แชร์

บทที่ 9 ร่วมมือร่วมใจ

ผู้เขียน: Just W.
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-01 09:39:13

เมื่ออุปกรณ์พร้อม ข้าวหอมกับสายเมฆก็เริ่มวางแผนการทำงาน สายเมฆมอบหมายให้ข้าวหอมตัดผ้าตาข่ายตามขนาดที่เขากำหนด ส่วนตัวเองก็ลงมือทำโครงไม้ไผ่ขนาดต่าง ๆ ตามคำสั่งซื้อ

ทั้งสองตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้นจนใกล้เวลาที่ศจีและรุจน์จะกลับจากทุ่งนา สายเมฆจึงบอกให้ข้าวหอมพักมือและช่วยเตรียมอาหารเย็น

เสียงน้ำจากก๊อกเก่าดังแผ่วเป็นจังหวะ ขณะข้าวหอมก้มล้างผักในอ่างสังกะสี สายเมฆเดินเข้ามาพร้อมเนื้อแดดเดียวที่ตากไว้ตั้งแต่เช้า

“วันนี้เรากินเนื้อทอด ผัดผัก แล้วก็ไข่ต้มนะ” สายเมฆเริ่มจัดเตรียมอาหาร

“แค่นี้ก็ดีมากแล้วล่ะ…” ข้าวหอมเอ่ยกับสายเมฆพลางปลุกใจตัวเองว่า ‘อดทนหน่อยนะข้าวหอม ต่อไปเธอจะต้องได้กินของดี ๆ คิดเสียว่าตอนนี้เป็นแค่ความฝัน’

สายเมฆจุดเตาถ่านอย่างคล่องแคล่ว มือเรียวหยิบเนื้อลงกระทะ กลิ่นหอมของเนื้อทอดลอยแตะจมูกทันที

ส่วนข้าวหอมมีหน้าที่แค่ปอกเปลือกไข่ต้ม เพราะสายเมฆเกรงว่าถ้าให้ทำมากกว่านี้เดี๋ยวไฟจะไหม้บ้านเอาอีก

เมื่อสายเมฆทำอาหารเสร็จสักพัก ทั้งคู่ก็ช่วยกันจัดโต๊ะเพื่อรอพ่อกับแม่กลับจากทุ่งนา

โต๊ะอาหารเล็ก ๆ ถูกเช็ดจนสะอาด มีเพียงจานเก่า ๆ กับชามบิ่นวางเรียงราย กับข้าวทุกอย่างอาจดูธรรมดา แต่สำหรับสภาพบ้านตอนนี้ แค่นี้ก็ถือว่าดีเยี่ยมแล้ว

ศจีและรุจน์กลับมาถึงบ้านช้าไปเล็กน้อย แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้หัวใจของทั้งคู่พองโต ข้าวหอมกับสายเมฆจัดเตรียมอาหารเย็นรอไว้อย่างเรียบร้อย หากเป็นเมื่อก่อน ลูกสาวคนนี้คงงอแงบ่นหิวและเร่งให้ศจีรีบทำกับข้าวให้

แต่มาวันนี้ ข้าวหอมกลับเป็นคนจัดเตรียมอาหารรอคอย ศจีแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ด้วยความตื้นตันใจ

“ข้าวหอมทำไมไม่กินก่อนล่ะลูก รอแม่แบบนี้หิวแย่เลย สายเมฆก็เหมือนกัน คราวหน้ากินก่อนป้าได้เลยนะ” ศจีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรค่ะแม่ กินกันสองคนมันไม่อร่อยหรอกค่ะ ต้องกินพร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่สิถึงจะอร่อย”

ทันทีที่พูดจบ ข้าวหอมก็รู้สึกสะกิดใจขึ้นมา ความทรงจำจากชาติที่แล้วที่เธอเคยมีฐานะร่ำรวย กินหรูอยู่สบายผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ตอนนั้น การได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่เป็นเรื่องที่ต้องรอโอกาสพิเศษ เพราะต่างคนต่างไม่มีเวลาให้กันมากพอ พอย้อนเวลากลับมา แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเดิม แต่เธอกลับได้กินข้าวพร้อมกับครอบครัวทุกวัน

‘อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นข้อดีของการย้อนเวลากลับมาสินะ… ฉันจะตักตวงความสุขและช่วงเวลาดีๆ กับพ่อและแม่เพื่อชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปให้ได้มากที่สุด’ ข้าวหอมตั้งมั่นอยู่ในใจ

หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ข้าวหอมกับศจีก็ช่วยกันวัดขนาดของผ้าตาข่าย ส่วนรุจน์และสายเมฆก็ร่วมแรงร่วมใจทำโครงจากไม้ไผ่อยู่บริเวณชานบ้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความร่วมมือและเสียงหัวเราะเบา ๆ

