เหรินจี่เฟิงเล่าเรื่องในวันนี้ให้จี้ชิงเยว่ฟังเล็กน้อยจี้ชิงเยว่ตอบกลับว่า “พ่อกับปู่ฉันมีความประทับใจต่อหรงฉือกับคุณยายเธอมาก อาจจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้มั้ง”เหรินจี่เฟิงรู้สึกว่าจี้หวนอิงค่อนข้างจะสนใจหรงฉือเป็นพิเศษต่อให้จี้หวนอิงมีความประทับใจต่อหรงฉือมากแค่ไหน แต่ถ้าเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว มันจะดูไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยหรือเปล่า?แต่จี้ชิวเยว่พูดแบบนี้แล้ว เหรินจี่เฟิงก็ไม่ได้ซักไซ้ให้ลึกไปกว่านี้อีกพยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ตอนบ่ายจะมีฝนตก แม้กระทั่งอาจจะเกิดหิมะตกก็เป็นได้ยังกินข้าวไม่ทันเสร็จ หรงฉือก็พบว่า ด้านนอกมีฝนตกลงมาเสียแล้วหลังอาหาร จี้หวนอิงและบรรดาผู้นำทางการเมืองได้พูดคุยเชิงลึกกับหรงฉือและตัวแทนบริษัทคนอื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์การผลิตและการดำเนินงานของแต่ละบริษัทในปีที่แล้ว รวมทั้งแผนพัฒนาในปีนี้ด้วยหลังจากจี้หวนอิงและบรรดาผู้นำทางการเมืองกล่าวขอบคุณแต่ละบริษัทอีกครั้ง สำหรับความร่วมมือที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเมืองตูเฉิง การเสวนาระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในครั้งนี้ก็ได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการหลังการประชุมเสร็จสิ้น เฟิงถิงเซิน หรงฉือและคนอื่น ๆ จับมือกับจี
เจ้าหน้าที่จากภาครัฐเตรียมอาหารกลางวันให้กับหรงฉือและตัวแทนบริษัทคนอื่น ๆหลังการประชุมเสร็จสิ้น หรงฉือเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นแล้วจากไปเฟิงถิงเซินมองแผ่นหลังของเธอ และเดินอยู่ตามหลังเธอตระกูลเหรินกับตระกูลจี้กลับมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก เหรินจี่เฟิงกับจี้หวนอิงก็ดูสนิทสนมกันดี พอออกมาจากห้องประชุม เหรินจี่เฟิงเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายกับจี้หวนอิงหรงฉือไม่สนใจเหรินจี่เฟิงที่อยู่ข้าง ๆ จี้หวนอิง แล้วเข้าไปทักทายกับจี้หวนอิงเช่นกัน “ท่านเลขาธิการ จี้”จี้หวนอิงยิ้ม พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องตึงเครียดอยู่ตลอดเวลาขนาดนั้นก็ได้ เรียกฉันว่าลุงจี้ก็พอ”หรงฉือก็ยอมตามอย่างว่าง่ายพร้อมกับพูดว่า “คุณลุงจี้”เหรินจี่เฟิงได้ยิน ก็ชะงักไปเล็กน้อยหากเขาจำไม่ผิด นิทรรศการศิลปะของผู้อาวุโสจี้ น่าจะเป็นครั้งแรกที่หรงฉือกับจี้หวนอิงได้พบกันแม้ในตอนนั้น จี้หวนอิงจะสุภาพกับหรงฉือเพราะอวี้มั่วซวิน แต่พวกเขาก็ไม่น่าจะถือว่าสนิทกันแต่ตอนนี้จี้หวนอิงไม่เพียงแต่จำหรงฉือได้ตั้งแต่แรกเห็น ท่าทีที่มีต่อเธอยังอ่อนโยนอย่างมาก ราวกับว่าหรงฉือก็เหมือนกับเขา ต่างเป็นลูกหลานของเพื่อนเขา ที่
