ค่ำคืนในตำหนักเฟิ่งเยว่ ไฟตะเกียงในห้องส่องแสงริบหรี่ ทว่าในใจของไป๋ซูเหยียนกลับมีแสงเจิดจ้าเกินกว่าห้วงรัตติกาลใด ๆ ที่ผ่านมา นางนั่งอยู่เบื้องหน้ากระดาษขาว พลางเขียนกลอนบทใหม่
มือที่เคยสั่นไหวกลับมั่นคงในยามที่นึกถึงบทสนทนาใต้ต้นเหมยกับท่านอ๋องสี่“หิมะไม่อาจลบเงาแห่งคำสัตย์ กลีบเหมยไม่อาจปกปิดใจผู้เคยจำ บทเพลงนั้นยังไม่จบ แม้ฤดูกาลเปลี่ยนผัน เพราะข้าเฝ้ารอเจ้า ดังเงาจันทร์ทุกคืนยาม”
เสียงลมเบา ๆ พัดผ่านหน้าต่าง แล้วจู่ ๆ เสียงพิณก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ มิใช่เสียงจากอดีต มิใช่เสียงจากม่านความทรงจำ
หากเป็นเสียงจริง ใกล้เพียงเบื้องนอกตำหนักซูเหยียนผลุนผลันออกไป พบว่าศาลาหน้าตำหนักมีชายผู้หนึ่งกำลังบรรเลงพิณอยู่ ไม่ใช่ม่อเสวี่ย และไม่ใช่ท่านอ๋องสี่
เขาเป็นชายหนุ่มในชุดขาว รูปโฉมสง่างาม ผูกผ้าปิดตาไว้แน่นหนา ทว่าท่าทางบรรเลงกลับไร้ที่ติ
นางเอ่ยถาม “ท่านเป็นใคร?”
เสียงพิณหยุดลงทันใด ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากคลี่ยิ้ม
“ข้าเป็นเพียงนักดนตรีที่เดินผ่าน แต่อยากฝากเพลงหนึ่งบทแก่ผู้ที่เคยฟัง”เขาวางพิณเบา ๆ และยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้นาง ขณะที่มือของนางเอื้อมไปรับ เขาก็เอ่ยอย่างแผ่วเบา
“บทเพลงนี้ ท่านเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว ที่ริมธารน้ำแข็งในหุบเขาหลินซาน”
ซูเหยียนเบิกตากว้าง “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“เพราะข้าอยู่ที่นั่น ในวันนั้น และข้าจำได้ว่า สตรีตัวน้อยผู้เปียกปอนในชุดคลุมสีแดง เคยพูดว่า ‘ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยชีวิต หากเรายังมีวันได้พบกันอีก’”
เสียงหัวใจของซูเหยียนเต้นดังราวจะหลุดออกจากอก นางมองชายปริศนาในชุดขาวที่ยังคงยิ้มเยือกเย็น ก่อนเขาจะกล่าวอีกประโยคหนึ่งอย่างเงียบงัน
“เจ้าจะตอบแทนข้า หรือจะลืมข้าอีกครั้งหนึ่ง?”
แล้วเขาก็หายลับไปในเงามืด ไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ แม้แต่ฝีเท้าในกลุ่มหิมะ
ในมือของไป๋ซูเหยียน กระดาษแผ่นนั้นยังอุ่นจากมือของเขา
นางคลี่ออกดูช้า ๆ เป็นโน้ตดนตรี พร้อมถ้อยคำประหลาดเขียนไว้ใต้สุด“หนึ่งเสียงจากวันวาน หนึ่งใจที่ไม่เคยจากไป ข้ายังอยู่ที่เดิม ที่เจ้าสัญญาว่าจะกลับมา”
รุ่งเช้า ณ หอพิณหลวง หลี่เหยียนเปิดบันทึกลับของราชวงศ์ฉบับหนึ่ง ดวงตาเขานิ่งขรึม อ่านตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บรรทัดท้ายด้วยคิ้วขมวดเป็นปม
“สายเลือดที่ถูกลืม จะกลับมาพร้อมบทเพลงที่ไม่มีผู้ใดต้าน
มันจะทดสอบความรักกับแผ่นดิน และจะเปิดเผยเงาทั้งหมด ที่ซ่อนอยู่ใต้ต้นเหมย”เรือนพิณหลวง ยามเฉิน (08.00 น.)
