Masukจางม่านอวี้ไม่เข้าใจเหตุใดเฉินโยว่เหวยถึงได้ชอบสำลักเวลาดื่มน้ำชานัก นางพูดอะไรผิดที่ไหนกันก็นางเก่งเรื่องบนเตียงจริง ๆ นี่
‘อวี้เอ๋อร์น่ะ ชอบนอนบนเตียงนุ่ม ๆ นอนได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ต้องทำอะไร หากไม่เรียกเก่งบนเตียงเรียกอะไรได้อีกล่ะ’
เฉินโยว่เหวยชักรู้สึกว่าสตรีตัวน้อยตรงหน้าชักจะทำให้เขาเสียสมาธิมากขึ้นทุกวัน ตั้งแต่พบหน้าจนตอนนี้นางทำให้เขาตะลึงได้ตลอด และตอนนี้นางบอกว่าเก่งบนเตียง ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นบุรุษ
นางเอาความใจกล้าเช่นนี้มาจากไหนกัน
“เจ้าเคยนอนกับบุรุษหรือ?” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ คล้ายกับนางที่พูดจาเหลวไหล
“ไม่เคยเจ้าค่ะ อวี้เอ๋อร์บริสุทธิ์สดใสมาก ๆ”
“แล้วเจ้า!”
เขาไม่รู้จะพูดสิ่งใดดีจึงลุกขึ้นเพราะรู้สึกปวดหนึบตรงกลางกายที่ไม่ได้ปลดปล่อยมานานแล้ว ทำให้คนที่ไม่รู้ว่าเฉินโยว่เหวยเป็นอะไรนั่งหน้าเหวอ มองคนที่หุนหันลุกขึ้นเดินจนชุดสีครามปักลายพยัคฆ์ดังสะบัดด้วยแววตาไม่พอใจ
“ข้าพูดอะไรผิด...ข้าชอบนอน...ก็เลยเก่งเรื่องบนเตียงอย่างไรเล่า...คุณชายเฉินโกรธที่ข้าสันหลังยาวนอนเก่งงั้นเหรอ?”
นางยกมือเกาหัวแกรก ๆ ไม่เข้าใจคนอารมณ์ไม่คงที่ราวกับไม่ได้ปลดปล่อยมาแรมเดือน ทั้งที่นางกู้เงินจากเขาไปไม่กี่วันแถมยังเป็นวันที่เขาได้ร่วมอภิรมย์กับสตรีใบหน้างดงามดุจกุหลาบที่มีหนามแหลมนั่นอีกด้วย
นางเลิกสนใจเขาแล้วคัดลอกพระสูตรของนางต่อไป...
ยามเมื่อทินกรลาลับ ท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีน้ำเงินอมม่วงคนที่ตอนแรกตั้งใจคัดพระสูตรยามนี้นอนคุดคู้อยู่บนพื้นที่ปูรองด้วยพรมที่ทำจากขนสัตว์อย่างอบอุ่น และนำเบาะรองนั่งทั้งของเขาและของนางมาหนุนหัว พร้อมกับขโมยเสื้อคลุมของเขามาห่มแทนผ้าห่ม
แน่นนอนว่าเขียนมานานย่อมต้องตาล้า นางจึงขอพักสายตาชั่วครู่ แต่ชั่วครู่ของนางคือผ่านไปเกือบสองชั่วยามแล้วก็ยังไม่ตื่น จนกระทั่งร่างใหญ่เดินกลับมาในห้องที่ค่อนข้างมืดสั่งให้หลี่เฟิงจุดเทียน
เมื่อเห็นว่าคนที่ทำให้เขาหงุดหงิดงุ่นง่านจนต้องไปแช่น้ำเย็น ๆ จากน้ำตกด้านหลังเรือนกำลังนอนคุดคู้ก็รีบ สั่งการ
“ให้หลงจู้ไปส่งซูหมิง แวะซื้อเนื้อกลับไปให้พอกับบ่าวรับใช้ที่บ้านของนางด้วย และบอกพ่อบ้านของนางว่าคุณหนูจางม่านอวี้อยู่คัดคัมภีร์ที่นี่ยังไม่กลับ”
เขาสั่งเสร็จองครักษ์ที่ทำงานว่องไวก็รีบไปจัดการทันที ส่วนคนที่เก่งเรื่องบนเตียงนอนหลับสนิทพร้อมอ้าปากนิด ๆ ทำปากขมุบขมิบจนอดที่จะเอานิ้วไปแย่ปากนางเล่นไม่ได้
นางช่างไม่รู้จักระวังตัว แต่เขาก็มองนางไม่วางตาเช่นกัน
มื้อค่ำมาเยือน คนของห้องครัวยกอาหารเข้ามาส่งผลให้ร่างเล็กที่หลับอย่างเต็มอิ่มแล้วค่อย ๆ ขยับเปลือกตาก่อนจะงึมงำพูด
“ไก่อบน้ำผึ้ง...งื้ม...หอมมาก....หมูแดงด้วยหรือ...นั่นยังมีปลาตุ๋นอีก โอ๊ย...ทำไมฝันหวานเช่นนี้”
เพราะว่าอยู่โลกนี้ไม่ค่อยได้มีอาหารดี ๆ กิน ทำให้นางที่ได้กลิ่นอาหารดี ๆ จนคิดว่าตัวเองฝันไปทุกที จนกระทั่งได้ยินเสียง
“หากเจ้ามัวแต่ฝันข้าจะกินคนเดียวให้หมด!”
