INICIAR SESIÓN“ในที่สุดท่านก็มาสักที ข้ารอท่านนานแล้ว” ใต้เท้าหลิว หรือหลิวเฉียงเดินไปเดินมาที่โถงรับแขกราวกับหนูติดจั่น ยามนี้ทั่วเมืองหลวงไม่มีใครไม่พูดเรื่องที่เขาสั่งให้คนไปขวางขบวนของฮูหยินผู้เฒ่าฟ่าน ทั้งไท่ซ่างหวงยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับยิ่งใหญ่อีกด้วย
คนผู้นั้น แม้วางมือแต่ไม่ถอดเขี้ยวเล็บโดยแท้
หลี่เหมิงรับรู้ว่าตระกูลหลิวยามนี้ เต็มไปด้วยของสกปรก
ที่เหล่าชาวบ้านปาใส่ประตูจวน แต่ไม่รู้ใต้เท้าหลิวมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วแบบนี้ไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวหรืออย่างไร “เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่”หลิวเฉียงมองไปยังฮูหยินหลี่ จากนั้นหลี่เหมิงยกมือไล่
พวกนางแม่ลูกออกไป ให้หลิวเฉียงไปหารือที่ห้องหนังสือ“นี่ใต้เท้าหวังท่านยังสงบใจอยู่ได้อีกหรือ เรื่องชักจะบานปลายแล้ว” หลิวเฉียงเพิ่งเข้ากลุ่มรวมอำนาจเพื่อต้องการสั่นสะเทือนบัลลังก์มังกร ไม่รู้ฟ้าสู้แผ่นดินต่ำ ใช้คนที่ไม่เอาไหนพูดออกไปหมดว่าผู้ใดสั่งการ แม้เขาจะเป็นตำแหน่งในกรมทหารรักษาประตูเมืองหลวง แต่ก็คุมแค่ลูกน้องปลายแถวเท่านั้น ไม่ได้เป็น
ผู้บัญชาการใหญ่ ทั้งยังมีฉินกั๋วกงออกหน้าแทน ประชุมขุนนางพรุ่งนี้เขาแทบจะก้มหน้ามุดดินแล้ว“ประหารมันทิ้งเสีย ข้อหาใส่ร้าย ท่านยังต้องมาปรึกษา
ข้าอีกรึ” หลี่เหมิงรู้ซึ้งแล้ว พวกเขาเลือกคนผิดไปทำงาน แม้งานง่าย ๆ ก็ไม่สำเร็จ ทางหนียังต้องหาไว้ให้“ได้ที่ไหน หากคนผู้นั้นตายเท่ากับข้ายอมรับน่ะสิ หารู้ไม่คนผู้นั้นขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ารับลูกและภรรยาเข้าจวนสกุลฟ่าน
หากเกิดเรื่องร้ายชาวบ้านจะยิ่งโกรธแค้น”หลี่เหมิงรู้แล้วขยับเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ดี ยามนี้คนที่ส่งไปขัดขวางกลับคุกเข่าให้สกุลฟ่านที่มีเพียงสตรีชราเป็นผู้นำ ไม่น่าเชื่อว่าจะสะเทือนมาถึงเขาอีกด้วย วันนี้คำพูดหลายคำของฉินกั๋วกง ทำให้เขารู้ว่าราชสำนักจับตามองพวกเขาอยู่ หากเคลื่อนไหวยามนี้จบเห่ไม่พอยังไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้
แต่หารือยังไม่ทันจบ ด้านนอกก็ส่งเสียงอึกกระทึก จนไม่สามารถพูดคุยไปต่อได้อีกแล้ว หลี่เหมิงเรียกคนด้านนอกเข้ามาทันที “มีเรื่องอะไร” เสียงเข้มถาม
“เรียนนายท่าน ชาวบ้านมารุมด่าทออยู่หน้าประตูจวน บอกว่าพวกท่านคบค้าสมาคมกับตระกูลหลิว ขัดขวางอดีตแม่ยายเข้าเมืองหลวง จนลามไปถึงบีบคั้นให้อดีตฮูหยินใหญ่ตายขอรับ”
