วันนี้ทั้งบ้านตื่นเช้าเป็นพิเศษ ตั้งแต่แสงแรกของอรุณรุ่ง ข้าวหอมช่วยศจีจัดเตรียมอาหารที่แม่ทำใส่กล่องข้าวอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้รุจน์และสายเมฆห่อติดตัวไปกินในเมือง
ตอนแรกข้าวหอมออกจะไม่เห็นด้วยนักกับการห่อข้าวไปกิน เธอรู้สึกว่ามันไม่สะดวกเอาเสียเลย การซื้อกินที่นั่นน่าจะดีกว่า ทั้งประหยัดเวลาและดูสบายกว่ากันเยอะ “พ่อคะ ตอนนี้เราก็พอมีเงินแล้วนี่คะ ทำไมเรายังจะต้องประหยัดขนาดนี้อีก? พ่อควรจะได้กินอะไรดีๆ ในเมืองบ้างนะคะ” ข้าวหอมเอ่ยถามด้วยความสงสัย รุจน์ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะสอนลูกสาวด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ข้าวหอม… ยามที่เรามี ก็ควรรู้จักเก็บหอมรอมริบเอาไว้บ้างนะลูก เผื่อวันหนึ่งข้างหน้าวันที่เราไม่มี จะได้ไม่ลำบาก อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัดเถอะ ใช้เงินอย่างรู้คุณค่า แล้ววันหน้าจะไม่เดือดร้อน” ‘ยัยนี่ก็ยังไม่รู้จักคุณค่าของเงินอยู่ดีสินะ พอมีก็จะใช้อย่างเดียวเลย’ สายเมฆคิดในใจพลางแอบมองข้าวหอมก่อนจะเอ่ยสมทบคำพูดของรุจน์ “ที่พ่อพูดน่ะถูกแล้วข้าวหอม ตอนนี้เราเริ่มหาเงินได้ก็ต้องเก็บไว้ก่อน เราไม่รู้หรอกว่าที่ตากเนื้อแห้งของเราจะขายได้ไปอีกนานแค่ไหน สักระยะหนึ่งเราก็ต้องหาอย่างอื่นทำ อันไหนประหยัดได้ก็ประหยัดไว้เถอะ” “ทำไมล่ะคะ? ทำไมถึงไม่ทำไปให้ตลอดเลยล่ะ” ข้าวหอมสงสัยในคำพูดของสายเมฆ ดวงตาโตจ้องมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “เราก็ลองคิดดูสิ ที่ตากเนื้อแห้งมันไม่ได้ซับซ้อนมากนัก ถ้าคนอื่นสังเกตจริง ๆ แล้วลองผิดลองถูกนิดหน่อยก็สามารถทำตามได้แล้ว พอมีคนทำตามเยอะ ๆ สินค้าของเราก็จะไม่ได้ขายดีแบบนี้อีกแล้ว” สายเมฆถือโอกาสสอนข้าวหอมไปในตัว เมื่อเตรียมตัวพร้อม รุจน์กับสายเมฆก็ออกเดินทางไปยังปากทางหมู่บ้าน ภายใต้แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าที่เริ่มทอแสงแรงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาตั้งใจไปรอรถสองแถวประจำทาง ซึ่งนาน ๆ ทีจะผ่านมาสักคัน หากพลาดเที่ยวนี้ไปก็ต้องรอรอบต่อไปอีกเกือบชั่วโมง ทั้งสองนั่งรออยู่บนศาลาพักผู้โดยสารเก่า ๆ ริมทาง สายตาจับจ้องไปตามถนนลูกรังที่ทอดยาว บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดและเสียงใบไม้ไหว ไม่นานนัก รถสองแถวสีแดงคันคุ้นตาก็เคลื่อนเข้ามาจอด สายเมฆกับรุจน์รีบขึ้นไปนั่งจับจองที่นั่งด้านในสุดได้อย่างสบาย ๆ โชคดีที่หมู่บ้านของพวกเขาเป็นต้นสาย จึงได้เปรียบเรื่องที่นั่ง รถสองแถวเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ สลับกับการจอดรับผู้โดยสารที่คอยโบกตามรายทาง