รุ่งสาง พระราชวังต้าหลี่ เสียงฆ้องเตือนภัยสงบลงแล้ว แต่ความตึงเครียดยังคงแผ่คลุมทั่วพระราชวัง ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน ยืนอยู่เบื้องหน้าหอวางแผนสงคราม ใบหน้าสงบนิ่งแต่แววตาเคร่งเครียด
“พวกมันถอยกลับไปโดยไม่รุกล้ำเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว?”
หลี่เหยียนทวนคำที่องครักษ์รายงาน“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์คุกเข่ารายงาน “กลุ่มบุรุษชุดดำเคลื่อนไหวในความมืด แต่เมื่อเห็นกำลังเสริมจากตำหนักหลวงก็ถอยกลับไปทันที ไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้”
ท่านอ๋องสี่ไม่พูดอีก แต่ลอบกัดฟันแน่นกรอด
เขากลับมา และเขากำลังแสดงตัว แสดงตัวให้ผู้คนได้รู้ ถึงการกลับมาของเขา
ตำหนักเฟิ่งเยว่ ในเช้าวันเดียวกัน ไป๋ซูเหยียนยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลือง นางมองตนเองอย่างเงียบงัน ใบหน้าของหญิงสาวที่สะท้อนกลับมา ไม่เหมือนหญิงสาวในวัยเยาว์ผู้เคยเฝ้าฝันถึงเสียงพิณ ไม่ใช่หญิงสาวผู้อ่อนไหว แต่เป็นหญิงผู้กำลังยืนกลางสมรภูมิของอำนาจและหัวใจ
“ข้าควรทำอย่างไรดี...”
นางพึมพำ ดวงตาเต็มไปด้วยความลังเล ระหว่างคนผู้เคยช่วยชีวิตนาง กับคนที่ยืนอยู่เคียงข้างนางในทุกความมืดมิดของวังหลวง
ม่อเสวี่ย คือเงา
อี้เหวิน คืออดีตแล้วหลี่เหยียน…เขาคือใครในใจของนางกันแน่?
“คุณหนู!” เสียงจิ่นฮวาเรียกเข้ามาจากหน้าประตู “ท่านอ๋องสี่มาเจ้าค่ะ เขาต้องการพบท่าน”
ซูเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ย “ให้เขาเข้ามาเถิด”
หลี่เหยียนในยามเช้ามาในชุดคลุมสีเงินปักลายดอกเหมย เจตนาแน่ชัด ดวงตาที่มองนางไม่เหมือนเมื่อวันแรกที่พบกันอีกแล้ว
มันมิใช่ความเย็นชา แต่เป็นประกายของผู้กำลังกลัวว่าจะเสียบางสิ่งไป“เมื่อคืนนี้เจ้าบอกว่า เจ้าจะไม่กลับไปอดีต” เขาเอ่ยเสียงนิ่ง “แต่ถ้าวันหนึ่ง อดีตเดินเข้ามาหาเจ้าเองเล่า?”
ไป๋ซูเหยียนไม่ได้ตอบในทันที แต่นางกลับถามเขากลับ “ท่านเคยกลัวไหม ว่าหม่อมฉันจะเลือกเขา?”
หลี่เหยียนสบตานาง “เคย และตอนนี้ข้าก็ยังกลัวอยู่”
คำตอบนั้นทำให้ซูเหยียนเผลอยิ้มจาง ๆ เป็นรอยยิ้มเศร้าที่ทั้งอ่อนโยนและปวดร้าวในเวลาเดียวกัน
“หม่อมฉันก็เคยกลัวเช่นกัน กลัวว่าท่านอ๋องสี่ไม่ได้ต้องการหม่อมฉัน แต่แค่ต้องการใช้หม่อมฉันเพื่ออำนาจ”
หลี่เหยียนเดินเข้ามาใกล้ “ข้าต้องการเจ้า เพราะเจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้ข้ากลายเป็น ‘คน’ ไม่ใช่ ‘ท่านอ๋อง’”
“แต่คำสัตย์ของหม่อมฉัน...”
