รถสองแถวค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากท่ารถที่ตลาดช้า ๆ ทิ้งความจอแจไว้เบื้องหลัง รุจน์นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ท่าทางของเขาดูครุ่นคิดและเงียบผิดปกติ สายเมฆที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็นแววตาของรุจน์แล้ว ก็พอจะคาดเดาได้ว่าระหว่างรุจน์กับลำดวนคงมีเรื่องราวบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าคนรู้จักทั่วไป
‘แล้วเราควรจะบอกข้าวหอมเรื่องนี้ดีไหมนะ? จะเป็นการยุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่นเกินไปรึเปล่า? หากมันไม่มีอะไรจริง ๆ จะกลายเป็นการทำให้น้าศจีต้องระแวงเปล่า ๆ รึเปล่า?’ สายเมฆคิดวนไปมาในหัวอย่างหนักใจ เขาพยายามพิจารณาถึงผลกระทบที่จะตามมา ก่อนจะตัดสินใจว่าเขายังจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้ อย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นคนนอก แต่ถ้าหากมีอะไรไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้นจริง ๆ เขาค่อยบอกข้าวหอมทีหลัง ‘ช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าครอบครัวนี้ไม่กลับไปร่ำรวย เขาก็คงอดกลับสวรรค์น่ะสิ’ ความคิดเรื่องภารกิจกลับสวรรค์ผุดขึ้นมาในใจ ทำให้เขารู้สึกว่ามีความชอบธรรมที่จะสอดส่องและดูแลครอบครัวนี้ต่อไป เมื่อรถสองแถวมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน รุจน์กับสายเมฆก็ช่วยกันแบกข้าวของที่ซื้อมามากมายเดินกลับบ้าน แม้ของจะหนักและทางเดินจะค่อนข้างไกล แต่ทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะไม่เหน็ดเหนื่อย อาจเป็นเพราะการได้ตกลงจะทำการค้ากับเจ๊จวงทำให้ทั้งคู่ลืมความเหนื่อย พอมาถึงบ้าน ข้าวหอมและแม่ที่วันนี้ไม่ได้ออกไปทำนา ได้จัดเตรียม และแตงโมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำสีแดงสดไว้รอรับทั้งคู่แล้ว “พ่อขา เหนื่อยไหมคะ?” ข้าวหอมรีบถามด้วยความเป็นห่วง เธอเตรียมจะเข้าไปกอดพ่อด้วยความคิดถึง รุจน์เบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยอย่างสุภาพ “ข้าวหอม ตัวพ่อมีแต่ฝุ่นเต็มไปหมดเลยลูก เดี๋ยวพ่อไปอาบน้ำก่อนนะ” ข้าวหอมทำหน้ายู่เล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจที่ไม่ได้กอดพ่อ แต่ก็ยอมยกเหยือกน้ำเย็นมาให้พ่อดื่มแทน ศจีมองภาพสองพ่อลูกด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขในหัวใจ หลังจากรุจน์และสายเมฆอาบน้ำชำระร่างกายจนสดชื่นแล้ว ก็ออกมานั่งเล่าเรื่องราวที่ไปตลาดในเมืองมาให้ข้าวหอมกับศจีฟังอย่างออกรส พวกเขาเล่าถึงการได้พบกับเจ๊จวงเจ้าของร้านในตลาด และการตกลงที่จะทำการค้าขายที่ตากเนื้อแห้งกับเจ๊จวง ข้าวหอมและศจีได้ฟังก็ดีใจกันยกใหญ่ ที่จะได้มีช่องทางหารายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนทนาอย่างมีความสุขอยู่นั้น เสียงเครื่องยนต์ของรถเก๋งคันหนึ่งก็ดังขึ้น และมีรถเก๋งคันหรูมาจอดเทียบอยู่ตรงหน้าบ้าน รถยนต์เป็นของหายากในหมู่บ้านนี้ การมาของมันจึงดึงดูดสายตาของทุกคนให้หันไปมอง พร้อมกับมีผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อยืดรัดรูป กางเกงขาม้าที่ดูทันสมัยเกินกว่าจะเป็นชุดของสาวบ้านนอกทั่วไป ก็ได้เดินลงมาจากรถคันนั้นด้วยท่วงท่ามั่นใจ ‘โอ้โห! สาวชนบทยุค’ 70 นี่แต่งตัวดีขนาดนี้เชียวเรอะเนี่ย?’ ข้าวหอมมองการแต่งตัวของผู้หญิงคนนั้น แล้วพลันนึกถึงตอนที่เธอจัดงานปาร์ตี้ย้อนยุค’ 70 กับเพื่อน ๆ เสื้อผ้าแบบนี้มันล้ำเกินไปสำหรับคนชนบทรึเปล่านะ ‘ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวดีจริง อะไรจริง ว่าแต่... เธอมาบ้านเราทำไมกันนะ?’ ผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านหน้าข้าวหอมและศจีตรงไปหารุจน์ทันที สายเมฆที่กำลังกินแตงโมอยู่พยายามทำตัวไร้ตัวตนคอยสังเกตุเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น “พี่รุจน์... ลำดวนเอาของมาฝากค่ะ” น้ำเสียงหวานหยดย้อยชวนฟังของผู้หญิงคนนั้นเอ่ยทักทายรุจน์ พร้อมทั้งยื่นถุงของฝากที่ดูดีมีราคาให้เขา “ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้บอกก่อนว่าจะมา” ข้าวหอมมองภาพนั้นด้วยความแปลกใจ ‘เสียงก็เพราะ แต่ทำไมฉันรู้สึกว่ายัยนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ ถ้าเป็นยุคของฉัน ยัยนี่คงเป็นตัวอิจฉาขั้นเทพแน่ ๆ’ ‘แกล้งทำเป็นไม่เห็นฉันกับแม่เหรอ? รู้จักข้าวหอมตัวแสบน้อยเกินไปแล้ว!’ ข้าวหอมคิดในใจ พลางเดินเข้าไปเบียดแทรกตัวระหว่างลำดวนกับรุจน์อย่างจงใจ “สวัสดีค่ะคุณป้า” ข้าวหอมกล่าวทักทายลำดวนด้วยน้ำเสียงสุภาพกึ่งยียวน พร้อมเน้นคำว่า “ป้า” อย่างชัดเจน “หนูชื่อข้าวหอม เป็นลูกพ่อรุจน์นะคะ” ลำดวนหันมามองข้าวหอมด้วยแววตาไม่พอใจนักที่อยู่ ๆ ก็เดินมาเบียดเธอออกจากรุจน์ แถมยังเรียกเธอว่าป้าอีก แต่ถึงแม้จะรู้สึกหงุดหงิดแค่ไหน เธอก็ต้องฝืนยิ้มและทักทายข้าวหอมไป เพราะไม่อยากให้รุจน์รู้สึกไม่ดี “สวัสดีจ้ะ หนูข้าวหอม” ลำดวนตอบกลับ พร้อมเน้นคำว่า “น้า” เพื่อแก้ลำข้าวหอม “น้า ชื่อลำดวนจ้ะ เป็นคนสนิทของพ่อหนูไง” เธอจงใจเน้นคำว่า 'คนสนิท' เพื่อประกาศสถานะของตัวเองกับรุจน์ ข้าวหอมได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรง เธอหันไปหารุจน์ทันทีด้วยสีหน้าบึ้งตึง “พ่อคะ ทำไมหนูไม่เคยได้ยินชื่อของ ป้า คนนี้เลยคะ? แล้วพ่อไปสนิทกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?” รุจน์เห็นสถานการณ์กำลังจะตึงเครียดขึ้น เขาจึงเดินเข้ามาแตะบ่าข้าวหอมเบา ๆ เพื่อปลอบใจ “อืม... เคยสนิทกันนานมาแล้วลูก ตั้งแต่ก่อนที่พ่อจะเจอแม่หนูอีก” รุจน์พยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ก็แฝงความหนักแน่น “ที่หนูไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลกหรอกลูก เพราะตอนนี้ไม่ได้สนิทกันแล้วไง” คำพูดของรุจน์ทำให้ข้าวหอมที่กำลังอารมณ์เสียรู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อยและอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น สายเมฆที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด เขาสังเกตเห็นแววตาของลำดวนที่เต็มไปด้วยความโมโห และท่าทางของรุจน์ที่พยายามตัดบทอย่างชัดเจน ‘ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ลุงรุจน์พยายามเลี่ยงจริง ๆ ด้วย... แต่ดูท่าทางแล้วคงไม่จบง่าย ๆ’ สายเมฆคิดในใจพลางเหลือบมองข้าวหอมที่อารมณ์ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว รุจน์หันไปพูดกับลำดวนด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหิน “ลำดวน พี่ขอบใจมากสำหรับของฝากนะ แต่พอดีตอนนี้พี่มีธุระที่ต้องคุยกันในครอบครัว ไม่สะดวกต้อนรับแขกเท่าไหร่ ต้องขอโทษด้วยนะ” ลำดวนหน้าเสียทันทีเมื่อถูกรุจน์ปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า เธอฝืนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ แต่ก่อนจะขึ้นรถ เธอก็หันกลับมามองรุจน์อีกครั้งแล้วบอกว่า “เดี๋ยวลำดวนจะกลับมาเยี่ยมอีกนะคะ” ‘โอ้โห! พ่อเราช่างพูดไม่ไว้หน้ายัยลำดวนเลยแฮะ!’ ข้าวหอมเห็นรุจน์ปฏิเสธลำดวนอย่างเด็ดขาดก็พลันนึกถึงชาติก่อน ที่พ่อของเธอถูกสาว ๆ สวย ๆ มากมายยื่นใบสมัครขอเป็น "เด็กในสังกัด" แต่ก็มักจะโดนพ่อปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน เมื่อนึกได้แบบนี้ เธอก็รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่งว่าพ่อในชาตินี้ของเธอก็คงจะไม่นอกใจแม่อย่างแน่นอน เมื่อลำดวนขับรถจากไปแล้ว ข้าวหอมทำท่าจะเอ่ยปากถามพ่อถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้น แต่สายเมฆเห็นเข้าเสียก่อน เขาจึงรีบดึงแขนข้าวหอมเบี่ยงออกมาจากตรงนั้นทันที โดยอ้างว่าจะให้ไปช่วยดูอุปกรณ์สำหรับทำที่ตากเนื้อแห้งที่เพิ่งซื้อมาจากในเมือง “พี่สายเมฆจะดึงแขนข้าวหอมออกมาทำไมเนี่ย!” ข้าวหอมพูดกับสายเมฆด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะ “ข้าวหอมกำลังจะถามพ่อเรื่องผู้หญิงคนนั้นพอดีเลยนะ!” “ข้าวหอมไม่เห็นสีหน้าของพ่อข้าวหอมรึไง” สายเมฆหันมามองข้าวหอมด้วยสายตาจริงจัง “ข้าวหอมไม่คิดว่าเวลานี้ควรเป็นเวลาที่พ่อกับแม่ต้องปรับความเข้าใจกันเองรึยังไง? เราออกมาแหละดีที่สุดแล้ว” ข้าวหอมได้ฟังเหตุผลของสายเมฆก็อารมณ์เย็นลงทันที เธอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะนั่งเหม่อมองไปข้างหน้าพักหนึ่ง ความสงสัยยังคงกัดกินในใจ เธอหันกลับมาถามสายเมฆด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ “พี่สายเมฆ... พี่ว่าพ่อกับผู้หญิงคนนั้นรู้จักกันได้ยังไงคะ? ทั้งสองคนดูแตกต่างกันมากเลยนะ” “เขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กน่ะ” สายเมฆตอบอย่างใจเย็น “แล้วก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิต ตอนนี้คุณลำดวนเขากลับมาเยี่ยมบ้านน่ะ” “อ๋อ...” ข้าวหอมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะแล่นเข้ามาในหัว เธอจ้องหน้าสายเมฆอย่างจับผิด “แต่เดี๋ยวนะพี่สายเมฆ! พี่รู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นคนในหมู่บ้าน!?” ข้าวหอมคาดคั้นเสียงสูง เมื่อถูกจับได้ สายเมฆจึงได้เล่าเรื่องที่เขาเจอลำดวนที่ตลาด และได้ยินชื่อเธอจากเพื่อนของลำดวนให้ข้าวหอมฟังตั้งแต่ต้นจนจบ “งั้นก็อาจเป็นคนรักเก่าพ่อก็ได้เนอะ” ข้าวหอมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เธอไม่รู้ว่าในยุคนี้ความสัมพันธ์ของผู้ชายกับผู้หญิงมันเปิดกว้างแค่ไหน และเรื่องราวความรักในอดีตของผู้ใหญ่เป็นอย่างไร แต่ถ้าจากยุคที่เธอจากมา การที่คนรักเก่ากลับมาเจอกันแล้วสปาร์คกันอีกครั้งจนถึงขั้นต้องไปหย่ากับคู่ของตัวเองนั้นมีให้เห็นเกลื่อนกลาด บางทีก็มีทะเลาะกันจนได้ออกรายการข่าวก็ยังมี ถึงแม้เธอจะเชื่อมั่นในตัวพ่อของเธอว่าจะไม่วอกแวก แต่บางทีถ้าบรรยากาศและสถานการณ์เป็นใจ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เธอเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง “พี่สายเมฆ... พี่เคยมีแฟนไหม?” ข้าวหอมถามขึ้นมาทันที เพราะเธออยากรู้ความรู้สึกของผู้ชายในสถานการณ์แบบนี้ เธอกลัวว่าพ่อของเธอจะยังรักลำดวนอยู่ลึก ๆ “แล้วถ้าพี่กับแฟนห่างกันไปนาน ๆ แล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง พี่จะยังรู้สึกกับเขาอยู่ไหมคะ?” ‘เหอะ... มีความรักเหรอ?’ สายเมฆพึมพำในใจอย่างขมขื่น ‘ชั้นจะไปมีได้ยังไงล่ะ? ชั้นเล่นซนหน่อยเดียวก็โดนขังในกรอบรูปนั้นตั้งหลายสิบปี พอให้พรแม่ของเธอเสร็จก็โดนถอดพลังวิเศษ ส่งมาอยู่โลกมนุษย์กับเธอนี่ไง’ เขาคิดในใจอย่างอดโมโหไม่ได้ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติและตอบข้าวหอมไปว่า “พี่ไม่เคยมีความรักน่ะ” ข้าวหอมมองหน้าสายเมฆอย่างไม่เชื่อคำพูด “ไม่เชื่อหรอก! อย่างพี่เนี่ยนะไม่เคยมีแฟน? ก่อนย้อนเวลามาก็ไม่มีเหรอ?” “ไม่มี” สายเมฆตอบสั้น ๆ “โห! พี่นี่ใช้ความหล่อไม่คุ้มเอาซะมาก ๆ เลยนะ” ข้าวหอมแซวเสียงสูง ดวงตาเป็นประกายด้วยความอยากแกล้ง “พี่รู้ปะ หน้าตาแบบพี่ หุ่นแบบพี่นะ ถ้าเจอเพื่อนในแก๊งข้าวหอมนี่แทบจะแย่งกันจีบพี่เลยน้า ข้าวหอมเสียดายความหล่อพี่จริง ๆ!” สายเมฆก้มหน้างุด ใบหูแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ข้าวหอมเห็นแล้วก็หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางพูดกับตัวเองเบา ๆ ‘เชื่อแล้วว่าไม่เคยมีแฟน โดนแซวแค่นี้แก้มแดงเป็นลูกตำลึงสุกเชียว’ “แล้วพี่สายเมฆว่า... ยัยป้าลำดวนนั่นจะทำให้พ่อกับแม่ผิดใจกันไหมคะ? เห้อ... เทพเทวดาก็เหลือเกินเชียว ชีวิตฉันกำลังจะดี ดันส่งยัยป้านั่นมาอีก!” สายเมฆสะดุ้งเล็กน้อย ‘ยัยบ้า! เธอกำลังด่าชั้นอยู่นะ!’ เขานึกในใจ ก่อนจะปรับสีหน้าให้จริงจังและตอบข้าวหอมไปว่า “ถ้าพ่อกับแม่เธอรักและเข้าใจกันดี กี่สิบลำดวนก็ไม่สามารถทำอะไรให้ผิดใจกันได้หรอก แต่ถ้าเขาไม่ได้รักกันแล้ว ไม่ต้องมีลำดวนก็มีปัญหาอยู่ดี” ข้าวหอมได้ยินคำตอบที่ตรงไปตรงมาของสายเมฆก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะมันคือความจริงที่เธอเองก็รู้ดี ทางด้านรุจน์กับศจี หลังจากสายเมฆพาข้าวหอมเดินเลี่ยงออกไปแล้ว รุจน์ก็เดินเข้าไปกุมมือศจีอย่างอ่อนโยน เขารู้ดีว่าภรรยาต้องได้ยินทุกคำพูดที่ลำดวนกล่าว และคงมีความรู้สึกบางอย่างในใจ “ลำดวนกับผมเคยคบกันน่ะศจี” รุจน์เริ่มต้นอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและจริงใจ “แต่ต่อมาที่บ้านเขาอยากให้แต่งงานกับเถ้าแก่ในเมือง เราก็เลยเลิกกันไป วันนี้ผมไปตลาด เจอเขาที่แวะซื้อขแงกลับมาดยี่ยมบ้านพอดี” และรุจน์ก็เล่า้หตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ศจียิ้มบาง ๆ แล้วบีบมือรุจน์เบา ๆ เป็นเชิงปลอบโยน “คุณ... จริง ๆ คุณไม่ต้องอธิบายเรื่องนี้กับฉันก็ได้” เธอมองเข้าไปในดวงตาของสามีด้วยความรักและความเข้าใจ “เราอยู่กันมาจนลูกโตแล้ว คุณคิดยังไงทำไมฉันจะดูไม่ออก อย่าห่วงเลย เรื่องคุณลำดวนฉันไม่คิดอะไรเลยจริง ๆ ค่ะ” รุจน์โล่งใจเป็นอย่างมากที่ไม่ได้ทำให้ศจีต้องรู้สึกไม่สบายใจหรือเข้าใจผิดในเรื่องนี้ ความรักและความเชื่อใจที่ภรรยามีให้ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขาสัญญากับตัวเแงว่าจะไม่มีวันทำลายความเชื่อใจของภรรยาลงเด็ดขาด“ได้ของมาแล้วใช่ไหม? คิดว่าจะทำตามได้ไหม?” ลำดวน ถาม เข้ม ลูกน้องคนสนิทด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแฝงความไม่พอใจ หากคำตอบที่ได้ยินไม่เป็นไปตามที่เธออยากฟัง“ได้มาแล้วครับคุณลำดวน” เข้มตอบรับเสียงหงอย พลางก้มหน้าส่งที่ตากเนื้อแห้งที่ซื้อมาเป็นตัวอย่างให้ลำดวนดูอย่างระมัดระวัง “กำลังให้คนงานลองแกะดูอยู่ครับ ดูแล้วน่าจะทำตามได้ไม่ยากขอรับ”ลำดวนไม่ได้สนใจที่จะมองดูตัวอย่างสินค้านั้นเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างไร้อารมณ์ เธอเพียงแต่กำชับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ดี! ทำให้เร็วที่สุด และมากที่สุด! ฉันต้องการให้เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์” ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เข้มยืนงุนงงอยู่เพียงลำพังเข้มมองตามแผ่นหลังเจ้านายของเขาด้วยความงุนงง ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เดิมทีเขาเป็นคนดูแลกิจการให้กับนายใหญ่ผู้ล่วงลับ ซึ่งก็คือสามีของลำดวน แต่เมื่อนายใหญ่เสียชีวิต มรดกทุกอย่างก็ตกเป็นของลำดวนทั้งหมด เมื่อลำดวนกลับมาที่บ้านเกิดเขาก็ถูกลำดวนเรียกตัวมาใช้งานต่อทันทีครั้งนี้ลำดวนสั่งให้เขาไปสืบมาว่าที่บ้านของรุจน์กำลังจัดงานฉลองอะไร พอรู้ว่ารุจน์เริ่มทำสินค้าส่งให้เจ๊จวงที่ตลา
วันนี้เป็นวันที่ห้าของการทำงาน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ใต้ถุนบ้าน สินค้าที่ทุกคนช่วยกันทำอย่างขยันขันแข็งก็ใกล้จะครบจำนวนที่ต้องส่งในล็อตแรกแล้ว ข้าวหอมมองเห็นความสำเร็จอยู่รำไร จึงเอ่ยเสนอขึ้นมากลางวง “นี่! หลังจากที่เราส่งสินค้าล็อตแรกให้เจ๊จวงแล้ว พวกเราควรมีการฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ กันไหมคะ? ทำอะไรอร่อย ๆ กินกันตอนเย็น ให้ธงกับแก้วชวนป้าแจ่มกับลุงเพิ่มมาด้วยเลย!”ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามด้วยในทันที ใบหน้าของแต่ละคนเปื้อนยิ้มด้วยความยินดี พร้อมทั้งรับปากว่าจะนำอาหารมาร่วมฉลองด้วยอย่างแน่นอน บรรยากาศของการทำงานในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความสุขและความกระตือรือร้น เพราะทุกคนต่างมีเป้าหมายร่วมกัน และอดใจรอช่วงเวลาแห่งการฉลองไม่ไหวเมื่อทำสินค้าชิ้นสุดท้ายจนครบตามจำนวน สายเมฆได้ขอให้ทุกคนช่วยทำเพิ่มอีกขนาดละสามอัน “กันไว้ดีกว่าแก้นะครับ” เขากล่าว “เผื่อมีเสียหายระหว่างขนส่ง หรือมีอันไหนไม่ได้มาตรฐาน จะได้ไม่ต้องกังวล” ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยทำต่ออย่างไม่ปริปากบ่นเมื่อสินค้าสำรองเสร็จเรียบร้อย รุจน์ก็เล่าแผนการในวันพรุ่งนี้ว่า “พรุ่งนี้พ่อจะไปหาเหมารถสองแถว เพื่อเอาของไปส่งให้เจ๊จ
หลังจากที่ป้าแจ่มและเจ้าธงกลับไปแล้ว รุจน์และสายเมฆก็เริ่มปรึกษาหารือกันเรื่องสถานที่ที่จะใช้เป็นโรงงานผลิตที่ตากเนื้อแห้งชั่วคราว ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่า ใต้ถุนบ้าน นี่แหละคือจุดที่เหมาะสมที่สุด ด้วยความที่เป็นใต้ถุนยกสูง ลมพัดโกรกสบาย ทำให้ทำงานได้โดยไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวศจีเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรทำห้องเก็บของไว้ใต้ถุนด้วย จะได้ไม่ต้องขนข้าวของขึ้นลงไปเก็บข้างบนให้ยุ่งยาก ข้าวหอมเองก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยปรับปรุงสถานที่และสร้างห้องเก็บของขนาดกะทัดรัดให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะถึงวันนัดหมายสำคัญเมื่อวันนัดมาถึง กลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงบ้านข้าวหอมคือ เจ้าธง แซม และสาลี่ผู้เป็นแม่ของแซม ทั้งสามคนดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน พวกเขาหิ้วตะกร้าใส่ส้มและกล้วยมาด้วย เพื่อเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนที่ได้รับโอกาสในการทำงาน เจ้าธงผู้ร่าเริงและเข้ากับคนง่าย รับหน้าที่แนะนำแซมและสาลี่ให้ทุกคนในบ้านรู้จัก แซมดูขัดเขินเล็กน้อย พูดน้อย ไม่ต่างจากสาลี่ผู้เป็นแม่ที่ค่อนข้างจะเรียบร้อยและเงียบเช่นกันศจีผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปชวนสาลี่คุย เพื่อสร้างความรู้สึกคุ
หลังจากที่ส่งมอบที่ตากเนื้อแห้งล็อตสุดท้ายให้แก่ลุงเพิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สายเมฆกับรุจน์ก็พากันนำตัวอย่างสินค้าชุดใหม่สำหรับเจ๊จวงไปให้ดูที่ตลาดในเมืองทันที ส่วนทางด้านศจีที่อยู่บ้านก็เริ่มภารกิจสำคัญ นั่นคือการพยายามหาคนที่ไว้ใจได้และมีฝีมือดีมาช่วยงานที่ตากเนื้อแห้งตามแผนที่สายเมฆวางไว้ขณะที่ศจีกำลังครุ่นคิดและกลุ้มใจว่าจะไปหาใครที่เหมาะสมได้จากที่ไหน ทันใดนั้น เจ้าธง หลานชายของป้าแจ่ม ก็เดินแบกถังใส่ข้าวสารใบใหญ่มาที่บ้าน ศีรษะมีเหงื่อซึมตามไรผม บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า ข้าวสารในถังนั้นคือค่าตอบแทนที่สายเมฆช่วยเข็นข้าวเปลือกไปสีที่โรงสีเมื่อหลายวันก่อน ศจีมองเห็นเจ้าธงแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนี้ดูมีหน่วยก้านดี ร่างกายแข็งแรง และเป็นคนขยันขันแข็ง เธอจึงตัดสินใจเอ่ยถามขึ้น“เจ้าธง... ระหว่างรอเกี่ยวข้าวที่นา มีอะไรทำรึเปล่าลูก?”เจ้าธงยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบ 32 ซี่ พลางเกาหัวอย่างเขิน ๆ “ก็ว่าจะเข้าไปหางานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเมืองจ้ะน้า อยู่ที่บ้านก็ไม่มีงานอะไรทำ ว่าง ๆ ก็เบื่อเหมือนกัน”ศจีจึงถือโอกาสนี้ชวนทันที “พอดีเลย... บ้านน้ากำลังต้องการคนช่วย น้าต้องทำที่ตากเนื้อ
