คีตะเป็นแฝดพี่ ส่วนกีตาร์เป็นแฝดน้อง ทั้งสองหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ หากไม่ใช่ทรงผม หรือการแต่งตัวในการแยกทั้งสองออกจากกัน ก็คงจะเหมือนกันจนน่าตกใจ
ทว่าในเวลานี้ คีตะมุ่งไปทางด้านดนตรีมากกว่า เขากำลังตามหาความฝันด้วยการเป็นศิลปิน ทำงานเป็นนักร้องกลางคืน พร้อมกับการแต่งตัวที่ดุดันมีสไตล์มากกว่าอีกคน รวมทั้งรอยสักที่แขนทั้งสองข้าง ทำให้มินตราสามารถแยกแยะเขากับกีตาร์ผู้เป็นน้องชายที่เนื้อตัวใสสะอาดไม่มีร่องรอยน้ำหมึกแต่งแต้มใด ๆ
มินตรารู้ว่าสายตาของคีตะเวลาคุยกับเธอเขาไม่เคยสักครั้งที่จะมองหน้าตรง ๆ เขามองที่ร่องอกของเธอรวมทั้งเต้าถันที่ตึงเต่งนั้นมากกว่าด้วยซ้ำ ความพิศวาสเกิดขึ้นในสถานะต้องห้าม แต่มันก็ไม่มีอะไรต้องห้ามมากว่าสิ่งที่มินตราเจอมาแล้ว...และถ้าหากว่าเขาต้องการ เธอจะมอบมันแก่เขา
นาฬิกาดิจิทัลบอกเวลาตีหนึ่งครึ่ง มินตรายังคงสวมเสื้อกล้ามรัดรูปพร้อมกับกางเกงขาสั้นนั่งไขว่ห้างดูทีวีอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน ซึ่งวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านสักคนเดียว พ่อกับแม่ไปออกงานแฟร์ ส่วนกีตาร์เองก็ไปค้างบ้านเพื่อน มีเพียงมิตราและคีตะสองคน
บานประตูเลื่อนออกช้า ๆ คีตะในสภาพที่ค่อนข้างเมามายเดินเซเข้ามาก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดท่าที
“น้องมินยังไม่นอนเหรอครับ รอรับพี่เหรอ” คีตะเอี้ยวใบหน้าขึ้นมอง ยกยิ้มขึ้นราวกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ มือและขาข้างหนึ่งห้อยลงเรี่ยพื้น “แบบนี้พี่ดีใจนะเนี่ย”
กลิ่นเหล้าโชยหึ่ง ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาหวานเยิ้ม
“แล้วถ้าหนูบอกว่ารอ...มันจะมีอะไรเกิดขึ้นเหรอคะ” มิตราปรายตามอง เธอพูดคุยอย่างวางท่า ก่อนจะค่อย ๆ ยกขาที่ไหว่ห้างขึ้นเปลี่ยนท่าอย่างแช่มราวประหนึ่งตั้งใจให้สายตาอีกคู่ที่อยู่ไม่ห่างจดจ้องไปยังสัดส่วนที่นูนเด่นขึ้นมาจากเนื้อผ้ารัดรูป “ไหนตอบให้หนูรู้สึกชื่นใจหน่อยสิคะ”
“เปล่า” คนพูดหน้าขึ้นสี “ก็แค่รู้สึกว่าการมีน้องสาวนี่มันดีจังเลย”
มินตราลุกขึ้นไปยืนอยู่ตรงหน้าของคีตะ ก้มลงมองผ่านเนินอกอวบอิ่มของตนเอง “สายตาแบบนั้น มองหนูว่าเป็นน้องสาวจริง ๆ เหรอ”
“กะ...ก็” ชายหนุ่มเริ่มอึกอัก “ก็ถ้าพ่อแม่เราไม่เป็นผัวเมียกันก็คงไม่ใช่”
เหยื่อกินเบ็ดแล้ว!
มินตราทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าของคีตะในระยะที่สามารถสัมผัสกันได้อย่างง่ายดาย เอื้อมคว้ามือของเขาที่ห้อยตกขึ้นมาประทับเอาไว้ในหน้าอกของตัวเอง “แล้ว...มันจะไม่ได้เลยหรือไง”
“นะ...น้องมิน อย่าทำแบบนี้ครับ” คีตะแทบจะสร้างเมาในทันที
“ก็เอามือออกไปสิ...” ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุยง มินตราค่อย ๆ กระชับมือที่วางแนบฝ่ามือของพี่ชายตรงหน้าให้บีบคลำคลึงที่หนั่นเนื้อของเธอ ก่อนที่จะรับรู้ได้ว่าคีตะนั้นไม่จำเป็นต้องมีเธอประคองอีกแล้ว เขาเริ่มลูบไล้ไปตามส่วนเว้าโค้งกลมนูนนั้น พร้อมกับเริ่มส่งสายตาที่เร่าร้อนออกมา ริมฝีปากยกขึ้น
“เล่นกับไฟเหรอครับ”
“เปล่า” มินตราแอ่นอกเข้าใกล้ “หนู...เป็นไฟ”
สิ้นเสียงอันเย้ายวน มือเรียวของมินตราอีกข้างที่ยังว่างก็ค่อย ๆ ลูบไล้ร่างกายของพี่ชายผู้นี้ก่อนไปหยุดลงตรงหว่างขา...บางส่วนที่อัดแน่นอยู่ตรงนั้นเริ่มพองขยายขึ้นคามือของเธอ ยิ่งรู้ว่ามันตื่นขึ้นมา มือก็ยิ่งนวดคลึงอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเจ้าของร่างแสดงสีหน้าสยิวซ่าน
“น้องมิน...” คีตะเขม้นมอง ขยับตัวนอนให้เข้าที่เข้าทาง มืออีกข้างค่อย ๆ รูดซิปแล้วสอดลึกลงไปคว้าเอาลำเนื้อที่แข็งขืนชูชันนั้นขึ้นมาอวดโฉม แก่นกายใหญ่อวบแข็งเกร็ง เส้นเลือดรายล้อมปูดโปน ส่วนที่ถูกห่อหุ้มถูกมือผู้เป็นเจ้าของรูดลงไปช้า ๆ พร้อมกับจับมันกวัดแกว่งไปมาให้หญิงสาวได้เห็นมันอย่างชัดเจน ส่วนหัวกลมมนเริ่มเยิ้มฉ่ำด้วยหยาดน้ำผึ้งใสไหลปริ่ม “น้องทำเรื่องแล้วนะครับ”
คิ้วโก่งเลิกขึ้น สายตาหรี่เล็กจ้องมองนิ่งเฉย ริมฝีปากกระจับยกยิ้มพร้อมกับที่เธอเอื้อมมือไปจับความเป็นชายของคีตะ เริ่มขยับไหวรูดรั้งชักขึ้นลงอย่างเนิบช้ากระทั่งเสียงสูดลมผ่านไรฟันเล็ดลอดออกมา
“ใหญ่จังเลย...นี่พี่กับน้องใครใหญ่กว่ากันนะ” เธอตั้งคำถามโดยที่ไม่ประสงค์หาคำตอบ ปลายนิ้วแตะเข้าที่รูเสียวส่วนปลาย ยกขึ้นเผยให้น้ำกระสันนั้นเยิ้มติดปลายมือก่อนขาดลงไป ขณะที่ดวงตาโฉบเฉี่ยวยังจดจ้องใบหน้าอันหล่อเหลาไม่วางตา เธอก็อ้าปากออกมาแล้วตวัดลิ้นเลียปลายนิ้วนั้นทันทีพร้อมกับดูดดุนจนเกิดเสียงจ๊วบแว่วขึ้น
“หวานไหมครับ”
“เดาสิคะ...” มินตราหรี่ตามอง “สรุปจะบอกหนูได้หรือยัง...ใครใหญ่กว่า”
“ไม่ต้องถามว่าใครใหญ่กว่ากันหรอก...แค่ใหญ่ก็พอแล้ว” พี่ชายดีดตัวขึ้นยืนแล้วรีบร้อนถอดกางเกงลง แล้วกลับมานั่งแยกขาออก กระดกลำเนื้อแข็งชูชันนั้นขึ้นลงยั่วยวนสายตาที่จับจ้องของหญิงสาวตรงหน้า “ไม่ต้องดูดนิ้วครับ...มาดูดจากของจริงเลยดีกว่า”
รอยยิ้มวาดขึ้นในห้องอันสลัวราง มือแกร่งสอดเข้าไปดึงท้ายทอยของมินตรารั้งให้เข้าใกล้ เธอไร้ซึ่งการขัดขืนใด ๆ ทั้งสิ้น จับดุ้นนั้นนั้นรูดชักก่อนเลื่อนมือลงมาแนบโคนพร้อมกับก้มหน้าลงไปครอบริมฝีปากที่ความปรารถนาของคีตะทันที
