Masuk“คุณชายเฉิน...แงงง...ข้าได้ยินคนพูดกันที่ตลาด จริง ๆ นะไม่เชื่อถามซูหมิงก็ได้” คราวนี้นางกลัวจริง ๆ กระบี่ไร้ตาคมกริบอย่างนี้นางไม่อยากตายตอนนี้นะ
นางร้องไห้สะอึกสะอื้น...แต่ไร้น้ำตา!
เฉินโยว่เหวยยกมือขึ้นโบก จากนั้นคนทั้งหมดจึงออกไป เหลือแค่นางที่ปีนตักขึ้นมานั่งทับเขา ทั้งกอดเข้าไว้แน่นราวกับเด็กร้องไห้งอแง จนเขาเกือบใจอ่อนแล้วเชียว หากไม่ได้ยินนางพูด!
“ข้า...ฮึก...ข้า...ข้าไม่ได้สอดรู้สอดเห็นสักหน่อย หานอ๋องข้าไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ ได้ยินว่าไปไหนก็ใส่แต่หน้ากากเงินรูปพยัคฆ์น่าเกรงขาม”
ฮึก...เสียงสะอื้นพร้อมกับใบหน้าที่ซบหน้าอกเพื่อเช็ดน้ำตา
“เขาเกิดเดือนอ้ายโหรทำนายว่าบารมีเทียบจักรพรรดิ มีแค่คนชอบนินทาเขาว่าพร้อมล้มบัลลังก์โอรสสวรรค์เลี้ยงทหารไว้นับแสน” นางหยุดหายใจพลางสะอื้น
“ฮึก...แล้ว...แล้ว เขาชอบฆ่าคนเล่นแค่ทำหน้าไม่พอใจก็ลากไปตัดหัว”
“ยังมีอีกเขาไม่ชอบสตรี...ไม่รู้ว่าชอบบุรุษหรือไม่อันนี้ก็ได้ยินมา แต่เรือนกายองอาจกล้าหาญน่าจะเป็นแค่ข่าวลือ”
“ยังไม่หมดเขาไม่ชอบกินผัก ชอบกินเนื้อเป็นที่สุด แต่สตรีในหอนางโลมชอบหยอกว่า เขาชอบกินเนื้ออ่อนของสตรีวัยปักปิ่นสตรีอายุเกินยี่สิบไม่มีวันชายตามอง”
เฉินโยว่เหวยเพิ่งได้ยินคนนินทาต่อหน้าก็วันนี้ แถมยังมีแต่เรื่องไม่จริงทั้งนั้น
“ยังมีอีกเรื่องเขาเดินทางไปไหนมาไหนก็เป็นจุดสนใจ เพราะหน้ากากของเขานั้นมีแค่อันเดียว ทำเลียนแบบไม่ได้”
“แล้วก็...”
เฉินโยว่เหวยไร้คำจะเอ่ยกับสตรีที่นั่งบนตัก พร่ำรำพันเรื่องของเขาที่ไม่จริงออกมาจนหมด แล้วบอกว่าไม่ใช่พวกสอดรู้สอดเห็น ขนาดนี้ไม่ได้สอดรู้สอดเห็นนะ เขาชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไรยังรู้ หากนางเป็นคนร้ายคิดวางยาเขาคงตายไปแล้ว
“หมดหรือยัง” เสียงเข้มถามนางอย่างเอือมระอา หากคนที่ได้ยินไม่ใช่เขา เป็นเหล่าองครักษ์นางคงไม่มีโอกาสได้พูดอีก
“ยังไม่หมด มีสตรีแอบชอบท่านอ๋องหมดเมืองหลวง แม้เห็นเพียงเสี้ยวหน้า แต่จมูกโด่ง ๆ นั้นว่ากันว่ายิ่งจมูกโด่งหน้าผากกว้างแท่งหยกอันใหญ่ทุกคน อันนี้ข้าก็รอว่าสตรีใดเคยสัมผัสบ้างจะรอว่าจริงหรือไม่”
นางทำท่าทางทั้งจับแขนตัวเองว่าใหญ่เท่าแท่งหยกเขาหรือไม่และพูดจาราวกับสตรีไม่มียางอาย
