Home / โรแมนติก / คำสัตย์ใต้ดอกเหมย / บทที่ 10 กระจกแห่งความจริง

Share

บทที่ 10 กระจกแห่งความจริง

Author: Bosskerr
last update Huling Na-update: 2025-07-03 00:01:02

หนึ่งเดือนหลังพิธีแต่ง ตำหนักเฟิ่งเยว่

ถึงแม้หิมะจะยังคงโปรยปราย แต่น้ำแข็งบางส่วนเริ่มละลาย สวนเหมยหน้าตำหนักบานสะพรั่งมากกว่าทุกปี ไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ใต้ต้นเหมย กำลังคัดลอกตำรากลอนด้วยลายมือของตนเอง ในยามที่หัวใจสงบ ความรู้สึกก็มักทบทวนกลับไปยังบางสิ่งที่หลงลืม

“กระจกเงาในตำหนักเย็น”

“บันทึกปีเจี่ยอวี๋”

“กล่องไม้ลายคำสัตย์”

ชิ้นส่วนของอดีตเหล่านี้เริ่มก่อตัวขึ้นในใจนางอย่างประหลาด เสียงจิ่นฮวาเบา ๆ ดังจากด้านหลัง

“พระชายาเพคะ มีข้าราชสำนักนำสิ่งหนึ่งมาถวาย บอกว่าเป็นของเก่าจากคลังหลวงเพคะ”

ไป๋ซูเหยียนหันมา “ของเก่าหรือ?”

หญิงรับใช้วางหีบเล็กลงตรงหน้า เป็นกล่องไม้โบราณที่ปิดผนึกด้วยครั่ง[1] สลักอักษรคำว่า

“คำสัตย์ใต้ต้นเหมย”

ไป๋ซูเหยียนมองของสิ่งนั้นนิ่ง มือของนางสั่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ แกะผนึกออก ภายในกล่องมีเพียงของสามชิ้น คือกล่องกระจกทองคำขนาดเล็ก กลอนบทหนึ่งบนแผ่นผ้า และแผ่นไม้บางสลักชื่อผู้ให้คำสัตย์

ซูเหยียนหยิบกล่องกระจกขึ้นก่อน ในยามแสงตกกระทบ กล่องใบนั้นส่องประกายราวเงาหิมะที่เคลือบด้วยแสงจันทร์ นางเปิดฝาช้า ๆ ภายในมีเพียง “แผ่นโลหะขัดเงา” รูปกลีบดอกเหมย

มันมิใช่กระจกธรรมดา หากแต่เป็น “กระจกความทรงจำ” วัตถุโบราณที่ใช้บันทึกภาพของผู้ที่เคยถือมัน ซูเหยียนมองใบหน้าตนเองในกระจก ทันใดนั้น ภาพเงาก็ซ้อนขึ้นจากด้านหลัง

เงาของเด็กชายในชุดคลุมสีขาว มือหนึ่งถือพิณ อีกมือยื่นดอกเหมยให้ เสียงเขาเอ่ยเบา ๆ

“หากวันหนึ่งข้าหายไป จงใช้กระจกนี้ แล้วเจ้าจะรู้ว่า คำสัตย์นั้น คือข้า”

น้ำตาหญิงสาวไหลริน นางสั่นสะท้านตัวโยน มิใช่เพราะหิมะ แต่เป็นเพราะหัวใจที่กำลังสั่นไหวไม่แพ้กัน

ตำหนักหย่งจิ้ง ห้องทรงงาน

หลี่เหยียนรับรายงานจากขุนนางสายลับ เขาอ่านผ่านอย่างไวด้วยดวงตาเครียดเขม็ง

แคว้นซีหนานเริ่มเคลื่อนไหว ผู้บัญชาการคือ แม่ทัพเงาซืออี้เหวิน ประวัติระบุว่า เป็นอดีตองค์ชายจากแคว้นเว่ยที่ถูกล้างราชวงศ์ไปเมื่อ 15 ปีก่อน เป้าหมายอาจมิใช่เพียงสงคราม หากแต่เป็น การทวงคืนคำสัตย์จากแดนหิมะ’”

หลี่เหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเขียนคำตอบกลับด้วยลายมือลงบนนั้นอย่างแน่วแน่

“ห้ามมิให้ซูเหยียนรู้ข่าวนี้ หากความทรงจำของนางเริ่มฟื้นคืน ขอให้ส่งนางออกจากเมืองหลวงทันที”

เสียงเคาะประตูดังขึ้น คนเคาะเปิดประตูพรวดเข้ามาทันที

“เสด็จพี่!”