เสียงนั้นทำให้นางลืมตากว้างลุกขึ้นจากพรมขนสัตว์อันแสนอบอุ่นจนสายตาสบเข้ากับอาหารมากมายบนโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งเอาไว้ตรงกลาง พร้อมทั้งมีน้ำชากับขนมอีกสี่อย่าง
ของคาวแปดอย่าง ของหวานสี่อย่างเข้าตำราในการจัดอาหารให้ตระกูลใหญ่เลยจริง ๆ นับว่าคุณชายเฉินมีฐานะยิ่งนัก
เพราะการจะมีอาหารขึ้นโต๊ะสิบสองอย่างนั้นปกติหากไม่ใช่ขุนนางชั้นสูงก็เหล่าราชวงศ์ เหมือนนางเคยอ่านบันทึกยุคหนึ่งแต่จำไม่ได้แล้วว่ายุคไหน
คนที่ไม่ได้กินข้าวกลางวันเพราะมัวแต่คัดพระสูตรอยู่ทำให้เดินยิ้มไปยังโต๊ะอาหารที่บุรุษคนที่โกรธนางสะบัดก้นหายไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
นางไม่รอช้ารีบไปนั่งข้าง ๆ ก่อนจะจับตะเกียบก่อนเจ้าบ้านเสียอีก แต่นางรู้อยู่ว่าไม่ควรเสียมารยาท นางจึงเลือกจะคีบน่องไก่ชิ้นใหญ่ ๆ ขึ้นมองด้วยดวงตาเปล่งประกายจากนั้นตัดใจวางบนถ้วยข้าวของอีกฝ่ายอย่างประจบเอาใจ
“เชิญคุณชายเฉินเจ้าค่ะ น่องไก่นี้ท่าทางน่าอร่อยนัก อวี้เอ๋อร์ยกให้ท่าน” นางพูดเหมือนตัวเองตั้งใจดูแลเขา แต่ที่จริงนางบังคับเขาให้กินเร็ว ๆ ต่างหาก นางจะได้ตักเข้าปาก
แต่อีกคนกลับกดยิ้มนิด ๆ แล้วพูดให้นางอย่าได้ใจ
“อาหารนี้ก็เป็นอาหารบ้านข้า...เจ้าไม่จำเป็นต้องยกให้ข้า”
“.....”!