หลี่เหมิงคล้ายอยากจะเป็นลม จนรู้สึกวิงเวียนศีรษะ
จึงทรุดนั่งบนเก้าอี้เพื่อสงบใจชั่วครู่เวลาเพียงไม่นาน หากไม่มีคนกระจายข่าวจะรู้ได้อย่างไร อีกอย่างเขาเพิ่งกลับจากจวนตระกูลฟ่าน เมื่อมาถึงใต้เท้าหลิว
ก็มาถึงแล้ว แม้ใจอยากไล่กลับแต่ก็ต้องพูดคุยกันสักเล็กน้อย ใครจะคิดว่าข่าวจะไปไวราวกับไฟไหม้ฟาง แต่หากไม่มีคนจุดไฟย่อมไม่มีทางไหม้‘ผู้ใดกัน’
“ไล่ชาวบ้านออกไปให้หมด ทำอย่างไรก็ได้ จะสาดน้ำร้อนหรือจะไล่ตีก็เรื่องของพวกเจ้า”
ชื่อเสียงป่นปี้หมดแล้ว ตั้งแต่ยายหนูฉงจื่อกับฮูหยิน
ผู้เฒ่าฟ่านกลับมา เขาต้องหาทางแก้ต่างให้ตัวเองในวันพรุ่งนี้ พร้อมทั้งยังต้องหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลกับฝ่าบาทอีกด้วย
โยว่เฉิง คนของฉินกั๋วกงที่ลอบมองจากบนหลังคา เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉินกั๋วกงวางไว้ จึงกลับไปรายงานผู้เป็นนาย
“เรียบร้อยขอรับท่านกั๋วกง”
“ดี...ข้าจะเข้าวัง” พูดพร้อมกับลุกขึ้นสะบัดพัดโบกอย่างบุรุษเจ้าสำราญ แล้วเดินอย่างทนงองอาจไปยังรถม้าที่จอดหน้าโรงน้ำชา สั่งคนบังคับม้ามุ่งหน้าสู่วังหลวง
เมื่อถึงวังหลวงขันทีหลัวที่รออยู่นานแล้ว ได้เห็นหน้าท่าน
กั๋วกงเสียทีจึงถอนหายใจโล่งอก“ท่านกั๋วกง ฝ่าบาทรอท่านอยู่นานแล้ว ให้บ่าวมารอรับ”
หวังชิงเยว่ยิ้มให้กับหลัวกงกงแล้วเดินตามไปอย่างเร่งรีบ แม้ภายในใจจะเบิกบาน แต่ใบหน้ากลับเคร่งขรึม เพื่อให้คนที่มองดูเขาอยู่ได้เห็นว่าเรื่องวันนี้ใหญ่โตแค่ไหน
ถึงตำหนักไท่ผิง ซึ่งเป็นตำหนักที่ใช้สำหรับฝ่าบาททรงพักผ่อนจากราชกิจ กำลังใช้ไม้เล็ก ๆ หยอกล้อนกเล่น ซึ่งนกที่
ฝ่าบาททรงเลี้ยงนั้นพูดได้“ชิงเยว่มาแล้ว ชิงเยว่มาแล้ว ชิงเยว่มาแล้ว” เสียงเจ้านกแก้วหวู่เหนียนช่างเจรจารายงานผู้เป็นนายของมัน ก่อนหลัวกง-กงจะรายงานฝ่าบาทเสียอีก
ฝ่าบาทยกมือโบกเล็กน้อยให้หลัวกงกงเฝ้าด้านนอก ทั้งปิดประตูให้มิดชิด ก่อนจะหันมายิ้มให้กับหวังชิงเยว่
“เป็นอย่างไรไปรับว่าที่น้องสะใภ้”
ถ้อยคำนี้คล้ายกับกระตุ้นโทสะหวังชิงเยว่ ทำให้ใบหน้าของเขาบึ้งตึง สร้างเสียงหัวเราะให้คนถามอย่างยิ่ง
“ชิงเยว่เอ๋อชิงเยว่...เจ้าหึงตั้งแต่ยังไม่ได้ชิดเชื้อเช่นนี้
ได้หรือ”“ฝ่าบาทมิใช่เสียหน่อย” เขาตอบไม่สบตากึ่งยอมรับอยู่เล็กน้อย
“เอาล่ะไม่ล้อเจ้าแล้ว ขันทีที่ทำลายจดหมายเจ้า ให้ทำอย่างไร” ไท่เผิงถามความเห็น เพราะสายลับที่ส่งมาเค้นให้ตาย
