ความกลัวที่ลึกถึงกระดูก!นี่มันอะไรกัน?คนไร้ความสามารถอย่างฉินเป่ยทำไมถึงทำให้เรารู้สึกกลัวได้มากขนาดนี้?อันหนิงตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมภาพลวงตา!ต้องเป็นภาพลวงตาแน่!รัศมีสังหารของฉินเป่ยพวยพุงออกมาไม่นาน ตอนนี้อันหนิงสัมผัสถึงมันไม่ได้แล้วส่วนอวี่เจียวหรงในเวลานี้มีแต่ความประทับใจ ความรู้สึกที่ถูกผู้ชายของตนเองปกป้อง ที่เหลือเธอก็ไม่รู้สึกอะไรเลยตอนนี้ บอดี้การ์ดสองสามคนต่างก็ถอยไปหลังโจวห้าว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น “นายน้อย ไอ้เจ้านี้มีผิดปกติอยู่นะครับ ดูท่าจะเป็นคนมีฝีมือ”ป๊าบ!โจวห้าวหวดมือลงบนหน้าของบอดี้การ์ดพร้อมพูดด้วยความโมโห “พวกแกตาบอดหรือไง?”พูดจบโจวห้าวก็หันสายตาไปจับจ้องที่ฉินเป่ย“ฉินเป่ย คิดไม่ถึงเลยนะว่าแม่แกจะดวงแข็ง เมื่อวานแกทำร้ายฉันกับผู้หญิงของฉันคงจะสบายใจมากเลยสินะ?”“แกสู้เก่งนักใช่ไหม? อย่าบอกว่าฉันรังแกแกก็แล้วกัน เห็นบอดี้การ์ดด้านหลังฉันแล้วใช่ไหม?”“พวกเขาคนเดียวจัดการได้เป็นสิบคน ถ้าแกฉลาดก็มาคุกเข่าลงทุบแขนขาตัวเอง แล้วก็ก้มหัวสามครั้งขอโทษฉันกับลี่ลี่ซะ จากนั้นก็จ่ายค่าคุ้มครองหนึ่งแสน ให้ยัยสองคนนั้นมาดื่มเป็นเพื่อนฉันด้วย
“ท่านแม่ทัพ ฉินเป่ยเป็นหมอจริง ๆ เขาสามารถรักษาท่านได้จริง ๆ เหรอคะ?”“แล้วก็ เมื่อสักครู่ท่านได้บอกเขาหรือเปล่าว่าท่านคือหงส์ปัณฑูร”ทันทีที่มาถึงด้านนอกโรงพยาบาลอันหนิงแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะถามเธอ ในระหว่างทางที่มาก่อนหน้านี้อวี่เจียวหรงได้เล่าเรื่องที่ฉินเป่ยเป็นหมอและกำลังทำการรักษาเธอให้อันหนิงฟัง“ฉันเชื่อว่าฉินเป่ยจะรักษาอาการบาดเจ็บของฉันได้ แต่ฉันหวังว่ามันจะไม่เร็วขนาดนั้น เมื่อกี้ฉันอยากจะบอกฐานะที่แท้จริงของตัวเองกับเขา แต่เธอไม่เห็นเหรอ ว่าตอนที่เราสองคนยอมรับว่าเป็นทหารในกรมการทหาร สีหน้าของเขานิ่งสงบเกินไป”เมื่ออวี่เจียวหรงพูด อันหนิงก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆอวี่เจียวหรงพูดต่อ “ฉินเป่ยลึกลับยิ่งกว่าที่ฉันกับเธอคิดเอาไว้ ศิษย์ของผู้มีพระคุณไม่ใช่คนไร้ความสามารถหรอก เพราะงั้นเธอจำคำที่ฉันพูดตอนอยู่ในห้องผู้ป่วยเอาไว้นะ แล้วก็อย่าไปลองสืบค้นเขาล่ะ!”“ค่ะ!”อันหนิงตอบรับไปพร้อมกับเปิดประตูรถให้อวี่เจียวหรงอวี่เจียวหรงเพิ่งขึ้นมาบนรถเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อมองเห็นเบอร์โทรศัพท์เธอก็ต้องขมวดคิ้ว ก่อนจะส่งสัญญาณให้อันหนิงออกรถ รอจนรถเริ่มออกตัวแล้วเธอถึงได้
สมองของเวินหงอิงมีเครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด“จรรยาบรรณแพทย์น่ะครับ ผมเป็นหมอ การช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ของผมครับ”“ท่านย่าเวินไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมชื่อฉินเป่ย”ฉินเป่ยพูดจบก็ดึงเข็มออกจากตัวเวินหงอิง จากนั้นก็พูดกับเธอว่า “ท่านย่าเวิน ตอนนี้คุณสามารถลุกขึ้นมาขยับตัวได้แล้วล่ะครับ”หญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดในชุดเดรสสีขาวพยุงเวินหงอิงให้ลุกขึ้น ก่อนจะพูดด้วยความร้อนรน “ท่านย่า ตอนนี้ท่านย่ารู้สึกยังไงบ้างคะ?”“ดีมาก ตอนนี้ย่ารู้สึกดีมากเลย!”“จริงเหรอคะ? ดีจังเลย เมื่อกี้ท่านย่าทำหนูตกอกตกใจหมดเลยค่ะ ฮือฮือ……”เด็กสาวร้องไห้ยกใหญ่ ผู้คนรอบข้างเองก็พากับสบายใจ ก่อนจะพากันพูด “ท่านประธาน คนดีผีคุ้มจริง ๆ นะคะ ดีจังเลย”“อือ ขอบใจทุกคนนะ รีบกลับไปทำงานของตัวเองเถอะ”“ซูซู ไปเขียนเช็คเงินสดร้อยล้านมาให้แพทย์เซียนน้อยคนนี้ที”“คะ?”เวินซูซูพูดเป็นหลานสาวถึงกับงุนงง“คะอะไรล่ะ รีบไปสิ!”“ไม่ได้นะคะท่านย่า จะให้เขาเยอะขนาดนั้นไม่ได้ ใครจะรู้ว่าเขารักษาท่านหายจริงหรือเปล่า อีกอย่างใครจะรู้ว่าเมื่อกี้เขาให้ท่านย่ากินอะไร?”“ถ้าเกิดเป็นยาพิษล่ะคะ?”“น้องสาว คุณจะสงสัยฝีมือกา
เวินซูซูไม่เชื่อว่าฉินเป่ยจะเก่งแบบที่ท่านย่าของเธอพูด!หัวใจของเวินหงอิงไม่อาจสงบลงได้เลย ในเมืองหยางตูแห่งนี้ นอกจากเหล่าเฒ่าปีศาจพวกนั้น เธอก็ไม่กลัวใครแล้วเมื่อหลายปีก่อนเธอมีโอกาสได้ต่อกรกับเฒ่าปีศาจ แต่เธอก็พ่ายแพ้ไปโดยปริยายถึงแบบนั้นเธอก็ยังรับรู้ได้ถึงกระแสลมปราณไหลเวียนในร่างกายของพวกเขา รู้ว่าตัวเองมีความแตกต่างกับพวกเขามากแต่เมื่อกี้เธอกลับหยั่งรู้ถึงการบำเพ็ญของฉินเป่ยเลย ยามที่เธอมองเขา เขาก็เป็นราวกับหลุมดำลึก!“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน”“เด็กน้อย หลานต้องจำไว้นะ สิ่งที่หลานทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะทำไม่ได้”“แล้วจำไว้ด้วยว่า อย่ามองคนแค่เพียงภายนอก ย่าดูคนไม่ผิดหรอก”“ย่าจะให้งานหลานไปทำ ไปหาเสี่ยวเป่ยแล้วผูกมิตรกับเขาซะ”“เข้าใจไหม?”เวินซูซูฟังน้ำเสียงของเวินหงอิงที่ดูเรียบง่ายแต่เธอกลับไปกล้าตั้งข้อสงสัย ถึงภายในใจของเธอจะไม่อยากยินยอม แต่ก็ทำได้เพียงยอมรับปาก……ตอนนี้ฉินเป่ยซื้อร้านแห่งหนึ่งได้สำเร็จแล้ว และตอนที่เขาตั้งท่าจะเดินจากไป เขาก็ถูกคนคนหนึ่งขวางหน้าเอาไว้และคนที่มาก็คืออากุ่ย! หัวหน้าบอดี้การ์ดของตระกูลโจว“ไงไอ้เปี๊ยก ข้อ