เสียงสายพิณแผ่วเบาดังแทรกจากห้องฝึกด้านใน ม่านไข่มุกที่ห้อยประดับสั่นไหวเพราะลมยามเช้า ในห้องเงียบสงัดนั้น ม่อเสวี่ยนั่งบรรเลงเพียงลำพัง ท่าทางสงบนิ่ง แต่ปลายนิ้วยังสั่นระริก
เขาไม่ยอมกลับไปยังตำหนักท่านอ๋องสี่ หลังจากคืนนั้น เขาก็ใช้ชีวิตซ่อนอยู่ในเรือนพิณ ราวกับจะบอกว่าบทบาทของตนนั้นจบสิ้นลงแล้ว
“เสียงของเจ้ายังไม่เปลี่ยน” เสียงชายอีกคนดังจากเงาด้านหลังม่าน
ม่อเสวี่ยไม่หันกลับ “ท่านอ๋องเสด็จมาด้วยพระองค์เองเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หลี่เหยียนก้าวออกจากเงามืด ในชุดคลุมตัวยาวสีดำสนิท ไร้เครื่องประดับใดๆ บนร่าง
“เพราะข้ายังเชื่อในเสียงของเจ้า แม้เจ้าจะเปลี่ยนจาก ‘เงา’ มาเป็น ‘เสียง’ แล้วก็ตาม”
ม่อเสวี่ยเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แววตาไม่อาฆาต ไม่เศร้า หากแต่มีเพียงความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายการปล่อยวาง
“นางพบกระหม่อมเมื่อคืนนี้ แต่กระหม่อมไม่ได้บอกความจริง เพราะตอนนี้ นางไม่ต้องการรู้จากกระหม่อมอีกแล้ว”
หลี่เหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวช้า ๆ ว่า “เจ้าเสียใจหรือไม่?”
ม่อเสวี่ยตอบโดยไม่ลังเล “ไม่ เพราะตั้งแต่แรกกระหม่อมก็ไม่เคยเป็นผู้ได้รับคำสัตย์นั้น”
ตำหนักเฟิ่งเยว่ ยามซื่อ (09.00 น.)
ไป๋ซูเหยียนนั่งจมอยู่กับโน้ตเพลงในมือ นางค่อย ๆ ลากปลายนิ้วไปตามตัวโน้ต ทำนองที่ฝังลึกในความทรงจำเริ่มไหลเวียนกลับมา เสียงดนตรีที่เคยดังขึ้นในหุบเขาหิมะ เมื่อนานมาแล้ว
“โน้ตนี้…” นางพึมพำ
“ไม่ใช่ของม่อเสวี่ย และไม่ใช่ของท่านอ๋องสี่”
นางหยิบกล่องไม้เก่าในลิ้นชักขึ้นมา กล่องใบเดียวกับที่เคยพบบทกลอนใต้ต้นเหมย นางเปิดออกอีกครั้ง และพบแผ่นกระดาษบาง ๆ อยู่ใต้สุด มันเป็นลายมือที่ต่างออกไป ตัวอักษรช่างสง่างามนัก เขียนไว้เพียงหนึ่งบรรทัด
“ผู้ที่ลืม คือผู้ที่จำ ผู้ที่จำ คือผู้ที่ไม่มีวันลืม”
นางใจสั่น “นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่...”
แล้วจู่ ๆ ประตูตำหนักก็เปิดออก จิ่นฮวาวิ่งหน้าตาตื่น
“คุณหนู! มีข่าวมาจากราชสำนักว่ามีชายลึกลับผู้หนึ่งแฝงตัวในวังมานานนับสิบปี และขณะนี้กำลังถูกตามจับเจ้าค่ะ!”
ซูเหยียนลุกพรวด “เขาคือใคร?”
“ยังไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ แต่มีข่าวลือว่า เขาคือทายาทของสายเลือดที่ถูกลบล้างจากราชวงศ์เมื่อหนึ่งรัชสมัยก่อน!”