ก็ไม่ยอมรับ“ไม่มีญาติ เด็กกำพร้า พ่อแม่ไม่รู้ชื่อแซ่อะไร” หวังชิงเยว่พูดเหมือนเรื่องเดิม ๆ ที่เคยสืบมาหลายหนหลายครั้ง สุดท้ายก็จบ
ที่เดิม คือคนไร้ญาติขาดมิตร“เจ้าก็รู้ยังจะถามอีก” ไท่เผิงคล้ายไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่สีหน้าของสหายดูเหมือนเรื่องนี้ไม่ใช่แค่สายลับ ยังหมายถึงความปลอดภัยของตำหนักไท่ผิงอีกด้วย
“สั่งประหารตั้งแต่คนรับ จนถึงคนสนิทของขันทีผู้นี้ ต่อไปคนที่จะเข้ามารับใช้ฝ่าบาทกระหม่อมคัดเลือกเอง”
หวังชิงเยว่คร้านจะสืบเรื่องคนพวกนี้แล้ว เขาอยากทำอย่างอื่นที่มันน่าสนใจกว่านี้ และตอนนี้เรื่องราวกำลังสนุกเชียว ตระกูลที่เกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นเริ่มผุดมาทีละตระกูล จากที่หลบอยู่มุมมืด เริ่มมีแสงสว่างส่องถึง
“ตามใจเจ้า ข้าเพียงแค่อยากแบ่งเบางานเจ้าเท่านั้น”
แรกเริ่มไท่เผิงเห็นว่างานของเขาในตำแหน่งฉินกั๋วกงก็มากพออยู่แล้ว ตรวจสอบทุกกรมกองในเมืองหลวง นอกจากสำนักตรวจสอบที่เขาให้รับหน้าที่ควบคุมแล้ว ยังเป็นมือสืบคดีที่ตัดสินลวก ๆ อีกหลายคดี หนึ่งในนั้นคือแม่ทัพหญิงฟ่านเถียนเถียน ผู้เป็นอาจารย์ฝึกวิชาให้เขาอีกด้วย“เพิ่มงานเสียมากกว่า” เสียงตัดพ้อนี้หวังชิงเยว่กล้าพูดเพราะยามนี้ระหว่างฝ่าบาทและเขาเป็นเพียงแค่สหายรักกันเท่านั้น เติบโตฝ่าฟันอุปสรรคและร่วมเป็นร่วมตายกันมา จนถึงตอนนี้
ไม่ง่าย ฝ่าบาทจึงไว้ใจเขาที่สุด“ก็ได้ก็ได้ ข้าผิดเองพอใจหรือไม่” คนเดียวที่ฮ่องเต้ไท่เผิงยอมให้ก็คือหวังชินเยว่
“ตระกูลหวังมีเอี่ยว เจ้าลำบากใจรึไม่” เพราะงานนี้สิ่งที่ต้องเผชิญ สหายของเขาอาจจะต้องจับบิดาตัวเองด้วยซ้ำ เดิมอยากให้คนอื่นทำ แต่ก็จนใจที่คนอื่นล้วนซื้อได้ด้วยเงิน
“ไม่ใช่ว่าพวกเรารอล้างแค้นให้พี่หญิงและยังเป็นท่านแม่ของข้าอยู่รึ”
พูดถึงเรื่องนี้ไท่เผิงดวงตาลุกเป็นไฟ ครั้งนั้นเพื่อพวกเขาสองคนพี่หญิงสละชีวิตช่วยเหลือ คำสั่งเสียสุดท้ายของพี่หญิงคือ
ให้ดูแลเขาให้ดี เขาจึงเข้มแข็งหยัดยืนมาถึงทุกวันนี้ เพื่อรอชำระคืนทีละนิด ๆ อย่างใจเย็น“ใช่...ย่อมไม่ปรานี”
สิ้นคำของไท่เผิงความเงียบปกคลุมอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะทำใจให้กลับมาสนใจเรื่องของงานเลี้ยงอีกสามวันได้ และวางกำลังหนาแน่นในวังหลวง
คนในราชสำนักเข้าใจว่าตราพยัคฆ์อยู่ในมือของตระกูลฟ่าน มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าอยู่ในมือเสด็จพ่อนานแล้ว พรุ่งนี้ย่อมต้องมีขุนนางเสียดสีเรื่องสกุลฟ่านเป็นแน่...
