จวนแม่ทัพตะวันตก
อาชาสีดำตัวใหญ่ ถูกรั้งให้หยุดลงยังหน้าจวน ก่อนที่ชายสูงวัยที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูบานใหญ่ จะวิ่งตรงออกมาหา
“ลูกพ่อ!”
ท่านแม่ทัพเรียกบุตรสาวเสียงหลง เมื่อเห็นว่าเวลานี้ นางไร้สติอยู่ในอ้อมแขนของบุตรชาย ท่านแม่ทัพรับร่างบุตรสาวลงจากหลังม้า ก่อนจะรีบหมุนกายเดินกลับเข้าไปในจวน
“เสวี่ยเอ๋อร์ลูกแม่!”
หลินฮูหยินเรียกบุตรสาว ด้วยความตื่นตกใจ ก่อนจะวิ่งตามหลังสามีกลับเข้าไปในจวน นางที่เพิ่งได้สติ จากการเป็นลมไป หลังได้รับข่าวว่าบุตรสาวหายตัวไป
“หมอเร็วเข้าช่วยลูกข้าด้วย”
ท่านแม่ทัพตะโกนเรียกหมอประจำตระกูล ซึ่งมาดูแลอาการของหลินฮูหยิน รีบวิ่งตามเจ้าของบ้านไป สีหน้าของหมอชรา เต็มไปด้วยความตึงเครียด ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าบ้านทั้งสาม มีความตื่นกลัว ความกดดันของเขาก็มากตามไปด้วย คุณหนูหลินนั้น มีโรคหัวใจมาแต่กำเนิด แค่ออกแรกเล็กน้อย นางยังล้มป่วยไปหลายวันเลย แล้วสภาพของนางในตอนนี้ ไม่น่าจะทนไหว...
หลินเสวี่ยหลง ที่วิ่งตามพ่อแม่เข้าไปภายในเรือน มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ ก่อนที่เข้าจะเดินตรงไปยังสาวใช้คนสนิทของน้องสาว หมับ! มือหยาบคว้าเส้นผมของสาวใช้อย่างไร้ปราณี
“กรี๊ดด!! คุณชาย ไยทำร้ายบ่าวเช่นนี้เจ้าคะ”
สาวใช้ร่างบางกรีดร้องเสียงหลง พร้อมเอ่ยถามผู้เป็นนาย ถึงสาเหตุที่ลงมือกับตนเอง แม้ว่าลึกๆ แล้ว นางจะรู้ดีว่าเพราะสิ่งใด
“หลงเอ๋อร์”
หลินฮูหยินรับเข้ามาจับแขนบุตรชาย ที่ตอนนี้ยังไม่ได้ปล่อยเส้นผมของสาวใช้ แม้นางจะเป็นเพียงมารดาเลี้ยง แต่นางรู้จักเขาดีว่าน้อยนัก ที่เขาจะทำร้ายใครอย่างไรเหตุผล
“เป็นนางขอรับท่านแม่ นางคือคนที่ทำให้น้องเล็กต้องตกอยู่ในอันตราย”
กรามแกร่งสบกันแน่น สายตาหาได้ละไปจากสาวใช้ ที่ยังพยายามแกะมือเขาออกจากเส้นผม ที่ยุ่งเหยิงเพราะแรงกระชาก
“บ่าวมิรู้เรื่องนะเจ้าคะ”
สาวใช้รีบปฏิเสธเสียงแข็ง เมื่อนางถูกกล่าวหาจากคุณชายใหญ่ ต่อใหเป็นจรงแล้วอย่างไร ในเมื่อไร้ซึ่งหลักฐาน
“เจ้าเห็นว่าข้าโง่นักหรือ! หากข้าไม่มีหลักฐาน ไยข้าจะกล้าบอกว่าเป็นฝีมือเจ้า!”
ตุบ! ห่อผ้าสีดำที่ชุ่มไปด้วยเลือด ถูกโยนลงต่อหน้าของสาวใช้ หญิงสาวเหลือบมองไปด้วยความหวดผวา เพราะใบหน้าที่หันมาเผชิญหน้ากับนาง มันคือคนรักที่นางเพิ่งคบหาได้เพียงมินาน เขาตายแล้วหรือ...
“มันคือคนรักของเจ้าสินะ! คนจากเมืองหลวง เจ้าหักหลังนายเพียงเพื่อคนหลอกลวง สารเลว!”