นี่เขาอยากกลั่นแกล้งนางเรื่องอะไรก็ย่อมได้ แต่ไม่ใช่กลั่นแกล้งตอนนางหิว แต่นางก็ไม่ปากเสียให้ตัวเองอดข้าวเด็ดขาด กลับไปบ้านของดีที่สุดเห็นจะเป็นไข่ไก่ที่ช่วงนี้บางตัวเริ่มออกไข่แล้ว กับผัดผักเขียว ๆ ไร้เนื้อและก็ข้าวต้มข้น ๆ เพราะหากหุงข้าวสวยจะหมดเร็วจนทำให้ข้าวสารที่ซื้อมาหวังจะอยู่ได้สักสามเดือนอาจจะหมดเร็ว
ตัวประกอบก็อยากกินของดี ๆ บ้าง
“คุณชายเฉิน...ดื่มเหล้าเจ้าค่ะ ไก่อบว่ากันว่าต้องกินกับสุราดีอย่างจุ้ยฮัว” นางไม่รู้หรอกว่าจุ้ยฮัวดีไหม แต่ว่าป้ายที่ไหบอกว่าชื่อนี้นางก็ตามน้ำไปเถอะ อย่าขัดเขาก็พอ
คนที่โดนคนตัวเล็กยิ้มแป้นดูแลอย่างดีรับจอกสุราสามขาจากมือนาง แล้วยกขึ้นจิบจากนั้นคีบเนื้อไก่ขึ้นกัดหนึ่งคำ จากนั้นก็เห็นว่านางรีบคีบอาหารบนโต๊ะเข้าปากราวกับหิวโหยเต็มที่
“กินช้า ๆ ไม่มีใครแย่ง”
เขากลัวว่าต้องดูแลนางตอนกินเดี๋ยวจะติดคอเสียอีก แต่เมื่อเห็นแก้มป่อง ๆ เคี้ยวตุ้ย ๆ เหมือนกระต่ายตัวที่เขาพบเมื่อหลายปีก่อนบาดเจ็บในป่าแล้วเลี้ยงเอาไว้ดูเล่นรอมันหายเลยทำให้มันเป็นเพื่อนแก้เหงาของเขาอยู่พักใหญ่ และมันชื่อไป๋อวี้ เพราะขาวราวกับหยกน้ำดี
และมันดันเหมือนกับนางอีกด้วยทั้งชื่อ และท่าทางที่เคี้ยวข้าวราวกับกำลังเคี้ยวหญ้างั่ม ๆ ดวงตาสีดำเป็นประกายอย่างกับดวงดาราบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
อีกคนที่โดนดุแต่ว่ากลับยิ้มให้เขาแล้วก็กินต่ออย่างไม่สนใจว่าเขาจะเห็นว่านางเป็นสตรีไม่เรียบร้อยหรือไม่ เพราะนี่คือของอร่อยที่ไม่บ่อยจะได้กิน
เมื่ออาหารพร่องไปครึ่งหนึ่งคนที่ไม่ค่อยเจริญอาหารอย่างหานอ๋องที่ถูกนางคอยคีบอาหารใส่ถ้วยก็พลันนึกได้ว่าตนไม่ได้กินอาหารอร่อยเช่นนี้นานมากแล้ว นานจนจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ
“คุณหนูอวี้เจ้าอดอยากรึ”
จางม่านอวี้ยอมรับด้วยการพยักหน้า และรีบกลืนข้าวลงคอ ใจจริงอยากขอข้าวอีกถ้วยด้วยซ้ำ แต่ว่ากับข้าวเยอะแยะไปหมดนางเสียดาย
“อวี้เอ๋อร์ไม่ค่อยได้กินดี ๆ นี่คือมื้อแรกหลังจากประสบเคราะห์กรรมก็เป็นได้” นางพูดเสียงเครือคล้ายจะร้องไห้ ทำให้คนฟังถอนใจ จากนั้นคนที่ไม่เคยร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ใดเนื่องจากป้องกันคนลอบทำร้ายเอ่ยเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อเกิดขึ้น
“ทุกวันเจ้าต้องมาร่วมสำรับกับข้าทุกมื้อ”
คนที่แสร้งทำหน้าเศร้าก้มหน้าลอบยิ้มนิด ๆ แต่ในสมองคิดถึงว่าคุณชายเฉินดูเหมือนจะเอ็นดูนางแหละ เลี้ยงนางไว้ดูเล่นสักคนเถอะนะ ถ้าเช่นนั้นนางก็ทำตัวให้เขาเอ็นดูนางไปเรื่อย ๆ เผื่อจะยกหนี้ให้นางก็ได้
“แค่มาปรนนิบัติข้าก็พอ!”