“คำสัตย์นั้น จงรักษามันไว้เถิด” เขาขัดขึ้น “แต่โปรดให้โอกาสข้า ได้พิสูจน์ว่า ข้าคือผู้ที่คู่ควรจะได้รับมันจากเจ้าในปัจจุบัน ไม่ใช่เงาใด ๆ จากวันวาน”
ตำหนักหลวง ยามสาย
ม่อเสวี่ยยืนอยู่นอกตำหนัก เขาเงยหน้ามองต้นเหมยที่ปลูกกลางสวน กลีบเหมยร่วงหล่นลงบนไหล่เสื้อของเขา ราวกับจะบอกลา เขาหลับตาลง คำพูดสุดท้ายของหลี่เหยียนในคืนก่อนยังไม่จางหายไปจากห้วงความคิด
“เจ้ามีสิทธิ์จะรัก แต่ไม่มีสิทธิ์จะอยู่”
“เพราะเงา ไม่มีวันกลายเป็นตัวจริงได้”
ม่อเสวี่ยถอนหายใจเบา ๆ “หากข้าเคยหวัง ก็ขอให้มันจบลงที่นี่”
ขณะเดียวกัน ณ ชานเมืองตะวันตก กลุ่มคนในชุดดำเดินทางเข้าสู่พื้นที่วังเวง เบื้องหน้าคือชายผู้ผูกผ้าปิดตา เขาเอ่ยเสียงเบาราวกับลมหิมะ
“ถึงเวลาที่จะให้นางจำได้ว่า ผู้ใดกันแน่ที่ให้คำสัตย์ไว้ใต้ต้นเหมยกับนาง”
ยามบ่าย ห้องเก็บสมุดบันทึกหลวง
ตำหนักเก็บบันทึกหลวงเป็นสถานที่ที่น้อยคนนักจะเข้าออกบรรยากาศด้านในเงียบสงัด มีเพียงเสียงขนนกขูดกับกระดาษ และเสียงแผ่วเบาของลมหิมะลอดผ่านหน้าต่าง ไป๋ซูเหยียนได้รับอนุญาตให้เข้าไปศึกษาบันทึกราชสำนักหลังเหตุการณ์เมื่อคืน นางกำลังตามหาความจริง ความจริงเกี่ยวกับชื่อ “ซืออี้เหวิน”
ในกองเอกสารฉบับเก่าแก่ มือของนางหยุดลงที่บันทึกม้วนหนึ่งซึ่งห่อด้วยผ้าขาวซีด มีตราราชวงศ์สีซีดจาง ตัวอักษรบนนั้นเขียนไว้ว่า
“บันทึกแห่งคำสัตย์ใต้หิมะ ปีเจี่ยอวี๋”
ซูเหยียนคลี่กระดาษอย่างช้า ๆ ในนั้นเขียนว่า
“ทายาทราชวงศ์ตะวันตก ‘ซืออี้เหวิน’ รอดจากการกวาดล้าง หนีสู่ภูเขาเหมยซาน และได้สาบานคำสัตย์ร่วมกับบุตรสาวตระกูลแม่ทัพแห่งต้าหลี่ ว่าจะกลับมาในวันที่ดอกเหมยบาน เพื่อทวงคืนทุกอย่าง...”
ใบหน้าของนางชาวูบ มือที่ถือกระดาษสั่นไหว
“คำสัตย์ที่ว่านั้น คือข้าเอง”
ตำหนักว่างเปล่าในเขตต้องห้าม ยามเดียวกัน ม่อเสวี่ยยืนอยู่เบื้องหน้าอาคารร้างกลางสวนหิมะ สถานที่แห่งนี้ไม่มีใครเข้าใกล้มาหลายปี เขามองมันเงียบ ๆ ก่อนหยิบผ้าผืนหนึ่งออกจากแขนเสื้อมันคือ “ผ้าคลุมหิมะสีขาว” ปักลายดอกเหมย ที่ซูเหยียนเคยใส่เมื่อวัยเด็ก เขาเคยเก็บมันไว้หลังจากช่วยนางจากหิมะถล่มในปีนั้น เพียงเพราะ กลัวนางจะลืมเขา...
“แต่สุดท้ายแล้ว เจ้าก็ลืมจริง ๆ” เขาพึมพำพร้อมกับยิ้มเศร้า
เสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง หลี่เหยียนก้าวเข้ามาในเงาอย่างเงียบเชียบ
“เจ้ายังอยู่ที่นี่อีกหรือ”
ม่อเสวี่ยไม่หันกลับ “กระหม่อมจะไปแล้ว” เขาตอบสั้น
“แล้วเจ้าจะทิ้งอะไรไว้หรือไม่?” หลี่เหยียนถามเสียงเรียบ
“กระหม่อมทิ้งไปนานแล้ว” ม่อเสวี่ยตอบ
“รวมถึงความรู้สึกที่มีต่อนางด้วยหรือ?”
ม่อเสวี่ยนิ่งไป ก่อนจะกล่าวเบา ๆ “หากคำสัตย์เดิมไม่มีค่า กระหม่อมก็จะไม่ฝืนมันอีก”
หลี่เหยียนมองชายตรงหน้าที่เปรียบเสมือนเงาของตนเอง เขาเคยใช้ม่อเสวี่ยเพื่อทดลองว่า หัวใจของไป๋ซูเหยียนยังอยู่หรือไม่แต่ตอนนี้ เขาไม่แน่ใจอีกแล้วว่า ระหว่างเขากับเงาคนนั้น นางรักใครกันแน่
วังชั้นนอก ยามเย็น
ซืออี้เหวินในชุดสีขาว เดินอย่างเงียบงันไปตามตรอกด้านหลังวัง แม้จะมีองค์รักษ์คุ้มกันแน่นหนา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เบื้องหน้าคือกำแพงวังสูงตระหง่าน เขาเงยหน้ามองมันอย่างเงียบ ๆ แล้วกล่าวเสียงเบา
“ข้ายืนอยู่ตรงนี้ ตรงที่เดิม แต่นางจะเดินออกมาหาข้าหรือไม่?”
กลีบเหมยร่วงอีกหนึ่งกลีบ เหมือนหัวใจใครบางคนกำลังหล่นหาย...
ยามค่ำคืน ตำหนักเฟิ่งเยว่
ลมหนาวกระหน่ำหน้าต่างดังอื้ออึง ไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่หน้าตะเกียงน้ำมันที่ริบหรี่ ดวงตานางจ้องกระดาษบันทึกเก่าในมือที่เขียนชื่อ “ซืออี้เหวิน” ซ้ำไปซ้ำมา ในใจของนางเต็มไปด้วยเสียงกระซิบของความทรงจำ และบทเพลงที่ยังไม่จางหาย
เด็กชายคนนั้นคือซืออี้เหวิน ผู้ให้คำสัตย์ต่อนางภายใต้ต้นเหมย แต่ในช่วงเวลาที่นางเติบโตขึ้นมา ผู้ที่อยู่ข้างนางในทุกการเปลี่ยนแปลง ก็คือท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน
ถึงแม้เขาจะเย็นชา ถึงแม้เขาจะไม่เคยยิ้มให้ใคร แต่ก็เป็นเขาที่อยู่ในเงา คอยผลักดัน คอยปกป้อง และเตือนนางเสมอว่า “จงอย่าหวั่นไหวในวังหลวง”
แล้วหัวใจของนางล่ะ มันกำลังจะเอนเอียงไปทางใด?
ยามหนึ่ง ศาลากลางสวนต้องห้าม
ม่อเสวี่ยนั่งอยู่ใต้ต้นเหมยต้นเดิม พิณไม้สีเข้มตั้งอยู่เบื้องหน้า มือของเขาขยับไล้เส้นสายทีละสาย ราวกับกำลังเล่นกับเงาของอดีต
“อิงฮวาเจียงเสวี่ย...” (กลีบเหมยโปรยกลางหิมะไกล) บทเพลงเก่าดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเพลงเดียวกันกับในวัยเยาว์
ไป๋ซูเหยียนเดินตามเสียงนั้นมา นางหยุดอยู่หลังม่านไม้ไผ่ ไม่กล้าเข้าใกล้ ดวงตาของนางร้อนผ่าว น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ
เสียงนี้...มันช่างคุ้นเหลือเกิน มันคือบ้านในวัยเยาว์คือความอบอุ่นที่หายไปในหิมะ
“เจ้า...ยังรักข้าอยู่หรือไม่?”