ฉินเป่ยบอกลาพ่อกับแม่ก่อนจะออกจากบ้านไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เขาก็มาถึงหน้าห้องของอวี่เจียวหรงอันหนิงยืนอยู่หน้าประตู เขาเห็นสีหน้าของอันหนิงไม่ค่อยสู้ดีก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ก่อนจะรีบถาม “หรงเอ่อร์เป็นอะไรไป?”เมื่อได้ยินฉินเป่ยเรียกเธออย่างสนิทสนม เธอก็รู้สึกเกลียดเขาแทบตายแต่เมื่อนึกถึงคำสั่งที่อวี่เจียวหรงบอกกับเธอ เธอก็ไม่กล้าเสียมารยาทต่อฉินเป่ย จึงรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับเขา “วันนี้ก่อนที่คุณหนูของเราจะออกจากโรงพยาบาลได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง จากนั้นก็อารมณ์ไม่ดีเลยค่ะ”“ฉันจะพูดยังไงก็ไม่ได้ผลเลย คุณเข้าไปดูคุณหนูของเราเถอะค่ะ ตอนนี้ในใจเธอมีแต่คุณ คุณอย่าทำให้เธอผิดหวังแล้วก็อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะคะ”“ถือว่าฉันขอร้องล่ะค่ะ!”อันหนิงร้องไห้ ถึงเธอจะเป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาของอวี่เจียวหรง แต่อวี่เจียวหรงก็ปฏิบัติต่อเธอราวกับพี่น้องแท้ ๆ“ได้ ให้ผมจัดการ คุณไปพักเถอะ”หลังจากให้อันหนิงกลับออกไป ฉินเป่ยก็เคาะประตูห้องของอวี่เจียวหรง ตรีลมปราณสัตตะชีพจรของอวี่เจียวหรงแย่ลง และวัตถุดิบยาอีกหลายตัวก็ยังหามาไม่ได้อีกทั้งกระบวนการรักษาทั้งหมดก็กินเวลายาวนาน เดิมที่เขาตั้งใจจะอยู่ที่บ้าน
หลังจากโทรศัพท์เสร็จ ฉินเป่ยก็ส่งใบรายชื่อวัตถุดิบยาที่เขาต้องการทั้งหมดไป จากนั้นก็กลับบ้านทันทีเขาตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปรีโนเวทร้านเสียหน่อย เขาอยากให้แม่รู้ว่าเขามีการงานเป็นหลักแหล่งให้เร็วที่สุด แบบนี้ต่อไปแม่จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลมากเวลานี้ ณ บ้านตระกูลโจวโจวเทียนเป่ยผู้นำตระกูลโจวโมโหโกรธาด่าทอเขาเป็นคนไร้ความสามารถทันทีที่เป็นแขนทั้งข้างของอากุ่ยใช้การไม่ได้“อากุ่ย ตระกูลโจวของเราเลี้ยงดูแกมานานหลายปีขนาดนี้ ปกติแกกับพวกของแกไม่เคยกลัวอะไรใคร ครั้งนี้ฉันให้แกไปออกหน้าเอง แต่กลับถูกไอ้เด็กธรรมดานั่นจัดการ”“แค่นั้นก็พอแล้ว แกยังปล่อยให้มันทำลายแขนแกไปข้างอีก”“แกบอกฉันสิว่าแกมันไร้ความสามารถแค่ไหน!”ความสามารถของอากุ่ย โจวเทียนเป่ยรู้ดีถึงความสามารถของเขาจะไม่ถึงกลับไม่ต้องเกรงกลัวใครในหยางตู แต่เขาก็มีฝีมือไม่ร้อย แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่านอกจากจะไม่ได้แขนขาของฉินเป่ยกลับมา ตัวเขายังโดนทำลายแขนไปหนึ่งข้างอากุ่ยนอนอยู่บนเปลหาม เขาถูกเพื่อนในทีมแบกกลับมาสีหน้าของเขาขาวซีด หน้าตาเจ็บปวดสุดชีวิต“ท่านผู้นำ ครั้งนี้ผมไม่สำเร็จภารกิจเป็นความผิดของผมเอง ผมยอมให้ท่านลงโทษคร