จางม่านอวี้หุบยิ้มฉับเมื่อได้ยินว่าการร่วมโต๊ะที่ว่าคือให้ยืนปรนนิบัติเขา เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า คนอย่างคุณชายเฉินเก่งนักเรื่องทำลายความหวังคน นางหวังแค่กินอิ่มทุกมื้อก็ไม่ได้ นอกจากต้องคัดคัมภีร์พระสูตรแล้ว งานอีกอย่างยังหล่นใส่หัวนางอีก
หากไม่ใช่เจ้าหนี้รับรองว่านางไม่เสนอหน้ามาทำงานอะไรอย่างนี้หรอกนะ
“ท่านช่างรู้ใจข้า...ข้าถนัดดูแลคนที่สุด” นางยิ้มประจบให้เขาแต่เป็นยิ้มเจือด้วยยาพิษ คอยดูทำให้นางหิวนางจะแช่งให้เขาติดคอตาย
“เช่นนั้นข้าย่อมช่วยให้เจ้าแสดงความสามารถก็แล้วกัน เริ่มจากคืนนี้ช่วยดูแลข้าจนกว่าข้าจะหลับ”
พูดจบหานอ๋องที่ชอบแกล้งกระต่ายตัวน้อยสีขาวตัวอวบเล่นก็ยกยิ้มพลางยกจอกสุราขึ้นให้นางรินเหล้าให้ โดยที่อีกฝ่ายปรนนิบัติเขาด้วยหน้าตาเง้าหงอด
แต่เขากลับชอบ!
อาหารบนโต๊ะถูกกระต่ายตัวกระจ้อยกวาดจนเกลี้ยง ส่วนเขากินไปไม่ถึงครึ่งก็พอ เขาไม่ชอบกินอะไรตอนดึก ทุกวันจะกินอาหารอย่างมากไม่เกินสองมื้อเพราะมีการงานมากมายให้สะสาง และที่สำคัญก็คือเขาเป็นโรคนอนไม่หลับ
จางม่านอวี้เพิ่งรู้ข่าวจากหลี่เฟิงองครักษ์คนดีของคุณชายเฉินว่าคืนนี้เขาจะไม่ไปส่งนางที่บ้าน และประตูเรือนตระกูลเฉินส่วนที่เชื่อมกับโรงรับแลกเงินปิดแล้วไม่เปิดอีกจนกว่าจะเช้าป้องกันขโมย และคนในห้ามออกไปจากเรือนเด็ดขาด
นางจึงนั่งห่อเหี่ยวในห้องรับรองแล้วรอให้องครักษ์หญิงนำชุดมาให้นางเปลี่ยนหลังจากอาบน้ำ แต่ว่านางไม่มีผ้าคาดอกเพราะองครักษ์หญิงมีแต่มันเล็กไปสำหรับหน้าอกนางจึงต้องแต่งตัวโล่งโจ้งมาก ๆ พาลให้รู้สึกไม่มั่นใจราวกับกำลังแก้ผ้าเดินไปเดินมา
และเรื่องนี้รู้ถึงหูหานอ๋องแต่เขากลับไม่จัดการสิ่งใดให้นาง ทั้งยังสั่งให้คนไปตามนางมาช่วยเขาอาบน้ำ และเสียงกระแทกเท้าอย่างหงุดหงิดของเท้าเล็ก ๆ นั้นทำให้คนที่แช่น้ำอุ่นเบิกบานใจยิ่งนัก แต่กลับไม่ได้อนาทรร้อนใจกับกิริยาของนาง
“คุณชายเฉิน...อวี้เอ๋อร์ว่าท่านเรียกสาวใช้ที่เคยรับใช้ท่านมาช่วยดีหรือไม่...เรื่องนี้มันค่อนข้างส่วนตัวไปนิดหน่อย อีกอย่างข้าก็ยังเป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน หากใครรู้ว่าข้าและท่านอยู่ในห้องกันสองต่อสองท่านจะเสียหาย”
แน่นอนว่าหากนางบอกว่าตัวเองเสียหาย เขาต้องดับฝันอะไรนางสักอย่าง ซึ่งนางที่คุ้นเคยกับเขามากขึ้นแล้วเริ่มฉลาดและเดาทางออก
‘จางม่านอวี้คือสตรีที่ฉลาดเฉลียวแหละ’
“อื้ม...เจ้ากล่าวมีเหตุผล”
เสียงทุ่มเอ่ยขึ้นหลังฉากกั้นห้องอาบน้ำ โดยที่นางยืนอยู่หลังฉากนั้นไม่กล้าก้าวเข้าไป เพราะนางก็รู้สึกว่าตัวเองแต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย คำพูดของเขาจึงทำให้นางหายใจโล่งไปได้กำลังจะก้าวออกไปจากห้องพักของเขาเพื่อหนีไปนอนหลับเสีย แต่ว่า...