เสียงของนางดังขึ้นในความเงียบ ทำให้พิณหยุดกะทันหัน ม่อเสวี่ยไม่หันมา แต่ก็ตอบกลับคำถามของนาง
“ข้าไม่เคยหยุดรัก...แต่ข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“เพราะเวลาที่เจ้ามองข้า เจ้าไม่ได้มองด้วยหัวใจอีกต่อไป แต่มองด้วยความรู้สึกผิด”
ทุกอย่างเงียบลง ไม่มีคำตอบใดจากนาง
“ไปเถอะ ซูเหยียน” เขาพูดเสียงแผ่ว “กลับไปหาคนที่เจ้ามองด้วยดวงตาคู่นั้นเถิด ข้ารู้ว่าแววตาแบบนั้น ข้าไม่เคยได้รับอีกเลย ตั้งแต่วันที่เจ้าพบเขา”
ไป๋ซูเหยียนหลับตาลง นางไม่รู้ว่าความรักควรเป็นอย่างไร
แต่นางรู้ว่า ผู้ที่ทำให้นางเติบโตก็คือเขา แต่ผู้ที่ทำให้นางมีชีวิตอยู่ในวันนี้ คือหลี่เหยียนนางเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรต่ออีก ไม่มีเสียงบรรเลงพิณอีกต่อไป เหลือเพียงเสียงกลีบเหมยที่ร่วงลงทีละกลีบ ไม่ต่างจากหัวใจของม่อเสวี่ยที่กำลังหล่นร่วงไปกับหิมะ
ตำหนักหย่งจิ้ง ยามดึก
หลี่เหยียนนั่งรออยู่บนแท่นไม้ จนเมื่อเสียงฝีเท้าของนางดังเข้ามา เขาก็รีบลุกขึ้นในทันที ร่างสูงหมุนตัวมามองนางโดยไม่เอ่ยคำใดสักคำ ไป๋ซูเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาแดงเรื่อ นางเอ่ยเสียงเบาแต่มั่นคง
“ข้าจะไม่หันกลับไปอีกแล้ว”
ด้วยถ้อยคำเพียงเท่านั้น ท่านอ๋องสี่ก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มครั้งที่สามในรอบหลายปี แม้เพียงบางเบา แต่มันกลับสว่างกว่าแสงตะเกียงทั้งตำหนัก
ยามรุ่งสาง ประตูวังทิศตะวันออก
ม่านหมอกแห่งหิมะยังไม่จาง กลีบเหมยร่วงโรยปกคลุมพื้นดิน ม่อเสวี่ยเดินช้า ๆ ไปยังประตูเมือง ร่างของเขาดูเล็กลงเมื่อยืนอยู่ใต้ซุ้มประตูใหญ่ ไม่มีขบวนส่ง ไม่มีคำร่ำลาใด ๆ เขาเพียงมองขึ้นไปยังผืนนภาที่มีเงาตำหนักหลวงอยู่ไกล ๆ สายตาเงียบงันดุจหิมะที่หยุดตก มือหนึ่งของเขากำกล่องไม้ใบเล็ก กล่องที่มีผ้าคลุมสีขาวปักลายเหมยอยู่ภายในนั้น มันคือของขวัญจากวันวาน ที่เขาจะนำติดตัวไปด้วยในทุก ๆ วัน
“ข้าอาจไม่ใช่คนในความทรงจำของเจ้าอีกต่อไป” เขาพึมพำ “แต่ข้าจะยังเป็นเงา ที่เฝ้าดูเจ้าในเงาเหมยนี้ต่อไป ตราบจนวันตาย”
ตำหนักเฟิ่งเยว่ เวลาเดียวกัน
ไป๋ซูเหยียนยืนมองออกนอกหน้าต่าง กลีบเหมยปลิวว่อนในลมเช้า มีกลิ่นหอมบาง ๆ ลอยมาปะทะปลายจมูก
นางหลับตาลง ในห้วงความคิด มีทั้งเสียงพิณ และเสียงดาบ มีทั้งบทกลอน และคำสาบาน มีทั้งม่อเสวี่ยและหลี่เหยียน...
แต่ตอนนี้ ในใจของนาง มีเพียงเสียงเดียวเท่านั้น เสียงของหัวใจตนเองที่เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ข้าเลือกแล้ว”
ประตูตำหนักเปิดออก ท่านอ๋องสี่ยืนอยู่ที่นั่น ใบหน้าของเขานิ่งขรึม แต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน
ไป๋ซูเหยียนเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ ไม่มีคำพูดใด ๆ เอื้อนเอ่ยออกมา นางเพียงยื่นมือให้เขา จากนั้นหลี่เหยียนก็กุมมือของนางแน่น เขาจะไม่ปล่อยมือนี้อีกต่อไป
หลายวันต่อมา ลานพิธีหลวง
ราชโองการประกาศอย่างเป็นทางการในพระราชวังถูกประกาศ
“เพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ เพื่อรักษาสัญญาระหว่างบัลลังก์กับราษฎร ขอประกาศยืนยันการแต่งตั้ง พระชายาท่านอ๋องสี่ นามว่า ไป๋ซูเหยียน ให้ดำรงตำแหน่ง ‘หวังเฟย’[1] อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่วันเหมยแรกบานของปีนี้เป็นต้นไป”
เสียงฆ้องกลองดังสนั่น ขบวนพิธีสง่างามเคลื่อนไปตามทางราชวัง แต่ภายใต้ความสงบนี้ ไม่มีใครรู้เลยว่า เงาแห่งอดีตกำลังแฝงเร้นอยู่
ชายแดน เมืองจินหลง
ชายผู้หนึ่งในชุดขาวยืนมองท้องฟ้าด้วยสายตาสงบนิ่ง มีเพียงดอกเหมยในมือที่ร่วงไปกับลมหนาว ข้างกายเขา มีแผนที่เมือง และกล่องไม้ที่ยังไม่เปิด เสียงทหารยามกระซิบกันอย่างหวั่นเกรง
“แม่ทัพเงาของราชวงศ์ตะวันตกกลับมาแล้ว...”
และเมื่อเขาก้าวเท้าไปข้างหน้า กลีบเหมยปลิวขึ้นอีกครั้ง ราวกับประกาศสงครามอันเงียบงันที่กำลังจะเริ่มขึ้น
“เจ้าเลือกเขาแล้วใช่หรือไม่ ซูเหยียน... เช่นนั้น ข้าจะเลือกสิ่งสุดท้ายที่ข้าเหลือ นั่นคือแผ่นดินของข้า”
[1] หวังเฟย คือ พระชายาเอกของอ๋อง
เสียงลมตอนเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านระเบียงเรือนไม้ กลิ่นชาดอกเหมยที่เพิ่งชงเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แสงแดดลอดผ่านบานประตูไม้ไผ่ที่แง้มออกครึ่งหนึ่ง ทาบเงาลวดลายบนผ้าไหมปักลายเหมยซึ่งคลุมอยู่บนเตียงนอนกว้างไป๋ซูเหยียนขยับตัวพลิกกายเล็กน้อย ปอยผมหลุดจากปิ่นหยกเคลื่อนไหลลงมาแนบแก้มขาวราวหยกนวล เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะแผ่วดังขึ้นใกล้ใบหูของนาง“หากเจ้าไม่ลุก แล้วใครจะรินชาให้ข้า?”นางปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้ายังเปื้อนรอยง่วงงุน“ท่านมิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วนะ? เหตุใดยังอวดอำนาจกับข้าได้อยู่อีก?”หลี่เหยียนนั่งพิงเสาเตียง ในมือถือพัดกระดูกงูพับครึ่ง พลิกไปมาอย่างว่าง่าย“อำนาจหรือ? ข้ามีแค่อำนาจเดียว คือการทำให้เจ้ารำคาญใจในตอนเช้า”นางกลอกตาเบา ๆ แล้วฝืนลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียง“หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะเปลี่ยนชาวันนี้เป็นชาดอกไม้ขมแทนชาดอกเหมย”เขาหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากล้าหรือ?”“ก็ลองดูสิ” นางยิ้มอย่างท้าทายแสงแดดอ่อนสาดกระทบใบหน้าทั้งสองที่ใกล้ชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรก มือที่สัมผัสกันเบา ๆ บนกล่องชา กลายเป็นเหตุให้หล
