เมื่อใดที่วังหลวงเงียบผิดปกติ เมื่อนั้นมักมีสิ่งไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่เสมอ
หิมะยังคงตกต่อเนื่องเป็นวันที่ห้า ทางเดินหินเริ่มลื่นเกินปลอดภัย กลีบเหมยที่เคยงาม เริ่มแปรเปื้อนสีสนิมจากรองเท้าทหารและคราบเลือดเก่าที่ยังไม่ชำระออกหมด ภายในเขตวังหลัง มีตำหนักหนึ่งถูกปิดเงียบมาเกือบสิบปี ไม่มีผู้คน ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียงลมหายใจของผู้ใด
ตำหนักนั้นมีชื่อว่า “ตำหนักเยี่ยนหรู” หรือที่ผู้คนเรียกกันว่า “ตำหนักเย็น”
ยามเฉิน (07.00 น.) ตำหนักเฟิ่งเยว่
ไป๋ซูเหยียนสะดุ้งจากนิทราเมื่อจิ่นฮวาวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน
“คุณหนู! เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
ซูเหยียนลุกขึ้นทันที “มีเรื่องอันใด?”
“ขันทีตำหนักในค้นพบของบางอย่างที่...ที่ตำหนักเย็นเจ้าค่ะ! ท่านแม่ทัพเวรกลางคืนรายงานขึ้นไปยังเบื้องบน ว่ามีคนเห็นแสงเทียนจากตำหนักเยี่ยนหรูทั้งที่ควรปิดตายมาสิบปีแล้ว!”
ไป๋ซูเหยียนขมวดคิ้วทันที “ตำหนักเย็น...?”
“ใช่เจ้าค่ะ เป็นตำหนักที่แต่ก่อนเคยมีพระชายาทรงอาคมอาศัยอยู่ นางถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการตายขององค์ชายรอง และถูกเนรเทศเข้าตำหนักเย็น ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
เสียงจิ่นฮวาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ส่วนไป๋ซูเหยียนนิ่งงัน เรื่องของตำหนักเย็นเคยเป็นเพียงตำนานที่เงียบหายที่ไม่มีใครกล้ากล่าวถึงอย่างเต็มเสียง
แต่การที่อยู่ ๆ มีแสงเทียนปรากฏขึ้น ราวกับมีใครบางคนอยากให้ความลับที่ถูกกลบด้วยหิมะฟื้นคืนตำหนักหย่งจิ้ง
หลี่เหยียนเพิ่งฟื้นขึ้นในเช้าวันเดียวกัน แผลที่ไหล่ยังร้าวรานแต่แววตากลับคมชัดยิ่งกว่าเดิม เมื่อเขาได้รับรายงานข่าวเรื่องตำหนักเย็น เขาเพียงพูดเสียงต่ำว่า
“เตรียมตัว”
อวี้กงกงรีบคุกเข่ารับคำ “จะเสด็จไปด้วยพระองค์เองเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ตำหนักนั้น ข้าควรเห็นด้วยตาตนเองตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว”
ยามซื่อปลาย (10.00 น.) ด้านนอกตำหนักเย็น
กลุ่มทหารยืนประจำตำแหน่งพร้อม เสาหินหน้าตำหนักแตกร้าวเพราะลมและน้ำแข็งกัดกร่อนมานาน ประตูไม้เก่าถูกปิดผนึกด้วยยันต์ห้ามเปิดที่ลายหมึกซีดจนแทบไม่เหลือร่องรอย
หลี่เหยียนมาถึงเป็นคนแรก ชุดคลุมสีดำปักมังกรเงินสะบัดในลมหนาว สายตาเขาจับจ้องประตูบานนั้นราวกับเห็นเงาของใครบางคนยืนรออยู่ข้างใน
“เปิดมันซะ” เขาออกคำสั่ง