อารมณ์ของเวินซูซูไม่ค่อยดี“แม่นางซูซู คุณมาหาผมมีธุระอะไรเหรอครับ?”“จริงสิ ตอนนี้ร่างกายท่านย่าของคุณไม่มีปัญหาอะไรแล้วใช่ไหมครับ?”ฉินเป่ยไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อเวินซูซูเลย ดังนั้นเขาจึงพูดจึงพูดจาตรงไปตรงมา ไม่อยากพูดเรื่องอื่นกับเธอเมื่อเธอสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงไม่ต้อนรับของฉินเป่ย ไฟแห่งความโมโหก็ลุกโชนขึ้นในใจของเวินซูซู แต่เมื่อนึกถึงคำเตือนที่ท่านย่าเตือนเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้เธอก็ยอมอดทน“ฉันจะไปมีธุระอะไรกับนานได้คะ? นายไม่ต้องคิดมาก คุณย่าให้ฉันมาหาเพื่อขอบคุณนายหรอก”“ร่างกายของคุณย่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วค่ะ ท่านอยากชวนนายไปทานข้าวเย็นที่บ้าน จะไปหรือไม่ไปก็ให้คำตอบมาเลยนะคะ”เมื่อเห็นปากที่มุ่ยแทบติดจมูกของเวินซูซู ท่าทางน้อยอกน้อยใจ ฉินเป่ยก็รู้สึกหัวเราะในใจจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าตอนที่เธอหัวเราะก็ดูน่ารักดีเหมือนกันเขาเลยเปลี่ยนน้ำเสียงในการพูด “แม่นางซูซู กลับไปฝากบอกขอบคุณท่านย่าด้วย ส่วนเรื่องอาหารค่ำผมคงต้องปฏิเสธ ผมไม่ว่างจริง ๆ ครับ คุณก็เห็นแล้วว่าคลินิกผมกำลังรีโนเวท มีเรื่องต้องทำเยอะแยะเลยล่ะ”“รอคลินิกผมรีโนเวทเสร็จแล้วเริ่มเปิดกิจการ ผมจะไปเชิญท่านย่าของ
ฉินเป่ยไม่ได้ขาดทั้งเงินและอำนาจสำหรับการตัดสินใจของเวินหงอินเขาไม่มีทางยอมรับแน่ เห็นเขานิ่งสงบและมุ่งมั่นเช่นนั้น เวินหงอิงถึงฉุกคิดได้ว่าตนนั้นวู่วามเกินไป ในใจก็จินตนาการว่าคนสูงส่งอย่างฉินเป่ยคงไม่แร้นแค้นเรื่องเงินอย่างแน่นอน!สมบัติแค่เพียงเล็กน้อยตระกูลเวินนั่น ไม่มีทางอยู่ในสายตาของเขาแน่นอน“เสี่ยวเป่ย เป็นเพราะคนแก่อย่างฉันวู่วามเกินไป แต่คุณเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฉัน เป็นผู้มีพระคุณของฉันและทั้งตระกูลเวิน ต่อไปมีเรื่องใดที่ยายเฒ่าอย่างฉันช่วยได้ ท่านอย่าได้เกรงใจเด็ดขาด!”“ท่านย่าเวิน คุณอย่าเข้าใจผิดไปนะครับ ผมเป็นคนขี้เกียจน่ะ เปิดคลินิกที่เดียวก็เหลือเฟือแล้วล่ะครับ!”“ได้ เสี่ยวเป่ย ฉันเห็นว่าคลินิกนี้ตกแต่งได้พอประมาณแล้ว จะเปิดกิจการเมื่อไรล่ะ?”“ไม่รู้ว่าฉันพอจะมีเกียรติดื่มเหล้ากับท่านสักจอกไหม?”เวินหงอิงมุ่งมั่นแล้วว่าต้องดีต่อฉินเป่ย กิจการคลินิกของฉินเป่ยถือเป็นโอกาสเดียวที่เธอจะได้ตอบแทนเขา เธอไม่อยากจะปล่อยมันไป“ท่านย่าเวิน ถึงเวลาผมจะบอกคุณเองครับ คุณมาได้ก็ถือว่าเป็นเกียรติของผมแล้วล่ะ”“ท่านย่าเวิน ถ้าอย่างนั้นก็ให้แม่นางซูซูลุกขึ้นก่อนเถอะ!”