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกบางในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นเหมยแห่งคำสัตย์กลางพระราชวังยังคงผลิบานอย่างเงียบงาม กลีบดอกบางเบาลอยล่องบนสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชื่นชมในตำหนักกลาง พระราชพิธีสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเริ่มต้นอย่างสง่างาม ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน สวมชุดครุยพิธีเต็มยศ ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีด้วยใบหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างบนเก้าอี้รองพระเกียรติในชุดฉลองพระองค์ผ้ากรุทองอ่อน พรมผืนยาวที่ทอดยาวจากบันไดสู่แท่นพิธีประดับด้วยกลีบเหมยซึ่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เปล่งประกายเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนผืนแผ่นดินเหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร และแขกบ้านแขกเมืองต่างมาเข้าร่วมอย่างพร้อมใจ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงกลองพิธีบรรเลงรับแสงแห่งเช้าวันใหม่“วันนี้ เรามิได้แต่งตั้งเพียงบุคคลผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน แต่เราสถาปนาหัวใจของแผ่นดินด้วย” เสียงเสนาบดีผู้ดำเนินพิธีประกาศดังกังวานหลี่เหยียนคุกเข่าลงบนแท่น พร้อมรับมอบตราสัญลักษณ์ราชการ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทั้งห้องโถงเปี่ยมไปด้วยพลังของความศรัทธาหลังพิธีจบลง เข
ยามเช้าของฤดูเหมันต์เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนโยนที่ส่องทะลุม่านหิมะเหนือยอดหลังคาพระราชวัง วังหลวงที่เคยเงียบเย็นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใจของผู้คนใต้ต้นเหมยกลางลานตำหนักเย็น กลีบดอกผลิบานสะพรั่งในเวลาเดียวกันทั่วทั้งต้น สีชมพูสดแต้มแต่งหิมะขาว กลายเป็นภาพงดงามที่แม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องหยุดยืนมองด้วยสายตาไม่เชื่อไป๋ซูเหยียนเดินช้า ๆ ออกจากตำหนัก นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนา แต่สีเลือดฝาดบนแก้มบ่งบอกว่าสุขภาพเริ่มฟื้นตัวแล้ว ใบหน้ายิ้มบางนั้นเป็นสิ่งที่บ่าวไพร่หลายคนไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน“กลีบเหมยบานแล้ว...” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปรับกลีบดอกที่ลอยมาติดแขนเสื้อหลี่เหยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองนางโดยไม่หลบสายตา ท่านอ๋องสี่ในยามนี้ไม่ใช่ชายผู้เย็นชาอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้ในชีวิต“เจ้าดูสดใสขึ้นมาก” เขาเอ่ย“ก็เพราะท่านทำให้ข้ามีชีวิตอยู่” นางยิ้มให้เขา “และเพราะข้าไม่ต้องเฝ้ารอคำสัญญาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ยื่นมือจับมือของนางแน่นแนบอก“คำสัญญานั้น ข้า
หิมะตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน ปกคลุมยอดเขาและลานหินทั่วเขตวังหลวง จนต้นไม้บางต้นเริ่มโค้งกิ่งลงเพราะทานแรงลมไม่ไหว แต่ในตำหนักเย็นแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเงียบมานานกลับมีแสงไฟอบอุ่นลอดออกจากช่องหน้าต่างไม้ซูเหยียนนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเตาไฟในชุดคลุมหนาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าซีดจางเพราะพิษในร่างที่ยังไม่หายขาดจากพิธีเลือด แต่นัยน์ตานางกลับเปล่งแสงสว่างประหลาด ราวกับได้รับการปลุกจากภายในอย่างแท้จริงตรงข้ามกับนาง หลี่เหยียนนั่งเงียบในอาภรณ์สีดำสนิท หน้าตาเย็นชาเช่นเดิม แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า ความอ่อนโยนในดวงตาก็ชัดเจนจนไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป“ข้าเห็นภาพต้นเหมยในความฝัน” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “มันเหี่ยวเฉา ดอกโรยจนหมด แล้วจู่ ๆ ก็มีลมหายใจหนึ่งพัดผ่าน ทำให้มันผลิบานอีกครั้ง”หลี่เหยียนเอ่ยช้า ๆ “ข้าก็ฝันเช่นเดียวกัน เจ้าคือผู้ที่ทำให้มันบาน”นางหัวเราะเบา ๆ แล้วเงียบลง นัยน์ตาจับจ้องเตาไฟครู่หนึ่งก่อนเอ่ย“ท่านรู้หรือไม่ พิธีนั้น มิได้ลบความจำข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังฝากเศษพิษในเส้นชีพจร หากไม่ได้รับการรักษาในสิบวัน พิษนี้จะกลืนกินลมหายใจสุดท้ายของข้า”หลี่เหยียนหันขวับมาหานางทันที ใบหน้าเปลี่ยน