“เช่นนั้นให้อวี้เอ๋อร์ไปได้แล้วใช่หรือไม่” นางง่วงเต็มทีวันนี้ก็เหนื่อยมาก อยากนอนหลับจะแย่
“แต่เจ้าไม่ต้องคิดมากไป เพราะสตรีที่ไม่งดงามไม่มีสิทธิ์อุ่นเตียงกับข้าหรอก...และดูเหมือนเจ้าจะงามไม่พอ”
อะไรคืองามไม่พอ!
กรี๊ด...อวี้เอ๋อร์อยากเชือดคอคน สตรีที่งดงามน่ารักอย่างจางม่านอวี้เนี่ยนะงามไม่พอ คุณชายเฉินเอาตาปลามองแน่ ๆ ม่านอวี้มั่นใจว่าหากมีทำเนียบสาวงามนางติดหนึ่งในสามด้วยซ้ำ
ตอนนี้นางอยากควักลูกตาเจ้าหนี้จอมโหดออกมาดูนัก มีตาไร้แววเช่นนี้อย่ามี!
หลังจากแต่งงานได้เก้าเดือน ลูกหงส์และมังกรก็ มาเกิดในตำหนักหานอ๋องสร้างความปีติยินดีมากมายให้ กับเหล่าประชาชนในแคว้น รวมทั้งเสด็จลุงอย่างฮ่องเต้ เยว่อันคังประทานของรับขวัญหลานจนต้องสร้างห้องเก็บสมบัติเพิ่ม จางม่านอวี้ท้องลูกแฝดแต่เป็นแฝดชายหญิง โดยคนเป็นบิดาอย่างหานอ๋องก็ตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง ลูกชายผู้เป็นแฝดพี่มีนามว่าเยว่เฟยเทียน แฝดน้องเป็นลูกสาวมีนามว่าเยว่เฟยเซียง ท่านอ๋องทรงหลงรักลูกชายและลูกสาวทั้งสองมากถึงขนาดอุ้มไปด้วยทุกที่ แม้แต่ออกไปทำงานก็ตาม ยิ่งลูกสาวตัวน้อยอย่างเยว่เฟยเซียงติดการหลับบนอกผู้เป็นบิดาที่สุด “แง้งงงงง!” เสียงร้องของแฝดน้องดังขึ้นทีไร เหล่าพี่เลี้ยงและหานเฟยต่างรีบมาดู เพราะหนูน้อยช่างเอาแต่ใจมาก ๆ หากง่วงจะไม่นอนดี ๆ ที่เปลหรือเตียงนอน แต่จะนอนบนอกบิดา! เยว่เค่อไท่แทบจะยกงานทุกอย่างมาทำที่บ้าน เมื่อลูกสาวติดตนเองมากมายขนาดนี้ แต่ก็ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อหานเฟยบอกให้เขาหักดิบมิเช่นนั้นลูกจะไม่ยอมนอนโดยให้คนอื่นกล่อม แต่ใครอยากให้คนอื่นกล่อมกันเล่า ลูกเขาทำเองกับมือย่อมกล่อมให้นอนเองอยู่แล้ว และเมื่อลูกร้ององครักษ์เงา
คืนนี้เยว่เค่อไท่ไม่ได้รังแกหานเฟยของเขาหนักมาก เพียงแค่ตั้งใจจะมีลูกกับนางในค่ำคืนนี้ให้จงได้ ฤกษ์หยิน หยางบรรจบกันไม่ใช่จะมีได้ในทุกปี เขาจึงไม่ปล่อยให้ความพิเศษนี้ผ่านไปเพียงเปล่าประโยชน์ ด้านนอกแขกที่เชิญมาล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ขุนนางสำคัญในเมือง ไร้ขุนนางสอพลอในเมืองหลวงมาร่วมงานสักคนเดียว จางม่านอวี้ไม่มีญาติที่ไหน เขาก็ไม่มีญาติที่ไหน ดังนั้นมีแค่เราต่อจากนี้ก็เพียงพอ ริมฝีปากนุ่มบรรจงจูบอย่างทะนุถนอมและหวานที่สุด นางกินพุทราเชื่อมไปยิ่งทำให้รสชาติหวานติดลิ้นนางเสียจนเขาห้ามใจไม่ได้จูบนางอย่างเอาเป็นเอาตายจนนางเกือบลืมหายใจ “อึก...สวามีเพคะ...ช้าหน่อยเพคะ” เสียงเล็กท้วงทำให้เขาลดความรุนแรงลง เปลี่ยนจากจูบดูดดื่มมาเคล้าคลึงริมฝีปากนุ่นนิ่มหยอกล้อนางระหว่างปลุกเร้าความปรารถนาในกายของนางให้ลุกโชน จนกระทั่งนางทักท้วงบางอย่าง “สามี...ยังไม่ได้ดื่มสุรามงคลเลยเพคะ” สองมือเล็กดันอกแกร่งตะปบมือหนาให้ยับยั้งการกระทำ เพราะเขาเริ่มจะคลายสายคาดเอวแล้ว หากถึงจุดนั้นแม้แต่สุรามงคลก็ไม่ได้ดื่ม “เจ้าแน่ใจหรือว่าอยา