แต่ละคนที่ขึ้นมาพร้อมสัมภาระและรอยยิ้มทักทาย ผู้คนทยอยขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งภายในรถอัดแน่นไปหมด บางคนต้องยืนโหนจับราว บางส่วนที่หาที่นั่งไม่ได้ก็ต้องปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาอย่างชินชา แม้จะได้นั่ง แต่การเดินทางก็ไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะถนนลูกรังตลอดเส้นทางทำให้รถโคลงเคลงไปมาอย่างต่อเนื่อง ฝุ่นดินฟุ้งกระจายเข้ามาภายในตัวรถทุกครั้งที่ล้อบดกับก้อนกรวดเล็ก ๆ ผู้โดยสารต่างจับราวแน่น ลมร้อนพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างปะทะใบหน้า สร้างความรู้สึกเหนอะหนะจากเหงื่อและฝุ่นควัน สายเมฆมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพทิวทัศน์ชนบทที่คุ้นตาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบ้านเรือนที่หนาแน่นขึ้นเมื่อเข้าใกล้ตัวเมือง ในห้วงความคิด เขาวาดภาพอนาคตที่สดใสกว่าเดิม 'ถ้าฉันหาเงินได้มากกว่านี้ ฉันจะพาทั้งครอบครัวย้ายมาอยู่ในเมือง' ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในใจ ก่อนที่เขาจะรู้สึกเอะใจเล็กน้อย 'ฉันรวมตัวเองไว้ในครอบครัวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ... และทำไมถึงได้รู้สึกเป็นห่วงเป็นใย รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับครอบครัวนี้มากขนาดนี้' ความรู้สึกอบอุ่นและผูกพันที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ทำให้เขาแปลกใจตัวเอง เขาไม่เข้าใจความรู้สึกนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้หัวใจของเขาพองโตอย่างประหลาด เมื่อถึงที่หมาย รุจน์ก็เดินไปจ่ายค่าโดยสาร ก่อนจะพาสายเมฆเดินลัดเลาะเข้าไปในซอยของตลาดที่เต็มไปด้วยผู้คนจอแจและเสียงจอแจของพ่อค้าแม่ค้า ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะไปหาซื้อผ้าตาข่ายสำหรับทำที่ตากเนื้อแห้งก่อน แล้วค่อยฝากของไว้ที่ร้าน จากนั้นจึงค่อยเดินเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็นเข้าบ้าน ที่ร้านขายของในตลาด หลังจากสายเมฆสั่งผ้าตาข่ายจำนวนมากจนเจ้าของร้านต้องหันมามองด้วยความแปลกใจ เจ๊จวง เจ้าของร้านที่ดูท่าทางเป็นคนช่างพูดก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ลื้อเปิดร้านใหม่เหรอพ่อหนุ่ม? ทำไมสั่งไปเยอะจัง ไม่ค่อยทยอย ๆ เอาไปล่ะ เผื่อขายไม่ออก” “ไม่ได้เปิดร้านหรอกครับเจ๊” สายเมฆตอบด้วยรอยยิ้มสุภาพ “พอดีมีชาวบ้านสั่งที่ตากเนื้อแห้งจำนวนมากน่ะครับ ผ้าตาข่ายเลยไม่พอ ผมก็เลยต้องมาซื้อไปเยอะ ๆ หน่อย” “ที่ตากเนื้อแห้งเหรอ? มันคืออะไร แล้วมันขายดีมากเลยเหรอ?” เจ๊จวงสวมวิญญาณเถ้าแก่สาวนักธุรกิจที่คอยสรรหาสิ่งใหม่ ๆ มาเข้าร้านอยู่เสมอ ดวงตาของเธอลุกวาวด้วยความสนใจ เมื่อสายเมฆอธิบายรายละเอียดและประโยชน์ของที่ตากเนื้อแห้งให้ฟัง เจ๊จวงก็ยิ่งเกิดความสนใจมากขึ้นไปอีก “ลื้อทำมาให้อั๊วะด้วยสิ! เอามาวางขายร้านอั๊วะได้เลยนะ อั๊วะให้ราคาดีเลยนา!” สายเมฆหันไปปรึกษากับรุจน์เล็กน้อย ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นโอกาสที่ดี จึงตกลงกับเจ๊จวงว่า ถ้าทำของชาวบ้านที่สั่งไว้เสร็จแล้ว จะนำตัวอย่างมาให้เจ๊จวงดูอีกที แล้วค่อยให้เจ๊ตัดสินใจว่าจะเอาแบบไหน เมื่อตกลงเรื่องการค้ากับเจ๊จวงเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองคนก็เดินหาซื้อข้าวของเข้าบ้านต่อ ของส่วนใหญ่ที่ซื้อก็เป็นพวกอาหารแห้ง วัตถุดิบสำหรับทำอาหาร และของใช้จำเป็นประจำบ้าน เช่น ยาต่าง ๆ ขณะที่เดินหาซื้อของอยู่นั้น ทั้งคู่ก็เดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าและเครื่องสำอาง บรรดาแม่บ้านและหญิงสาวต่างพากันมุงดูและเลือกซื้อของที่วางอย่างละลานตา รุจน์เห็นแล้วพลันนึกถึงศจีผู้เป็นภรรยา เขานึกอยากจะซื้อของสวย ๆ งาม ๆ ให้ศจีบ้าง แต่ก็ติดตรงที่ตอนนี้พวกเขายังไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อของฟุ่มเฟือยเช่นนี้ รุจน์มองของในร้านอย่างตัดใจและหันหน้าไปทางอื่น โดยไม่ทันสังเกตว่าในกลุ่มแม่บ้านที่กำลังเลือกของอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งกำลังจ้องมองมายังที่รุจน์ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความคิดถึงและความรู้สึกที่ซับซ้อน สายเมฆที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รุจน์ กลับมองเห็นแววตาของหญิงสาวคนนั้นที่จ้องมองรุจน์ เขาเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน “ลำดวน! ตัวนี้สวยมั้ย” เสียงเพื่อนของผู้หญิงคนนั้นเอ่ยถาม พลางหยิบเสื้อขึ้นมาให้ดู ‘ชื่อลำดวนเหรอ…’ สายเมฆได้ยินชื่อนั้นชัดเจน เขาจดจำไว้ในใจ ‘กลับไปค่อยไปถามยัยข้าวหอมละกัน ว่าในร่างเก่าของเธอมีความทรงจำเกี่ยวกับคนชื่อลำดวนคนนี้บ้างไหม’ หลังจากซื้อของจำเป็นเข้าบ้านเสร็จเรียบร้อย ทั้งรุจน์และสายเมฆก็ช่วยกันขนข้าวของพะรุงพะรังเดินมายังท่ารถสองแถว เพื่อรอรถรอบต่อไปที่จะกลับหมู่บ้าน “โอ้โห ตารุจน์! ทำไมวันนี้ซื้อของเยอะแยะแบบนี้วะ? ถูกหวยมารึเปล่าเนี่ย?” ลุงคนขับรถสองแถวที่รู้จักคุ้นเคยกันดีเดินเข้ามาทักทายพร้อมกับช่วยขนของที่รุจน์ซื้อมาขึ้นไปวางบนที่นั่งด้านหน้าของรถ เพื่อจองที่ไว้ให้ “เปล่าหรอกลุง” รุจน์ตอบสั้น ๆ พลางยิ้มแหย ๆ “พอดีหลานศจีมาอยู่ด้วย เลยต้องซื้อของกลับไปมากหน่อยน่ะ” เขาพยายามตัดบท เพราะไม่อยากตอบคำถามอะไรเพิ่มอีก ขณะที่รอรถออก