หลี่เหยียนเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ คนที่ยืนอยู่หน้าประตู คือ องค์ชายรอง หลี่เจิน ผู้ซึ่งหายตัวไปจากวังหลวงมานานหลายปี ตั้งแต่ที่หลี่เหยียนยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องด้วยซ้ำ และทุกคนก็เชื่อว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว แต่บัดนี้ เขากลับยืนอยู่ตรงนี้ ในชุดขุนนางต่างแดน พร้อมกับแววตาที่แฝงรอยเจ้าเล่ห์เยียบเย็น

“ข้ากลับมา เพื่อถามคำถามเดิมเพียงหนึ่งเดียว” องค์ชายรองเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เหตุใดเจ้าจึงต้อง ‘ทำลายกระจกแห่งความจริง’ ทั้งที่เจ้าก็รู้ว่า ผู้ที่ให้คำสัตย์ใต้ต้นเหมยนั้นไม่ใช่เจ้า?”

หลี่เหยียนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แววตาเย็นชาที่เคยเผชิญกับศัตรูในสนามรบดูสั่นไหวเพียงชั่วครู่ เขาจ้องมองพี่ชายผู้เคยร่วมสายเลือด คนที่ควรจะตายในสมรภูมิรบแดนเหนือ แต่บัดนี้กลับยืนอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับเงาที่หลุดจากอดีต

“เจ้ารอดจากศึกที่อวิ๋นหลิงได้อย่างไร?” น้ำเสียงของท่านอ๋องสี่สงบนิ่ง แต่ในใจกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง

หลี่เจินยิ้มเย็น ไม่ตอบคำถามนั้น หากแต่กลับถามคำถามกลับไป

“กระจกแห่งความจริง ยังอยู่ในมือของนางใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยถาม ข้ามความรู้สึกพี่น้องอย่างไร้เยื่อใย

“เจ้าหมายถึงซูเหยียน?”

“ใช่” หลี่เจินกล่าว “คำสัตย์ใต้ต้นเหมยนั้น เจ้าบอกข้าว่าเจ้าจะเฝ้ารอให้นางเลือกด้วยหัวใจ แต่สุดท้าย เจ้ากลับใช้ม่อเสวี่ยมาทดแทนเด็กชายคนนั้น เพื่อบังคับให้นางรักเจ้า”

หลี่เหยียนนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด หลี่เจินเดินเข้าไปใกล้อีกก้าว

“ข้าต่างหากที่เป็นคนเห็นเหตุการณ์ในคืนนั้นทั้งหมด ข้าอยู่ที่นั่น ข้าเห็นนางหลงทางท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก เห็นนางล้ม และเห็นผู้ที่ยื่นมือไปช่วยนาง คนคนนั้นมิใช่เจ้า!”

เสียงเงียบงันกดดันคล้ายหิมะที่ทับถมกันจนแน่น ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียนจ้องเขาเขม็ง

“ข้ารู้...”

“หึ เจ้ารู้?” หลี่เจินยิ้มเยาะ

“เจ้าจึงจงใจให้ม่อเสวี่ยแต่งกายเหมือนเขา ใช้เพลงพิณบทเดียวกัน ใช้กลอนบทเดียวกัน เพียงเพื่อให้นางเลือกเจ้าต่างหาก”

หลี่เหยียนหายใจช้า ๆ แววตาแน่นิ่ง “ที่ข้าทำทั้งหมด เพราะข้าอยากรู้ว่า หากไม่มีความทรงจำ หากไม่มีชื่อแซ่ หากไม่มีอดีต นางยังจะรักข้าได้หรือไม่?”

