ยามเฉิน (07.00 น.)
พระอาทิตย์ในฤดูหนาวโผล่พ้นขอบฟ้าเพียงครึ่งเดียว แสงสีทองจาง ๆ สะท้อนผ่านละอองหิมะในสวนหลวงที่ขาวโพลน สะท้อนกลีบเหมยสีชมพูอ่อนราวหมึกแต้มบนกระดาษข้าว แต่ตำหนักหย่งจิ้ง ยังคงมืดมิด หน้าต่างทุกบานปิดสนิท ธงราชวงศ์มิได้โบกสะบัด เงาเงียบของท่านอ๋องสี่ยังปกคลุมดั่งหิมะที่ไม่ละลายแม้ยามแสงส่อง
หลี่เหยียนนั่งอยู่เดียวดายในห้องหนังสือ มือข้างหนึ่งถือพู่กัน แต่กระดาษเบื้องหน้ากลับว่างเปล่า มีเพียงถ้วยชาที่เย็นชืดไปแล้ว และแผ่นกระดาษใบหนึ่งที่เขาถืออยู่มาหลายชั่วยาม กระดาษซึ่งมีลายมือของไป๋ซูเหยียน เขียนด้วยอักษรคัดอย่างสง่างามว่า
“ข้ามิได้หวังให้ท่านเลือกข้า ข้าเพียงหวังว่าท่านจะไม่ห้ามข้ารู้สึก”
หลี่เหยียนอ่านประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ใช่ผู้ที่ชื่นชอบบทกวี ไม่หลงใหลในเสียงพิณ ไม่เคยเสียเวลาคิดถึงความหมายของกลอนรักใด ๆ แต่ถ้อยคำเพียงไม่กี่บรรทัดนี้ กลับฝังในหัวใจราวกับตราประทับ
“ท่านอ๋อง” เสียงของอวี้กงกง ขันทีคนสนิทดังขึ้นเบื้องหลัง
“พระองค์ยังมิได้เสวยแม้แต่น้ำชา ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ กระหม่อมเกรงว่าพระวรกายจะ...”
“พอแล้ว” หลี่เหยียนพูดโดยไม่เงยหน้า
อวี้กงกงรีบก้มตัวถอยหลังอย่างเงียบเชียบ
หลี่เหยียนขยับพู่กัน แตะหมึกลงกระดาษ เขาเริ่มเขียนคำเพียงคำเดียว
“ลืม”
แต่เมื่อหมึกหยดลงที่ปลายคำ เขากลับหยุด เพราะคำต่อจากนั้น ไม่อาจเขียนลงได้
ตอนกลางวัน ตำหนักเฟิ่งเยว่
ไป๋ซูเหยียนใช้เวลานั่งเงียบอยู่ในศาลาหน้าสระน้ำแข็ง นางจิบชาเพียงเล็กน้อย สายตาเหม่อมองฝูงปลาที่ว่ายอยู่ใต้ผืนน้ำแข็งบาง ๆ
“เขาไม่เคยยิ้มเลย” นางกล่าวขึ้นโดยไม่หันหน้า
จิ่นฮวาที่ยืนอยู่ข้างหลังชะงัก
“ท่านอ๋องสี่หรือเพคะ?”
“ใช่” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “ข้าสังเกตว่าไม่ว่าเขาจะพูดกับผู้ใด ไม่เคยมีรอยยิ้ม ราวกับเขาไม่เคยเรียนรู้การยิ้ม หรือถูกห้ามไว้ตั้งแต่เกิด”
“อาจเพราะพระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ในราชสำนักมานานเจ้าค่ะ” จิ่นฮวากล่าวอย่างระมัดระวัง
“หากยิ้มพลาดครั้งเดียว อาจหมายถึงการเปิดช่องโหว่ให้ถูกโจมตี”
“หากเป็นเช่นนั้น ก็น่าเศร้าเหลือเกิน”
เงาสะท้อนบนผืนน้ำแข็งเผยให้เห็นดวงหน้าอ่อนวัยของหญิงสาวผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งกำลังค่อย ๆ เข้าใจว่าบุรุษเยือกเย็นผู้นั้น ไม่ได้ไร้หัวใจ เขาเพียงเก็บมันไว้ลึกเกินใครจะเข้าถึง
พระราชวัง ยามเย็น
เสียงกลองประกาศการประชุมราชสำนักดังขึ้นในเขตตำหนักเฉิงหวง ท่านอ๋องสี่หลี่เหยียนก้าวเข้าสู่ห้องโถงพร้อมขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ ด้านข้างมีเหล่าขันทีผู้รับใช้อาวุโสยืนเรียงรายเป็นระเบียบ
ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์มังกร พระวรกายซูบผอมลงจากเดิม แต่ดวงตายังคงเฉียบคม
“หลี่เหยียน” ฮ่องเต้ตรัสขึ้น
“เหตุใดข้าจึงได้ยินข่าวจากสำนักอิงเซียนว่า ว่าที่พระชายาของเจ้า อาจเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวลับในวัง?”
เสียงซุบซิบดังแผ่ว ๆ หลี่เหยียนไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“กระหม่อมได้ตรวจสอบแล้ว ข่าวนั้นเป็นเพียงข่าวลือ” เขากล่าวช้า ๆ
“ไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยาน และไม่มีแม้แต่เงาของเจตนาทรยศ”
“แต่เขาเล่นพิณให้กัน” เสียงขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ในยามวิกาล ในเขตต้องห้ามของวังหลวง”
“เช่นนั้นท่านคงอยากรู้ด้วยกระมังว่าใครเป็นคนติดตั้งเครื่องดักฟังในสวนหลวง” หลี่เหยียนกล่าวเยือกเย็น
“เพราะหากไม่มีท่านย่อมไม่มีทางรู้ว่าเขาเล่นพิณอะไร และเล่นให้ใคร”
เสียงในตำหนักเงียบลงทันที ฮ่องเต้ทอดพระเนตรหลี่เหยียนครู่หนึ่ง ก่อนจะยกพระหัตถ์ขึ้น
“เรื่องนี้ ให้จบลงเพียงเท่านี้”
หลี่เหยียนโค้งศีรษะรับคำ แต่แววตายังคงจับจ้องไปยังขุนนางผู้กล่าวหา อย่างมิยอมให้อภัย
หลังออกจากราชสำนัก หลี่เหยียนไม่ได้กลับตำหนักหย่งจิ้งทันที เขาเดินเพียงลำพัง ผ่านเขตสวนหลวงที่เงียบสงัด ต้นเหมยเรียงรายสองข้างทางราวกำแพงดอกไม้ที่ไม่มีวันเอ่ยคำ เสียงฝีเท้าเขากระทบพื้นหินเบา ๆ ช้า ๆ แต่มั่นคง ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในเงาไม้
“ท่านอ๋องยังจะปกป้องนางอีกหรือ?”
เป็นเสียงของอัครมหาเสนาบดีหลี่ซ่าง ผู้ที่ครองอำนาจด้านทหารครึ่งหนึ่งในราชสำนักเอ่ยขึ้น
หลี่เหยียนหยุดเท้า แต่ไม่หันกลับไปมอง
“ข้าไม่จำเป็นต้องปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยขอให้ข้าปกป้อง” เขากล่าวเสียงเรียบ
“แต่พระองค์กลับปิดปากราชสำนักแทนนาง” หลี่ซ่างยิ้มบาง ๆ
“กระหม่อมเพียงสงสัยว่า ในเมื่อพระองค์ไม่เคยยิ้มให้สตรีนางใด เหตุใดพระองค์จึงเงียบ เพื่อสตรีนางนี้?”