วันถัดมาท้องพระโรงในการประชุมเช้า เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ยื่นฎีกาเอาผิดใต้เท้าหลิวและพวก ที่ขัดขวางการเข้าเมืองหลวงของฮูหยินผู้เฒ่าฟ่าน นักรบตระกูลฟ่านซื่อสัตย์ภักดีมาช้านาน ไม่ว่าคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์คือผู้ใด ย่อมเคารพเชื่อฟัง แต่ใต้เท้าหลิวนับเป็นตัวอะไร เกียรติยศยังไม่มี ผลงานยังไม่บังเกิด ไม่กลัวตายกระทำการเกินคำสั่งฝ่าบาท
ขุนนางฝ่ายบุ๋นเองก็ปกป้องสุดกำลัง เพราะใต้เท้าหลิว
ถือเป็นกำลังที่สำคัญอีกตระกูล หากไม่เข้มแข็งจะสู้ฝ่ายบู๊ไม่ได้ ทั้งฝ่ายบู๊มีอำนาจมากกว่ามาตลอด แม้จะผ่านมาสิบห้าปีแล้วก็ตาม“ใต้เท้าหลิว ท่านทำจริงหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท ข้าต้องการรักษาเกียรติยศของฝ่าบาท ตลอดทางมาเมืองหลวง ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านทำตัวคับฟ้า ให้ประชาชน
ก้มกราบไหว้ตลอดทาง คงคิดว่ามีตราพยัคฆ์เคลื่อนทัพอยู่ในมือ เช่นนี้มิเท่ากับไม่เห็นฝ่าบาทที่นั่งบนบัลลังก์หรอกหรือ ข้าน้อยเพียงอยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านได้รู้จักนอบน้อม เพราะไม่ใช่ตระกูลนักรบแล้ว”ใต้เท้าหลิวดูแคลนตระกูลฟ่านก็เท่ากับดูแคลนขุนนางฝ่ายบู๊ทั้งหมด จึงเกิดเหตุโต้เถียงกัน
“ใต้เท้าหลิวไม่รู้จักไร้ยางอายสะกดเช่นไร ไม้เท้าหงส์เป็นของไท่ซ่างหวงที่เคยเป็นฝ่าบาทในอดีตประทานให้ ป้ายผ่านทางที่ทำจากทองคำ มีตราของไท่ซ่างหวงให้ผ่านทุกทางขึ้นเหนือล่องใต้ได้อย่างสะดวกหมายความว่าอย่างไร ท่านขัดขวางยังเห็นไท่ซ่าง-หวงอยู่หรือไม่!”
“ข้าย่อมภักดีต่อฝ่าบาท”
“ภักดีต่อฝ่าบาท แต่ต้องการให้ฝ่าบาทผิดใจกับตระกูลฟ่านท่านกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เบื้องหลังท่านอย่าคิดว่าคนอื่น
ไม่รู้” เสนาบดีกลาโหมทนไม่ไหว จัดการตีฝีปากปกป้องตระกูลฟ่าน และล้วนเป็นคำสั่งเบื้องบนฉินกั๋วกงที่นั่งเงียบรอขุนนางโต้เถียงกันให้เสร็จเสียก่อนค่อยกล่าวเสริมทีหลัง จนเมื่อทุ่มเถียงกันไปมากแล้ว ฝ่าบาทจึงเห็นควรแก่เวลาห้ามปรามเสียหน่อย
“ฉินกั๋วกงท่านอยู่ในเหตุการณ์มีความเห็นอย่างไร”
“ทูลฝ่าบาท ตลอดการเดินทางจากหวายหว๋า ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ถือตัว แต่เป็นเพราะชาวบ้านต่างสำนึกในความดีครั้งอดีตจึงมาให้กำลังใจ หาได้มีเรื่องอย่างที่ใต้เท้าหลิวกล่าวหา ทั้งฮูหยินผู้เฒ่า
ยังไม่เคยหมิ่นเกียรติพระองค์แม้เพียงครึ่งคำ ผิดกับใต้เท้าหลิวที่มีคำสั่งโดยพลการ สร้างความสะเทือนใจและโกรธแค้นให้กับเหล่าชาวบ้านพ่ะย่ะค่ะ”หลิวเฉียงปาดเหงื่อ ทั้งหมดวันนี้เขาว่าร้ายตระกูลฟ่าน
มาครึ่งชั่วยาม เพียงฉินกั๋วกงพูดไม่กี่ประโยคฝ่าบาทก็พยักหน้าทันที เห็นได้ชัดว่าน้ำหนักในใจฝ่าบาทระหว่างเขาและฉินกั๋วกงจะเทียบอะไรได้“ฝะ...ฝ่าบาท” ใต้เท้าหลิวคุกเข่าอย่างสำนึกผิด แต่ฝ่าบาทไม่มองเขาแม้แต่น้อยกลับถามฉินกั๋วกงต่อ
“มีอะไรอีกหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาทกระหม่อมทำหน้าที่ส่งฮูหยินผู้เฒ่าฟ่าน แต่ไม่นึกว่าจะพบสหายรักของใต้เท้าหลิวที่หน้าประตูจวน รบกวนการพักผ่อนของฮูหยินผู้เฒ่า อ้างคิดถึงบุตรีที่จากกันไปไกล แต่ครั้งนั้นเป็นคนส่งไปอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าที่หวายหว๋าเอง ไม่รู้แท้จริงแล้วจุดประสงค์คือเรื่องใด”
เรื่องนี้ไม่เคยชัดเจนจนกระทั่งฉินกั๋วกงกล่าวออกมา
ขุนนางในราชสำนักพากันเปลี่ยนท่าทีต่อเสนาบดีคลังหลี่ทันที“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ...เหตุใดข้าไม่เคยรู้”
“ไม่สู้ฝ่าบาทลองถามเสนาบดีหลี่ดูพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เหมิงมองฉินกั๋วกงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พร้อมเอ่ยด้วยโทสะ “เรื่องในบ้านไม่รบกวนให้ฉินกั๋วกงลำบาก” แต่พูดไปแล้วอยากตบปากตัวเอง เมื่อสุรเสียงด้านบนเปล่งวาจาออกมา
“อ้อ...เสนาบดีหลี่กำลังจะบอกว่าข้ายุ่งเรื่องบ้านท่านไม่ได้อย่างนั้นรึ”
หลี่เหมิงคุกเข่าลงก้มหน้าติดพื้น พร้อมทั้งรีบแก้ไขคำพูดตน “ใต้หล้านี้ทุกคนล้วนคือลูกหลานฝ่าบาท ชีวิตล้วนเป็นของ
ฝ่าบาท กระหม่อมหาได้หมายความเช่นนั้นไม่”“อืม...พูดได้ดี...ถือว่าเป็นลูกหลานเรา เช่นนั้นเรื่องคู่ครอง
ก็ให้เป็นเรื่องของเราตัดสินเถอะ ไม่รบกวนใต้เท้าหลี่”ขุนนางฝ่ายบู๊ต่างมองใต้เท้าหลิวและใต้เท้าหลี่อย่างสมน้ำหน้า ตระกูลฟ่านแต่เดิมการแต่งงานล้วนมีผู้เป็นใหญ่ตัดสินใจ ตระกูลหลี่มีศักดิ์ใดถึงได้กล้ากล่าวเรื่องนี้ คงไม่กลัวตายกระมัง
“ฝ่าบาท ปกติเรื่องแต่งงานของลูกพ่อแม่ล้วนจัดหาให้ เรื่องนี้หาได้ต้องรบกวนฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงต่าง ๆ อื้ออึงอีกครั้ง ไม่คิดว่าเสนาบดีหลี่ไม่กลัวตาย กล่าวเรื่องนี้ขึ้นต่อหน้าขุนนางทั้งท้องพระโรง ไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาชัด ๆ สงสัยคงไม่อยากมีเงาหัวอยู่บนบ่าแล้วกระมัง
“ท่านพูดเองไม่มิใช่หรือ ใต้หล้านี้ทุกชีวิตล้วนลูกหลานเรา เช่นนั้นไม่ให้เราเป็นคนตัดสินใจ ท่านจะตัดสินใจรึ หากในอดีตท่านอาฟ่านเถียนเถียนไม่ลุ่มหลงหน้ามืดตามัว ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมบุรุษ
ไร้คุณธรรม มีหรือเสด็จพ่อจะประทานสมรส บัดนี้ท่านยังไม่รู้สึกสำนึกอีกรึว่าท่านคู่ควรหรือไม่!!!”ขุนนางทั่วท้องพระโรงคุกเข่าพร้อมเพรียงกัน ยามนี้ฝ่าบาทพิโรธแล้ว หากใครยังกล้าฝืนพูดอีกครึ่งคำคงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้
“ฝ่าบาท...กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมสมควรตาย” หลี่เหมิงรีบสำนึกแล้วยอมรับผิดทันที เอาไว้ค่อยคิดหาวิธีภายหลัง แต่ทว่า...