“ฮือๆ บ่าวมิรู้เรื่อง ฮูหยินช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
หญิงสาวยังไม่ยอมรับในความผิด ก่อนจะหันไปร้องขอเมตตาจากหลินฮูหยิน ที่ตอนนี้เอาแต่ยืนนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ทว่าแววตาที่ฉายชัดออกมานั้น มันกลับเย็นชาจนสาวใช้ตัวน้อย สะท้านไปทั้งใจ นางไม่เคยเห็นแววตาเช่นนี้มาก่อนเลย
“ถึงข้ามิได้คลอดหลงเอ๋อร์มาด้วยตนเอง แต่ข้าเลี้ยงเขามา ย่อมรู้นิสัยของเขา หากไร้ซึ่งหลักฐาน เขาจะไม่ลงมือกับใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับสตรี”
นี่คือคำตอบที่ไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่ม ทำร้ายนางยังคงพอทน แต่กล้าแตะต้องบุตรสาวของนาง ก็คงไม่ต้องอยู่ร่วมโลกกันแล้ว
‘ท่านไม่คิดปล่อยเราแม่ลูกไปเช่นนั้นหรือ เจียงซ่างจื่อ’
หลิวฮูหยินรู้ดีว่าเรื่องนี้ ต้องเกี่ยวพันกับอดีตสามี บิดาแท้ๆ ของบุตรสาว แต่เพราะการหย่าร้างกันเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเวลานั้นนางตั้งครรภ์ได้เพียงสองเดือน จึงไม่ได้เปิดเผย เพื่อให้การหย่าขาดราบรื่น เจียงกั๋วกงผู้เป็นพ่อสามี ก็ช่วยบุตรชายให้ได้ยกฐานะอนุ ที่อดีตสามีของนางรัก ขึ้นเป็นฮูหยินเอก
แต่สิ่งที่พ่อลูกจวนกั๋วกงไม่เคยรู้เลย คือทุกอย่างที่พวกเขาได้มา ล้วนเป็นเพราะสกุลจ้าวของนางทั้งสิ้น ไร้นาง...ก็ไร้มือที่ยื่นเข้าช่วยครอบครัวกั๋วกง ขุนนางใหญ่ที่มีเพียงบรรดาศักดิ์ ไร้ทรัพย์สินเงินทอง หยามหมิ่นนางที่ตั้งครรภ์ไม่ได้ พอตอนนี้คิดอยากช่วงชิงลุกของนางไป เพื่อหวังใช้เป็นสะพานก้าวสู้อำนาจ ต่ำช้านัก!
“น้องหญิง”
ท่านแม่ทัพหลินเรียกภรรยา เมื่อท่านหมอได้ทำการตรวจร่างกาย ของบุตรสาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลินฮูหยินไม่สนใจ คำร้องขอเมตตา และการแก้ตัวจากสาวใช้ของบุตรสาว เท้าบางรีบก้าวตรงไปที่เตียง เพื่อดูอาการของคนเป็นลูก เรื่องข้างหลังปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบุตรชายไป
“ท่านหมอ ลูกข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินฮูหยินนั่งลงขอบเตียง ก่อนจะรับผ้าที่ชุบน้ำมาจากสามี แล้วบรรจงซับตามใบหน้าของบุตรสาว ยิ่งเห็นร่องรอยฟกช้ำบนใบหน้างามนั้น ใจของคนเป็นแม่เยี่ยง ยิ่งร้าวระทมเป็นเท่าทวีคูณ นางเลี้ยงดูลุกมาเป็นอย่างดี คนชั่วช้านี่กล้าทำร้ายหัวใจของนางได้อย่างไรกัน
“อาการคุณหนูใหญ่ ปลอดภัยดีแล้วขอรับ แต่นางต้องพักผ่อนให้มากหน่อยขอรับ ประเดี๋ยวข้าจะไปต้มยาบำรุงให้แก่นางเองนะขอรับ”
หมอชราไม่กล้าที่จะให้ใครอื่นต้มยา เพราะขนาดสาวใช้ข้างกายคุณหนู ยังลงมือทำร้ายนายตัวเองได้ขนาดนี้ ทางที่ดีเขาควรทำทุกอย่างด้วยตนเอง อีกอย่างเขาอยากให้นางฟื้นเร็วๆ เพื่อสอบถามเรื่องโรคประจำตัวของนาง ที่มันหายไปอย่างน่าประหลาด
“ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ”
“หามิได้ขอรับ นี่คือหน้าที่ของข้าน้อย อีกอย่างข้าน้อยก็เห็นนาง มาตั้งแต่ยังเป็นทารก ย่อมรักนางเสมือนบุตรสาวคนหนึ่ง ข้าน้อยขอตัวก่อน” หมอชราเอ่ยจบก็รีบคว้าหีบยาออกจากห้องไป โดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองสาวใช้ผู้ทรยศนาย
“เสวี่ยหลง พานางไปจัดการที่อื่น ส่วนพวกเจ้าเอาหัวนั้นไปเผาซะ! ทำความสะอาดห้องคุณหนูให้ดี”
ท่านแม่ทัพหันไปบอกบุตรชาย ก่อนจะสั่งการองครักษ์ของหลินเสวี่หลง ให้จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เขาไม่ต้องการให้บุตรสาวตื่นมา ได้เห็นความต่ำช้านี้ หรือแม้แต่กลิ่น เขาก็มิอยากให้นางสัมผัส
“ไยข้าจะไม่กล้า ในเมื่อเราร้องขอเมตตาอย่างผู้อับจนหนทาง แต่ท่านกลับใช้สายตาและคำพูดเย้นหยันอยู่ในที แม้เราจะยากไร้แต่เราก็มีหัวใจ” เด็กชายตอบด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉาน สายตาไม่ลอกแลก แต่มันกลับแน่วแน่ “หึ ๆ เถาเถา เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าข้าถูกเจ้าหนูตัวน้อยตำหนิ” “เจ้าค่ะ” “ชูสวี่ ยายสอนให้เจ้าเป็นคนไร้มารยาทตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” “ท่านยาย ถึงข้าต้องกรีดเลือด เฉือนเนื้อให้ท่านดื่มกิน ข้าก็ยินดีทำอย่างไม่ลังเล แต่จะให้ข้าทนเห็นท่านยายถูกเหยียดหยาม ข้ามิอาจทนได้ขอรับ” เด็กชายวัยเพียงหกขวบ ไม่น่าจะเกินนี้ กล้าที่จะพูดและมีความคิดที่ใหญ่โต แสดงว่าภูมิหลังสกุลชู คงไม่ใช่ยากไร้ตั้งแต่แรก หาไม่แล้วคงสอนเด็กน้อยคนนี้ ให้มีความคิดอ่านที่ฉะฉานได้ “คุณหนูหลานชายข้าน้อยยังเด็กนัก ได้โปรดเมตตาเขาสักครั้ง อย่าได้เอาผิดเขาเลยนะเจ้าคะ” “มาทางนี้เถอะ ข้าเมื่อยขา มานั่งคุยกันสักหน่อย” หลินมู่เสวี่ยมิได้ตอบรับ หรือปฏิเสธคำของหญิงชรา แต่เลือกที่จะเดินไปนั่งใต้ร่วมไม้ โดยส่งสัญญาณให้องครักษ์หนุ่ม ช่วยพยุงหญิงชราให้ลุกขึ้นเดินตามมา
เจ็ดปีต่อมา ณ เส้นทางสู่เมืองหลวง รถม้าคันใหญ่เคลื่อนผ่านไปตามถนน ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่อย่างเอื่อยเฉื่อย ดูไม่ได้เร่งร้อน ที่จะไปให้ถึงจุดหมายโดยไว เช่นผู้เดินทางอื่นๆ หญิงงามในชุดแพรพรรณชั้นดี บอกได้ว่านางเกิดมาในครอบครัวของผู้มีอันจะกิน ความงามที่เฉิดฉายของนาง หากใครได้ยลก็เสมือนต้องมนต์สะกด เรียกว่าเป็นความงามที่ล่มเมืองเลยก็ว่าได้ “คุณหนูแตงโมเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกาย ได้ยื่นจานแตงโมเนื้อแดงหวานฉ่ำ ให้แก่นายสาว แน่นอนว่าแดนตะวันตก มีพ่อค้าต่างแดนเข้าออกมากมาย สินค้าใดที่ล้ำค่าราคาแพงในเมืองหลวง คนที่อยู่ชายแดน จะได้รับมันก่อน ในราคาที่ย่อมเยากว่าหลายเท่านัก “ขอบใจเจ้ามากเถาเถา เจ้าก็กินเสียด้วยกันเลย” หญิงสาวยื่นมือไปหยิบไม้เล็ก ๆ ก่อนจะนำไปจิ้มแตงโมชิ้นพอดีคำ ส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย อากาศที่อบอ้าว ได้กินแตงโตที่เต็มไปด้วยน้ำเช่นนี้ มันสดชื่นเสียนี่กระไร อ๊ะ! ทว่าก่อนที่จะจิ้มแตงโมชิ้นต่อไป หญิงสาวต้องรีบหาที่คว้าจับ มิให้ร่วงลงจากที่นั่ง เมื่อรถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน “มีเรื่องอันใด ไยจึงหยุดกะทันหันเช่นนี้ คุณหนูเก
“โอ๊ะ! บ้าบอทำไมปวดหัวขนาดนี้” จวิ๋นมู่ ยกมือขึ้นวางบนหัวของตัวเอง ก่อนจะลืมตาขึ้น เธอจดจำทุกอย่างได้ และมีความทรงจำของใครอีกคน ชัดเจนอยู่ในหัว เหอะ! นึกว่ามีแค่ในหนังในละคร เธอมาอยู่ในร่างของคนเป็นโรคหัวใจ แล้วยังคนละยุคสมัย กับที่เธอคุ้นเคย เรื่องเดิมๆ ที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาในชีรี่ย์ดังหลายๆ เรื่อง แต่ก็นะ...ในเมื่อสวรรค์ให้โอกาส ก็ต้องใช้มันให้คุ้ม “ลูกแม่! เจ้าฟื้นแล้ว ไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า” หลินฮูหยิน รีบหันไปยื่นถาดยาให้มือให้สาวใช้ แล้วรีบก้าวยาวๆ ตรงไปหาบุตรสาวบนเตียง แค่เห็นว่าลูกลืมตา ใจของมารดาเช่นนาง ก็คลายความหวาดกลัวไปมากทีเดียว ร่างที่ยังคงงดงามของหลินฮูหยิน ค่อยๆ รีบนั่งลงขอบเตียง ก่อนจะคว้ามือบุตรสาวมากุมเอาไว้ ส่วนคนบนเตียง ที่กำลังพยายามเรียบเรียง ทุกความเป็นตัวตน ของคุณหนูจวนแม่ทัพ เธอทำได้เพียงแค่ยิ้ม ให้กับคนที่เรียกเธอว่าลูก ก่อนจะคิดคำพูด ที่จะไม่สร้างความคลางแคลงใจ ในความเปลี่ยนไปของคุณหนูหลินผู้นี้ “ท่านแม่ เอ่อ...ข้าหลับไปนานเท่าใดเจ้าคะ” หญิงสาวถามออกมาได้ในที่สุด ทว่าเสียงที่เปล่งออกมา มันช่างแหบแห้งน
จวนแม่ทัพตะวันตก อาชาสีดำตัวใหญ่ ถูกรั้งให้หยุดลงยังหน้าจวน ก่อนที่ชายสูงวัยที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูบานใหญ่ จะวิ่งตรงออกมาหา “ลูกพ่อ!” ท่านแม่ทัพเรียกบุตรสาวเสียงหลง เมื่อเห็นว่าเวลานี้ นางไร้สติอยู่ในอ้อมแขนของบุตรชาย ท่านแม่ทัพรับร่างบุตรสาวลงจากหลังม้า ก่อนจะรีบหมุนกายเดินกลับเข้าไปในจวน “เสวี่ยเอ๋อร์ลูกแม่!” หลินฮูหยินเรียกบุตรสาว ด้วยความตื่นตกใจ ก่อนจะวิ่งตามหลังสามีกลับเข้าไปในจวน นางที่เพิ่งได้สติ จากการเป็นลมไป หลังได้รับข่าวว่าบุตรสาวหายตัวไป “หมอเร็วเข้าช่วยลูกข้าด้วย” ท่านแม่ทัพตะโกนเรียกหมอประจำตระกูล ซึ่งมาดูแลอาการของหลินฮูหยิน รีบวิ่งตามเจ้าของบ้านไป สีหน้าของหมอชรา เต็มไปด้วยความตึงเครียด ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าบ้านทั้งสาม มีความตื่นกลัว ความกดดันของเขาก็มากตามไปด้วย คุณหนูหลินนั้น มีโรคหัวใจมาแต่กำเนิด แค่ออกแรกเล็กน้อย นางยังล้มป่วยไปหลายวันเลย แล้วสภาพของนางในตอนนี้ ไม่น่าจะทนไหว...หลินเสวี่ยหลง ที่วิ่งตามพ่อแม่เข้าไปภายในเรือน มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ ก่อนที่เข้าจะเดินตรงไปยังสาวใช้คนสนิทของน้องสา