ใบหน้าของเฉินโยว่เหวยเริ่มร้อนผ่าวเมื่อนางเริ่มลงลึกเสียจนความแข็งขืนด้านล่างเริ่มมีปฏิกิริยาต้องเอ่ยห้าม “พอเถอะม่านอวี้ หากคนของหานอ๋องมาได้ยินเจ้าคงไม่ได้หายใจแล้ว”
“นี่ข้าพูดกับท่านคนเดียวเท่านั้น หานอ๋องเป็นคนเช่นไรมีข้ากับท่านเท่านั้นที่รู้...ดังนั้นข้าตายท่านก็ตาย”
ยัง...ยังไม่หยุดอีก เขาอยากจะบ้า ไม่เคยรับมือกับสตรีคนใดแล้วน่าปวดหัวขนาดนี้เลยให้ตายสิ นี่เขาหาเรื่องใส่ตัวหรือเปล่านะที่ยื่นมือไปช่วยสตรีน้อยน่าสงสารผู้หนึ่ง
“ถ้าเจ้ายังไม่หยุดเอ่ยวาจาเหลวไหลได้ตายจริงแน่นอน และข้าจะรายงานคนของหานอ๋องด้วยตนเอง”
จางม่านอวี้เม้มปากปิดฉับ มองรอบห้องเหลือแค่นางจากน้ำตาที่คลอ ๆ ก็คืนกลับไปหมดแล้วก่อนจะค่อย ๆ ปีนลงจากตักแกร่งเมื่อเขามองว่านางชักจะลามปามไปแล้ว
นางยิ้มเขิน ๆ ให้เขา นับว่าการใช้ลูกอ้อนให้บุรุษเอ็นดูสำเร็จและรอดพ้นจากการถูกนำไปขัง จากนั้นนางจึงนั่งข้าง ๆ เขาพลางใช้มือน้อย ๆ บีบนวดไหล่ของคุณชายเฉินอย่างเอาอกเอาใจ
“ม่านอวี้คิดเอาไว้แล้วว่ามองคนไม่เคยผิด คุณชายเฉินดีที่สุดในใต้หล้า ข้ายกให้ท่านเป็นที่หนึ่งในใจข้า”
หึ...สตรีปากหวานก้นเปรี้ยว
“เจ้าคิดว่าเอาใจข้าแล้วจะรอด?”
“ใช่แล้วคุณชายเฉินย่อมช่วยเหลือลูกหนี้ตัวเล็กตัวน้อยน่าสงสารเช่นข้า อีกอย่างข้าติดหนี้ท่านห้าร้อยตำลึงเชียวนะ หากข้าตายเงินท่านหายไปในอากาศเลย”
นางจีบปากจีบคอเอาใจคนตัวใหญ่ และมองหาซูหมิงที่ไม่รู้หนีไปไหนแล้ว ปล่อยให้นางบีบนวดเอาใจคุณชายเฉินอยู่ได้
“แต่เรื่องคัดพระสูตรเจ้ายังต้องทำ ไม่เช่นนั้นข้าไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรไปลดโทษให้เจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็คงต้องถูกตัดมือ”
ฮะ...ยังไม่พ้นโทษตัดมืออีกหรือ นางสู้เอาอกเอาใจขนาดนี้แล้วนะ นี่มือปราบหน้าหยกก็ไปแล้ว ทำไมเขาช่างเป็นคนมีคุณธรรมเช่นนี้
บางทีเขาก็ควรจะหลับตาข้างหนึ่งบ้าง
“ข้าแทบไม่ได้นอนเขียนหนังสือมาสองวันสองคืน ขอเป็นเริ่มเขียนตั้งแต่พรุ่งนี้ได้หรือไม่ อีกอย่างข้าไม่มีกระดาษแล้ว ที่บ้านจนมาก” นางแบมือให้เขาดูว่าไม่เหลือเงินสักอีแปะแล้วตอนนี้ ได้เงินมาคิดจะไปต่อยอดก็ไม่ทันแล้ว เงินถูกยึดแถมเหนื่อยโดยเปล่าประโยชน์
“ได้แต่ว่าข้าให้เวลาเจ้าสิบสามวัน”
หา...พระสูตรยาวปานนั้น ให้ข้าคัดสิบสามวัน ข้าตายพอดี!