หลี่เจินหัวเราะเบา ๆ “เจ้าทำเหมือนข้าไม่เคยรักนาง”

หลี่เหยียนหรี่ตาลง “แต่เจ้าไม่เคยอยู่ข้างนางเลยในวันที่นางต้องการใครสักคน”

“เจ้าจึงใช้การปกป้องเพื่อผูกมัดนางไว้งั้นหรือ?” หลี่เจินสวน

“แต่ข้ากำลังจะบอกเจ้าว่า อดีตจะกลับมา และคำสัตย์ในหิมะจะถูกเปิดเผย”

ด้านนอกตำหนัก ยามสาย ไป๋ซูเหยียนกำลังศึกษาแผ่นไม้ในกล่องอีกชิ้น มันเป็นไม้สลักชื่อด้วยตัวอักษรเขียนว่า

หลี่เหยียน

นางมองมันนิ่ง สลักไว้อย่างชัดเจน หากนี่คือของที่เก็บมาจากคลังหลวง หากนี่คือของที่คู่กับกระจกความทรงจำจริง ๆ แปลว่า ผู้ให้คำสัตย์ในวันนั้น คือตัวหลี่เหยียน ไม่ใช่ม่อเสวี่ย และไม่ใช่ใครอื่น

แล้วทำไมตอนนั้นนางถึงเห็นใบหน้าอีกคน?

ทำไมความทรงจำของนางจึงไม่ชัดเจน?

นางหลับตาลง มีเสียงหิมะตกในวันนั้นแผ่วเบาขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเร่งรีบ จิ่นฮวาวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“พระชายาเพคะ! มีคนแอบสอดส่องบริเวณเขตต้องห้าม! ร่องรอยบ่งชี้ว่าเป็นคนจากแคว้นซีหนาน!”

“แคว้นซีหนาน?” ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นทันที นางนิ่งงันไปชั่วครู่ แล้วหันไปมองกล่องไม้

“เตรียมตัวให้ข้าออกไปข้างนอก” เสียงของนางนิ่งและชัดเจน

“แต่พระชายาเพคะ! ข้างนอกอันตราย...”

“ยิ่งเพราะอันตราย ข้าถึงต้องไป” นางกำกล่องไม้แน่น

“หากอดีตกำลังจะกลับมา ข้าก็จะเป็นผู้เผชิญมันด้วยตัวของข้าเอง”

กลางดึกในเขตต้องห้ามนอกตำหนักหลวง ท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์และหิมะที่สะท้อนแสงให้ทางเดินไม่มืดมิดจนเกินไป ไป๋ซูเหยียนเดินทางในชุดคลุมหนาทึบ ผ้าคลุมศีรษะบดบังใบหน้า นางมีเพียงจิ่นฮวาและองครักษ์หญิงอีกสองคนที่ติดตามไปอย่างเงียบเชียบ

ปลายทางของนาง คือเขตที่เคยห้ามมิให้ผู้ใดเข้า สวนลับซึ่งมี “ตำหนักเย็น” ร้างอยู่ตรงนั้น สถานที่แห่งนี้ คือที่ที่บันทึกกระจกและกล่องไม้ถูกค้นพบ ที่ซึ่งร่องรอยของอดีตกำลังรอให้ใครบางคนเปิดเผย

“พระชายาเพคะ ท่านแน่ใจหรือว่า...”