ไป๋ซูเหยียนนิ่งไป นางรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนบางอย่างในหัวใจ
ชายลึกลับในชุดขาว ผู้เล่นพิณเมื่อคืนนี้...
ชายที่พูดถึงคำสัตย์จากธารน้ำแข็ง...
หรือว่าเขาคือ...?
วังหลวง หอราชพิพากษา
ขุนนางฝ่ายกลาโหม ทหารองครักษ์ และเหล่าขันที กำลังประชุมลับใต้แสงเทียน ภาพวาดใบหน้าชายคนหนึ่งถูกติดไว้กลางห้อง ใบหน้าที่มีผ้าปิดตา อัครมหาเสนาบดีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“บุรุษผู้นี้ อาจเป็น ‘ซืออี้เหวิน’ ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของแคว้นตะวันตกที่ถูกโค่นไปเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน สายเลือดของเขายังไม่ถูกตัดรากถอนโคน”
หนึ่งในขุนนางกล่าวเสียงสั่น “หากเขายังมีชีวิต และแฝงตัวในวังหลวงตลอดมา แล้วเป้าหมายของเขาจะเป็นใคร?”
อัครเสนาบดีหันมองทุกคน ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “ก็มีแต่เพียงท่านอ๋องสี่ และว่าที่พระชายา ที่เกี่ยวข้องกับบทเพลงคำสัตย์นั้นทั้งคู่”
ตำหนักเฟิ่งเยว่ ยามอู่ (11.00 น.)
กล่องไม้เล็กในมือยังอุ่นจากความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยาย ไป๋ซูเหยียนถือมันแน่นขณะเดินไปที่ศาลาใต้ต้นเหมย นางไม่สนแม้หิมะจะตกหนัก หรือลมจะพัดจนชายแขนเสื้อโบกสะบัด หัวใจของนางกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ผู้ที่จำ คือผู้ที่ไม่มีวันลืม...”
ประโยคนี้ไม่ใช่เพียงถ้อยคำ แต่มันเหมือนคำเตือน เหมือนคำพิพากษา นางวางกล่องลงบนโต๊ะหินใต้ต้นเหมย พลางหลับตา แล้วเริ่มฮัมบทเพลงที่ได้จากชายปริศนาเมื่อคืน
เสียงฮัมเบา ๆ นั้นกลับค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นทำนองสมบูรณ์ ทุกจังหวะทุ้มต่ำพาให้นางย้อนกลับไปยังภาพในวัยเยาว์ หิมะตกหนัก เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กำลังร้องไห้ เด็กชายผู้หนึ่งในชุดคลุมหนา ยื่นมือให้นาง ก่อนบรรเลงพิณบทหนึ่ง
นั่นคือบทเพลงนี้ นั่นคือ “เขา”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางเดินด้านข้าง ไป๋ซูเหยียนลืมตาอย่างช้า ๆ ม่อเสวี่ยยืนอยู่ที่นั่น เงียบงันและเยือกเย็นเช่นเคย
“เจ้าตามข้ามา?” นางถาม
เขาพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่เพื่อติดตาม แต่เพื่อนำคำตอบ”
“คำตอบของอะไร?”
ม่อเสวี่ยก้มลง วางแผ่นไม้สลักลายดอกเหมยลงเคียงข้างกล่องในมือนาง บนแผ่นไม้นั้นมีคำเดียวสลักอยู่ “อี้เหวิน”
“ซืออี้เหวิน?”