“เพราะข้าไม่จำเป็นต้องยิ้ม เพื่อแสดงว่าใส่ใจ” น้ำเสียงของหลี่เหยียนเย็นเฉียบ
หลี่ซ่างหัวเราะเบา ๆ “นั่นสินะ พระองค์ไม่เคยยิ้มให้ใคร แม้แต่กับมารดาบังเกิดเกล้า”
หลี่เหยียนไม่ตอบ เขาเดินต่อโดยไม่เอ่ยแม้แต่คำลา แต่แววตาที่เหลือบกลับมาในชั่วขณะหนึ่งนั้น มันคมกริบยิ่งกว่าดาบปลายที่แหลมงอน
ค่ำคืน ตำหนักเฟิ่งเยว่
ไป๋ซูเหยียนนั่งเรียงตัวอักษรอยู่ใต้แสงเทียน นางกำลังคัดลอกกลอนบทหนึ่งลงในสมุดผ้าไหม เป็นกลอนที่ม่อเสวี่ยเคยเล่นเป็นท่วงทำนองหนึ่งให้ฟัง
“ใจอยู่เงียบ หิมะไม่ละลาย ใจเร้นร้าย ดอกเหมยไม่บาน”
บทกลอนนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และความเศร้า
“คุณหนูเจ้าคะ” จิ่นฮวาเดินเข้ามาพร้อมหนังสือเล่มหนึ่ง
“ตำหนักหย่งจิ้งส่งหนังสือนี้มาให้เจ้าค่ะ ท่านอ๋องทรงเลือกให้ด้วยพระองค์เอง”
“หนังสือ?” ซูเหยียนขมวดคิ้ว
นางรับมาเปิดดู เป็นตำราโบราณว่าด้วยการวิเคราะห์เสียงพิณ กับแหล่งกำเนิดของโน้ตแต่ละสาย นางนิ่งงันไป
เขาไม่พูด แต่เขาฟัง
คืนวันเดียวกัน ตำหนักหย่งจิ้ง
หลี่เหยียนยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เบื้องหน้าเขาคือ “กล่องไม้สีดำ” ที่ดูเก่าและมีตราประทับโบราณรูปเหมยซ้อนมังกร เขาเปิดมันออก ข้างในมีเพียงสิ่งเดียว “กลอนบทหนึ่ง” ที่เขียนด้วยหมึกจาง ๆ
“ใต้ต้นเหมย ข้าเฝ้ารอเจ้า แม้หิมะจะกลบลมหายใจ”
เขาหยิบกระดาษนั้นขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาเย็นชานั้นไหววูบเล็กน้อย
วันถัดมา
ไป๋ซูเหยียนได้รับพระบัญชาเชิญเรียกเข้าตำหนักหย่งจิ้งอีกครั้งคราวนี้มิใช่เพื่อไต่สวน แต่เพราะเขามีสิ่งจะให้
ศาลาไม้หลังกะทัดรัดภายในตำหนัก มีโต๊ะหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง บนโต๊ะวางกล่องไม้ประทับตรารูปเหมย หลี่เหยียนไม่ได้อยู่ในห้อง นางเดินเข้าไปช้า ๆ เปิดกล่องออก แล้วพบกับกลอนบทเดียวกันกับที่ม่อเสวี่ยเคยพูดถึง
“ใต้ต้นเหมย ข้าเฝ้ารอเจ้า แม้หิมะจะกลบลมหายใจ”
ข้างใต้มีเพียงชื่อผู้เขียน และชื่อที่เขียนไว้ก็คือ
“หลี่เหยียน...”
ดวงตาของนางเบิกกว้าง มือของนางสั่นเล็กน้อย
“เช่นนั้น ผู้ที่อยู่ใต้ต้นเหมยในคืนนั้น อาจมิใช่ม่อเสวี่ย แต่คือเขา ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน”
มือบางของไป๋ซูเหยียนลูบผ่านลายหมึกจางบนกลอนอย่างแผ่วเบา แม้เพียงปลายนิ้วที่แตะสัมผัสก็สัมผัสได้ถึงแรงใจที่ฝังแน่นในตัวอักษร กลอนนี้ ไม่ใช่ของใครอื่น แต่เป็นถ้อยคำจากผู้ที่นางเชื่อว่าไม่เคยรู้จักความรู้สึกมาก่อน
ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน...
นางหันมองรอบห้อง เงียบงัน ว่างเปล่า และไร้เงาของเขาเช่นเคย
“ท่านซ่อนตัวเก่งนัก แม้แต่หัวใจของท่าน ท่านก็ซ่อนไว้จนไม่มีใครรู้ว่าเคยมี”
จิ่นฮวารออยู่ด้านนอก รีบเข้ามารับนางกลับตำหนัก
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
“เขาไม่พูดสักคำ” ซูเหยียนตอบเรียบ ๆ “แต่เขาเขียน”
“เขียนอะไรหรือเจ้าคะ?”