หลังเลิกงาน ตอนที่หรงฉือกับอวี้มั่วซวินมาถึงวิลล่าของหนานจื้อจือ หนานจื้อจือก็กำลังขมวดคิ้วคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่พอเห็นพวกเขา เขาก็วางสาย นั่งลงแล้วพูดว่า “หลังจากดูเนื้อหาวิจัยของเธอในครั้งนี้แล้ว มีหลายคนที่อยากรู้จักเธอ ไว้โอกาสหน้าค่อยพาไปแนะนำให้รู้จักกัน”หรงฉือพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”งานวิจัยของเธอในครั้งนี้ได้รับการอนุมัติให้เป็นโครงการวิจัยระดับชาติ ต่อมา หนานจื้อจือก็คุยกับเธอเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้น หรงฉือกับอวี้มั่วซวินยังขอคำชี้แนะจากหนานจื้อจืออีกสองสามคำถาม จนกระทั่งดึกดื่น พวกเขาจึงจะกลับไปเช้าในวันรุ่งขึ้น กลับมาถึงบริษัท หรงฉือกำลังดูเรซูเม่ที่ฝ่ายเอชอาร์ของบริษัทคัดกรองไว้ แล้วส่งมาให้ฝ่ายเทคนิคหลังจากที่เธอดูมาสักพัก จู่ ๆ ก็ชะงักไปอวี้มั่วซวินก็อยู่ข้าง ๆ เห็นสีหน้าเธอดูผิดปกติ จึงถามขึ้น “เป็นอะไรหรือเปล่า?” “เรซูเม่ของหลินอู๋”อวี้มั่วซวินเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “เธอยังจะส่งเรซูเม่เข้ามาอีกเหรอ? พากเพียรเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย”หรงฉือไม่พูดอะไร ก็ปัดเรซูเม่ของหลินอู๋ทิ้งไปเลยทันทีวันนี้ตอนบ่ายอวี้มั่วซวินต้องออกไปทำงา
ขณะกินข้าวได้ครึ่งหนึ่ง ฉีอวี้หมิงจู่ ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา ก่อนจะพูดกับหลินอู๋ว่า “จริงสิ ตอนนี้ฉางโม่กำลังขยายการรับสมัครอยู่ คุณมีแผนจะลองไปสมัครที่ฉางโม่อีกครั้งไหม?”แม้ไม่กี่วันที่ผ่านมาหลินอู๋จะอยู่ต่างประเทศแต่เรื่องที่ฉางโม่ขยายการรับสมัคร เธอรู้อยู่แล้วพูดตามตรง เธอเองก็สนใจอยู่ไม่มากอย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีของฉางโม่นั้นสุดยอดจริง ๆ การเข้าทำงานในฉางโม่ จะส่งผลดีต่อการเติบโตของเธอมากกว่าเพียงแต่ว่า...“เมื่อวานผมเจอเพื่อนคนหนึ่ง ได้ยินมาว่านอกจากจะรับสมัครเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคแล้ว อวี้มั่วซวินยังพยายามอย่างมากในการติดต่อหาบุคลากรในระดับบริหาร แต่ดูจากสถานการณ์การรับสมัครของฉางโม่ อวี้มั่วซวินไม่ได้เตรียมตำแหน่งผู้บริหารไว้ให้เธอเลย”‘เธอ’ ในที่นี้ย่อมหมายถึงหรงฉืออย่างแน่นอนขยายการรับสมัคร และการปรับโครงสร้างภายในของฉางโม่ เดิมก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการจัดตำแหน่งงานให้หรงฉือทางอวี้มั่วซวินกลับไม่เว้นตำแหน่งในระดับบริหารไว้ให้หรงฉือแม้แต่ตำแหน่งเดียว ซึ่งก็หมายความว่าอวี้มั่วซวินยังคงมีสติ ไม่ปล่อยให้หรงฉือทำอะไรตามอำเภอใจหรือบางที ความสัมพันธ์