ทั้งคู่ก็แกะอาหารที่ห่อมาจากตลาดมากินรองท้องตรงโต๊ะหินอ่อนตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับจุดจอดรถสองแถว ท่ามกลางเสียงจอแจของตลาดที่เริ่มซาลงแล้วนั้น ลำดวน ก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเขา ลำดวนสวมชุดที่ดูดีมีราคา บ่งบอกฐานะที่เหนือกว่าคนทั่วไปในตลาดได้อย่างชัดเจน เธอเดินกรีดกรายตรงมายังโต๊ะหินอ่อนที่รุจน์นั่งอยู่ พร้อมกับส่งยิ้มหวานหยด “พี่รุจน์... จำลำดวนได้ไหมคะ?” เสียงหวานใสกังวานเอ่ยทักทาย รุจน์เงยหน้าขึ้นมองช้า ๆ แววตาของเขามีประกายบางอย่างที่วูบไหวเพียงชั่วครู่จนแทบจับสังเกตไม่ได้ ก่อนจะกลับมานิ่งเฉย “จำได้สิ... นี่ลำดวนไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ แล้วเหรอ?” รุจน์พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ “อืม... พอดีลำดวนกลับมาเยี่ยมบ้านน่ะค่ะ ก็เลยแวะซื้อของที่ตลาดในเมืองก่อนกำลังจะกลับเลย” ลำดวนตอบ พลางใช้สายตากวาดมองไปที่ข้าวของที่รุจน์ซื้อมา “พี่รุจน์กำลังจะกลับบ้านพอดีเลยใช่ไหมคะ? ติดรถลำดวนไปไหม? ของพี่รุจน์เยอะแยะแบบนี้ เดี๋ยวลำดวนให้คนขับรถขนไปให้” เธอยิ้มพร้อมเสนอตัวที่จะช่วย “ไม่ดีกว่าลำดวน” รุจน์ปฏิเสธเสียงเรียบแทบจะทันที แววตาฉายความประหม่าเล็กน้อยแต่ก็พยายามเก็บอาการ “พอดีพี่ตั้งใจจะกลับรถสองแถวอยู่แล้ว ไม่รบกวนลำดวนหรอก” พูดเสร็จเขาก็ก้มหน้าลงกินข้าวต่ออย่างไม่สนใจ พยายามทำตัวให้ดูเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ราวกับต้องการสื่อว่าไม่มีอะไรผิดปกติ และไม่อยากข้องแวะอีก สายเมฆที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รุจน์ตลอดเวลา เขาสังเกตเห็นทุกอิริยาบถ ทุกคำพูด และแววตาที่วูบไหวของทั้งสองคน สีหน้าของลำดวนที่เต็มไปด้วยความพยายามจะเข้าหา กับท่าทางที่รุจน์พยายามหลีกเลี่ยงอย่างชัดเจนทำให้สายเมฆเริ่มประติดประต่อเรื่องราวบางอย่างในอดีตได้ ‘ดูท่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ธรรมดา... และลุงรุจน์ก็คงไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย’ ลำดวนเห็นดังนั้นก็ฝืนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างเสียดาย แต่ในใจของเธอพลันเดือดดาลด้วยความหงุดหงิด เธอสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมแพ้ และยังไงก็จะต้องหาโอกาสเจอรุจน์อีกให้ได้!วันนี้เป็นวันที่ห้าของการทำงาน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ใต้ถุนบ้าน สินค้าที่ทุกคนช่วยกันทำอย่างขยันขันแข็งก็ใกล้จะครบจำนวนที่ต้องส่งในล็อตแรกแล้ว ข้าวหอมมองเห็นความสำเร็จอยู่รำไร จึงเอ่ยเสนอขึ้นมากลางวง “นี่! หลังจากที่เราส่งสินค้าล็อตแรกให้เจ๊จวงแล้ว พวกเราควรมีการฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ กันไหมคะ? ทำอะไรอร่อย ๆ กินกันตอนเย็น ให้ธงกับแก้วชวนป้าแจ่มกับลุงเพิ่มมาด้วยเลย!”ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามด้วยในทันที ใบหน้าของแต่ละคนเปื้อนยิ้มด้วยความยินดี พร้อมทั้งรับปากว่าจะนำอาหารมาร่วมฉลองด้วยอย่างแน่นอน บรรยากาศของการทำงานในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความสุขและความกระตือรือร้น เพราะทุกคนต่างมีเป้าหมายร่วมกัน และอดใจรอช่วงเวลาแห่งการฉลองไม่ไหวเมื่อทำสินค้าชิ้นสุดท้ายจนครบตามจำนวน สายเมฆได้ขอให้ทุกคนช่วยทำเพิ่มอีกขนาดละสามอัน “กันไว้ดีกว่าแก้นะครับ” เขากล่าว “เผื่อมีเสียหายระหว่างขนส่ง หรือมีอันไหนไม่ได้มาตรฐาน จะได้ไม่ต้องกังวล” ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยทำต่ออย่างไม่ปริปากบ่นเมื่อสินค้าสำรองเสร็จเรียบร้อย รุจน์ก็เล่าแผนการในวันพรุ่งนี้ว่า “พรุ่งนี้พ่อจะไปหาเหมารถสองแถว เพื่อเอาของไปส่งให้เจ๊จ
หลังจากที่ป้าแจ่มและเจ้าธงกลับไปแล้ว รุจน์และสายเมฆก็เริ่มปรึกษาหารือกันเรื่องสถานที่ที่จะใช้เป็นโรงงานผลิตที่ตากเนื้อแห้งชั่วคราว ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่า ใต้ถุนบ้าน นี่แหละคือจุดที่เหมาะสมที่สุด ด้วยความที่เป็นใต้ถุนยกสูง ลมพัดโกรกสบาย ทำให้ทำงานได้โดยไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวศจีเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรทำห้องเก็บของไว้ใต้ถุนด้วย จะได้ไม่ต้องขนข้าวของขึ้นลงไปเก็บข้างบนให้ยุ่งยาก ข้าวหอมเองก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยปรับปรุงสถานที่และสร้างห้องเก็บของขนาดกะทัดรัดให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะถึงวันนัดหมายสำคัญเมื่อวันนัดมาถึง กลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงบ้านข้าวหอมคือ เจ้าธง แซม และสาลี่ผู้เป็นแม่ของแซม ทั้งสามคนดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน พวกเขาหิ้วตะกร้าใส่ส้มและกล้วยมาด้วย เพื่อเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนที่ได้รับโอกาสในการทำงาน เจ้าธงผู้ร่าเริงและเข้ากับคนง่าย รับหน้าที่แนะนำแซมและสาลี่ให้ทุกคนในบ้านรู้จัก แซมดูขัดเขินเล็กน้อย พูดน้อย ไม่ต่างจากสาลี่ผู้เป็นแม่ที่ค่อนข้างจะเรียบร้อยและเงียบเช่นกันศจีผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปชวนสาลี่คุย เพื่อสร้างความรู้สึกคุ