ทหารสองนายค่อย ๆ กระชากผนึกยันต์และเปิดประตูออกพร้อมกัน เสียงไม้แห้งกรอบขาดสะบั้นดังลั่น ตามด้วยกลิ่นอับชื้นและฝุ่นหนา ทุกคนเงียบกริบ ภายในคือห้องว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยเงาเงียบ มีเพียงสิ่งเดียวที่ตั้งอยู่กลางห้อง
นั่นก็คือโต๊ะไม้เล็ก ๆ กับกล่องปิดผนึกตรา ‘เหมยซ้อน’
หลี่เหยียนเดินเข้าไปด้วยตนเอง อวี้กงกงพยายามห้ามแต่ก็ไม่สำเร็จ เขาเปิดกล่องด้วยมือเปล่า ด้านในม้วนกระดาษโบราณสีเหลืองซีดจำนวนหนึ่ง และ “หนังสือบทกลอน” เล่มบางที่เย็บด้วยด้ายแดง เขาเปิดอ่าน ดวงตาเปลี่ยนไปในทันที หน้าแรกของหนังสือเขียนไว้ด้วยลายมือของสตรี
“แด่เจ้า ผู้เคยให้คำสัตย์ใต้ต้นเหมย”
“หากเจ้าได้พบสมุดเล่มนี้ ข้าอาจไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่อย่างน้อย ความลับในวังนี้ จะไม่ตายไปพร้อมข้า”
หลี่เหยียนพลิกหน้าหนังสือกลอนทีละแผ่น เสียงกระดาษเก่าแห้งดังกรอบเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดของตำหนักเย็น ทุกประโยค ทุกบทกลอน มีแต่ชื่อหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า "เหมยอวี้"
“ข้าชื่อเหมยอวี้ ข้าเคยเป็นพระชายารอง ข้ารักเขา แม้เขาจะไม่เคยหันมามองข้า”
“และข้ากลัวที่สุด เมื่อรู้ว่าเขารักหญิงอื่น”
“กลีบเหมยร่วงลงบนศพขององค์ชายรอง ใคร ๆ ก็ต่างกล่าวหาข้าว่าเป็นคนปลิดชีวิตเขา ทั้งที่ข้าก็เป็นแค่คนที่เฝ้ารอคำสัตย์จากชายผู้หนึ่งเหมือนกัน”
ด้านนอกตำหนักเย็น ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ไป๋ซูเหยียนมาถึงด้วยใจที่ไม่เข้าใจว่าตนมาที่นี่ทำไม นางเพียงรู้ว่า หัวใจเรียกร้องให้มองหาความจริงและเมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนักเย็น เสียงหนึ่งก็กระซิบจากในเงา เป็นเสียงของม่อเสวี่ย
“อย่าเปิดเข้าไป ถ้าไม่พร้อมจะเห็นอดีตของเขา”
“อดีตของใคร?” ซูเหยียนถามกลับ
ม่อเสวี่ยไม่ตอบตรง ๆ เขาเพียงวางกล่องไม้เล็ก ๆ ลงตรงหน้าตำหนัก แล้วถอยหลังหายไปในเงาหิมะ
บนฝากล่องสลักคำว่า “คำสัตย์ใต้ดอกเหมย” เอาไว้ชัดเจน
ภายในตำหนักเย็น หลี่เหยียนนั่งลงข้างโต๊ะ ในมือยังถือหนังสือกลอนเล่มนั้นไว้แน่น ก่อนที่บางแผ่นจะหลุดร่วงลงบนพื้น หน้าหนึ่งปรากฏกลอนแสนสั้น
“ใต้ต้นเหมย ข้ายังคงเฝ้ารอเจ้าแม้หิมะจะกลบลมหายใจ”
“เจ้ามิใช่เหมยอวี้ แต่เจ้าก็เคยมอบผ้าคลุมกลิ่นหอมให้ข้าเช่นเดียวกัน”
หลี่เหยียนนิ่งงัน ดวงตาเงียบราวไม่หายใจ
ใช่…เขาเคยมอบผ้าคลุมให้เด็กหญิงคนหนึ่งในวัยเยาว์ คืนหิมะแรกในสวนหลวงใต้ต้นเหมย เขาเห็นนางร้องไห้ เขาจึงถอดผ้าคลุมของตนวางคลุมไหล่นางไว้ แล้วเขาก็ลืมไปหมด ลืมว่านางชื่ออะไร ลืมว่านางคือผู้ใด
ตอนนั้น เขาเพิ่งอายุสิบสี่ปี เป็นองค์ชายที่ถูกส่งมาอยู่ในวังรอง ห่างไกลอำนาจ และเด็กหญิงคนนั้น...
