หลังจากที่เฟิงจิ่งซินอยู่บ้านตระกูลหรงได้สามวันแล้ว ตอนที่หรงฉือกำลังเช็ดผมอยู่ในห้อง โทรศัพท์ของเฟิงจิ่งซินก็ดังขึ้นเฟิงจิ่งซินเห็นแจ้งเตือนสายเรียกเข้า หันหน้าไปพูดกับเธออย่างดีใจว่า “แม่คะ เป็นสายจากพ่อค่ะ!”หลังจากที่หรงฉือขานรับ เฟิงจิ่งซินจึงรับสายและเปิดลำโพง “พ่อคะ!”เฟิงถิงเซิน “กินข้าวเย็นหรือยัง?”เฟิงจิ่งซิน “กินแล้วค่ะ!”หลังจากที่ทักทายกันเรียบร้อยแล้ว เฟิงถิงเซินจึงบอกจุดประสงค์ที่เขาโทรหาเฟิงจิ่งซินในคืนนี้ “พรุ่งนี้เป็นวันที่พวกเรากับน้าอู๋อู๋ของหนูนัดกันไว้ว่าจะไปเที่ยว เดี๋ยวอีกสักพักพ่อจะส่งคนไปรับหนูกลับมา”สองสามวันนี้ที่เฟิงจิ่งซินอยู่ที่บ้านตระกูลหรง แม้หรงฉือจะงานยุ่งตลอดเวลา โอกาสที่เธอจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับหรงฉือไม่ถือว่ามากนัก แต่เวลาช่วงนี้เธอมีความสุขอย่างมากเธอยังทำใจกลับจากบ้านตระกูลหรงไม่ได้ ตอนที่รับสายเฟิงถิงเซิน เธอกล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัว “พ่อคะ หนูคงไม่...”ยังไม่ทันพูดจบ ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ เธอเปลี่ยนใจอีกครั้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่เล็กน้อย “เข้าใจแล้วค่า งั้นอีกเดี๋ยวพ่อมารับหนูด้วยตัวเองนะคะ”เมื่อเจอกับความออดอ้อนของเฟิงจิ่งซิน เฟิงถิง
ตอนที่หรงฉือกลับถึงบ้านในคืนนั้น เฟิงจิ่งซินก็หลับอยู่ในห้องของเธอแล้วหลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จแล้ว ตอนที่กำลังจะขึ้นเตียงไปนอน เฟิงจิ่งซินรู้สึกตัวหมุดตัวเข้าในอ้อมอกเธอ พูดขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “แม่คะ กลับมาแล้วเหรอ?”“อืม นอนเถอะ”เฟิงจิ่งซินไม่ได้พูดตอบหรงฉือก้มหน้ามอง ที่แท้ก็หลับไปเสียแล้ววันถัดมา อวี้มั่วซวินไปเจรจาความร่วมมือกับคู่ค้า หรงฉือและวิศวกรสองสามคนไปบริษัทเฟิงซื่อด้วยกันในเช้าวันนั้น หรงฉือคุยเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีกับคนอื่นเป็นเวลานาน ตอนที่พูดคุยใกล้จะเสร็จแล้ว หันหน้ากลับไปจึงพบว่า เพิงถิงเซินยืนฟังเธอพูดกับคนอื่นอยู่ไม่ไกลเธอชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นละสายตาหันกลับมาพูดกับคนที่คุยด้วยต่อ “เรื่องที่ฉันพูดไปเมื่อครู่ ที่จริงในแวดวงวิชาการก็มีวิทยานิพนธ์สองสามฉบับที่เขียนไว้ได้ดีเยี่ยม พวกคุณจะลองอ่านดูหน่อยไหมคะ?”“ดีเลยครับ ๆ ”หรงฉือบอกชื่อและผู้เขียนของวิทยานิพนธ์สองสามฉบับนั้นออกมากล่าวจบ ตอนที่เธอหันไปหยิบของ ก็สบตาเข้ากับหลินอู๋พอดีเฟิงถิงเซินเห็นเธอแล้วจึงเดินไปหา “มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”หรงฉือละสายตามองไปทางอื่นหลังจากที่หลินอู๋มองหร