“รู้ตัวก็ดีว่าท่านน่ะ...สมควรตายที่สุด!”
ศึกษาจากสำนักศึกษาตระกูลฟ่านมาได้สามเดือน ก่อนจะมีการทดสอบก่อนจะปิดภาคก่อนศึกษา ฟ่านฮุ่ยเสียน หวังฉิงอวิ๋น และองค์ชายไท่หยางได้รับเลือกให้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน และเมื่อมีการจับคู่การสอบในครั้งนี้จึงมีสามคนจับคู่ด้วยกัน โดยให้เลือกคนที่เชี่ยวชาญที่สุดในกลุ่มออกมาแต่ละวิชาที่สอบ ฟ่านฮุ่ยเสียนที่โดนกวดขันให้วิ่งทุกวัน แม้พุงจะยังนำหน้า แต่ทว่าเรื่องวิ่งนั้นเร็วกว่าผู้ใด อีกอย่างที่ความสามารถไร้ผู้ใดเทียบคือยิงธนู จึงได้รับเลือกให้ยิงธนูในแข่งขัน เพราะหมู่บ้านตระกูลฟ่านแต่ละคนเป็นลูกหลานทหาร เรื่องยิงธนูนั้นหากไม่เก่งกาจจริงมีหวังได้แพ้ไม่เป็นท่า และเขามีอาจารย์ดี ก่อนหน้านั้น... “ท่านพ่อข้าได้รับเลือกให้แข่งยิงธนูในการทดสอบก่อนปิดภาคการศึกษา” พูดไปพร้อมกับมีขนมเซาปิ่งไส้ถั่วเหลืองอยู่ในปาก โดยที่มีมารดากำลังจัดเสื้อผ้าของเขาที่เพิ่งอาบน้ำหลังกลับจากสำนักศึกษาให้เรียบร้อย “เห้อ...ใครช่างตาถั่วเลือกเจ้า” ฟ่านเทียนเทียนปวดหัวกับบุตรชายทุกวัน แม้ตอนนี้ในท้องจะมีลูกอีกคน แต่เขาคือบุตรชายคนโต ต้ององอาจเก่งกาจเหมือนท่านปู่และท่านลุง แต่นับวันยิ่งเหมือนเห็
สามปีผ่านไปในแคว้นหนานอันมีจัดให้ตั้งสำนักศึกษาทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่ผู้ที่มีกำลังส่งบุตรหลานได้ศึกษามีเพียงชนชั้นสูงและครอบครัวของเศรษฐีกับขุนนางในราชสำนัก แต่เมื่อปีที่แล้วหลี่ฉงจื่อขอร้องให้ฝ่าบาทจัดให้มีเรียนสำนักศึกษาชั้นต้น เพื่อให้เด็กทุกคนในเมืองหลวงอ่านออกเขียนได้ จะได้ทำการค้าในอนาคต และเมื่อเมืองหลวงมั่นคงแล้ว จึงให้ขยายออกตามหัวเมืองต่าง ๆ ปีนี้ฉิงอวิ๋นถึงอายุที่สามารถเข้าศึกษาได้ แต่ทว่ามารดาอย่างฉงจื่อกลับอยากให้บุตรสาวได้สัมผัสกับชีวิตชาวบ้านทั่วไป ไม่อยากให้เอาแต่สมาคมกับชนชั้นสูงอย่างเดียว จึงได้เกิดสำนึกศึกษาของหมู่บ้านตระกูลฟ่าน ที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านออกเงินสร้างด้วยตนเอง ให้คนตระกูลฟ่านทั้งหมดรวมถึงบุตรหลานได้เรียนหนังสือ หลายครั้งทหารชั้นเลวเหล่านั้นมาจากครอบครัวที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากครอบครัวที่กู้เงินมาใช้จ่าย จึงทำให้เกิดความยากลำบากในการชำระหนี้สิน เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็เข้ามาเป็นทหารตระกูลฟ่าน เพื่อหาเงินให้ครอบครัว สวี่หรงเจินรับรู้ปัญหานี้มานานแล้ว เมื่อหลานสาวเสนอแนวคิดนี้ขึ้น นางจึงไม่รอช้าที่จะใช้เงินส่วนตัวจัดการทันทีไม่รอให