ลมหายใจเย็นยะเยือกพัดพาเอาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายเหนือยอดเขาเหมยซาน แสงจันทร์จาง ๆ ในคืนเดือนแรมทอผ่านม่านเมฆบาง ราวกับฉายภาพความรู้สึกในใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างสูงในอาภรณ์นักพรตสีเทาเข้ม ห่มเสื้อคลุมยาวแตะข้อเท้า ที่ชายเสื้อมีคราบเปื้อนจากการเดินทางไกล“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว…” หลี่เหยียนพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแตกแห้งสีเลือดจางเบื้องหน้าเขา คือประตูไม้เก่าแก่ที่ถูกตะไคร่จับหนาแน่น เป็นทางเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของอดีต สำนักหิมะดำเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีต้องห้าม และแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายไปในการศึกคราวก่อน แต่ข่าวลือยังคงลือว่ามีคนหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดชายหนุ่มยกมือลูบกระบี่ที่พาดบ่าซ้าย มันคือกระบี่เล่มเดียวกับที่เขาใช้ในศึกครั้งที่ช่วยซูเหยียนให้รอดจากพิธีเลือด ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วผ่านกระบี่นั้น ทำให้เขาหวนคิดถึงวินาทีที่ร่างของนางล้มลงในอ้อมแขนเขา“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังอีก ข้าจะทำตามนั้น”เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวห่มไหล่ นางเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลาง
ยามหนึ่งของค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดเขาเหมยซาน หิมะขาวสะท้อนแสงนวลราวผืนผ้าไหมที่คลี่ออกกลางสวรรค์ เสียงสายลมหนาวพัดหวีดหวิวพาเอากลีบเหมยปลิวไหวราวจะกระซิบบอกข่าวเงียบงันที่ลานกว้างหน้าศาลาไม้โบราณกลางหุบเขา หญิงสาวผู้หนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่สีดำเส้นบางราวสายไหม เส้นโซ่พาดผ่านลำแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ ข้อมือของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการดิ้นรน แม้สายตาจะพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา แต่นางยังพยายามเงยหน้าขึ้นจ้องแสงจันทร์“องค์หญิงอิงเยว่”เสียงขานนามเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา หญิงชราในอาภรณ์สีดำสนิทเดินออกมาจากศาลา ดวงตาของนางคมกริบ ดั่งผู้เฝ้ามองโลกมาหลายทศวรรษ“อีกไม่ถึงเจ็ดชั่วยาม พิธีจะเริ่ม เจ้าจะได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน ด้วยเลือดของเจ้า”หญิงชราเอื้อมมือแตะหน้าผากขององค์หญิงอิงเยว่ แล้วกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด ร่างขององค์หญิงกระตุกเล็กน้อยก่อนหมดสติไปอีกครั้งหอหลวงฝ่ายใน ตำหนักต้าหลี่เสียงบันลือจากรายงานขององครักษ์ด่วนพิเศษ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงกลายเป็นความอึมครึม หลี่เหยียนเดินลงจากบัลลังก์พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้