เช้าวันถัดมา หลังจากที่หรงฉือส่งเฟิงจิ่งซินไปโรงเรียนแล้ว จึงขับรถกลับไปที่ฉางโม่ก่อนหน้านี้ เธอเคยพบไปกับผู้รับผิดชอบรถยนต์ไร้คนขับทั้งสองคนกับอวี้มั่วซวิน แต่หลังจากที่เจรจากันแล้ว เธอรู้สึกว่ายังไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักเพื่อที่จะหาคู่ค้าที่เหมาะสมกว่า ตอนกลางคืน เธอและอวี้มั่วซวินจึงไปร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลแห่งหนึ่งด้วยกันพวกเขามาถึงค่อนข้างเร็ว หลังจากที่พูดคุยกับผู้อื่นเล็กน้อย ก็เห็นเฟิงถิงเซินและหลินอู๋หรงฉือและอวี้มั่วซวินรีบหันหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็วอาจจะเป็นเพราะพวกเขาออกอาการเด่นชัดเกินไป เฟิงถิงเซินและหลินอู๋ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเข้ามาทักทายพวกเขาก่อนหลังจากผ่านไปสักพัก เหรินจี่เฟิงและเหยาซินปั่วก็มาถึงเมื่อเห็นเฟิงถิงเซินและหลินอู๋ หรงฉือและอวี้มั่วซวิน เขาเดินไปหาทางหรงฉือและอวี้มั่วซวินเพื่อกล่าวทักทายก่อน“ประธานอวี้ คุณหรง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”พวกเขาและเหรินจี่เฟิงไม่ได้เจอกันสักพักแล้วจริง ๆหรงฉือและอวี้มั่วซวินพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พวกเขายังคงไม่ค่อยชอบขี้หน้าเหรินจี่เฟิงเท่าไหร่นักเหรินจี่เฟิงไม่อยากทำให้ตัวเองขายขี้หน้า หลังจากที่ทักทายพวกเ
เป็นข้อดีเนื่องจากตอนนี้อาการป่วยหรงอิ้งเซิ่งอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น และระดับภาวะอวัยวะล้มเหลวก็ถือว่าไม่ได้อยู่ขั้นรุนแรง หลังจากที่คุณหญิงฉินและทีมของพวกเธอ ปรับเปลี่ยนการรักษาตามสภาพร่างกายและอาการป่วยโดยรวมของหรงอิ้งเซิ่ง ในที่สุด พวกเขาก็หาแผนการรักษาที่สามารถทำให้อาการป่วยของหรงอิ้งเซิ่งสงบลงจนได้ตอนที่ทราบข่าวนี้ ในที่สุดสภาวะจิตใจที่ตึงเครียดของหรงฉือและคุณยายหรงก็ผ่อนคลายลง ความหดหู่ดั่งเมฆดำที่ปกคลุมบ้านตระกูลหรงมาครึ่งเดือนได้สูญสลายไปเสียทีในคืนนั้น คุณยายหรงร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติออกมา ถึงขั้นลงมือทำอาหารค่ำให้ทุกคนเฉลิมฉลองด้วยตนเองหลังจากที่รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว หรงฉือนั่งอยู่เป็นเพื่อนคุณยายได้ไม่นาน เฟิงจิ่งซินก็โทรศัพท์มาหาที่จริงครั้งล่าสุดที่พวกเธอแม่ลูกคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ก็เกินหนึ่งเดือนแล้วครั้งก่อนที่เฟิงจิ่งซินโทรมาเธอ หากพูดตามเหตุผลแล้วเธอควรจะรับสายทว่า ในตอนนั้นหรงอิ้งเซิ่งเพิ่งตรวจเจอภาวะอวัยวะล้มเหลวได้ไม่นาน เธอสภาพจิตใจไม่สู้ดี จึงไม่ได้รับสายตอนนี้...คุณยายหรงเห็นสายเรียกเข้าจากเฟิงจิ่งซิน จึงกล่าว “รับสายเถอะ”คุณยายหรงไม่สามารถ