“ข้าต้องการคำตอบ” เสียงของซูเหยียนเรียบนิ่ง แต่สายตากลับแน่วแน่

ประตูไม้เก่าคร่ำครึถูกผลักออก กลิ่นอับชื้นของความทรงจำเก่ากระแทกเข้ามาทันที นางเดินเข้าไปในตำหนักร้างที่เงียบสงัด

แม้กระทั่งแมลงก็ไม่กล้าอาศัยในสถานที่นี้อีกแล้ว

จิ่นฮวาจุดโคมไฟ พอแสงสว่างปรากฏ ก็ทำให้เห็นแท่นหินตรงกลางห้อง มีร่องรอยฝุ่นที่ถูกปัดทิ้งเมื่อไม่นานมานี้ บนแท่นหินมีแผ่นหยกขาวสลักคำบทหนึ่งไว้ว่า

คำสัตย์มิได้อยู่ที่ผู้กล่าว หากแต่อยู่ที่ผู้จดจำ ใต้ต้นเหมย หิมะมิอาจกลบใจ หากใจยังจำคำสัญญา

“เหมือนกับกลอนในผืนผ้า...”

ซูเหยียนพึมพำ นางหยิบผ้าปักที่พบในกล่องขึ้นมาเทียบกับคำกลอน ทุกคำตรงกันไม่ผิดพลาดแม้แต่ขีดเดียว

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกตำหนัก จิ่นฮวารีบปิดโคมไฟ

“พระชายา! มีคนเข้ามาเพคะ!”

เงาดำหลายสายพุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง องครักษ์หญิงชักกระบี่เข้าปะทะทันที เสียงกระบี่กระทบกันดังสะท้อนในห้องแคบ

“คุ้มกันพระชายา!”

“ข้าไม่เป็นไร!” ซูเหยียนกระชับกล่องไม้ไว้แน่น แล้วหันไปทางผนังด้านหลัง

นางจำได้ว่า ตำหนักนี้มี “ทางลับ” แม่ของนางเคยบอกไว้ว่า เคยใช้หลบภัยในอดีต มือของนางคลำผนังไปทีละจุด ก่อนพบปุ่มเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ในลายฉลุไม้ เสียงกลไกหมุนเบา ๆ ก่อนที่ฝาผนังจะเลื่อนออก เผยให้เห็นบันไดลงใต้ดิน

“ทางนี้!” ซูเหยียนดึงจิ่นฮวาเข้าไป ก่อนฝาผนังจะปิดลง

ภายในอุโมงค์ลับใต้ตำหนักเย็นเงียบสนิท อากาศเย็นเยียบและมีกลิ่นชื้น ซูเหยียนจุดตะเกียงเล็กที่พกติดตัว แสงสลัวทำให้เห็นผนังที่เต็มไปด้วยลายมือเขียนด้วยหมึกซีด ซูเหยียนใช้ปลายนิ้วแตะเบา ๆ ทุกประโยคคือข้อความเก่าแก่ที่บรรยายถึง "ชายผู้เคยให้คำสัตย์ใต้ต้นเหมย" ข้อความสุดท้ายคือ...

แม้นเจ้าจะลืมข้าไป ข้าก็จะรอใต้ต้นเหมยจนหิมะละลายหมดทั้งแผ่นดิน

ไป๋ซูเหยียนน้ำตาคลอเบ้า นางจำประโยคนี้ได้ ในฝันเมื่อนานมาแล้ว เด็กชายผู้หนึ่งเคยพูดกับนางเช่นนี้มาก่อน ก่อนที่เขาจะหายไป

จิ่นฮวาหันมาถามด้วยความระแวง “พระชายาเพคะ หากคำสัตย์นั้นมิใช่ของท่านอ๋องสี่จริง ๆ แล้วท่านจะทำอย่างไรเพคะ?”

ซูเหยียนนิ่งไป นางมองกล่องไม้ในมือ

“ข้าไม่กลัวความจริง แต่ข้ากลัวว่าทุกคนต่างก็ใช้คำสัตย์เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าคำสัตย์นั้นจะมาจากรักหรือการเมืองในราชสำนักก็ตาม”

เสียงฝีเท้าไล่ล่าดังไกล ๆ ตามมา นางหันหลังแล้ววิ่งต่อ ทางในอุโมงค์นั้นมีสองแยก แยกหนึ่งพาไปยังเขตด้านในของพระราชวัง อีกแยกหนึ่งมุ่งสู่ “สวนต้องห้ามกลางวังหลวง” สถานที่ที่ไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบย่างเข้าไป