ซูเหยียนกระซิบ ดวงตาสั่นระริก ม่อเสวี่ยไม่ตอบตรง ๆ หากแต่เอ่ยช้า ๆ
“ชายชุดขาวที่เจ้าพบเมื่อคืน ไม่ใช่ข้า เขาคือผู้ที่นางในอดีตเคยมอบคำสัตย์ให้จริง ๆ และเขากำลังจะกลับมา พร้อมกับสิ่งที่แคว้นต้าหลี่ไม่เคยคาดคิด”
“แล้วเจ้าเล่า?” ซูเหยียนเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ม่อเสวี่ยยิ้มบาง ๆ “ข้าคือ ‘เงา’ ของคำสัตย์ และตอนนี้ เงานั้นกำลังจะจางหายไปเมื่อแสงของตัวจริงกลับมา”
เขาหมุนตัวจะจากไป แต่หยุดก่อนพูดประโยคสุดท้ายโดยไม่หันกลับ
“ระวังเสียงเพลงนั้น บางครั้งมันไม่ได้ปลุกความทรงจำ แต่มันปลุกสิ่งที่ไม่ควรตื่นอีกเลยให้ตื่นขึ้น”
วังชั้นใน ตำหนักหย่งจิ้ง
หลี่เหยียนเพ่งมองแผนที่ทางทหารที่ขุนนางฝ่ายอักษรนำมาให้ บนกระดาษ เขาขีดเส้นสีแดงผ่านเส้นทางหุบเขาเหมยซาน
“รายงานล่าสุดจากแนวชายแดน พบกลุ่มคนเคลื่อนไหวผิดปกติในเขตเดิมของแคว้นซีจิ่น ซึ่งเดิมคือแคว้นของซืออี้เหวิน”ขันทีคนสนิทเอ่ยเบา ๆ
ท่านอ๋องสี่พึมพำ “ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็ยังไม่ตาย”
มือเขากำหมัดแน่น “และข้ารู้ ว่าเจ้าจะกลับมาเพื่อแย่งคืนทั้งราชบัลลังก์และคำสัตย์จากนาง”
ค่ำคืนนั้น หน้าวังหลวง
เงาหนึ่งเคลื่อนไหวท่ามกลางพายุหิมะ เขาเดินไปตามทางเท้าอย่างไม่หวั่นไหว แม้ทหารจะจับตา ซืออี้เหวิน ชายในชุดขาว ผูกผ้าปิดตา แววตาใต้ผ้านั้นเปล่งประกายแม้จะมองไม่เห็น เขายิ้มเล็กน้อยขณะเดินผ่านตำหนักเฟิ่งเยว่ ราวกับรับรู้ว่า หญิงสาวที่เขารอคอยกำลังฟังบทเพลงที่เขาทิ้งไว้
ยามค่ำ ตำหนักเฟิ่งเยว่
คืนวันนี้ไม่มีเสียงพิณ ไม่มีบทเพลง มีเพียงเสียงหิมะที่โปรยปรายจากท้องฟ้าเย็นเยียบ กับลมหายใจของหญิงสาวที่หนักหน่วงไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่กลางตำหนัก เงียบเชียบจนแม้เสียงลมหายใจก็ฟังได้ชัด เบื้องหน้าคือแผ่นโน้ตเพลงจากชายชุดขาว ข้างตัวคือกล่องไม้ และแผ่นไม้นั้นที่สลักคำว่า “อี้เหวิน” ในหัวของนางเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“ทำไมเขาถึงกลับมาในตอนนี้?”
“เขาต้องการสิ่งใด ข้าหรือบัลลังก์?”
“และหากบทเพลงนั้น คือกุญแจสู่อดีต ข้าจะเลือกเชื่อเสียงใดกันแน่?”
นางไม่ทันได้ตอบคำถามของตน เพราะประตูตำหนักเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้คือหลี่เหยียน เขาก้าวเข้ามาโดยไร้พิธี ไร้ขันที ไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนร่วมทาง สายตาของเขามืดครึ้ม ดุจพายุหิมะที่กำลังรวมตัว ทว่ากลับมีความสั่นไหวบางอย่างซ่อนอยู่ใต้ดวงตานั้น
“เจ้ารู้แล้วหรือ?” เขาเอ่ยถามตรง ๆ
ซูเหยียนมองเขานิ่ง ก่อนพยักหน้า “เขากลับมาแล้ว”
ความเงียบทอดยาวชั่วขณะ “เขาต้องการอะไร?” นางถามบ้าง
“หม่อมฉันหรือราชบัลลังก์?”
หลี่เหยียนตอบด้วยเสียงต่ำ “ทั้งสองอย่าง”
“แล้วท่านจะให้หรือไม่?”
ท่านอ๋องสี่ก้าวเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งของเขาวางลงบนโต๊ะไม้ อีกข้างกำแน่นอย่างไม่ตั้งใจ
“ถ้าเป็นแผ่นดิน ข้าอาจยอมได้ แต่ถ้าเป็นเจ้า ข้ายอมไม่ได้!”