เมืองหลวง ณ จวนจิ้งอ๋องลู่หย่งไท้ ร่างสูงในชุดสีดำ ก้าวตรงเข้าไปในตัวเรือนหลังใหญ่ จวนอันเงียบสงบ ไร้พี่น้องพ่อแม่อยู่ร่วม ทว่ากลับเป็นที่หมายตาของสตรีทั่วเมืองหลวง ที่อยากจะมาเป็นสตรีหนึ่งเดียวในจวนแห่งนี้ ทว่าเจ้าของจวนกลับเมินเฉยต่อเรื่องนั้น จนกระทั้งมีพระเสาวนีย์ จากองค์ไท้เฮา ถึงการหมั้นหมาย ที่มีกับบุตรสาวคนโต ของแม่ทัพตะวันตกหลินมู่เฉียว ซึ่งตามข่าวลือ นางคือบุตรสาวที่ติดท้องมารดา ซึ่งได้หย่าขาดกับท่านเจียงกั๋วกง “ท่านอ๋อง ท่านกั๋วกงได้ส่งเทียบเชิญ ให้ท่านอ๋องไปร่วมมื้อค่ำในวันพรุ่งนี้ขอรับ” พ่อบ้านชราถือเทียบเชิญจากจวนกั๋วกง ก้าวตามนายตนเข้าไปในเรือน ตามจริงเขาจะปฏิเสธแทนผู้เป็นนายก็ย่อมได้ แต่เพราะเจียงกั๋วกง คือบิดาโดยสายเลือดของว่าที่พระชายาเอก เขาจึงไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามทำสิ่งใดโดยไม่ได้รับเห็นชอบจากผู้เป็นนาย “ทุกครั้งท่านทำเยี่ยงไร ไยครานี้จึงต้องมาถึงมือข้าด้วยเล่า”อ๋องหนุ่มย้อนถามพ่อบ้านของตน ซึ่งโดยปกติเรื่องแค่นี้ ย่อมไม่ผ่านเลยมาถึงมือเขา ให้ต้องเสียเวลาตัดสินใจ “แต่ท่านกั๋วกง คือบิดาแท้ๆ ของว่าที่พระชายา ข
มือที่บางนี่จะแข็งแรงแค่ไหน เรื่องนี้จะจริงหรือฝัน เธอก็ไม่มีวันยอมให้ตัวเอง ถูกทำเรื่องเสื่อมเสียเด็ดขาด เพราะถ้าคนไล่ล่าคือผู้ชาย น้อยนักที่จะไม่คิดเรื่องแบบนั้นกับผู้หญิง จวิ๋นมู่หันมองสำรวจไปรอบๆ ตัว ก่อนจะหลับตาลงแน่น เมื่อหัวของเธอเจ็บร้าว เหมือนถูกทุบซ้ำๆ จนต้องยกมือขึ้นกุมขมับเอาไว้ จะบ้าตายนี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย! พรึ่บ! หวืด! หมับ! ยังไม่ทันที่จะได้ทบทวนอะไร ดวงตาที่หลับนิ่งเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคว้าจับข้อมือหนา ของผู้ชายตัวโตเอาไว้ ก่อนที่จะได้แตะต้องตัวเธอ ยังดีที่เธอเอี้ยวตัวหลบได้ทัน ไม่อย่างนั้น...ถ้าเธอตกอยู่ในเงื้อมือของชายแปลกหน้าไปแล้ว ฉึก! ปึก! มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนชายหนุ่มร่างใหญ่ ไม่ทันคาดคิดว่าเขาจะถูกตอบโต้ จากหญิงสาวบอบบาง อ๊าก!!! ชายหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อมีบางสิ่งแทงเข้าที่ลำคอของเขา ก่อนมันจะถูกดึงออก จนเลือดไหลพุ่งกระฉูดเมื่อเส้นเลือดถูกเปิด มือหนากุมลำคอเอาไว้แน่น ร่างสูงใหญ่ดิ้นพล่านอยู่บนพื้นดิน ใกล้กับหญิงสาวที่เขาไล่ล่าเสียงร้องโหยหวนของเขา ทำให้ฝีเท้าจำนวนหนึ่ง มุ่งตรงมายังทิศทางนี้ นั่นทำให้หญิงสาวลุกขึ้นยืนเต็มควา