“เขียนว่าเขาไม่ลืม”
ยามวิกาล ตำหนักหย่งจิ้ง
หลี่เหยียนยืนอยู่กลางลานหิมะเงียบ ๆ เงาสะท้อนของเขาทาบลงบนหิมะราวกับภาพหมึกจาง ๆ ที่มิอาจลบเลือนได้ อวี้กงกงยืนรออยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว หลี่เหยียนเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“นางยังจำคำสัตย์นั้นได้…”
“พ่ะย่ะค่ะ?” อวี้กงกงเลิกคิ้ว
“ข้าเคยคิดว่า หากนางจำไม่ได้ ก็ถือว่าฟ้าให้โอกาสข้าได้ลืม”
“แต่นางกลับจำได้ แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสิบปี”
“และข้า ไม่รู้ว่าในวันนี้ ข้าอยากให้นางจำได้ หรืออยากให้นางลืมกันแน่”
คืนต่อมา ตำหนักเฟิ่งเยว่
ไป๋ซูเหยียนนั่งอ่านกลอนบทเก่า ๆ อยู่ในห้องเงียบ เสียงหิมะตกด้านนอกคล้ายเสียงขับกล่อม กลอนบทหนึ่งจากสมุดโบราณสะดุดตานาง
“หากหิมะคือความเงียบ ดอกเหมยคือเสียงที่รอ หากเจ้าไม่ยิ้ม ข้าก็จะยิ้มแทนเจ้า หากเจ้าไม่พูด ข้าจะเป็นผู้พูดแทนคำในใจ”
นางหลุบตาลงช้า ๆ “บางที ข้าควรเลิกถามว่าผู้ที่อยู่ใต้ต้นเหมยคือใคร และควรเริ่มถามว่า เหตุใดเขาจึงเฝ้ารอ มากกว่ากระมัง”
ยามเช้า วันถัดมา หิมะหยุดตก แดดยามเช้าอ่อนโยนเป็นพิเศษ พระราชวังดูเงียบสงบเกินกว่าปกติเล็กน้อย กลีบเหมยที่ร่วงทับหิมะเริ่มละลาย เกิดเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ บนพื้นหิน และระหว่างที่ไป๋ซูเหยียนเดินผ่านสวนหลวงกลับจากตำหนักฉืออิง เงาของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านหน้า
หลี่เหยียน...
เขายืนอยู่กลางทางเดิน เงาของเขาขวางทางนางไว้อย่างสมบูรณ์ เขาไม่ได้แต่งองค์แบบท่านอ๋องในยามราชกิจ เพียงสวมชุดคลุมขาวลายเมฆจางเหมือนกับคืนนั้น คืนที่นางพบเขาครั้งแรกใต้ต้นเหมย ดวงตาของเขาสบกับนาง แม้จะนิ่งสงบ แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ความเย็นชา แต่เป็นแววตาที่กล้าเผชิญ
ไป๋ซูเหยียนหยุดยืนตรงหน้าเขาทั้งสองยืนอยู่ท่ามกลางกลีบเหมยที่ร่วงลงรอบตัว ไม่มีเสียงพิณ ไม่มีบทกลอน มีเพียงคำถามที่เคยอยากถาม และคำตอบที่ไม่มีใครเอื้อนเอ่ย
และแล้วหลี่เหยียนก็พูดขึ้นในที่สุด “ข้าไม่เคยลืมคำสัตย์ใต้ต้นเหมย”
นางเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเม้มแน่น แววตานิ่ง แต่น้ำใส ๆ เอ่อคลออยู่ในหางตา
“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงไม่พูด?”
“เพราะข้ากลัวว่า หากข้าพูดก่อน เจ้าจะคิดว่ามันคือแผนของราชสำนัก”
“แล้วถ้าหม่อมฉันไม่พูดเลยล่ะ?” นางถามเสียงแผ่วเบา
“ข้าก็จะเฝ้ารอไปจนกว่ากลีบเหมยสุดท้ายจะร่วงหล่นลง”
และในขณะนั้นเอง กลีบเหมยหนึ่งกลีบก็ร่วงลงแตะไหล่ทั้งสองพร้อมกัน พวกเขามองตากัน และยิ้มให้กัน
รอยยิ้มแรกในรอบสิบปีของท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน เป็นรอยยิ้มที่มอบให้กับนางเพียงผู้เดียว
“ในวังหลวงที่เย็นเยียบ ยังมีหัวใจหนึ่งที่รอคอยการยิ้มจากอีกหัวใจหนึ่งเสมอ”
เสียงลมตอนเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านระเบียงเรือนไม้ กลิ่นชาดอกเหมยที่เพิ่งชงเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แสงแดดลอดผ่านบานประตูไม้ไผ่ที่แง้มออกครึ่งหนึ่ง ทาบเงาลวดลายบนผ้าไหมปักลายเหมยซึ่งคลุมอยู่บนเตียงนอนกว้างไป๋ซูเหยียนขยับตัวพลิกกายเล็กน้อย ปอยผมหลุดจากปิ่นหยกเคลื่อนไหลลงมาแนบแก้มขาวราวหยกนวล เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะแผ่วดังขึ้นใกล้ใบหูของนาง“หากเจ้าไม่ลุก แล้วใครจะรินชาให้ข้า?”นางปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้ายังเปื้อนรอยง่วงงุน“ท่านมิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วนะ? เหตุใดยังอวดอำนาจกับข้าได้อยู่อีก?”หลี่เหยียนนั่งพิงเสาเตียง ในมือถือพัดกระดูกงูพับครึ่ง พลิกไปมาอย่างว่าง่าย“อำนาจหรือ? ข้ามีแค่อำนาจเดียว คือการทำให้เจ้ารำคาญใจในตอนเช้า”นางกลอกตาเบา ๆ แล้วฝืนลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียง“หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะเปลี่ยนชาวันนี้เป็นชาดอกไม้ขมแทนชาดอกเหมย”เขาหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากล้าหรือ?”“ก็ลองดูสิ” นางยิ้มอย่างท้าทายแสงแดดอ่อนสาดกระทบใบหน้าทั้งสองที่ใกล้ชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรก มือที่สัมผัสกันเบา ๆ บนกล่องชา กลายเป็นเหตุให้หล