“นางอาจเป็น ไป๋ซูเหยียน”
หลี่เหยียนหลับตาแน่น มือนั้นสั่นเครือ ไม่ใช่เพราะแผลที่บ่า แต่เพราะใจที่เจ็บลึกยิ่งกว่าบาดแผลใด ๆ
หน้าตำหนักเย็น
ไป๋ซูเหยียนเปิดกล่องไม้ที่ม่อเสวี่ยทิ้งไว้ภายในมีเพียงสิ่งเดียว “กระดุมหยกกลีบเหมย” สีชมพูซีด นางจำมันได้ทันที กระดุมชิ้นนี้ คือของที่นางเคยทำหล่นไว้ในสวนหลวงตอนยังเป็นเด็ก ในคืนหิมะแรกที่นางร้องไห้ ก่อนจะมีใครบางคนมาคลุมผ้าให้ และหายไปกับหิมะ
กลีบเหมย...
กระดุม... กลิ่นผ้า... คำสัตย์...ทุกอย่างกำลังเชื่อมโยงเข้าหากันอย่างเชื่องช้า ลึกซึ้งและเจ็บปวด เด็กชายที่นางเฝ้าคะนึงหาอาจไม่ใช่ม่อเสวี่ย หากแต่เป็นหลี่เหยียน
ยามบ่ายของวันนั้น แสงอาทิตย์หายไปหลังม่านเมฆหิมะที่หนาทึบ ภายในตำหนักเย็นเงียบสงัด หลี่เหยียนยังนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้เก่า หนังสือกลอนยังอยู่ในมือ แม้ลมหิมะจากช่องไม้ที่ผุกร่อนจะพัดเข้ามาจนเย็นเฉียบ
บานประตูไม้ส่งเสียงเอี๊ยดเบา ไป๋ซูเหยียนก้าวเข้ามา ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใด นางเดินตรงไปยังชายผู้มีศักดิ์เป็นท่านอ๋อง ดวงตาทั้งคู่สบกัน และในห้วงวินาทีนั้นเอง
เงาอดีตทับซ้อนกับปัจจุบัน เด็กหญิงที่ร้องไห้ใต้ต้นเหมย เด็กชายที่ยื่นผ้าคลุมให้ กระดุมกลีบเหมยที่หล่น และถ้อยคำที่ไม่มีใครพูดออกมาในวันนั้น ทุกอย่างต่างผุดขึ้นมาพร้อมกัน“ท่านจำได้แล้วหรือ” ไป๋ซูเหยียนเอ่ยเสียงแผ่ว
หลี่เหยียนไม่ตอบ แต่เขายื่นหนังสือกลอนให้นางอย่างเงียบงัน นางรับมันมาและเปิดดู เมื่อสายตาเจอกลอนบทนั้น น้ำตาเงียบก็ร่วงเผาะลงบนกระดาษทันที
“ใต้ต้นเหมย ข้าเฝ้ารอเจ้าแม้หิมะจะกลบลมหายใจ”
นางกระซิบว่า “ตอนนั้น หม่อมฉันก็เฝ้ารอท่านกลับมา แต่หม่อมฉันไม่รู้เลย ว่าท่านคือท่านอ๋องที่หม่อมฉันเคยหวาดกลัวยิ่งนัก”
หลี่เหยียนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แววตาในวันนี้ต่างจากทุกวันก่อนหน้า ไม่เย็นชา ไม่ห่างเหิน หากแต่เต็มไปด้วยเงาความรู้สึกที่ไม่เคยเอื้อนเอ่ย
“ข้าเองก็ไม่เคยรู้ว่า เด็กหญิงในคืนหิมะแรกนั้นคือเจ้า ข้าจำกลิ่นผ้า จำกระดุมกลีบเหมยได้ แต่ข้าคิดว่า มันคงเป็นเพียงความฝันในคืนเหมันต์ฤดู”