หลังจากที่ส่งมอบที่ตากเนื้อแห้งล็อตสุดท้ายให้แก่ลุงเพิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สายเมฆกับรุจน์ก็พากันนำตัวอย่างสินค้าชุดใหม่สำหรับเจ๊จวงไปให้ดูที่ตลาดในเมืองทันที ส่วนทางด้านศจีที่อยู่บ้านก็เริ่มภารกิจสำคัญ นั่นคือการพยายามหาคนที่ไว้ใจได้และมีฝีมือดีมาช่วยงานที่ตากเนื้อแห้งตามแผนที่สายเมฆวางไว้ขณะที่ศจีกำลังครุ่นคิดและกลุ้มใจว่าจะไปหาใครที่เหมาะสมได้จากที่ไหน ทันใดนั้น เจ้าธง หลานชายของป้าแจ่ม ก็เดินแบกถังใส่ข้าวสารใบใหญ่มาที่บ้าน ศีรษะมีเหงื่อซึมตามไรผม บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า ข้าวสารในถังนั้นคือค่าตอบแทนที่สายเมฆช่วยเข็นข้าวเปลือกไปสีที่โรงสีเมื่อหลายวันก่อน ศจีมองเห็นเจ้าธงแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนี้ดูมีหน่วยก้านดี ร่างกายแข็งแรง และเป็นคนขยันขันแข็ง เธอจึงตัดสินใจเอ่ยถามขึ้น“เจ้าธง... ระหว่างรอเกี่ยวข้าวที่นา มีอะไรทำรึเปล่าลูก?”เจ้าธงยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบ 32 ซี่ พลางเกาหัวอย่างเขิน ๆ “ก็ว่าจะเข้าไปหางานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเมืองจ้ะน้า อยู่ที่บ้านก็ไม่มีงานอะไรทำ ว่าง ๆ ก็เบื่อเหมือนกัน”ศจีจึงถือโอกาสนี้ชวนทันที “พอดีเลย... บ้านน้ากำลังต้องการคนช่วย น้าต้องทำที่ตากเนื้อ
นับจากวันที่ได้อุปกรณ์ครบ ทุกคนก็เริ่มลงมือทำที่ตากเนื้อแห้งกันอย่างขยันขันแข็ง และเนื่องจากสายเมฆได้วางแผนงานไว้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขนาดของโครงไม้ไปจนถึงการตัดผ้าตาข่ายขนาดต่าง ๆ ทำให้แต่ละคนสามารถแบ่งหน้าที่กันทำได้อย่างรวดเร็ว งานจึงคืบหน้าไปได้มากจนน่าตกใจ ลุงเพิ่มเจ้าของร้านชำที่แวะเวียนมาดูความคืบหน้าอยู่บ่อย ๆ ก็ถึงกับพึงพอใจที่สินค้าล็อตแรกเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้มากนัก“สายเมฆเอ๊ย... ลุงกับป้าต้องขอบใจหนูจริง ๆ นะลูก” ศจีเอ่ยขึ้นมากลางวงขณะที่ทุกคนกำลังนั่งช่วยกันทำงานอยู่ “ถ้าไม่ได้หนูมาช่วยคิดช่วยทำ ป้าคงไม่ได้ลืมตาอ้าปากได้เร็วขนาดนี้หรอก”“เรื่องเล็กน้อยครับป้า” สายเมฆยิ้มตอบอย่างอบอุ่น หัวใจของเขาอ่อนยวบลงเมื่อเห็นแววตาซาบซึ้งของศจี “อย่าลืมสิครับลุงกับป้าคือคนช่วยชีวิตผมไว้นะครับ”“แล้วทำไมสายเมฆถึงได้รู้เรื่องอะไรมากมายอย่างนี้ล่ะลูก” ศจียังคงชวนคุยต่อด้วยความใคร่รู้“แม่คะ! ก็พี่สายเมฆเขาเคยบอกไว้แล้วไงคะว่าเขาเคยทำงานบริษัทฝรั่ง เขาก็ต้องมีความรู้สิคะ!” ข้าวหอมรีบชิงตอบแทนสายเมฆ เพราะไม่อยากให้แม่ซักไซ้มากไปกว่านี้ เธอกลัวว่าสายเมฆจะหลุดว่าย้อนเวลามาศจีพยักหน้าหงึก ๆ