วันที่เก้าเดือนเก้าเป็นเทศกาลฉงหยาง[1]เป็นวันที่ไท่ซ่าง-หวงจัดงานเลี้ยงที่บ้านพักตากอากาศนอกเมืองหลวง ต้องเดินทางขึ้นไปบนเขา แต่ทว่าเส้นทางถูกบุกเบิกจนสามารถให้รถม้าเดินทางขึ้นไปโดยสะดวก ทำให้ไม่ลำบากนัก แขกในงานแน่นอนว่าต้องเป็นฝ่าบาท ฮองฮา ตระกูลฟ่าน และตระกูลหวัง สองตระกูลซึ่งอยู่ค้ำคู่บัลลังก์มาช้านาน และตอนนี้มีลูกหลานรุ่นต่อไปกันหมดแล้ว ทั้งสกุลฟ่าน และสกุลหวัง องค์ชายใหญ่ไท่หยางอายุเท่ากับฟ่านฮุ่ยเสียน และยังเป็นสหายที่ได้ร่วมเรียนกันอีกด้วย ทั้งหมดนั่งอยู่ในรถม้าสำหรับเด็ก ๆ โดยจำนวนคนที่อยู่ในรถม้านี้มีฟ่านฮุ่ยเสียน หวังฉิงอวิ๋น และองค์ชายใหญ่ โดยมีซือมามาซึ่งเป็นมามาในไท่ซ่างหวงดูแลเด็ก ๆ อยู่ในรถม้าด้วยตนเอง “ฮุ่ยเสียน เจ้าฝึกเพลงทวนตระกูลฟ่านถึงไหนแล้ว” องค์ชายน้อยถามสหาย เพราะบิดาจะให้ทดสอบในอีกหนึ่งเดือนก่อนเข้าฤดูหนาว “โธ่...องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ พวกเราแค่สี่หนาวจะเก่งกาจได้อย่างไร ยกทวนยังไม่ไหว” ฮุ่ยเสียนในมือถือตระกร้ามันฝรั่งฝานเป็นชิ้นบาง ๆ ทอดในน้ำมันโรยด้วยเกลือจากท่านแม่ ที่ทำให้เขากินเป็นขนมเอาไว้กินแก้เบื่อระหว่างทางขึ้นเขา โดยไม่ได้
หลังจากได้รับรู้ความยากลำบากของหวงหลิ่วอิน ฟ่านเทียน-เทียนไม่รอช้าที่จะปีนหน้าต่างเข้าไปในห้องของนาง แต่ทว่ากลับโดนนางไล่ทุบ เพราะกว่าจะฟื้นคืนกำลังมาได้นางต้องตุ๋นไก่ดำไปหลายตัว แต่ฟ่านเทียนเทียนกลับยืนให้นางทุบจนเหนื่อย สุดท้ายนางก็เลิกไปเอง แต่กลับได้รับการกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ ทำให้หวงหลิ่วอินใจอ่อนยอมยกโทษให้ แต่ฟ่านเทียนเทียนกลับไม่ยอมให้ผ่านคืนวันนั้นไปเฉย ๆ “ข้า...ข้าคิดถึงเจ้าคืนนี้ขอนอนกอดได้หรือไม่” ถ้อยคำแสนซื่อของฟ่านเทียนเทียนทำให้คนอย่างหลิ่วอินที่ไม่เคยใจอ่อนให้บุรุษคนใดยิ้มขัน แต่ทว่านางรู้สึกชอบเขานัก หากไม่ติดว่าเขาอายุมากกว่านางไปนิด แต่ก็ไม่ได้ห่างกันเกินสิบห้าปีก็ไม่ใช่ว่าจะแต่งไม่ได้ อีกอย่างนางก็อายุเลยวัยยี่สิบปีมานานแล้ว สมควรแต่งงานสักทีแต่นางมีข้อแม้อยู่หนึ่งคำ “ข้าไม่ชอบการบ้านการเรือน ข้าชอบศึกษาสมุนไพร” “ข้าจะสร้างห้องยาให้เจ้าที่สกุลฟ่านใหญ่โตกว่านี้ ทั้งยังเปิดร้านยาให้เจ้าที่หมู่บ้านสกุลฟ่าน” หลิ่วอินใฝ่ฝันมานานแล้ว นางอยากรักษาคนแบบไม่ต้องแอบซ่อน หากเขาเติมเต็มความต้องการนางได้นางก็จะพิจารณาเขา แต่ทว่