ทั้งหมดพูดคุยถึงแผนงานที่จะทำต่อ

“เดี๋ยวพรุ่งนี้น่าจะทำเสร็จครบหมดสำหรับชาวบ้านที่สั่งไว้ครับ” สายเมฆมองดูผลงานที่กองอยู่ด้วยแววตาปลื้มใจ “ลองคำนวณดูแล้วน่าจะได้กำไรประมาณ 250 บาทครับ”

“สองร้อยห้าสิบบาทเลยเหรอ!” รุจน์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างไม่เชื่อหู “ลุงกับป้าทำนาได้แค่คนละ 15 บาทต่อวันเองนะ”

“ใช่ค่ะพ่อ! ข้าวหอมเก่งใช่มั้ยคะ” ข้าวหอมยิ้มภูมิใจ

รุจน์ลูบศีรษะข้าวหอมเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู แล้วหันไปถามสายเมฆต่อ “แล้วนี่ทำให้ชาวบ้านเสร็จแล้ว จะทำต่อหรือเปล่า”

“ผมมีแผนว่าจะลองทำขายที่หมู่บ้านข้าง ๆ ด้วยครับ แล้วก็ทำอีกส่วนไปฝากขายที่ตลาดในเมืองด้วย” สายเมฆเล่าแผนงานของเขาให้รุจน์ฟังอย่างกระตือรือร้น

“แต่ว่าผมอาจจะต้องรบกวนคุณลุงพาผมไปตลาดในตัวเมืองด้วยนะครับ การซื้ออุปกรณ์จากในเมืองน่าจะช่วยลดต้นทุนลงได้อีก”

“ได้สิ” รุจน์รับปากทันทีว่าจะพาสายเมฆเข้าเมืองในอีกสองวันข้างหน้า เนื่องจากเขายังต้องไปช่วยทำนาให้ป้าแจ่มอีกสองวัน

“รุจน์ รุจน์เอ้ย อยู่รึเปล่า” เสียงเรียกรุจน์ออกมาจากรั้วนอกบ้าน

“ใครกันมาเอาซะป่านนี้” เสียงพึมพำแผ่วเบาของศจีหลุดออกมาขณะที่เธอชะเง้อมองออกไปยังความมืดนอกชานบ้าน

รุจน์เดินลงไปที่ประตูรั้ว ไม่นานนัก รุจน์ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับลุงเพิ่มที่เดินตามเข้ามาบนเรือนด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี ข้าวหอมและสายเมฆรีบยกมือไหว้สวัสดีตามธรรมเนียม

“ข้าวหอม ลุงเพิ่มเขาอยากมาเห็นที่ตากเนื้อแห้งน่ะลูก” รุจน์บอกข้าวหอม

ลุงเพิ่มเดินตรงเข้ามาพิจารณาอุปกรณ์ที่กำลังทำอยู่ สายตาของเขากวาดมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน พร้อมรอยยิ้มพึงพอใจประดับบนใบหน้า

“วันนี้พวกที่ไปทำนากลับมาพูดถึงที่ตากเนื้อแห้งกันใหญ่ มาถามว่าร้านลุงมีไหม ลุงเลยอยากมาดูให้เห็นกับตาว่ามันเป็นยังไง” ลุงเพิ่มเอ่ยพลางหยิบที่ตากเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งขึ้นมาพลิกดูในมือ

“ตารุจน์ ของพวกนี้ถ้าร้านฉันสั่ง แกพอจะทำให้ได้ไหม” ลุงเพิ่มหันไปถามรุจน์ด้วยความสนใจ

“ต้องถามพวกเด็ก ๆ โน่น พวกเขาเป็นคนคิดน่ะ ข้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอก” รุจน์ตอบพลางโบกมือไปทางข้าวหอมกับสายเมฆ

ลุงเพิ่มหรี่ตามองข้าวหอมอย่างพินิจพิจารณา ‘ยัยหนูข้าวหอมไม่ได้โกหกจริงด้วย ทั้งหมดเธอคิดกับหลานชายคนนั้นจริง ๆ แบบนี้ข่าวลือที่ว่าข้าวหอมตั้งแต่ฟื้นมาดูแปลก ๆ ไปก็น่าจะจริงสินะ แต่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็ถือว่าเป็นบุญของรุจน์กับศจีมันล่ะ’ ความคิดแล่นเข้ามาในหัวของลุงเพิ่ม