ครั้นเห็นหลินลี่ไห่ สีหน้าของหรงฉือไม่เผยความประหลาดใจออกมาสักนิดเดียวโปรเจกต์ระบบจราจรอัจฉริยะในเมืองหลวงมีความสำคัญต่อการพัฒนาของบริษัทเทคโนโลยีของตระกูลหลินเป็นอย่างมาก กลับต้องมาถูกเธอคาบไปกินต่อหน้าต่อตา แล้วอย่างนี้จะให้พวกเขานิ่งดูดายอยู่ได้อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่คล้ายคลึงกันนี้เธอไม่มีทางทำแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแน่ต่อจากนี้ไป เธอต้องหาโอกาสลงมืออีกแน่นอนการประมูลครั้งนี้ได้จบลงแล้ว ตระกูลหลินไม่มีความสามารถที่จะแย่งชิงโปรเจกต์นี้กลับคืนไปได้ ดังนั้น หากเธอเดาไม่ผิด หลินลี่ไห่คงมาหาเธอเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องแนวนี้เกิดขึ้นอีกใช้วิธีไหนถึงจะสามารถเกลี้ยกล่อมเธอได้?ก็ต้องอาศัยความรู้สึกน่ะสิเพราะแบบนี้ไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรเลยแต่อย่างไรก็ดี หรงฉือไม่อยากจะเสแสร้งทำทีเป็นตามน้ำเขาด้วยซ้ำเธอหันกลับมา ในตอนที่เขากำลังจะอ้าปากพูดอีกครั้ง เธอชิงกล่าวออกมาก่อนว่า “ฉันจำได้ว่าคราวก่อนคุณหญิงหลินบอกต่อหน้าทุกคนว่าฉันไม่ใช่หลานสาวของท่าน พวกคุณเองก็ย้ายมาที่เมืองตูเฉิงได้ครึ่งปีกว่าแล้ว ฉันกับประธานหลินเจอหน้ากันก็หลายหนแล้วด้วย แต่ประธานหลินไม่เคยเป็นฝ่ายพูดต่อหน้า
ไม่ใช่แค่พวกเขา หลังจากผู้ร่วมแข่งประมูลคนอื่น ๆ ได้เห็นหรงฉือกับอวี้มั่วซวิน ก็แทบจะตระหนักได้ทันควันว่าความทุ่มเทเพื่องานประมูลคราวนี้ของพวกเขาต้องสูญเปล่าแล้วความจริงมันก็เป็นเช่นนี้จริง ๆท่ามกลางการรอคอยของทุกคน ผลการประเมินก็ออกมาในเวลาอันรวดเร็ว ผู้ชนะการประมูลโปรเจกต์ระบบจราจรอัจฉริยะในเมืองหลวงก็คือฉางโม่!สำหรับผลลัพธ์นี้ หรงฉือกับอวี้มั่วซวินไม่ประหลาดใจแม้แต่นิดเดียวพวกเขายังมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ จึงไม่คิดที่จะรั้งอยู่ที่นี่นานเมื่อได้เห็นว่าหรงฉือกับอวี้มั่วซวินกำลังจะผ่านหน้าพวกเขาไป โดยไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเขาด้วยซ้ำ เดิมทีหลินลี่ไห่กับหลินอู๋ก็สีหน้าแย่อยู่แล้ว ทันใดนั้นก็ดูไม่จืดยิ่งกว่าเดิมอีกหลายส่วนตั้งแต่ย้ายมาเมืองตูเฉิง หลินซื่อก็เริ่มเข้าที่เข้าทางเนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจากเฟิงถิงเซิน และเป็นเพราะเฟิงถิงเซินกับหลินอู๋ คนมากหน้าหลายตาในวงสังคมจึงเริ่มรู้จักบริษัทของพวกเขาแต่ถึงกระนั้นมันก็ถูกจำกัดอยู่แค่ในวงแคบเท่านั้น ในความเป็นจริงจนถึงบัดนี้พวกเขายังไม่อาจทำให้ชื่อเสียงของบริษัทกลายเป็นที่รู้จักภายนอกวงสังคมอย่างเป็นทางการได้ที่ก่อนหน้านี