เสียงครางของแฝดพี่ดังขึ้น พร้อมกับเสียงดูดดุนอันหยาบโลนที่เริ่มเร่งเร้าถี่รัวขึ้นเรื่อย ๆ
“อ๊ะ อ๊ายยย...”เธอร้องลั่น สั่นเกร็งไปทั้งตัว เจลหล่อลื่นทำให้สัมผัสในช่องทางที่ไม่ควรนั้นลื่นไหลมากกว่าที่เป็น และทางกีตาร์เองก็ยิ่งกระแทกเข้าออกถี่รัวอยู่เช่นนั้น มันทำให้เวลานี้มินตราราวกับรู้สึกว่าแท่งเนื้อของทั้งสองคนกำลังเสียดสีบดเบียดกันอยู่ในร่างกายของเธอโดยพร้อมเพียง“อ๊ะ อ๊า อ๊า จะ จุก..อื๊อออ...ซี้ดดด”มินตราพยายามดีดดิ้น แต่เมื่อกีตาร์ที่รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร เขาจึงกอดร่างกายของเธอให้แนบชิดเอาไว้เช่นเดิม แล้วปล่อยให้พี่ชายได้ทะลวงเข้าไปในรูเสียวข้างเคียงอย่างเต็มที่ สองกายตอกกระแทกร่างกายของมินตราอย่างต่อเนื่อง เสียงครางดังสอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียว มินตราในอ้อมกอดกีตาร์ตัวสั่นระริก เธอเม้มปากแน่นระคนกับส่งเสียงครางออกมาเรื่อย ๆหญิงสาวทั้งเสียว แล้วก็ทั้งจุก วินาทีนี้รู้สึกเหมือนช่องทางทั้งสองราวกับจะฉีกขาดออกเพราะแรงกระแทกอันมหาศาล สองมือเธอกำแน่น ซุกหน้าลงกับแผงอกแกร่งของแฝดน้องยิ่งกว่าเดิม ดวงตาเคลิบเคลิ้มเหลือกลอย น้ำตาระคนน้ำลายไหลเยิ้มเพราะไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกอันแปลกใหม่ในยามนี้ได้ยิ่งเธอขมิบเกร็ง ไม่ว่าช่องทางไหนก็ยิ่งตอดรัดลำกายที่สอดใส่เข้ามาทั้ง
“พี่จ๋า...มาเลยค่ะ อยากทำอะไรกับมินก็ทำได้เลยนะคะ”คีตะส่ายหน้า “ไม่เอาสิมิน...เรียกพี่สองคนว่าผัวได้แล้ว เพราะหลังจากนี้เราทั้งคู่จะเป็นผัวที่ดีที่สุดให้มินเอง”ไม่พูดเปล่า คีตะจัดการแทรกร่างกายเข้าไปที่ระหว่างเรียวขาของเธอพร้อมกับจับดุ้นอันแข็งขืนจนเจ็บหนึบไปทั้งลำสอดใส่เข้าไปในร่างกายของเธอทันทีสวบ!!!“อ๊างงงงงง”เสียงร้องครางดังลั่นขึ้นมา วินาทีที่สองคนสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายของมินตราตอบรับพี่ชายด้วยการตอดรัดอย่างแนบแน่น ส่วนสวาทดันลึกเข้ามาจนสุดโคน จนร่างกายอันบอบบางแอ่นขึ้นเหนือพื้น ตอบสนองกับความสุขสมโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ เอ่ยขึ้นมา“ซี้ดดด...แน่นกว่าทุกทีเลยนะเมียจ๋า อา...” มือสอดจับกระชับที่เอวบางเอาไว้แล้วกระชากร่างกายของเธอเข้าใส่พร้อมกับตอกสะโพกกระแทกย้ำเข้าจนสุดความยาว“อ๊ะ อ๊า...พะ พี่...อ๊ะ ผะ ผัว ผัวขา...ซี้ดดด” มินตราหลับตาแน่น ลูบไล้หน้าท้องของอีกฝ่ายไม่เป็นจังหวะ มือสั่นระริกกรีดกราย “ระ แรง ๆ เลยค่ะ แรง ๆ เลย อ๊ะ อ๊า อ๊า..ยะ อยากได้ แรง ๆ อื๊อออ...”สีหน้าของมินตราแดงเรื่อ อาจจะทั้งเมาด้วยทั้งเสียวระคนกันไป คีตะมองเธอด้วยความลุ่มหลง แล้วขยับสะโ