“นะ...น้า...น้าสาม!!!” หลี่ฉงจื่อยื่นหน้าอยู่ด้านหลังน้าสามทั้งยังนวดไหล่ให้อย่างเอาใจ ไม่บอกก็รู้ว่านางเองคงถูกจับได้แล้วกระมัง พลันทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นบุรุษไม่เอาไหน ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ “ข้ากำลังรออยู่เชียว” ฟ่านเทียนเทียนทำเสียงเคร่งขรึม แต่ทว่าเมื่อฉินกั๋วกงผู้เป็นใหญ่รองจากฝ่าบาทเข้ามา ใบหน้าของเจ้าหลานเขยที่เหลือสองชุ่น[1] ทำให้รู้สึกตัวเององอาจขึ้นอีกสองส่วน “ระ...รอ...หรือว่ามีเรื่องอะไรหรือขอรับ” ฟ่านเทียนเทียนเดิมอับอายเกินจะปรึกษาผู้ใด แต่รู้ว่าเจ้าหลานเขยแอบลักลอบเข้ามาพบหลานสาวทุกคืน สุดท้ายเกินจะกล้ำกลืนเก็บเอาไว้ในใจ จึงมาดักรอเพื่อจะถามถึงหลิ่วอินสักคำ “เจ้ากับหลิ่วอินเป็นสหายกันใช่หรือไม่” “ขะ...ขอรับ” ฉินกั๋วกงตอบเสียงตะกุกตะกัก ความหวาดกลัวบางอย่างเกิดขึ้น “นางเป็นอย่างไรบ้าง...นางไม่สบายหนักหรือไม่” ฟ่านเทียน-เทียนตระหนกกลัวนางจะไม่พบหน้าเขาอีก ครั้งนั้นเขาควบคุมตัวเองไม่ได้เผลอรุนแรงกับนางไป โธ่เอ้ยท่านน้าแค่คิดถึงนางหรอกหรือ นึกว่าจะไม่อยากแต่งกับนางแล้วเสียอีก ฉินกั๋วกงพลันน
“คุกเข่า!” เสียงฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านสั่งหลานสาวแต่หลานเขยกลับคุกเข่าแทน “ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านโปรดระงับโทสะก่อน ข้าเป็นคนคิดทั้งสิ้นไม่เกี่ยวกับฉงจื่อเลย” หวังชิงเยว่ไม่คิดว่าแผนการตื้นเขินของตนเองจะล่วงรู้ถึงหูฮูหยินผู้เฒ่าฟ่าน “ฉินกั๋วกงอย่านึกว่าข้าจะไม่กล้าลงโทษท่าน” “ไม่นึก...ไม่นึกเด็ดขาด ท่านเปรียบเหมือนท่านยายของข้าลงโทษได้เต็มที่ แต่อย่าลงโทษหลี่ฉงจื่อเลยขอรับ นางเพิ่งหายป่วย” สวี่หรงเจินเห็นท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ของหลานสาวแล้วให้คนไปสืบดู จนได้รู้ว่าเจ้าเด็กไม่รู้จักโตแอบทำเรื่องผิดคุณธรรมกับท่านน้าของตนเอง แม้จะพึงพอใจที่จะหาเรื่องจับบุตรชายแต่งงานเสียที แต่ก็ไม่ได้อยากบังคับสตรีสกุลหวง แต่เรื่องมันเลยเถิดไปไกลเกินนางจะห้ามได้ ‘ทั้งคู่เกินเลยกันแล้ว’ “หึ...ออกไปคุกเข่าข้างหน้าประตู” หลี่ฉงจื่อรู้ว่าท่านยายไม่กล้าลงโทษนางหนัก นางจึงออกไปคุกเข่าหน้าประตูตามที่ท่านยายสั่ง แต่เมื่อออกไปแล้วสวี่หรงเจินกลับก้มลงมากระซิบ “สตรีผู้นั้นเป็นคนเช่นไร” สวี่หรงเจินไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมานาน ชื่อเสียงของสตรีในเมืองหลวงย่อมไม่แน่ชั