ซูเหยียนหยุดอยู่ตรงทางแยก นางหลับตา สูดลมหายใจลึก

“ใต้ต้นเหมย…”

“หากคำสัตย์เริ่มต้นที่นั่น ข้าก็จะจบมันที่นั่นเช่นกัน”

นางหันก้าวไปยังแสงจันทร์ที่ปลายอุโมงค์ เบื้องหน้านั้น คือสวนต้องห้ามที่กลีบเหมยโปรยปรายไม่เคยขาด

สวนต้องห้ามกลางวังหลวง ใต้ต้นเหมยพันปี

ไป๋ซูเหยียนก้าวขึ้นจากอุโมงค์ลับ สู่ลานเปิดโล่งที่ไม่มีใครเยื้อก้าวเข้ามานานนับสิบปี เบื้องหน้าคือต้นเหมยพันปีที่สูงใหญ่จนแสงจันทร์ลอดผ่านไม่ถึงพื้น แต่กลีบเหมยกลับร่วงลงเงียบงัน ราวกับลมหายใจของเวลา

นางเดินเข้าไปใกล้อย่างช้า ๆ แต่ละก้าวจมลึกลงในหิมะ แต่หัวใจของนางกลับเร่าร้อน ที่หน้าต้นไม้ใหญ่ มีก้อนหินก้อนหนึ่งถูกสลักลายกลอน

หากความรักคงอยู่ตลอดไป ใยต้องนับวันคืนแห่งการรอคอย...”

นางเคยได้ยินกลอนนี้ในวัยเยาว์ มันคือคำกลอนที่เขาเอ่ยกับนางในคืนหิมะแรก นางทรุดลงตรงหน้าก้อนหินนั้น วางกล่องไม้ลงบนพื้นหิมะ แล้วเปิดออกอีกครั้ง

กระจกเล็กยังอยู่ เงาสะท้อนเผยภาพเด็กชายในอดีต แต่เมื่อนางหลับตา นางกลับเห็นหลายใบหน้าซ้อนทับกัน

ม่อเสวี่ยในวัยหนุ่ม

หลี่เจินผู้เฉลียวฉลาด

หลี่เหยียนที่เงียบขรึมแต่คอยปกป้องนางไม่ต่างจากคำสาบาน

“ข้าจำไม่ได้ ว่าใครคือผู้ที่ยื่นดอกเหมยให้ข้าในวันนั้น ข้าจำได้เพียงว่า ความรู้สึกตอนนั้นมันอบอุ่น”

นางหลั่งน้ำตาออกมา แต่ไม่ใช่เพราะความเศร้า หากแต่เป็นเพราะหัวใจที่กำลังเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ไป๋ซูเหยียนหันกลับ เงาร่างสูงสง่าภายใต้ชุดคลุมหิมะยืนอยู่ไม่ไกล

หลี่เหยียน...

เขาเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ไม่เอ่ยคำใดออกมา เพียงหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต้นเหมย ราวกับกำลังฟังเสียงจากอดีต

“ท่านตามข้ามาหรือ?” นางถามเสียงสั่น

“ข้าไม่ได้ตามเจ้า” เขาตอบเสียงเรียบ “ข้าเฝ้ารออยู่ที่นี่ทุกปี ในวันเดียวกันนี้”

เขายื่นกล่องไม้ใบที่สองให้ กล่องซึ่งเหมือนกับของนางทุกประการ แต่ภายในมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่าง “แหวนหยก” วงหนึ่งที่สลักคำว่า “คำสัตย์”

“นี่คือสิ่งที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าตั้งแต่สิบปีก่อน เมื่อเราสัญญากันใต้ต้นเหมย แม้เจ้าจะลืม แต่ข้าไม่เคยลืม”

ซูเหยียนนิ่งงัน นางหยิบแหวนนั้นขึ้นมา แล้วสวมใส่มันอย่างช้า ๆ มันพอดีกับนิ้วของนางอย่างประหลาด