สายลมพัดแรงขึ้นนอกตำหนัก ต้นเหมยหน้าต่างสั่นไหว เสียงกลีบไม้หลุดร่วงดังกราว ซูเหยียนค่อย ๆ ลุกขึ้น
“ท่านรู้ใช่ไหมว่า หม่อมฉันเคยให้คำสัตย์กับเขา?”
หลี่เหยียนพยักหน้า “รู้ และข้าก็รู้ด้วยว่า คำสัตย์นั้นไม่ใช่เพียงเรื่องรัก แต่มันคือพันธะเลือด พันธะแคว้น หากเขาอ้างว่าเจ้าเคยสัญญาว่าจะกลับไปพร้อมเขา แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
หญิงสาวไม่ตอบในทันที นางเดินไปเปิดหน้าต่าง ให้หิมะเย็นกระทบใบหน้า จากมุมสูงของตำหนัก นางมองเห็น “ยอดเขาเหมยซาน” ที่ไกลลิบ ดินแดนที่เคยถูกลืมในแผนที่แห่งอำนาจ
นางเอ่ยขึ้นช้า ๆ “คำสัตย์ของหม่อมฉันในวัยเด็ก เป็นเพียงคำมั่นของเด็กหญิงที่ไม่รู้จักโลก แต่คำสัตย์ของหม่อมฉันในวันนี้ คือความตั้งใจของหญิงที่เคยถูกหิมะกลบฝัง แต่ไม่เคยตายไปจากหัวใจ”
หลี่เหยียนขยับเข้ามาใกล้ “เจ้าหมายถึง...”
ซูเหยียนหันมา ยิ้มจาง ๆ “หม่อมฉันจะไม่หนี ไม่กลับไปอดีต เพราะหม่อมฉันมีปัจจุบันที่ต้องปกป้อง”
เสียงกลองศึกดังขึ้นจากแนวปีกวัง สัญญาณเตือนภัยดังระรัวจนพื้นดินสั่นสะเทือน หลี่เหยียนหันขวับออกนอกหน้าต่าง
“ศัตรูบุกจากประตูทิศตะวันออก หุบเขาเหมยซาน!”
ณ เวลานั้นเอง ตีนเขาเหมยซาน ชายชุดขาวผูกผ้าปิดตายืนอยู่บนก้อนหินสูง เบื้องหลังคือกองกำลังลึกลับในชุดดำ ไม่มีธง ไม่มีตราสัญลักษณ์ มีเพียงความเงียบและความมืด เขายกมือขึ้น และเอ่ยเพียงหนึ่งประโยค
“ข้ากลับมาเพื่อทวงคืนคำสัตย์ และสิ่งที่ควรจะเป็นของข้า”
เสียงลมตอนเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านระเบียงเรือนไม้ กลิ่นชาดอกเหมยที่เพิ่งชงเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แสงแดดลอดผ่านบานประตูไม้ไผ่ที่แง้มออกครึ่งหนึ่ง ทาบเงาลวดลายบนผ้าไหมปักลายเหมยซึ่งคลุมอยู่บนเตียงนอนกว้างไป๋ซูเหยียนขยับตัวพลิกกายเล็กน้อย ปอยผมหลุดจากปิ่นหยกเคลื่อนไหลลงมาแนบแก้มขาวราวหยกนวล เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะแผ่วดังขึ้นใกล้ใบหูของนาง“หากเจ้าไม่ลุก แล้วใครจะรินชาให้ข้า?”นางปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้ายังเปื้อนรอยง่วงงุน“ท่านมิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วนะ? เหตุใดยังอวดอำนาจกับข้าได้อยู่อีก?”หลี่เหยียนนั่งพิงเสาเตียง ในมือถือพัดกระดูกงูพับครึ่ง พลิกไปมาอย่างว่าง่าย“อำนาจหรือ? ข้ามีแค่อำนาจเดียว คือการทำให้เจ้ารำคาญใจในตอนเช้า”นางกลอกตาเบา ๆ แล้วฝืนลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียง“หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะเปลี่ยนชาวันนี้เป็นชาดอกไม้ขมแทนชาดอกเหมย”เขาหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากล้าหรือ?”“ก็ลองดูสิ” นางยิ้มอย่างท้าทายแสงแดดอ่อนสาดกระทบใบหน้าทั้งสองที่ใกล้ชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรก มือที่สัมผัสกันเบา ๆ บนกล่องชา กลายเป็นเหตุให้หล
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกบางในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นเหมยแห่งคำสัตย์กลางพระราชวังยังคงผลิบานอย่างเงียบงาม กลีบดอกบางเบาลอยล่องบนสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชื่นชมในตำหนักกลาง พระราชพิธีสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเริ่มต้นอย่างสง่างาม ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน สวมชุดครุยพิธีเต็มยศ ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีด้วยใบหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างบนเก้าอี้รองพระเกียรติในชุดฉลองพระองค์ผ้ากรุทองอ่อน พรมผืนยาวที่ทอดยาวจากบันไดสู่แท่นพิธีประดับด้วยกลีบเหมยซึ่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เปล่งประกายเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนผืนแผ่นดินเหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร และแขกบ้านแขกเมืองต่างมาเข้าร่วมอย่างพร้อมใจ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงกลองพิธีบรรเลงรับแสงแห่งเช้าวันใหม่“วันนี้ เรามิได้แต่งตั้งเพียงบุคคลผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน แต่เราสถาปนาหัวใจของแผ่นดินด้วย” เสียงเสนาบดีผู้ดำเนินพิธีประกาศดังกังวานหลี่เหยียนคุกเข่าลงบนแท่น พร้อมรับมอบตราสัญลักษณ์ราชการ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทั้งห้องโถงเปี่ยมไปด้วยพลังของความศรัทธาหลังพิธีจบลง เข
ยามเช้าของฤดูเหมันต์เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนโยนที่ส่องทะลุม่านหิมะเหนือยอดหลังคาพระราชวัง วังหลวงที่เคยเงียบเย็นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใจของผู้คนใต้ต้นเหมยกลางลานตำหนักเย็น กลีบดอกผลิบานสะพรั่งในเวลาเดียวกันทั่วทั้งต้น สีชมพูสดแต้มแต่งหิมะขาว กลายเป็นภาพงดงามที่แม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องหยุดยืนมองด้วยสายตาไม่เชื่อไป๋ซูเหยียนเดินช้า ๆ ออกจากตำหนัก นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนา แต่สีเลือดฝาดบนแก้มบ่งบอกว่าสุขภาพเริ่มฟื้นตัวแล้ว ใบหน้ายิ้มบางนั้นเป็นสิ่งที่บ่าวไพร่หลายคนไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน“กลีบเหมยบานแล้ว...” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปรับกลีบดอกที่ลอยมาติดแขนเสื้อหลี่เหยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองนางโดยไม่หลบสายตา ท่านอ๋องสี่ในยามนี้ไม่ใช่ชายผู้เย็นชาอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้ในชีวิต“เจ้าดูสดใสขึ้นมาก” เขาเอ่ย“ก็เพราะท่านทำให้ข้ามีชีวิตอยู่” นางยิ้มให้เขา “และเพราะข้าไม่ต้องเฝ้ารอคำสัญญาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ยื่นมือจับมือของนางแน่นแนบอก“คำสัญญานั้น ข้า
หิมะตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน ปกคลุมยอดเขาและลานหินทั่วเขตวังหลวง จนต้นไม้บางต้นเริ่มโค้งกิ่งลงเพราะทานแรงลมไม่ไหว แต่ในตำหนักเย็นแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเงียบมานานกลับมีแสงไฟอบอุ่นลอดออกจากช่องหน้าต่างไม้ซูเหยียนนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเตาไฟในชุดคลุมหนาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าซีดจางเพราะพิษในร่างที่ยังไม่หายขาดจากพิธีเลือด แต่นัยน์ตานางกลับเปล่งแสงสว่างประหลาด ราวกับได้รับการปลุกจากภายในอย่างแท้จริงตรงข้ามกับนาง หลี่เหยียนนั่งเงียบในอาภรณ์สีดำสนิท หน้าตาเย็นชาเช่นเดิม แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า ความอ่อนโยนในดวงตาก็ชัดเจนจนไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป“ข้าเห็นภาพต้นเหมยในความฝัน” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “มันเหี่ยวเฉา ดอกโรยจนหมด แล้วจู่ ๆ ก็มีลมหายใจหนึ่งพัดผ่าน ทำให้มันผลิบานอีกครั้ง”หลี่เหยียนเอ่ยช้า ๆ “ข้าก็ฝันเช่นเดียวกัน เจ้าคือผู้ที่ทำให้มันบาน”นางหัวเราะเบา ๆ แล้วเงียบลง นัยน์ตาจับจ้องเตาไฟครู่หนึ่งก่อนเอ่ย“ท่านรู้หรือไม่ พิธีนั้น มิได้ลบความจำข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังฝากเศษพิษในเส้นชีพจร หากไม่ได้รับการรักษาในสิบวัน พิษนี้จะกลืนกินลมหายใจสุดท้ายของข้า”หลี่เหยียนหันขวับมาหานางทันที ใบหน้าเปลี่ยน