เมื่อตัวประกอบหลุดจากบั๊กสู่ตำแหน่งชายาเอกหนึ่งเดียวของหานอ๋องจากแคว้นเยว่หาน... วันมงคลสมรสของจางม่านอวี้และหานอ๋องเยว่เค่อไท่ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่สิบสองเดือนสิบสองรัชศกเยว่คังที่สิบสอง ซึ่งเป็นวันมงคลที่สิบสองปีจะมีครั้ง คือวันที่หยินหยางสมดุลพร้อมให้พลังแด่คู่รักชายหญิง ถือว่าวันนี้หากเป็นวันที่ขอลูกชายก็จะได้ลูกชะตามังกรมาเกิด หากขอลูกสาวก็จะได้ลูกชะตาหงส์มาเกิด แม้จะเป็นวันที่อากาศเย็นแต่ทว่าชาวเมืองต่างออกมาแสดงความยินดีกับหานอ๋องอย่างคึกคัก การแต่งงานครั้งนี้นับว่าเป็นการแต่งงานระหว่างสตรีสามัญชนกับเชื้อพระวงศ์ครั้งแรกในรัชศกนี้ ซึ่งต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างก็ไม่ขัดข้องสิ่งใด เพราะหานอ๋องเดิมถือเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ในความคิดของพวกเขา เมื่อแต่งงานกับสตรีไร้การหนุนหลังยิ่งทำให้พวกเขาสบายอกสบายใจว่าบัลลังก์จะไม่เกิดการเปลี่ยนมือในเร็ววันจนพวกเขาตั้งตัวไม่ทัน แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าทั้งหานอ๋องและฝ่าบาทต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ทำตัวห่างเหินกันเพื่อให้คนนอกได้เห็นและเพื่อคานอำนาจเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดใช้เ
จางม่านอวี้มองไปยังคนที่จะมาเก็บดอกเบี้ยนางพลางน้ำตารื้น...ดวงตากลมโตของนางเลอะไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียอกเสียใจ แต่ทว่ากลับไม่ทำให้นางขยับเขยื้อนกาย นางไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพบกับบุรุษใจร้ายผู้นี้อีกแล้ว แต่นางก็พบ! ทั้งยังหนีไม่พ้นอีกด้วย “ท่านเป็นใคร...ข้าไม่รู้จักท่าน” จางม่านอวี้ขยับตัวหนีร่างใหญ่ที่เขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเตียงนอนของนาง โดยที่มือใหญ่กำลังเอื้อมมือมาคล้ายจะแตะต้องตัว แต่นางรีบขยับหนี! “ท่านเป็นใคร...ออกไปนะ...ข้าไม่รู้จักท่าน” นางแสร้งเล่นบทโศกความจำเสื่อมเสียเลย อย่างไรเขาจะมาเก็บดอกเบี้ยนางไม่ได้แน่นอน เยว่เค่อไท่ขมวดคิ้วทั้งมองดวงตาของนางที่ไหวระริกพลางกดมุมปาก จากนั้นเขานั่งลงมองคนที่กำลังขวัญเสีย “ข้าคือเยว่เค่อไท่ หานอ๋องที่ปกครองเมืองฉางเหอและเป็นเจ้าหนี้ของเจ้า” จางม่านอวี้ยิ่งได้ฟังยิ่งสับสน นี่ถ้าหากเกิดใหม่เขาจะแนะนำตัวตนจริง ๆ ของเขาทำไม ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ “ข้าไม่รู้จัก” นางส่ายหน้าพรืดทั้งขยับตัวแต่ทว่า...ว้าย! ร่างของนางกำลังจะตกลงกับพื้นแต่ทว่ากลับมีมือใหญ่รั้งเอาไ