“ข้าไม่แน่ใจว่า คนที่อยู่ในกระจกวันนั้นคือท่าน แต่ข้าแน่ใจว่าใจข้าเลือกท่านในวันนี้”

หลี่เหยียนยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่หายากยิ่งในวังหลวง อ่อนโยนและเปราะบางในเวลาเดียวกัน เขาคุกเข่าลงตรงหน้านาง

“แม้คำสัตย์ในอดีตจะไม่ถูกรับรู้ แต่คำสัตย์ของข้าในตอนนี้ จะสลักอยู่ใต้ต้นเหมยต้นนี้ตลอดไป”

กลีบเหมยร่วงลงบนไหล่ทั้งสองคน ดุจดั่งพรจากฤดูหนาวอันนิ่งสงบ เงาของทั้งสองทอดยาวใต้แสงจันทร์ กลายเป็นภาพเงาคู่ ที่เวลาจะมิอาจลบเลือนมันไปได้อีก

ณ มุมหนึ่งของวังหลวง ม่อเสวี่ยยืนอยู่ใต้ชายคา เฝ้ามองต้นเหมยจากระยะไกล เขาไม่ได้ก้าวเข้าไป เพียงแค่เงยหน้ามองกลีบเหมยที่ลอยปลิว ราวกับคำตอบในใจของเขาได้ตกลงแล้ว

“คำสัตย์ของข้า จะกลายเป็นลมหายใจของเงา เฝ้ารอและปกป้อง แม้จะไม่มีชื่อในใจเจ้าอีกต่อไปก็ตาม...”

[1] ครั่ง คือ วัสดุชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับปิดผนึกเอกสารหรือสิ่งของสำคัญในสมัยโบราณ

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   ตอนพิเศษ เมื่อกลีบเหมยร่วงบนหมอนผ้าไหม

    เสียงลมตอนเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านระเบียงเรือนไม้ กลิ่นชาดอกเหมยที่เพิ่งชงเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แสงแดดลอดผ่านบานประตูไม้ไผ่ที่แง้มออกครึ่งหนึ่ง ทาบเงาลวดลายบนผ้าไหมปักลายเหมยซึ่งคลุมอยู่บนเตียงนอนกว้างไป๋ซูเหยียนขยับตัวพลิกกายเล็กน้อย ปอยผมหลุดจากปิ่นหยกเคลื่อนไหลลงมาแนบแก้มขาวราวหยกนวล เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะแผ่วดังขึ้นใกล้ใบหูของนาง“หากเจ้าไม่ลุก แล้วใครจะรินชาให้ข้า?”นางปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้ายังเปื้อนรอยง่วงงุน“ท่านมิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วนะ? เหตุใดยังอวดอำนาจกับข้าได้อยู่อีก?”หลี่เหยียนนั่งพิงเสาเตียง ในมือถือพัดกระดูกงูพับครึ่ง พลิกไปมาอย่างว่าง่าย“อำนาจหรือ? ข้ามีแค่อำนาจเดียว คือการทำให้เจ้ารำคาญใจในตอนเช้า”นางกลอกตาเบา ๆ แล้วฝืนลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียง“หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะเปลี่ยนชาวันนี้เป็นชาดอกไม้ขมแทนชาดอกเหมย”เขาหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากล้าหรือ?”“ก็ลองดูสิ” นางยิ้มอย่างท้าทายแสงแดดอ่อนสาดกระทบใบหน้าทั้งสองที่ใกล้ชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรก มือที่สัมผัสกันเบา ๆ บนกล่องชา กลายเป็นเหตุให้หล

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   บทที่ 20 คำสัตย์ที่ไม่มีวันโรยรา

    แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกบางในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นเหมยแห่งคำสัตย์กลางพระราชวังยังคงผลิบานอย่างเงียบงาม กลีบดอกบางเบาลอยล่องบนสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชื่นชมในตำหนักกลาง พระราชพิธีสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเริ่มต้นอย่างสง่างาม ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน สวมชุดครุยพิธีเต็มยศ ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีด้วยใบหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างบนเก้าอี้รองพระเกียรติในชุดฉลองพระองค์ผ้ากรุทองอ่อน พรมผืนยาวที่ทอดยาวจากบันไดสู่แท่นพิธีประดับด้วยกลีบเหมยซึ่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เปล่งประกายเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนผืนแผ่นดินเหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร และแขกบ้านแขกเมืองต่างมาเข้าร่วมอย่างพร้อมใจ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงกลองพิธีบรรเลงรับแสงแห่งเช้าวันใหม่“วันนี้ เรามิได้แต่งตั้งเพียงบุคคลผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน แต่เราสถาปนาหัวใจของแผ่นดินด้วย” เสียงเสนาบดีผู้ดำเนินพิธีประกาศดังกังวานหลี่เหยียนคุกเข่าลงบนแท่น พร้อมรับมอบตราสัญลักษณ์ราชการ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทั้งห้องโถงเปี่ยมไปด้วยพลังของความศรัทธาหลังพิธีจบลง เข

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   บทที่ 19 หิมะละลายกลางฤดูหนาว

    ยามเช้าของฤดูเหมันต์เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนโยนที่ส่องทะลุม่านหิมะเหนือยอดหลังคาพระราชวัง วังหลวงที่เคยเงียบเย็นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใจของผู้คนใต้ต้นเหมยกลางลานตำหนักเย็น กลีบดอกผลิบานสะพรั่งในเวลาเดียวกันทั่วทั้งต้น สีชมพูสดแต้มแต่งหิมะขาว กลายเป็นภาพงดงามที่แม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องหยุดยืนมองด้วยสายตาไม่เชื่อไป๋ซูเหยียนเดินช้า ๆ ออกจากตำหนัก นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนา แต่สีเลือดฝาดบนแก้มบ่งบอกว่าสุขภาพเริ่มฟื้นตัวแล้ว ใบหน้ายิ้มบางนั้นเป็นสิ่งที่บ่าวไพร่หลายคนไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน“กลีบเหมยบานแล้ว...” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปรับกลีบดอกที่ลอยมาติดแขนเสื้อหลี่เหยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองนางโดยไม่หลบสายตา ท่านอ๋องสี่ในยามนี้ไม่ใช่ชายผู้เย็นชาอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้ในชีวิต“เจ้าดูสดใสขึ้นมาก” เขาเอ่ย“ก็เพราะท่านทำให้ข้ามีชีวิตอยู่” นางยิ้มให้เขา “และเพราะข้าไม่ต้องเฝ้ารอคำสัญญาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ยื่นมือจับมือของนางแน่นแนบอก“คำสัญญานั้น ข้า

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   บทที่ 18 ลมหายใจสุดท้ายของต้นเหมย

    หิมะตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน ปกคลุมยอดเขาและลานหินทั่วเขตวังหลวง จนต้นไม้บางต้นเริ่มโค้งกิ่งลงเพราะทานแรงลมไม่ไหว แต่ในตำหนักเย็นแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเงียบมานานกลับมีแสงไฟอบอุ่นลอดออกจากช่องหน้าต่างไม้ซูเหยียนนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเตาไฟในชุดคลุมหนาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าซีดจางเพราะพิษในร่างที่ยังไม่หายขาดจากพิธีเลือด แต่นัยน์ตานางกลับเปล่งแสงสว่างประหลาด ราวกับได้รับการปลุกจากภายในอย่างแท้จริงตรงข้ามกับนาง หลี่เหยียนนั่งเงียบในอาภรณ์สีดำสนิท หน้าตาเย็นชาเช่นเดิม แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า ความอ่อนโยนในดวงตาก็ชัดเจนจนไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป“ข้าเห็นภาพต้นเหมยในความฝัน” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “มันเหี่ยวเฉา ดอกโรยจนหมด แล้วจู่ ๆ ก็มีลมหายใจหนึ่งพัดผ่าน ทำให้มันผลิบานอีกครั้ง”หลี่เหยียนเอ่ยช้า ๆ “ข้าก็ฝันเช่นเดียวกัน เจ้าคือผู้ที่ทำให้มันบาน”นางหัวเราะเบา ๆ แล้วเงียบลง นัยน์ตาจับจ้องเตาไฟครู่หนึ่งก่อนเอ่ย“ท่านรู้หรือไม่ พิธีนั้น มิได้ลบความจำข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังฝากเศษพิษในเส้นชีพจร หากไม่ได้รับการรักษาในสิบวัน พิษนี้จะกลืนกินลมหายใจสุดท้ายของข้า”หลี่เหยียนหันขวับมาหานางทันที ใบหน้าเปลี่ยน