มินตราเพิ่งรู้เมื่อประโยคสุดท้ายของพี่ชายสิ้นสุดลงภายนอกที่เป็นกำแพงหนา หากภายในกลับบอบบางราวกับหยดน้ำหนึ่งหยดที่อ่อนไหวและไร้รูปลักษณ์ ที่ผ่านมาเธอคิดมาเสมอว่าเธอแข็งแกร่ง แต่ความจริงแล้วจุดอ่อนของเธอที่เกิดขึ้นในวินาทีนี้อย่างชัดเจนก็คือ ความเข้าใจเธอแค่...อยากได้รับความเข้าใจจากใครสักคนในเรื่องที่ไม่อาจจะบอกใครได้มินตราทิ้งตัวนั่งที่ปลายเตียง ยกมือปิดหน้าร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง สองแฝดไม่แม้แต่จะห้าม เขายืนมองเธอไม่ห่างกระทั่งเสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาวหยุดลงไปแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากัน“มิน...เคยโดนข่มขืน”ความรู้สึกมากมายของเธอพรั่งพรูออกมาพร้อมกับทำนบน้ำตาที่พังทลายอีกหน มินตราไม่รู้ว่าสองแฝดตรงหน้าอยากจะฟังเรื่องราวของเธอหรือเปล่า แต่เธออยากที่จะเล่า อยากที่จะปลดปล่อยมันออกไป แม้การกล่าวถึงจะเป็นการนำพาให้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาดั่งขุมนรกนั้นอีกครั้งหนึ่งไม่มีการสอดแทรก สองพี่น้องนั่งฟังเธอจนถึงวินาทีสุดท้ายที่เรื่องราวแห่งความอัปยศซึ่งฝังรากลึกในร่างกายของเธอถูกเล่าออกจนหมดลง สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของมินตราที่พยายามจะกระชากเอารากแห่งความทรงจำนั้นให้หลุดพ้นไปจากตัวเธอ“ยังอยากจะเรียนรู้
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนไม่มีจังหวะได้ตั้งเนื้อตั้งตัว ในเสี้ยววินาทีที่เธอเห็นพี่ชายทั้งสองตรงหน้า วินมอเตอร์ไซค์คนนั้นก็กำลังคว้ากระชากร่างกายของเธอไปหมายที่จะจัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพอีกครั้ง แต่เพราะว่าเขาไม่รู้จักพี่ชายฝาแฝดของเธอ นั่นจึงทำให้ทั้งคีตะและกีตาร์จัดการกระหน่ำทั้งหมัดเท้าเข่าศอกใส่เสียจนต้องวิ่งหนีไป สุดท้ายแล้ว มินตราก็ถูกพาขึ้นมาบนห้อง พร้อมกับผู้สืบสวนทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้า“มีอะไรที่เราสองคนไม่รู้อีกไหม” คีตะจับจ้อง สีหน้าเรียบเฉย ต่างจากคนที่เคยรู้จัก“ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนั้น” แฝดน้องสำทับมินตราที่นั่งอยู่ตรงหน้าคู่แฝดสีหน้าไม่สู้ดีนัก เธอทั้งอยากจะขอบคุณ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบในการที่ต้องถูกเค้นเพื่อตอบคำถามอะไรแบบนี้ เธอไม่ใช่ผู้ที่ต้องอธิบายตัวเองกับใครทั้งนั้น“มันเป็นเรื่องปกติ แล้วก็ไม่ต้องถามอีก มินไม่ได้ขอให้พี่ช่วยแบบนั้น เกิดโดนตำรวจลากคอขึ้นมารับผิดชอบกันเองนะ” มินตรากอดอก สีหน้าหงุดหงิด “แล้วก็ มินว่ามินไม่ได้มีหน้าที่จะตอบอะไร นี่มันชีวิตของมิน...ก็แค่นั่นแหละ”“แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราล่ะ” คีตะย้อนถาม “มันก็แค่ส่วนหนึ่งของชีวิตมินหรือเป