รถสองแถวค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากท่ารถที่ตลาดช้า ๆ ทิ้งความจอแจไว้เบื้องหลัง รุจน์นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ท่าทางของเขาดูครุ่นคิดและเงียบผิดปกติ สายเมฆที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็นแววตาของรุจน์แล้ว ก็พอจะคาดเดาได้ว่าระหว่างรุจน์กับลำดวนคงมีเรื่องราวบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าคนรู้จักทั่วไป‘แล้วเราควรจะบอกข้าวหอมเรื่องนี้ดีไหมนะ? จะเป็นการยุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่นเกินไปรึเปล่า? หากมันไม่มีอะไรจริง ๆ จะกลายเป็นการทำให้น้าศจีต้องระแวงเปล่า ๆ รึเปล่า?’ สายเมฆคิดวนไปมาในหัวอย่างหนักใจ เขาพยายามพิจารณาถึงผลกระทบที่จะตามมา ก่อนจะตัดสินใจว่าเขายังจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้ อย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นคนนอก แต่ถ้าหากมีอะไรไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้นจริง ๆ เขาค่อยบอกข้าวหอมทีหลัง‘ช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าครอบครัวนี้ไม่กลับไปร่ำรวย เขาก็คงอดกลับสวรรค์น่ะสิ’ ความคิดเรื่องภารกิจกลับสวรรค์ผุดขึ้นมาในใจ ทำให้เขารู้สึกว่ามีความชอบธรรมที่จะสอดส่องและดูแลครอบครัวนี้ต่อไปเมื่อรถสองแถวมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน รุจน์กับสายเมฆก็ช่วยกันแบกข้าวของที่ซื้อมามากมายเดินกลับบ้าน แม้ของจะหนักและทางเดินจะค่อนข้าง
วันนี้ทั้งบ้านตื่นเช้าเป็นพิเศษ ตั้งแต่แสงแรกของอรุณรุ่ง ข้าวหอมช่วยศจีจัดเตรียมอาหารที่แม่ทำใส่กล่องข้าวอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้รุจน์และสายเมฆห่อติดตัวไปกินในเมืองตอนแรกข้าวหอมออกจะไม่เห็นด้วยนักกับการห่อข้าวไปกิน เธอรู้สึกว่ามันไม่สะดวกเอาเสียเลย การซื้อกินที่นั่นน่าจะดีกว่า ทั้งประหยัดเวลาและดูสบายกว่ากันเยอะ“พ่อคะ ตอนนี้เราก็พอมีเงินแล้วนี่คะ ทำไมเรายังจะต้องประหยัดขนาดนี้อีก? พ่อควรจะได้กินอะไรดีๆ ในเมืองบ้างนะคะ” ข้าวหอมเอ่ยถามด้วยความสงสัยรุจน์ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะสอนลูกสาวด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ข้าวหอม… ยามที่เรามี ก็ควรรู้จักเก็บหอมรอมริบเอาไว้บ้างนะลูก เผื่อวันหนึ่งข้างหน้าวันที่เราไม่มี จะได้ไม่ลำบาก อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัดเถอะ ใช้เงินอย่างรู้คุณค่า แล้ววันหน้าจะไม่เดือดร้อน”‘ยัยนี่ก็ยังไม่รู้จักคุณค่าของเงินอยู่ดีสินะ พอมีก็จะใช้อย่างเดียวเลย’ สายเมฆคิดในใจพลางแอบมองข้าวหอมก่อนจะเอ่ยสมทบคำพูดของรุจน์ “ที่พ่อพูดน่ะถูกแล้วข้าวหอม ตอนนี้เราเริ่มหาเงินได้ก็ต้องเก็บไว้ก่อน เราไม่รู้หรอกว่าที่ตากเนื้อแห้งของเราจะขายได้ไปอีกนานแค่ไหน สักระยะหนึ่งเราก็ต้องหาอย่างอื่นทำ อันไหนประหยั