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   บทที่ 17 การเดินทางสู่ใจ

    ลมหายใจเย็นยะเยือกพัดพาเอาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายเหนือยอดเขาเหมยซาน แสงจันทร์จาง ๆ ในคืนเดือนแรมทอผ่านม่านเมฆบาง ราวกับฉายภาพความรู้สึกในใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างสูงในอาภรณ์นักพรตสีเทาเข้ม ห่มเสื้อคลุมยาวแตะข้อเท้า ที่ชายเสื้อมีคราบเปื้อนจากการเดินทางไกล“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว…” หลี่เหยียนพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแตกแห้งสีเลือดจางเบื้องหน้าเขา คือประตูไม้เก่าแก่ที่ถูกตะไคร่จับหนาแน่น เป็นทางเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของอดีต สำนักหิมะดำเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีต้องห้าม และแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายไปในการศึกคราวก่อน แต่ข่าวลือยังคงลือว่ามีคนหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดชายหนุ่มยกมือลูบกระบี่ที่พาดบ่าซ้าย มันคือกระบี่เล่มเดียวกับที่เขาใช้ในศึกครั้งที่ช่วยซูเหยียนให้รอดจากพิธีเลือด ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วผ่านกระบี่นั้น ทำให้เขาหวนคิดถึงวินาทีที่ร่างของนางล้มลงในอ้อมแขนเขา“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังอีก ข้าจะทำตามนั้น”เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวห่มไหล่ นางเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลาง

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   บทที่ 16 พิธีเลือดใต้หิมะ

    ยามหนึ่งของค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดเขาเหมยซาน หิมะขาวสะท้อนแสงนวลราวผืนผ้าไหมที่คลี่ออกกลางสวรรค์ เสียงสายลมหนาวพัดหวีดหวิวพาเอากลีบเหมยปลิวไหวราวจะกระซิบบอกข่าวเงียบงันที่ลานกว้างหน้าศาลาไม้โบราณกลางหุบเขา หญิงสาวผู้หนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่สีดำเส้นบางราวสายไหม เส้นโซ่พาดผ่านลำแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ ข้อมือของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการดิ้นรน แม้สายตาจะพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา แต่นางยังพยายามเงยหน้าขึ้นจ้องแสงจันทร์“องค์หญิงอิงเยว่”เสียงขานนามเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา หญิงชราในอาภรณ์สีดำสนิทเดินออกมาจากศาลา ดวงตาของนางคมกริบ ดั่งผู้เฝ้ามองโลกมาหลายทศวรรษ“อีกไม่ถึงเจ็ดชั่วยาม พิธีจะเริ่ม เจ้าจะได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน ด้วยเลือดของเจ้า”หญิงชราเอื้อมมือแตะหน้าผากขององค์หญิงอิงเยว่ แล้วกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด ร่างขององค์หญิงกระตุกเล็กน้อยก่อนหมดสติไปอีกครั้งหอหลวงฝ่ายใน ตำหนักต้าหลี่เสียงบันลือจากรายงานขององครักษ์ด่วนพิเศษ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงกลายเป็นความอึมครึม หลี่เหยียนเดินลงจากบัลลังก์พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status