จางม่านอวี้มีเงินจากที่ท่านอ๋องให้เอาไว้อยู่หลายตำลึงจึงเอาไปให้ซูซินซื้อกระดาษมานั่งแต่งหนังสือประโลมโลก และไม่ออกจากบ้านเลยจนกระทั่งนางเขียนได้สิบเรื่องคิดว่าควรจะเอาไปขายที่ร้านขายหนังสือประโลมโลกหน้าหอหยกเร้นจันทร์เพื่อหาเงินเข้าบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง แต่ทว่าดันไปช่วงเวลาที่หานอ๋องแต่งตั้งชายาเอกพอดี! เป๋งๆๆๆ ! เสียงฉาบทองเหลืองอันใหญ่ถูกคนเข็นไปพร้อมกับมีคนตีตะโกนป่าวประกาศลั่นถนน จนนางและซูซินต้องหลบทางให้ขบวนคนที่ตีฆ้องร้องป่าว “อีกเดี๋ยวขบวนแห่พระชายาจะผ่านทางนี้...ทุกคนที่รอชมโฉมพระชายาต้องคุกเข่าเข้าใจหรือไม่” จางม่านอวี้รีบเอาหนังสือสิบเล่มขายให้กับเถ้าแก่ร้านหนังสือทันที “เถ้าแก่ข้าคิดไม่แพงเล่มละสามตำลึง” เถ้าแก่ดีใจแทบเนื้อเต้นปกติเรื่องดี ๆ เช่นนั้นพวกลูกหลานคนมีตระกูลชอบซื้อไปอ่านเขาขายเล่มละสิบห้าตำลึง และยังเอาไปคัดลอกได้อีกด้วย “นี่คุณหนูจางต่อไปท่านมาขายที่ร้านข้าห้ามไปขายร้านอื่นเด็ดขาดนะ ข้าเพิ่มให้หนึ่งตำลึง” จางม่านอวี้พยักหน้ารับเงินมาทั้งหมดสามสิบเอ็ดตำลึงก่อนจะรีบหลบเข้าไปในหอหยกเร้นจันทร์เพื่อ
จางม่านอวี้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในที่ของตนเอง เพราะไม่อยากออกไปเดินเฉียดใกล้ท่านหญิงหลินรั่วเหวิน แต่ทว่าสายข่าวเคลื่อนที่เร็วของนางก็มารายงานข่าวทุกวัน “พี่อวี้...หมิงไปสืบมาอย่างดีแล้ว ท่านอ๋องส่งสตรีเก้าสิบแปดคนกลับเมืองหลวงจนหมด เหลือเพียงท่านหญิงเพียงคนเดียว ท่านว่าท่านอ๋องมีใจให้ท่านหญิงหรือไม่” ซูหมิงไม่รู้ว่าท่านอ๋องออกไปรบ ส่วนคนที่นั่งเป็นท่านอ๋องอยู่ในตำหนัก และยามออกไปด้านนอกใส่หน้ากากเงินนั้นน่ะตัวปลอม นางไม่รู้ว่าฝ่าบาทกับท่านอ๋องทำได้อย่างที่แปลงโฉมทั้งเปลี่ยนเสียงได้ แต่นางเคยอ่านมาว่าในจีนโบราณทำได้ด้วยการใช้วิชาเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนเสียง แต่เรื่องนี้ก็แพร่งพรายไม่ได้เช่นเดียวกัน “ไม่รู้สิ” จางม่านอวี้จะตอบอะไรได้อีกนอกเสียจากว่าช่วงนี้นางไม่ไปพบท่านอ๋องชั่วคราวก็แล้วกัน ประหนึ่งนางกำลังแง่งอนเขาที่เขารับสตรีอื่นเข้ามาในตำหนัก นอกจากนางที่รู้เรื่องนี้แม้แต่ซูซินเองก็ไม่รับรู้เช่นกัน และซูซินยังเอาแต่ทำหน้าตาเศร้าซึมที่ท่านอ๋องไม่มานอนกับนางหลายวัน คล้ายกับจะหลงท่านหญิงหลิน “คุณหนู...หากท่านอ๋องไม่รักไม่เอ็นดูท่านแล้วไม่สู้