“พี่คนสวย...ให้ผมไปส่งที่ไหนดีครับ”มินตรายิ้มยั่ว “โรงแรม...อุ๊ย หอพักของพี่ค่ะ พี่เมาขนาดนี้ ส่งถึงห้องเลยได้ไหมคะ”แค่เพียงสบตา หนุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็รู้แล้วว่าปลายทางที่เธอต้องการให้เขาไปส่งมันคือที่ไหนกันแน่ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเขาไม่สามารถรักษาคำพูดด้วยการพาเธอนั้นไปถึงห้องได้อย่างที่ผู้โดยสารต้องการ......“ซี้ดดด...อา พี่ครับ...พี่ผมเสียวลำจังเลยครับ อูยยย...”ชายหนุ่มหลับตาพริ้ม ปล่อยอารมณ์ไปตามเสียงดูดดุนอันหยาบโลนที่เกิดขึ้น ณ ความเป็นชายของเขารถมอเตอร์ไซค์ถูกนำมาจอดที่ซอกตึก มันเป็นทางลัดที่ในยามค่ำคืนไม่มีใครสัญจร หากเป็นเวลากลางวันที่นี่คือทางลัดที่จะออกไปยังป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดได้ ชายหนุ่มยืนพิงมอเตอร์ไซค์ที่จอดชิดกำแพง กางเกงยีนถูกดึงลงไปเพียงเข่า พร้อมกับมินตราที่นั่งลงไปปรนเปรอความสุขสมให้เขาด้วยปากของเธอรสเหล้าเคล้ากับรสชาติของท่อนเอ็นดุ้นใหญ่ทำให้อารมณ์ของเธอนั้นพุ่งทะยาน มินตราล่อลวงเขามาตั้งแต่ตอนที่ขึ้นซ้อนท้ายแล้วด้วยซ้ำ จากมือที่กอดเอว ลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ เนินอกอวบอิ่มชิดแผ่นหลังของเขามาตลอดทาง จนกระทั่งตอนที่มือของเธอลวนลามลงไปยังจุดสงวนของคนขับ แ
มินตรารู้เห็นอยู่แล้ว ว่าพี่กล้ามมีภรรยา เธอรู้อยู่แก่ใจ แต่เพราะรูปร่างและหน้าตาที่ถูกตาต้องใจจึงทำให้เธอลองที่จะโปรยเสน่ห์ใส่เขา แต่ก็ไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะง่ายถึงเพียงนี้ ครั้งแรกที่เจอกัน เขาสวมแหวนอยู่ที่นิ้วนางซ้าย เธอเห็นแต่ก็แค่เมินเฉย หากแต่อีกครั้งที่เขาเข้ามาหาเธอและเสพสมกามาร่วมกันในห้องของตัวเอง เขาไม่มีอะไรสวมใส่อยู่ มีเพียงร่องรอยของการสวมแหวน...นั่นหมายถึงว่าเธอเป็นผู้ชนะหรือเปล่านะ?วันนี้ที่เธอออกมาตรงระเบียงหลังห้อง หญิงสาวคนหนึ่งกำลังสะบัดผ้าเพื่อตากอยู่ มินตราหันไปสบตากับเธอแล้วส่งยิ้มให้ นึกเย้ยหยันในใจว่าหญิงคนนี้ช่างโง่เขลา ไม่รู้เลยจริง ๆ เหรอ ว่าสามีของเธอเพิ่งมาเอากับฉัน...ในบ่ายวันเดียวกัน เธอบังเอิญเจอกับพี่กล้ามที่ร้านสะดวกซื้อแถวหอพัก มินตราเข้าไปทักทายทันที“สวัสดีค่ะพี่กล้าม มาซื้ออะไรเหรอ”“เอ่อ...” กล้ามสีหน้าซีดเผือด ท่าทีดูเหมือนไม่อยากจะต่อบทสนทนากับเธอด้วย จนกระทั่งผู้หญิงที่เขาเรียกเธอว่าภรรยาเดินมา และเป็นฝ่ายทักมินตราเสียเอง“อ้าว...น้องข้างห้องนี่เอง เพิ่งมาอยู่ใช่ไหมจ๊ะ เป็นยังไงบ้าง”“ก็...” วูบหนึ่ง สายตาของเธอหันไปมองกล้าม แล้ววกกลับมาท