แล้วเขาก็ไม่พูดอะไรต่อเดินออกไปทิ้งให้นางขบคิดเรื่องคัดลอกพระสูตรแต่เมื่อนางกำลังจะลุกตามเขาไป เสียงของเขาก็ดังขึ้น
“ยังไม่ตามมาอีก!”
นางรีบถกกระโปรงวิ่งแจ้นทันที กลัวจะไม่มีมือเอาไว้กินข้าวหรอกนะ แค่เป็นตัวประกอบติดบั๊กก็ซวยพออยู่แล้ว
ส่วนเจ้าเด็กน้อยซูหมิงนางเห็นว่าไปประจบเอาใจหลงจู้อยู่นั่นเอง...เจ้าเด็กคนนี้ช่างอยู่เป็นจริง ๆ
“ท่านหลงจู้ร้อนหรือไม่...ซูหมิงพัดให้ขอรับ” ซู หมิงถือพัดสานไม้ไผ่ออกมาจากนั้นลากเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ ท่านหลงจู้พัดคลายร้อนให้อย่างแข็งขัน
“เจ้านี่เด็กดีจริง ๆ”
ซูหมิงยิ้มตาหยี หวังว่าพี่อวี้จะคุยกับคุณชายเฉินรู้เรื่องไม่เอาความนะ ระหว่างนี้เขาจะทำตัวเป็นประโยชน์ช่วยงานในโรงรับแลกเงินเอาหน้าก็แล้วกัน
“จะยกไปไหนซูหมิงช่วยเองขอรับ” ซูหมิงรีบไปช่วยถือของทันทีเมื่อเห็นท่านหลงจู้ก้มหยิบของ แล้วก็วิ่งตามเขาเป็นเงาตามตัว จนกระทั่งข้าวกลางวันก็กินกับเขาจนอิ่มท้อง
ตัดภาพมาที่ด้านในห้องหนังสือ โต๊ะเขียนหนังสือสีดำสลักลวดลายเมฆมงคลมีการใช้สีขาวที่จางม่านอวี้เองก็ไม่รู้ว่าสีนี้ทำมาจากอะไรวาดเป็นรูปพยัคฆ์ แล้วเคลือบจนมันเงาทำให้นางต้องลูบเบา ๆ ราวกับชื่นชมงานศิลปะโดยยังไม่คิดเปิดพระสูตรออกมาคัดลอก!
“หากเจ้าไม่เร่งมือเข้า...มือขวาเจ้าอาจจะอยู่ไม่นาน”
จางม่านอวี้ค้อนเขาตากลับพร้อมกับยู่ปากใส่เขา ให้นางชื่นชมโต๊ะเขียนหนังสือที่ทำอย่างงดงามนี้ก็ไม่ได้ ใจร้ายชะมัด
“อวี้เอ๋อร์แค่ชอบโต๊ะตัวนี้เท่านั้นเอง นึกชื่นชมท่านที่เลือกช่างได้ประณีตนัก ผิดกับบ้านของอวี้เอ๋อร์ที่แทบจะเหลือแต่บ้านว่างเปล่า”
นางพูดไปพลางยกมือเช็ดหางตาทำให้คนฟังที่เหลือบตามองรู้สึกปวดใจ...แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น
“คุณชายเฉินคนดีของอวี้เอ๋อร์ ให้คนยกโต๊ะนี้กลับบ้านอวี้เอ๋อร์พร้อมกับกระดาษและหมึกเขียนได้หรือไม่ อวี้เอ๋อร์จะตั้งใจเขียนทั้งวันทั้งคืนไม่พัก” นางยื่นหน้ามองมาทางเขาส่งสายตาแป๋ว ๆ ทำท่าน่ารักน่าเอ็นดูที่สุดหวังให้เขาใจอ่อน และยังมีพู่กันตรงหน้าที่อยากเอากลับบ้านนัก
นางไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลย เพราะเขาหวังอะไรในตัวนางไม่ได้ นอกเสียจากความกะล่อนที่จะแอบอู้นั่นเอง
เขายิ้มมองนางทำให้จางม่านอวี้ใจชื้น คิดกลับไปนอนเสียหน่อยค่อยตื่นขึ้นมาหาวิธีคัดพระสูตรให้เร็ว ๆ แต่ว่า
“ไม่ได้...หากเจ้าขี้เกียจข้าไม่รับประกันว่ามือของเจ้าจะอยู่หลังจากสิบสามวันนี้”
อื้ม...นางน่ารักอ่อนหวานขนาดนี้ เขาไม่หลงใหลนางสักนิดเลยหรืออย่างไร ใจร้ายเกินไปแล้วนะ สุดท้ายนางก็ต้องฝนหมึกจากนั้นก็หยิบพู่กันที่ทำจากขนของกระต่ายสีขาวอ่อนนุ่มขึ้นมาจุ่มน้ำหมึกแล้วค่อย ๆ บรรจงเขียนลงไป
ที่จริงพู่กันตรงหน้าของนางที่แขวนอยู่นี้มีทั้งทำจากขนหูสุนัขป่า ขนสุนัขป่า ขนเสือดาว และสุดท้ายขนกระต่าย แน่นอนว่าขนกระต่ายนั้นไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ฝึกเขียน ใหม่ ๆ เนื่องจากควบคุมยาก แต่สำหรับคนที่ชำนาญแล้วอย่างนางเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
อันที่จริงที่นางอยากได้เครื่องเขียนกลับไปบ้าน ก็เพราะพู่กันสามชนิดแรกหากเอาไปขายได้ราคาดีแน่นอน
แต่คุณชายเฉินรู้ทันนางล่ะ!
เฉินโยว่เหวยรู้สึกว่าในห้องเงียบแล้ว จากที่ตรวจดูหนังสือราชการที่ส่งมาจากเมืองหลวงกับตรวจดูการก่อสร้างในเมืองฉางเหอที่ขยายเมืองออกไปทางอำเภอหลิงเฉียนได้ ครู่หนึ่ง สายตาของเขาก็เงยขึ้นก่อนจะเห็นว่านางใช้พู่กันขนกระต่ายที่ยากจะควบคุมได้ดียิ่งนัก ราวกับทั้งชีวิตนางคัดลายมือไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลย ผิดกับท่าทางที่เขาพบเจอนางนักบวกกับคำพูดเจ้าเล่ห์พวกนั้น โดยที่ริมฝีปากของเขายกยิ้มอย่างลืมตัว
ใบหน้าที่ตั้งอกตั้งใจของนางทำให้เขาเผลอหยุดมองเสียนาน ริมฝีปากท่องพึมพำไปด้วยราวกับกลัวว่าบทสวดพระสูตรในคัมภีร์นั้นนางจะลืม จนเขาอดถามนางไม่ได้ว่านางกำลังอวยพรให้หานอ๋องใช่หรือไม่ หากใช่เขาอาจจะให้นางคัดสักสามวันแล้วก็ปล่อยนางไป
“นั่นเจ้ากำลังสวดอวยพรให้หานอ๋องหรือ”
จางม่านอวี้เงยหน้าขึ้นเห็นว่าคุณชายเฉินใจร้ายกำลังมองนางอยู่ พร้อมกับยื่นปากออกมา
“ข้าแช่งต่างหาก!”
แคก แคก แคก!