ซูเหยียนยิ้มทั้งน้ำตา “แล้วตอนนี้ล่ะ? ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่ ว่าหม่อมฉันคือนางในวันนั้น”
ท่านอ๋องสี่ไม่ตอบ เขาเพียงค่อย ๆ ยื่นมือไปแตะกระดุมหยกในมือของนาง แล้วพูดด้วยเสียงที่อบอุ่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“คำสัตย์ที่เคยให้กับเจ้า ข้ายังจำได้เสมอ”
เสียงลมกรรโชกดังขึ้นอีกครั้ง ม่านหิมะขาวกระพือเข้ามาในตำหนักเย็น กลีบเหมยสีจางจากต้นนอกหน้าต่างปลิวเข้ามาในห้องอย่างน่าอัศจรรย์
ซูเหยียนเอื้อมมือรับกลีบเหมยไว้หนึ่งกลีบ มองมันในมือตนก่อนจะกล่าวแผ่วเบา
“หิมะปีนี้ หนาวยิ่งนัก แต่หัวใจของหม่อมฉันกลับอบอุ่นยิ่งกว่า”
หลี่เหยียนยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เพราะเจ้าคือคำสัตย์ใต้ดอกเหมย ที่ข้าเฝ้ารอมาตลอดสิบปี”
ณ เย็นวันเดียวกัน พระตำหนักหย่งจิ้ง
ข่าวลือเริ่มแพร่ไปทั่วว่าท่านอ๋องสี่กับว่าที่พระชายาได้พบของบางอย่างในตำหนักเย็น ข่าวลือยังกล่าวว่าท่านอ๋องสี่อาจมีพระชายาเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งขัดต่อธรรมเนียมราชวงศ์ที่ควรมีสี่คน
ฝ่ายราชสำนักเริ่มขยับตัวอย่างเงียบ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มขุนนางเก่าและพรรค ตระกูลหลี่ที่ไม่พอใจการหมั้นหมายกับสตรีตระกูลไป๋
ที่วังหน้าหลวง ขุนนางกลุ่มหนึ่งนั่งประชุมลับในห้องทึบ
“หากท่านอ๋องสี่แต่งหญิงเดียว ราชสำนักจะเสียดุล”
“แถมยังเป็นหญิงที่เคยมีมลทินจากตระกูลแม่ทัพ ไม่คู่ควร”
“เราต้องรีบจัดการก่อนที่พิธีสมรสจะประกาศออกไป”
และในเงามืดที่ไม่ใครเห็น มีใครบางคนที่เฝ้าฟังอยู่...
เช้าวันถัดมา ตำหนักเฟิ่งเยว่
จิ่นฮวาเปิดผ้าม่านหน้าต่าง เสียงกระซิบเบา ๆ ในเช้าวันใหม่ดังขึ้น
“คุณหนู เมื่อคืนมีผู้ลอบเข้าตำหนักเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือนเขาแค่ เอาหนังสือเล่มหนึ่งมาวางไว้ที่โต๊ะ”
ซูเหยียนลุกขึ้น เดินไปยังโต๊ะกลางห้อง ที่นั่น มีหนังสือเล่มหนึ่งถูกวางทิ้งไว้ หน้าปกหนังสือวาดลวดลาย “เหมยบานใต้หิมะ” และแผ่นเปิดหน้าแรก เขียนด้วยลายมือคุ้นตา
“หากเจ้าต้องเลือกระหว่างความรักกับแผ่นดิน เจ้าจะเลือกสิ่งใด?”
และที่มุมกระดาษ มีชื่อเขียนไว้ “ม่อเสวี่ย”
คืนหิมะที่หนึ่ง เผยคำสัตย์
คืนหิมะที่สอง เผยเงาของผู้เฝ้ามอง...
เสียงลมตอนเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านระเบียงเรือนไม้ กลิ่นชาดอกเหมยที่เพิ่งชงเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แสงแดดลอดผ่านบานประตูไม้ไผ่ที่แง้มออกครึ่งหนึ่ง ทาบเงาลวดลายบนผ้าไหมปักลายเหมยซึ่งคลุมอยู่บนเตียงนอนกว้างไป๋ซูเหยียนขยับตัวพลิกกายเล็กน้อย ปอยผมหลุดจากปิ่นหยกเคลื่อนไหลลงมาแนบแก้มขาวราวหยกนวล เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะแผ่วดังขึ้นใกล้ใบหูของนาง“หากเจ้าไม่ลุก แล้วใครจะรินชาให้ข้า?”นางปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้ายังเปื้อนรอยง่วงงุน“ท่านมิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วนะ? เหตุใดยังอวดอำนาจกับข้าได้อยู่อีก?”หลี่เหยียนนั่งพิงเสาเตียง ในมือถือพัดกระดูกงูพับครึ่ง พลิกไปมาอย่างว่าง่าย“อำนาจหรือ? ข้ามีแค่อำนาจเดียว คือการทำให้เจ้ารำคาญใจในตอนเช้า”นางกลอกตาเบา ๆ แล้วฝืนลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียง“หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะเปลี่ยนชาวันนี้เป็นชาดอกไม้ขมแทนชาดอกเหมย”เขาหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากล้าหรือ?”“ก็ลองดูสิ” นางยิ้มอย่างท้าทายแสงแดดอ่อนสาดกระทบใบหน้าทั้งสองที่ใกล้ชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรก มือที่สัมผัสกันเบา ๆ บนกล่องชา กลายเป็นเหตุให้หล
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกบางในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นเหมยแห่งคำสัตย์กลางพระราชวังยังคงผลิบานอย่างเงียบงาม กลีบดอกบางเบาลอยล่องบนสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชื่นชมในตำหนักกลาง พระราชพิธีสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเริ่มต้นอย่างสง่างาม ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน สวมชุดครุยพิธีเต็มยศ ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีด้วยใบหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างบนเก้าอี้รองพระเกียรติในชุดฉลองพระองค์ผ้ากรุทองอ่อน พรมผืนยาวที่ทอดยาวจากบันไดสู่แท่นพิธีประดับด้วยกลีบเหมยซึ่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เปล่งประกายเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนผืนแผ่นดินเหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร และแขกบ้านแขกเมืองต่างมาเข้าร่วมอย่างพร้อมใจ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงกลองพิธีบรรเลงรับแสงแห่งเช้าวันใหม่“วันนี้ เรามิได้แต่งตั้งเพียงบุคคลผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน แต่เราสถาปนาหัวใจของแผ่นดินด้วย” เสียงเสนาบดีผู้ดำเนินพิธีประกาศดังกังวานหลี่เหยียนคุกเข่าลงบนแท่น พร้อมรับมอบตราสัญลักษณ์ราชการ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทั้งห้องโถงเปี่ยมไปด้วยพลังของความศรัทธาหลังพิธีจบลง เข
ยามเช้าของฤดูเหมันต์เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนโยนที่ส่องทะลุม่านหิมะเหนือยอดหลังคาพระราชวัง วังหลวงที่เคยเงียบเย็นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใจของผู้คนใต้ต้นเหมยกลางลานตำหนักเย็น กลีบดอกผลิบานสะพรั่งในเวลาเดียวกันทั่วทั้งต้น สีชมพูสดแต้มแต่งหิมะขาว กลายเป็นภาพงดงามที่แม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องหยุดยืนมองด้วยสายตาไม่เชื่อไป๋ซูเหยียนเดินช้า ๆ ออกจากตำหนัก นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนา แต่สีเลือดฝาดบนแก้มบ่งบอกว่าสุขภาพเริ่มฟื้นตัวแล้ว ใบหน้ายิ้มบางนั้นเป็นสิ่งที่บ่าวไพร่หลายคนไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน“กลีบเหมยบานแล้ว...” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปรับกลีบดอกที่ลอยมาติดแขนเสื้อหลี่เหยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองนางโดยไม่หลบสายตา ท่านอ๋องสี่ในยามนี้ไม่ใช่ชายผู้เย็นชาอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้ในชีวิต“เจ้าดูสดใสขึ้นมาก” เขาเอ่ย“ก็เพราะท่านทำให้ข้ามีชีวิตอยู่” นางยิ้มให้เขา “และเพราะข้าไม่ต้องเฝ้ารอคำสัญญาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ยื่นมือจับมือของนางแน่นแนบอก“คำสัญญานั้น ข้า
หิมะตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน ปกคลุมยอดเขาและลานหินทั่วเขตวังหลวง จนต้นไม้บางต้นเริ่มโค้งกิ่งลงเพราะทานแรงลมไม่ไหว แต่ในตำหนักเย็นแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเงียบมานานกลับมีแสงไฟอบอุ่นลอดออกจากช่องหน้าต่างไม้ซูเหยียนนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเตาไฟในชุดคลุมหนาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าซีดจางเพราะพิษในร่างที่ยังไม่หายขาดจากพิธีเลือด แต่นัยน์ตานางกลับเปล่งแสงสว่างประหลาด ราวกับได้รับการปลุกจากภายในอย่างแท้จริงตรงข้ามกับนาง หลี่เหยียนนั่งเงียบในอาภรณ์สีดำสนิท หน้าตาเย็นชาเช่นเดิม แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า ความอ่อนโยนในดวงตาก็ชัดเจนจนไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป“ข้าเห็นภาพต้นเหมยในความฝัน” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “มันเหี่ยวเฉา ดอกโรยจนหมด แล้วจู่ ๆ ก็มีลมหายใจหนึ่งพัดผ่าน ทำให้มันผลิบานอีกครั้ง”หลี่เหยียนเอ่ยช้า ๆ “ข้าก็ฝันเช่นเดียวกัน เจ้าคือผู้ที่ทำให้มันบาน”นางหัวเราะเบา ๆ แล้วเงียบลง นัยน์ตาจับจ้องเตาไฟครู่หนึ่งก่อนเอ่ย“ท่านรู้หรือไม่ พิธีนั้น มิได้ลบความจำข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังฝากเศษพิษในเส้นชีพจร หากไม่ได้รับการรักษาในสิบวัน พิษนี้จะกลืนกินลมหายใจสุดท้ายของข้า”หลี่เหยียนหันขวับมาหานางทันที ใบหน้าเปลี่ยน
ลมหายใจเย็นยะเยือกพัดพาเอาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายเหนือยอดเขาเหมยซาน แสงจันทร์จาง ๆ ในคืนเดือนแรมทอผ่านม่านเมฆบาง ราวกับฉายภาพความรู้สึกในใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างสูงในอาภรณ์นักพรตสีเทาเข้ม ห่มเสื้อคลุมยาวแตะข้อเท้า ที่ชายเสื้อมีคราบเปื้อนจากการเดินทางไกล“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว…” หลี่เหยียนพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแตกแห้งสีเลือดจางเบื้องหน้าเขา คือประตูไม้เก่าแก่ที่ถูกตะไคร่จับหนาแน่น เป็นทางเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของอดีต สำนักหิมะดำเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีต้องห้าม และแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายไปในการศึกคราวก่อน แต่ข่าวลือยังคงลือว่ามีคนหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดชายหนุ่มยกมือลูบกระบี่ที่พาดบ่าซ้าย มันคือกระบี่เล่มเดียวกับที่เขาใช้ในศึกครั้งที่ช่วยซูเหยียนให้รอดจากพิธีเลือด ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วผ่านกระบี่นั้น ทำให้เขาหวนคิดถึงวินาทีที่ร่างของนางล้มลงในอ้อมแขนเขา“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังอีก ข้าจะทำตามนั้น”เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวห่มไหล่ นางเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลาง
ยามหนึ่งของค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดเขาเหมยซาน หิมะขาวสะท้อนแสงนวลราวผืนผ้าไหมที่คลี่ออกกลางสวรรค์ เสียงสายลมหนาวพัดหวีดหวิวพาเอากลีบเหมยปลิวไหวราวจะกระซิบบอกข่าวเงียบงันที่ลานกว้างหน้าศาลาไม้โบราณกลางหุบเขา หญิงสาวผู้หนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่สีดำเส้นบางราวสายไหม เส้นโซ่พาดผ่านลำแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ ข้อมือของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการดิ้นรน แม้สายตาจะพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา แต่นางยังพยายามเงยหน้าขึ้นจ้องแสงจันทร์“องค์หญิงอิงเยว่”เสียงขานนามเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา หญิงชราในอาภรณ์สีดำสนิทเดินออกมาจากศาลา ดวงตาของนางคมกริบ ดั่งผู้เฝ้ามองโลกมาหลายทศวรรษ“อีกไม่ถึงเจ็ดชั่วยาม พิธีจะเริ่ม เจ้าจะได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน ด้วยเลือดของเจ้า”หญิงชราเอื้อมมือแตะหน้าผากขององค์หญิงอิงเยว่ แล้วกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด ร่างขององค์หญิงกระตุกเล็กน้อยก่อนหมดสติไปอีกครั้งหอหลวงฝ่ายใน ตำหนักต้าหลี่เสียงบันลือจากรายงานขององครักษ์ด่วนพิเศษ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงกลายเป็นความอึมครึม หลี่เหยียนเดินลงจากบัลลังก์พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้