ลมหายใจเย็นยะเยือกพัดพาเอาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายเหนือยอดเขาเหมยซาน แสงจันทร์จาง ๆ ในคืนเดือนแรมทอผ่านม่านเมฆบาง ราวกับฉายภาพความรู้สึกในใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างสูงในอาภรณ์นักพรตสีเทาเข้ม ห่มเสื้อคลุมยาวแตะข้อเท้า ที่ชายเสื้อมีคราบเปื้อนจากการเดินทางไกล“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว…” หลี่เหยียนพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแตกแห้งสีเลือดจางเบื้องหน้าเขา คือประตูไม้เก่าแก่ที่ถูกตะไคร่จับหนาแน่น เป็นทางเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของอดีต สำนักหิมะดำเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีต้องห้าม และแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายไปในการศึกคราวก่อน แต่ข่าวลือยังคงลือว่ามีคนหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดชายหนุ่มยกมือลูบกระบี่ที่พาดบ่าซ้าย มันคือกระบี่เล่มเดียวกับที่เขาใช้ในศึกครั้งที่ช่วยซูเหยียนให้รอดจากพิธีเลือด ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วผ่านกระบี่นั้น ทำให้เขาหวนคิดถึงวินาทีที่ร่างของนางล้มลงในอ้อมแขนเขา“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังอีก ข้าจะทำตามนั้น”เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวห่มไหล่ นางเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลาง
ยามหนึ่งของค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดเขาเหมยซาน หิมะขาวสะท้อนแสงนวลราวผืนผ้าไหมที่คลี่ออกกลางสวรรค์ เสียงสายลมหนาวพัดหวีดหวิวพาเอากลีบเหมยปลิวไหวราวจะกระซิบบอกข่าวเงียบงันที่ลานกว้างหน้าศาลาไม้โบราณกลางหุบเขา หญิงสาวผู้หนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่สีดำเส้นบางราวสายไหม เส้นโซ่พาดผ่านลำแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ ข้อมือของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการดิ้นรน แม้สายตาจะพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา แต่นางยังพยายามเงยหน้าขึ้นจ้องแสงจันทร์“องค์หญิงอิงเยว่”เสียงขานนามเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา หญิงชราในอาภรณ์สีดำสนิทเดินออกมาจากศาลา ดวงตาของนางคมกริบ ดั่งผู้เฝ้ามองโลกมาหลายทศวรรษ“อีกไม่ถึงเจ็ดชั่วยาม พิธีจะเริ่ม เจ้าจะได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน ด้วยเลือดของเจ้า”หญิงชราเอื้อมมือแตะหน้าผากขององค์หญิงอิงเยว่ แล้วกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด ร่างขององค์หญิงกระตุกเล็กน้อยก่อนหมดสติไปอีกครั้งหอหลวงฝ่ายใน ตำหนักต้าหลี่เสียงบันลือจากรายงานขององครักษ์ด่วนพิเศษ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงกลายเป็นความอึมครึม หลี่เหยียนเดินลงจากบัลลังก์พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้