เฉินโยว่เหวยกำลังจะเอ่ยปากบอกนางเรื่องคัดพอเป็นพิธีอยู่แล้วเชียว หากไม่ได้ยินคำพูดจากปากนาง นี่เขาใจดีกับนางไม่ได้จริง ๆ หาไม่นางจะได้ใจ
“เจ้าแช่งว่าอะไร” เขาอยากรู้ว่าลูกหนี้ตัวน้อยนี่แช่งให้เขาเป็นอะไรตาย นอกจากเขียนให้เขาอุ่นเตียงตายในท่าประหลาด
“แช่งให้รักให้หลงอวี้เอ๋อร์จนตายไปเลย”
นางกัดฟันพูดขณะจรดปลายพู่กัน ทั้งเคียดแค้นที่หานอ๋องทำให้นางซวยเรื่องต้องเหนื่อยเปล่าในการแต่งหนังสือ แถมตำลึงยังถูกยึดไปจนหมด นางคิดว่าจะซื้อเนื้อหมูไปต้มหมี่เลี้ยงบ่าวในเรือนเสียหน่อย ทำให้แผนกินดี ๆ ของนางพัง
เฉินโยว่เหวยเลิกคิ้วขึ้น ทั้งที่ตอนแรกโทสะกระจายออกจากตัวจนองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ขนลุก แต่เมื่อฟังว่านางแช่งว่าอะไรใบหน้ากลับเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมถึงให้รักให้หลงเจ้า”
“ก็อวี้เอ๋อร์คือตัวซวยน่ะสิ...ขนาดเกิดมาบิดาก็หลงภรรยาเด็ก มารดาตายจาก เจ้าหนี้ยังอยากอุ่นเตียงพร้อมลักพาตัวไปเป็นอนุ พอหาเงินได้ก็ถูกยึด...หากนี้ไม่ใช่ตัวซวยอันดับหนึ่ง อวี้เอ๋อร์ก็ไม่รู้จะนิยามวาสนาตัวเองว่าอะไรแล้ว” แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายที่บอกว่าเงินถูกยึดกระแทกแดกดันเขานิดหน่อย
เขาขบขันกับความคิดของนางที่ทำอะไรหานอ๋องไม่ได้ ก็แช่งให้หลงรักนางเสียเลย ความคิดประหลาดเช่นนี้คงมีแต่จางม่านอวี้คนเดียวเท่านั้นที่คิดได้ สตรีอื่นในใต้หล้าคงไม่มีใครกล้าคิด
เขาที่เคร่งเครียดเรื่องต่าง ๆ ในหน้าที่รับผิดชอบของอ๋องอนุชาที่ฝ่าบาทไว้ใจให้ทำเรื่องที่ไม่กล้าให้คนอื่นทำมากมายอย่างกำจัดพวกขุนนางกบฏ เมื่อพบเจอนางก็รู้สึกว่าเขาได้ผ่อนคลายจนอยากสนทนาเรื่องของนางบ้างแม้จะรู้มาบ้างแต่บางเรื่องได้ยินจากปากนางน่าจะดีกว่า
“นอกจากเพ้อฝันปั้นเรื่องไปวัน ๆ เจ้ามีอะไรเก่งบ้าง”
จางม่านอวี้ค้อนเขาที่หาว่านางเพ้อฝัน เขาเข้าไม่ถึงจินตนาการอันล้ำลึกและศิลปะในการเล่าเรื่องต่างหาก
“อันที่จริงอวี้เอ๋อร์มีอีกเรื่องก็เก่งมากเหมือนกัน”
เฉินโยว่เหวยยกหางคิ้วขึ้นอย่างสนใจ พลางหยิบถ้วยชาที่ว่างเปล่ายักคิ้วให้นางช่วยรินชาให้เขา แม้ที่จริงเขาจะรินเองก็ย่อมได้ แต่ชอบที่จะให้นางทำให้!
ส่วนคนที่กำลังอยากอวดอ้างตัวเองพอดี ถือโอกาสอู้คลานดุ๊กดิ๊กเข้าไปด้านซ้ายของคุณชายเฉินรินชาให้เขาก่อนจะเอ่ยหลังจากคนตัวใหญ่ยกชาขึ้นดื่ม
“อวี้เอ๋อร์เก่งที่สุดเลยคือเรื่องบนเตียงเจ้าค่ะ”
พรวด!!!