เฟิงจิ่งซินโทรไปหาหรงฉือได้ไม่นาน รถที่เฟิงถิงเซินส่งคนมารับเฟิงจิ่งซินก็มาถึงแล้วท้ายที่สุด เฟิงจิ่งซินก็ไม่ได้รอให้หรงฉือกลับมาก็ขึ้นรถกลับไปเสียแล้วเมื่อถึงห้องส่วนตัว เฟิงจิ่งซินก็โน้มตัวไปในอ้อมอกของเฟิงถิงเซินและหลินอู๋ “พ่อ น้าอู๋อู๋คะ!”เฟิงถิงเซินยิ้มพลางลูบศีรษะเธอ หลินอู๋เข้ามาช่วยถือกระเป๋าหนังสือของเธอวางไว้ด้านข้างเฮ่อฉางปั่ว ฉีอวี้หมิงและซุนลี่เหยาล้วนอยู่ในห้องส่วนตัวแล้วเมื่อเห็นว่าเฟิงจิ่งซินคิดถึงเฟิงถิงเซินและหลินอู๋ขนาดนี้ ฉีอวี้หมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถิงเซิน ฉันว่าพวกนายน่าจะพาซินซินไปเที่ยวเมืองนอกด้วยนะ นายดูสินี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน เธอก็คิดถึงพวกนายจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าพวกนายยังชักช้ากลับช้ากว่าอีกสองสามวัน ซินซินคงจะร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่ ๆ”คำพูดนี้ของฉีอวี้หมิง ฟังแล้วเหมือนกับการที่ให้เฟิงจิ่งซินอยู่กับหรงฉือทำให้เธออึดอัดเฮ่อฉางปั่วชะงักไปทันที ตอนที่พวกเฟิงถิงเซินยังไม่ได้พูดอะไร จึงเปลี่ยนเรื่องพูด กล่าวถาม “ซินซินสองสามวันนี้ได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างไหม?”เฟิงจิ่งซินนั่งลง พลางกล่าว “ไปสิคะ แม่พาหนูไปดูหนัง เล่นเกม VR แล้วก็กินข้าวค่ะ”ฉีอ
หลังจากที่ทำงานมากกว่าหนึ่งวันหนึ่งคืน หลังจากหรงฉือนำเนื้อหาที่ควรบันทึกไว้ส่งให้อวี้มั่วซวินแล้ว จึงเดินลงไปกินอาหารเช้าที่ชั้นล่างหลังจากที่อวี้มั่วซวินอ่านเอกสารที่เธอมาเรียบร้อยแล้ว ตื่นเต้นจนมือสั่น “แบบนี้ไม่เลวเลย น่าอัศจรรย์จริง ๆ!”หรงฉือนวดระหว่างคิ้วที่เมื่อยล้าของเธอพลางกล่าว “ฉันขอนอนก่อนนะ อีกสักพักจะมาคุยด้วย”“โอเค”หรงฉือหลับยาวถึงตอนห้าโมงเย็นกว่าตอนที่ตื่นมา เห็นว่าเฟิงจิ่งซินกำลังเล่นซูโดกุอยู่บนพรมในห้องเมื่อเห็นว่าเธอตื่นแล้ว เฟิงจิ่งซินลุกขึ้นพลางกล่าว “แม่ตื่นแล้วเหรอคะ?”หรงฉือ “อืม”“คอแห้งไหมคะ? จะดื่มน้ำไหม?”หรงฉือชะงักไปครู่หนึ่ง “ขอบคุณนะ”หลังจากที่เฟิงจิ่งซินเทน้ำแก้วหนึ่งให้เธอแล้ว ก็กลับไปเล่นตัวคนเดียวอีกครั้งหรงฉือมองร่างเล็กของเธอ เธอรู้ตัวดีว่าสองสามวันนี้งานยุ่ง ไม่ได้ใส่ใจเธอมากนักแต่วันนี้เป็นวันหยุดวันสุดท้ายแล้วพรุ่งนี้เธอก็ต้องกลับไปทำงานที่ฉางโม่แล้ว ก็คงไม่มีเวลาดูแลเธอแล้วเมื่อคิดดังนี้ เธอพูดขึ้นว่า “ซินซิน”เฟิงจิ่งซินหันหน้ากลับมา “มีอะไรคะแม่?”“พ่อหนูจะกลับมาเมื่อไหร่?”“พ่อบอกว่าคงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ค่ะ เฟิงจิ่