบ

จนกระทั่งในปีที่นางอายุสิบแปดปี ก็เป็นปีที่เปลี่ยนชะตาทั้งชีวิต

ฤดูหนาวมาเยือนเร็วกว่าปีก่อน ท้องฟ้าครึ้มตั้งแต่ยังไม่เข้าเหมันต์ เดือนสิบยังไม่สิ้น หิมะแรกก็โปรยปรายลงมาเหนือคฤหาสน์สกุลไป๋

และในวันหนึ่ง ข่าวสารจากวังหลวงก็มาถึง

มีราชโองการจากวังหลวง..”

เสียงแหลมของขันทีผู้ส่งสาส์นจากวังหลวงเอ่ยขึ้น ทุกคนต่างรีบคุกเข่ารอรับราชโองการ

ราชโองการแห่งฟ้า ด้วยเห็นว่าตระกูลไป๋เป็นขุนศึกคู่ราชบัลลังก์มาแต่โบราณ ฮ่องเต้จึงมีบัญชาให้ไป๋ซูเหยียน บุตรีของไป๋เทียนหย่ง เข้าหมั้นหมายกับ ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ราชวงศ์กับฝ่ายทหาร รับราชโองการ...”

ไป๋ซูเหยียนนั่งสงบเงียบ ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลคุกเข่ารับราชโองการอยู่ข้างหน้า นางมิได้แสดงสีหน้าตื่นตกใจแม้แต่น้อย ริมฝีปากเม้มบางราวกับรออยู่แล้ว

หลังขันทีผู้ส่งสาส์นและเหล่าทหารจากไป ความเงียบงันปกคลุมทั่วห้องโถงใหญ่ของจวกสกุลไป๋ ท่านแม่ทัพไป๋เทียนหย่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น

“ท่านอ๋องสี่ คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังกองกำลังพิทักษ์หลวง แม้จะไม่อยู่ในสายราชบัลลังก์โดยตรง แต่ก็มีอิทธิพลสูง ข้าเชื่อว่าเขาย่อมไม่เลือกใครหมั้นหมายอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า”

ไป๋ฟู่เหวินพูดขึ้นเสียงแผ่ว

“แต่ในวังต่างก็ร่ำลือว่าเขาเย็นชา นิ่งเฉย และไม่เคยยิ้มให้ผู้ใดมากว่าสิบปีแล้ว”

“ข้าไม่กลัว” ไป๋ซูเหยียนกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย

ทุกสายตามองมายังนาง นางยังคงสงบเหมือนหิมะที่ตกเบา ๆ

“ท่านแม่ ข้าจะไปเป็นพระชายาในวังหลวง ไม่ใช่เพื่อเกียรติยศหรือเพื่อท่านพ่อ หรือเพียงเพื่อสกุลไป๋ แต่เพราะข้ารู้ว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางของข้าที่ชะตาได้กำหนดไว้แล้ว”

ไป๋ฟู่เหวินนิ่งเงียบ เหลือบมองใบหน้าของบุตรสาวแล้วจึงค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเข้าใจ

หลายสัปดาห์ต่อมา

ราชรถจากวังมาถึงหน้าคฤหาสน์สกุลไป๋ในเช้าวันที่หิมะตกหนัก ท้องฟ้าขาวโพลน หมอกหนาวปกคลุมทั่วลานหิน ไป๋ซูเหยียนแต่งกายเรียบหรูงดงามด้วยชุดสีฟ้า ปักลวดลายมังกรเมฆประดับไข่มุก ดวงหน้าเรียบเฉย ใต้ดวงตานั้นมีแววเด็ดเดี่ยวอันมิอาจพร่าเลือนได้

ก่อนก้าวขึ้นราชรถ นางหันไปมองต้นเหมยต้นหนึ่งที่ปลูกอยู่มุมรั้วด้านนอก มันกำลังผลิบาน และในหัวใจของนางก็มีเสียงหนึ่งกระซิบว่า

“จะได้พบเขาอีกหรือไม่นะ ผู้ที่อยู่ใต้ต้นเหมยในคืนนั้น”

วังหลวงแห่งแคว้นหลานโจวตั้งตระหง่านอยู่เหนือเนินเขาหลวง สูงตระหง่านจนแม้แต่สายตาจากทิศใดก็ยากที่จะไม่สังเกตเห็น หลังคากระเบื้องเคลือบสีทองสะท้อนแสงหิมะ เสาไม้แก่นหอมที่แกะสลักลายมังกรพันเมฆรายล้อมไปทั่วบริเวณตำหนักหลัก ต้นเหมยสีแดงแก่แซมขาวปลูกเรียงรายสองข้างทางเดินราวกับเป็นดอกไม้ประจำฤดูแห่งโชคชะตา

ไป๋ซูเหยียนก้าวลงจากราชรถอย่างสงบ แม้ในใจจะวูบไหวเมื่อประตูวังใหญ่เปิดออกต่อหน้าต่อตานางเป็นครั้งแรก

สาวใช้ของวังหลวงในชุดผ้าสีหม่นต่างโค้งคำนับ แล้วนำทางนางเข้าสู่ “ตำหนักเฟิ่งเยว่” ซึ่งเป็นตำหนักแยกสำหรับว่าที่พระชายา

การรับเข้าไม่ได้เป็นพิธีใหญ่โต เนื่องจากยังมิได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เพียงรับไว้ในฐานะว่าที่ชายาเท่านั้น