น้ำชาอุ่น ๆ ที่เกือบไหลลงคอพ่นออกจากปากของคนสุขุมนุ่มลึกอย่างเฉินโยว่เหวยทันที
นี่นาง...!
หลังจากแต่งงานได้เก้าเดือน ลูกหงส์และมังกรก็ มาเกิดในตำหนักหานอ๋องสร้างความปีติยินดีมากมายให้ กับเหล่าประชาชนในแคว้น รวมทั้งเสด็จลุงอย่างฮ่องเต้ เยว่อันคังประทานของรับขวัญหลานจนต้องสร้างห้องเก็บสมบัติเพิ่ม จางม่านอวี้ท้องลูกแฝดแต่เป็นแฝดชายหญิง โดยคนเป็นบิดาอย่างหานอ๋องก็ตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง ลูกชายผู้เป็นแฝดพี่มีนามว่าเยว่เฟยเทียน แฝดน้องเป็นลูกสาวมีนามว่าเยว่เฟยเซียง ท่านอ๋องทรงหลงรักลูกชายและลูกสาวทั้งสองมากถึงขนาดอุ้มไปด้วยทุกที่ แม้แต่ออกไปทำงานก็ตาม ยิ่งลูกสาวตัวน้อยอย่างเยว่เฟยเซียงติดการหลับบนอกผู้เป็นบิดาที่สุด “แง้งงงงง!” เสียงร้องของแฝดน้องดังขึ้นทีไร เหล่าพี่เลี้ยงและหานเฟยต่างรีบมาดู เพราะหนูน้อยช่างเอาแต่ใจมาก ๆ หากง่วงจะไม่นอนดี ๆ ที่เปลหรือเตียงนอน แต่จะนอนบนอกบิดา! เยว่เค่อไท่แทบจะยกงานทุกอย่างมาทำที่บ้าน เมื่อลูกสาวติดตนเองมากมายขนาดนี้ แต่ก็ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อหานเฟยบอกให้เขาหักดิบมิเช่นนั้นลูกจะไม่ยอมนอนโดยให้คนอื่นกล่อม แต่ใครอยากให้คนอื่นกล่อมกันเล่า ลูกเขาทำเองกับมือย่อมกล่อมให้นอนเองอยู่แล้ว และเมื่อลูกร้ององครักษ์เงา
คืนนี้เยว่เค่อไท่ไม่ได้รังแกหานเฟยของเขาหนักมาก เพียงแค่ตั้งใจจะมีลูกกับนางในค่ำคืนนี้ให้จงได้ ฤกษ์หยิน หยางบรรจบกันไม่ใช่จะมีได้ในทุกปี เขาจึงไม่ปล่อยให้ความพิเศษนี้ผ่านไปเพียงเปล่าประโยชน์ ด้านนอกแขกที่เชิญมาล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ขุนนางสำคัญในเมือง ไร้ขุนนางสอพลอในเมืองหลวงมาร่วมงานสักคนเดียว จางม่านอวี้ไม่มีญาติที่ไหน เขาก็ไม่มีญาติที่ไหน ดังนั้นมีแค่เราต่อจากนี้ก็เพียงพอ ริมฝีปากนุ่มบรรจงจูบอย่างทะนุถนอมและหวานที่สุด นางกินพุทราเชื่อมไปยิ่งทำให้รสชาติหวานติดลิ้นนางเสียจนเขาห้ามใจไม่ได้จูบนางอย่างเอาเป็นเอาตายจนนางเกือบลืมหายใจ “อึก...สวามีเพคะ...ช้าหน่อยเพคะ” เสียงเล็กท้วงทำให้เขาลดความรุนแรงลง เปลี่ยนจากจูบดูดดื่มมาเคล้าคลึงริมฝีปากนุ่นนิ่มหยอกล้อนางระหว่างปลุกเร้าความปรารถนาในกายของนางให้ลุกโชน จนกระทั่งนางทักท้วงบางอย่าง “สามี...ยังไม่ได้ดื่มสุรามงคลเลยเพคะ” สองมือเล็กดันอกแกร่งตะปบมือหนาให้ยับยั้งการกระทำ เพราะเขาเริ่มจะคลายสายคาดเอวแล้ว หากถึงจุดนั้นแม้แต่สุรามงคลก็ไม่ได้ดื่ม “เจ้าแน่ใจหรือว่าอยา