นับจากวันที่ได้อุปกรณ์ครบ ทุกคนก็เริ่มลงมือทำที่ตากเนื้อแห้งกันอย่างขยันขันแข็ง และเนื่องจากสายเมฆได้วางแผนงานไว้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขนาดของโครงไม้ไปจนถึงการตัดผ้าตาข่ายขนาดต่าง ๆ ทำให้แต่ละคนสามารถแบ่งหน้าที่กันทำได้อย่างรวดเร็ว งานจึงคืบหน้าไปได้มากจนน่าตกใจ ลุงเพิ่มเจ้าของร้านชำที่แวะเวียนมาดูความคืบหน้าอยู่บ่อย ๆ ก็ถึงกับพึงพอใจที่สินค้าล็อตแรกเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้มากนัก“สายเมฆเอ๊ย... ลุงกับป้าต้องขอบใจหนูจริง ๆ นะลูก” ศจีเอ่ยขึ้นมากลางวงขณะที่ทุกคนกำลังนั่งช่วยกันทำงานอยู่ “ถ้าไม่ได้หนูมาช่วยคิดช่วยทำ ป้าคงไม่ได้ลืมตาอ้าปากได้เร็วขนาดนี้หรอก”“เรื่องเล็กน้อยครับป้า” สายเมฆยิ้มตอบอย่างอบอุ่น หัวใจของเขาอ่อนยวบลงเมื่อเห็นแววตาซาบซึ้งของศจี “อย่าลืมสิครับลุงกับป้าคือคนช่วยชีวิตผมไว้นะครับ”“แล้วทำไมสายเมฆถึงได้รู้เรื่องอะไรมากมายอย่างนี้ล่ะลูก” ศจียังคงชวนคุยต่อด้วยความใคร่รู้“แม่คะ! ก็พี่สายเมฆเขาเคยบอกไว้แล้วไงคะว่าเขาเคยทำงานบริษัทฝรั่ง เขาก็ต้องมีความรู้สิคะ!” ข้าวหอมรีบชิงตอบแทนสายเมฆ เพราะไม่อยากให้แม่ซักไซ้มากไปกว่านี้ เธอกลัวว่าสายเมฆจะหลุดว่าย้อนเวลามาศจีพยักหน้าหงึก ๆ
รถสองแถวค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากท่ารถที่ตลาดช้า ๆ ทิ้งความจอแจไว้เบื้องหลัง รุจน์นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ท่าทางของเขาดูครุ่นคิดและเงียบผิดปกติ สายเมฆที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็นแววตาของรุจน์แล้ว ก็พอจะคาดเดาได้ว่าระหว่างรุจน์กับลำดวนคงมีเรื่องราวบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าคนรู้จักทั่วไป‘แล้วเราควรจะบอกข้าวหอมเรื่องนี้ดีไหมนะ? จะเป็นการยุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่นเกินไปรึเปล่า? หากมันไม่มีอะไรจริง ๆ จะกลายเป็นการทำให้น้าศจีต้องระแวงเปล่า ๆ รึเปล่า?’ สายเมฆคิดวนไปมาในหัวอย่างหนักใจ เขาพยายามพิจารณาถึงผลกระทบที่จะตามมา ก่อนจะตัดสินใจว่าเขายังจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้ อย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นคนนอก แต่ถ้าหากมีอะไรไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้นจริง ๆ เขาค่อยบอกข้าวหอมทีหลัง‘ช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าครอบครัวนี้ไม่กลับไปร่ำรวย เขาก็คงอดกลับสวรรค์น่ะสิ’ ความคิดเรื่องภารกิจกลับสวรรค์ผุดขึ้นมาในใจ ทำให้เขารู้สึกว่ามีความชอบธรรมที่จะสอดส่องและดูแลครอบครัวนี้ต่อไปเมื่อรถสองแถวมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน รุจน์กับสายเมฆก็ช่วยกันแบกข้าวของที่ซื้อมามากมายเดินกลับบ้าน แม้ของจะหนักและทางเดินจะค่อนข้าง