“ว่าที่พระชายา โปรดพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ฝ่าบาทและพระมารดาของท่านอ๋องสี่จะเรียกเข้าเฝ้าในอีกสามวัน” นางกำนัลคนหนึ่งกล่าวพลางก้มศีรษะต่ำ

“ท่านอ๋องสี่ มิได้มาพบด้วยหรือ” ไป๋ซูเหยียนถามอย่างสงบ

“ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับราชกิจ ยังมิได้รับสั่งให้ท่านอ๋องสี่เข้าเฝ้าเจ้าค่ะ” เสียงตอบนั้นระมัดระวังอย่างยิ่ง

นางพยักหน้าเบา ๆ มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ

ยามค่ำในวันนั้น หิมะยังคงตกอย่างไม่หยุดหย่อน ไฟในตำหนักเฟิ่งเยว่ลุกสว่างไสว แต่หัวใจของนางกลับเย็นยะเยียบ

ไป๋ซูเหยียนเดินไปยืนที่หน้าต่างบานเล็กทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังตำหนัก และที่นั่น ห่างออกไปราวกับลึกเข้าไปในเงาไม้ มีลานหนึ่งซึ่งปลูกต้นเหมยเดี่ยวต้นใหญ่เอาไว้

แสงโคมส่องให้เห็นลาง ๆ ว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น

นางนิ่งงันไปอึดใจใหญ่ ก่อนตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมแล้วออกจากตำหนักไปอย่างเงียบงัน

ยิ่งเข้าใกล้เขตต้องห้ามด้านหลัง นางยิ่งสัมผัสได้ถึงความเงียบที่ผิดปกติ ไม่ได้มีทหารยาม ไม่มีนางกำนัล มีเพียงลานหินเงียบงันและต้นเหมยโบราณที่บานท้าหิมะ

และเขา...

ชายในชุดคลุมสีขาว ยืนหันหลังให้ต้นไม้ กลีบเหมยปลิวลงบนไหล่ของเขาราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน

นางเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบงัน

ยังไม่ถึงก้าวสุดท้าย ชายผู้นั้นก็หันมาสบตานาง

เป็นดวงตาคู่เดิม...

เหมือนดั่งในความฝัน

เหมือนดั่งในความทรงจำ

เหมือนดั่งในคืนนั้น...

นางนิ่งงัน ปลายเท้าชะงัก หัวใจเต้นแรงเสียจนแทบหลุดจากอก

เขาคือเด็กชายคนนั้น ใช่หรือไม่?

เขาไม่พูด ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เพียงเดินผ่านนางไปอย่างเงียบงัน กลีบเหมยร่วงปลิวลงแตะแก้มของนางตอนที่เขาเดินสวนผ่าน นางหันกลับมามองร่างของเขาที่ค่อย ๆ หายไปในเงาไม้

“หากเจ้าคือเขา เหตุใดจึงไม่เอ่ยสิ่งใดแก่ข้าสักนิด”

“หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว คำสัตย์ในคืนนั้น ใต้ต้นเหมยต้นนั้น...”

คืนต่อมา

“ท่านอ๋องสี่จะไม่มาเข้าพบเจ้าอีกหรือ?” เสียงของคุณหนูจากสกุลหลิวที่มาเยี่ยมถามขึ้น

“ข้าไม่เคยพบเขามาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว” ไป๋ซูเหยียนตอบเรียบ ๆ ขณะจิบชา

“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ร่วมกับชายที่ไม่รู้หน้าไม่รู้ใจได้อย่างไร” หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ

“หากบุรุษผู้นั้นเคยให้คำสัตย์ไว้กับข้าตั้งแต่สิบปีก่อน ต่อให้ลืมข้าไปแล้ว แต่ข้าไม่มีวันลืมเขาแน่”

หลิวเสวี่ยหลานมองนางด้วยแววตาประหลาด

“เช่นนั้น เจ้ายังจดจำเขาได้อยู่หรือ” ไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายในแสงเทียน

“ไม่ว่าหน้าตาของเขาจะเปลี่ยนไปเพียงใด แต่แววตาของเขานั้น ข้ายังจดจำได้ ไม่มีวันลืม”

และในคืนนั้นเอง เมื่อหิมะตกหนักจนทั่วตำหนักต้องสั่นสะเทือน ไป๋ซูเหยียนก็แอบลอบกลับไปยังลานต้นเหมยเดิมอีกครั้ง

แต่เขาไม่อยู่แล้ว

มีเพียงรอยเท้าลาง ๆ ท่ามกลางหิมะ กับเศษกลีบดอกไม้ที่ปลิวว่อน

นางเงยหน้ามองต้นไม้ “สิบปีก่อนเราต่างยังเด็ก สิบปีผ่านไป เจ้ากลับลืมข้าแล้วงั้นหรือ”

ลมหนาวพัดกลีบเหมยลงบนเส้นผมของนาง ไป๋ซูเหยียนยกมือขึ้นรับกลีบนั้นเอาไว้แนบอก และในหัวใจของนาง เสียงของเด็กชายในคืนนั้นยังดังก้อง

“ข้าจะกลับมา ใต้ต้นเหมยนี้ หากหิมะตก และเจ้ามายืนใต้ต้นเหมยต้นนี้ ข้าจะมาหาเจ้า”

Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters

Comments

No Comments
21 Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status