เมื่อตัวประกอบหลุดจากบั๊กสู่ตำแหน่งชายาเอกหนึ่งเดียวของหานอ๋องจากแคว้นเยว่หาน... วันมงคลสมรสของจางม่านอวี้และหานอ๋องเยว่เค่อไท่ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่สิบสองเดือนสิบสองรัชศกเยว่คังที่สิบสอง ซึ่งเป็นวันมงคลที่สิบสองปีจะมีครั้ง คือวันที่หยินหยางสมดุลพร้อมให้พลังแด่คู่รักชายหญิง ถือว่าวันนี้หากเป็นวันที่ขอลูกชายก็จะได้ลูกชะตามังกรมาเกิด หากขอลูกสาวก็จะได้ลูกชะตาหงส์มาเกิด แม้จะเป็นวันที่อากาศเย็นแต่ทว่าชาวเมืองต่างออกมาแสดงความยินดีกับหานอ๋องอย่างคึกคัก การแต่งงานครั้งนี้นับว่าเป็นการแต่งงานระหว่างสตรีสามัญชนกับเชื้อพระวงศ์ครั้งแรกในรัชศกนี้ ซึ่งต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างก็ไม่ขัดข้องสิ่งใด เพราะหานอ๋องเดิมถือเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ในความคิดของพวกเขา เมื่อแต่งงานกับสตรีไร้การหนุนหลังยิ่งทำให้พวกเขาสบายอกสบายใจว่าบัลลังก์จะไม่เกิดการเปลี่ยนมือในเร็ววันจนพวกเขาตั้งตัวไม่ทัน แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าทั้งหานอ๋องและฝ่าบาทต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ทำตัวห่างเหินกันเพื่อให้คนนอกได้เห็นและเพื่อคานอำนาจเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดใช้เ
จางม่านอวี้มองไปยังคนที่จะมาเก็บดอกเบี้ยนางพลางน้ำตารื้น...ดวงตากลมโตของนางเลอะไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียอกเสียใจ แต่ทว่ากลับไม่ทำให้นางขยับเขยื้อนกาย นางไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพบกับบุรุษใจร้ายผู้นี้อีกแล้ว แต่นางก็พบ! ทั้งยังหนีไม่พ้นอีกด้วย “ท่านเป็นใคร...ข้าไม่รู้จักท่าน” จางม่านอวี้ขยับตัวหนีร่างใหญ่ที่เขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเตียงนอนของนาง โดยที่มือใหญ่กำลังเอื้อมมือมาคล้ายจะแตะต้องตัว แต่นางรีบขยับหนี! “ท่านเป็นใคร...ออกไปนะ...ข้าไม่รู้จักท่าน” นางแสร้งเล่นบทโศกความจำเสื่อมเสียเลย อย่างไรเขาจะมาเก็บดอกเบี้ยนางไม่ได้แน่นอน เยว่เค่อไท่ขมวดคิ้วทั้งมองดวงตาของนางที่ไหวระริกพลางกดมุมปาก จากนั้นเขานั่งลงมองคนที่กำลังขวัญเสีย “ข้าคือเยว่เค่อไท่ หานอ๋องที่ปกครองเมืองฉางเหอและเป็นเจ้าหนี้ของเจ้า” จางม่านอวี้ยิ่งได้ฟังยิ่งสับสน นี่ถ้าหากเกิดใหม่เขาจะแนะนำตัวตนจริง ๆ ของเขาทำไม ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ “ข้าไม่รู้จัก” นางส่ายหน้าพรืดทั้งขยับตัวแต่ทว่า...ว้าย! ร่างของนางกำลังจะตกลงกับพื้นแต่ทว่ากลับมีมือใหญ่รั้งเอาไ