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกบางในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นเหมยแห่งคำสัตย์กลางพระราชวังยังคงผลิบานอย่างเงียบงาม กลีบดอกบางเบาลอยล่องบนสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชื่นชมในตำหนักกลาง พระราชพิธีสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเริ่มต้นอย่างสง่างาม ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน สวมชุดครุยพิธีเต็มยศ ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีด้วยใบหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างบนเก้าอี้รองพระเกียรติในชุดฉลองพระองค์ผ้ากรุทองอ่อน พรมผืนยาวที่ทอดยาวจากบันไดสู่แท่นพิธีประดับด้วยกลีบเหมยซึ่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เปล่งประกายเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนผืนแผ่นดินเหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร และแขกบ้านแขกเมืองต่างมาเข้าร่วมอย่างพร้อมใจ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงกลองพิธีบรรเลงรับแสงแห่งเช้าวันใหม่“วันนี้ เรามิได้แต่งตั้งเพียงบุคคลผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน แต่เราสถาปนาหัวใจของแผ่นดินด้วย” เสียงเสนาบดีผู้ดำเนินพิธีประกาศดังกังวานหลี่เหยียนคุกเข่าลงบนแท่น พร้อมรับมอบตราสัญลักษณ์ราชการ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทั้งห้องโถงเปี่ยมไปด้วยพลังของความศรัทธาหลังพิธีจบลง เข
ยามเช้าของฤดูเหมันต์เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนโยนที่ส่องทะลุม่านหิมะเหนือยอดหลังคาพระราชวัง วังหลวงที่เคยเงียบเย็นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใจของผู้คนใต้ต้นเหมยกลางลานตำหนักเย็น กลีบดอกผลิบานสะพรั่งในเวลาเดียวกันทั่วทั้งต้น สีชมพูสดแต้มแต่งหิมะขาว กลายเป็นภาพงดงามที่แม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องหยุดยืนมองด้วยสายตาไม่เชื่อไป๋ซูเหยียนเดินช้า ๆ ออกจากตำหนัก นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนา แต่สีเลือดฝาดบนแก้มบ่งบอกว่าสุขภาพเริ่มฟื้นตัวแล้ว ใบหน้ายิ้มบางนั้นเป็นสิ่งที่บ่าวไพร่หลายคนไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน“กลีบเหมยบานแล้ว...” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปรับกลีบดอกที่ลอยมาติดแขนเสื้อหลี่เหยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองนางโดยไม่หลบสายตา ท่านอ๋องสี่ในยามนี้ไม่ใช่ชายผู้เย็นชาอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้ในชีวิต“เจ้าดูสดใสขึ้นมาก” เขาเอ่ย“ก็เพราะท่านทำให้ข้ามีชีวิตอยู่” นางยิ้มให้เขา “และเพราะข้าไม่ต้องเฝ้ารอคำสัญญาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ยื่นมือจับมือของนางแน่นแนบอก“คำสัญญานั้น ข้า
หิมะตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน ปกคลุมยอดเขาและลานหินทั่วเขตวังหลวง จนต้นไม้บางต้นเริ่มโค้งกิ่งลงเพราะทานแรงลมไม่ไหว แต่ในตำหนักเย็นแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเงียบมานานกลับมีแสงไฟอบอุ่นลอดออกจากช่องหน้าต่างไม้ซูเหยียนนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเตาไฟในชุดคลุมหนาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าซีดจางเพราะพิษในร่างที่ยังไม่หายขาดจากพิธีเลือด แต่นัยน์ตานางกลับเปล่งแสงสว่างประหลาด ราวกับได้รับการปลุกจากภายในอย่างแท้จริงตรงข้ามกับนาง หลี่เหยียนนั่งเงียบในอาภรณ์สีดำสนิท หน้าตาเย็นชาเช่นเดิม แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า ความอ่อนโยนในดวงตาก็ชัดเจนจนไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป“ข้าเห็นภาพต้นเหมยในความฝัน” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “มันเหี่ยวเฉา ดอกโรยจนหมด แล้วจู่ ๆ ก็มีลมหายใจหนึ่งพัดผ่าน ทำให้มันผลิบานอีกครั้ง”หลี่เหยียนเอ่ยช้า ๆ “ข้าก็ฝันเช่นเดียวกัน เจ้าคือผู้ที่ทำให้มันบาน”นางหัวเราะเบา ๆ แล้วเงียบลง นัยน์ตาจับจ้องเตาไฟครู่หนึ่งก่อนเอ่ย“ท่านรู้หรือไม่ พิธีนั้น มิได้ลบความจำข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังฝากเศษพิษในเส้นชีพจร หากไม่ได้รับการรักษาในสิบวัน พิษนี้จะกลืนกินลมหายใจสุดท้ายของข้า”หลี่เหยียนหันขวับมาหานางทันที ใบหน้าเปลี่ยน
ลมหายใจเย็นยะเยือกพัดพาเอาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายเหนือยอดเขาเหมยซาน แสงจันทร์จาง ๆ ในคืนเดือนแรมทอผ่านม่านเมฆบาง ราวกับฉายภาพความรู้สึกในใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างสูงในอาภรณ์นักพรตสีเทาเข้ม ห่มเสื้อคลุมยาวแตะข้อเท้า ที่ชายเสื้อมีคราบเปื้อนจากการเดินทางไกล“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว…” หลี่เหยียนพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแตกแห้งสีเลือดจางเบื้องหน้าเขา คือประตูไม้เก่าแก่ที่ถูกตะไคร่จับหนาแน่น เป็นทางเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของอดีต สำนักหิมะดำเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีต้องห้าม และแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายไปในการศึกคราวก่อน แต่ข่าวลือยังคงลือว่ามีคนหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดชายหนุ่มยกมือลูบกระบี่ที่พาดบ่าซ้าย มันคือกระบี่เล่มเดียวกับที่เขาใช้ในศึกครั้งที่ช่วยซูเหยียนให้รอดจากพิธีเลือด ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วผ่านกระบี่นั้น ทำให้เขาหวนคิดถึงวินาทีที่ร่างของนางล้มลงในอ้อมแขนเขา“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังอีก ข้าจะทำตามนั้น”เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวห่มไหล่ นางเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลาง
ยามหนึ่งของค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดเขาเหมยซาน หิมะขาวสะท้อนแสงนวลราวผืนผ้าไหมที่คลี่ออกกลางสวรรค์ เสียงสายลมหนาวพัดหวีดหวิวพาเอากลีบเหมยปลิวไหวราวจะกระซิบบอกข่าวเงียบงันที่ลานกว้างหน้าศาลาไม้โบราณกลางหุบเขา หญิงสาวผู้หนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่สีดำเส้นบางราวสายไหม เส้นโซ่พาดผ่านลำแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ ข้อมือของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการดิ้นรน แม้สายตาจะพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา แต่นางยังพยายามเงยหน้าขึ้นจ้องแสงจันทร์“องค์หญิงอิงเยว่”เสียงขานนามเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา หญิงชราในอาภรณ์สีดำสนิทเดินออกมาจากศาลา ดวงตาของนางคมกริบ ดั่งผู้เฝ้ามองโลกมาหลายทศวรรษ“อีกไม่ถึงเจ็ดชั่วยาม พิธีจะเริ่ม เจ้าจะได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน ด้วยเลือดของเจ้า”หญิงชราเอื้อมมือแตะหน้าผากขององค์หญิงอิงเยว่ แล้วกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด ร่างขององค์หญิงกระตุกเล็กน้อยก่อนหมดสติไปอีกครั้งหอหลวงฝ่ายใน ตำหนักต้าหลี่เสียงบันลือจากรายงานขององครักษ์ด่วนพิเศษ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงกลายเป็นความอึมครึม หลี่เหยียนเดินลงจากบัลลังก์พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้