จางม่านอวี้มีเงินจากที่ท่านอ๋องให้เอาไว้อยู่หลายตำลึงจึงเอาไปให้ซูซินซื้อกระดาษมานั่งแต่งหนังสือประโลมโลก และไม่ออกจากบ้านเลยจนกระทั่งนางเขียนได้สิบเรื่องคิดว่าควรจะเอาไปขายที่ร้านขายหนังสือประโลมโลกหน้าหอหยกเร้นจันทร์เพื่อหาเงินเข้าบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง แต่ทว่าดันไปช่วงเวลาที่หานอ๋องแต่งตั้งชายาเอกพอดี! เป๋งๆๆๆ ! เสียงฉาบทองเหลืองอันใหญ่ถูกคนเข็นไปพร้อมกับมีคนตีตะโกนป่าวประกาศลั่นถนน จนนางและซูซินต้องหลบทางให้ขบวนคนที่ตีฆ้องร้องป่าว “อีกเดี๋ยวขบวนแห่พระชายาจะผ่านทางนี้...ทุกคนที่รอชมโฉมพระชายาต้องคุกเข่าเข้าใจหรือไม่” จางม่านอวี้รีบเอาหนังสือสิบเล่มขายให้กับเถ้าแก่ร้านหนังสือทันที “เถ้าแก่ข้าคิดไม่แพงเล่มละสามตำลึง” เถ้าแก่ดีใจแทบเนื้อเต้นปกติเรื่องดี ๆ เช่นนั้นพวกลูกหลานคนมีตระกูลชอบซื้อไปอ่านเขาขายเล่มละสิบห้าตำลึง และยังเอาไปคัดลอกได้อีกด้วย “นี่คุณหนูจางต่อไปท่านมาขายที่ร้านข้าห้ามไปขายร้านอื่นเด็ดขาดนะ ข้าเพิ่มให้หนึ่งตำลึง” จางม่านอวี้พยักหน้ารับเงินมาทั้งหมดสามสิบเอ็ดตำลึงก่อนจะรีบหลบเข้าไปในหอหยกเร้นจันทร์เพื่อ
จางม่านอวี้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในที่ของตนเอง เพราะไม่อยากออกไปเดินเฉียดใกล้ท่านหญิงหลินรั่วเหวิน แต่ทว่าสายข่าวเคลื่อนที่เร็วของนางก็มารายงานข่าวทุกวัน “พี่อวี้...หมิงไปสืบมาอย่างดีแล้ว ท่านอ๋องส่งสตรีเก้าสิบแปดคนกลับเมืองหลวงจนหมด เหลือเพียงท่านหญิงเพียงคนเดียว ท่านว่าท่านอ๋องมีใจให้ท่านหญิงหรือไม่” ซูหมิงไม่รู้ว่าท่านอ๋องออกไปรบ ส่วนคนที่นั่งเป็นท่านอ๋องอยู่ในตำหนัก และยามออกไปด้านนอกใส่หน้ากากเงินนั้นน่ะตัวปลอม นางไม่รู้ว่าฝ่าบาทกับท่านอ๋องทำได้อย่างที่แปลงโฉมทั้งเปลี่ยนเสียงได้ แต่นางเคยอ่านมาว่าในจีนโบราณทำได้ด้วยการใช้วิชาเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนเสียง แต่เรื่องนี้ก็แพร่งพรายไม่ได้เช่นเดียวกัน “ไม่รู้สิ” จางม่านอวี้จะตอบอะไรได้อีกนอกเสียจากว่าช่วงนี้นางไม่ไปพบท่านอ๋องชั่วคราวก็แล้วกัน ประหนึ่งนางกำลังแง่งอนเขาที่เขารับสตรีอื่นเข้ามาในตำหนัก นอกจากนางที่รู้เรื่องนี้แม้แต่ซูซินเองก็ไม่รับรู้เช่นกัน และซูซินยังเอาแต่ทำหน้าตาเศร้าซึมที่ท่านอ๋องไม่มานอนกับนางหลายวัน คล้ายกับจะหลงท่านหญิงหลิน “คุณหนู...หากท่านอ๋องไม่รักไม่เอ็นดูท่านแล้วไม่สู้