“ข้าวหอม ว่าไงลูก พอจะทำให้ลุงเขาได้ไหม” ศจีถามข้าวหอมด้วยน้ำเสียงคาดหวัง

“ได้ค่ะ แต่ลุงเพิ่มต้องสั่งไม่ต่ำกว่า 100 อันนะคะ แล้วข้าวหอมจะขายให้ในราคาพิเศษ แต่ถ้าไม่ถึง 100 อัน ข้าวหอมจะขายให้ในราคาที่ขายให้ชาวบ้านค่ะ” ข้าวหอมตอบลุงเพิ่มอย่างมั่นใจ เธออธิบายโดยใช้หลักการขายปลีกกับขายส่งที่คุ้นเคยในยุคที่เธอจากมา

สายเมฆมองข้าวหอมด้วยความพอใจ แววตาของเขามีประกายแห่งความทึ่งเล็กน้อย ‘อย่างน้อยยัยบ้านี่ก็ฉลาดอยู่บ้าง รู้จักขายให้ได้ปริมาณมาก ๆ’ เขาคิดในใจ

ส่วนลุงเพิ่มเมื่อคิดคำนวณดูแล้วเห็นว่าตอนนี้ที่ตากเนื้อแห้งของข้าวหอมกำลังเป็นที่พูดถึง อีกทั้งยังมีเสียงเรียกร้องจากลูกค้าที่เข้ามาถามหาที่ร้านของเขา การสั่ง 100 อัน น่าจะขายออกได้ไม่ยาก เลยตกลงกับข้าวหอมในที่สุด

เมื่อตกลงราคาและขนาดของแต่ละแบบเสร็จ สายเมฆก็เสนอให้มีการเซ็นสัญญากัน เพื่อความชัดเจนและเป็นหลักประกันให้กับทั้งสองฝ่าย

ศจีเห็นว่าเป็นคนกันเอง ไม่จำเป็นต้องเซ็นก็ได้ แต่ลุงเพิ่มกลับเห็นด้วยกับสายเมฆ “เซ็นก็ดี เป็นหลักประกันทั้งสองฝ่าย ข้าก็จะได้ไม่ต้องกลัวว่ายัยหนูจะโกงข้าด้วย” ลุงเพิ่มพูดติดตลก

เมื่อเซ็นสัญญาเสร็จเรียบร้อย ลุงเพิ่มก็ยื่นเงินจำนวนหนึ่งพันบาทให้ข้าวหอมเพื่อเป็นมัดจำครึ่งหนึ่ง

“พ่อ! ดูสินี่มันพันบาทเชียวนะ!” ศจีหยิบธนบัตรห้าร้อยบาทสองใบในมือมาดูด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นและดีใจระคนไม่คุ้นชิน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้จับเงินจำนวนมากขนาดนี้

‘แม่ขา… เมื่อก่อนเงินแค่นี้คือเงินที่แม่ให้ทิปเด็กนะคะ’ ข้าวหอมมองแม่และนึกในใจ รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า เธอรู้สึกยินดีที่อย่างน้อยในวันนี้ก็ทำให้แม่มีความสุขได้มากขนาดนี้

หลังจากลุงเพิ่มเดินทางกลับไป ทุกคนก็เริ่มปรึกษาหารือกันอีกครั้ง บรรยากาศบนชานบ้านเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและเสียงพูดคุยแผ่วเบาภายใต้แสงจันทร์ เมื่อพิจารณาจากจำนวนที่ลุงเพิ่มสั่ง พวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่าการวางแผนขายที่หมู่บ้านข้าง ๆ อาจจะต้องพักไปก่อนในตอนนี้ เพื่อเร่งผลิตสินค้าให้กับลุงเพิ่มให้ทันตามกำหนด

ข้าวหอมเอ่ยขอให้พ่อกับแม่หยุดรับจ้างทำนาเพื่อมาช่วยเร่งงาน แต่ศจีและรุจน์กลับให้เหตุผลว่าการไปรับจ้างทำนาไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเงินทองเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่บางครั้งขาดแคลนแรงงานจริง ๆ ถ้าพ่อกับแม่ไม่ไปช่วย คนงานในนาก็จะลดน้อยลง ทำให้งานล่าช้า

ท้ายที่สุด ทุกคนก็ได้ข้อสรุปที่ลงตัวว่าพ่อกับแม่จะไปช่วยเฉพาะนาของบ้านที่สนิทสนมกัน หรือบ้านที่ขาดแคลนคนงานจริง ๆ เท่านั้น เพื่อที่พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนักมากนัก และก็จะได้ช่วยผลิตสินค้าให้ลุงเพิ่มด้วย

ทั้งหมดปรึกษาหารือกันจนดึกดื่น ข้าวหอมจึงเอ่ยกับพ่อและแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหลืออีกไม่กี่อันแล้วค่ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่เข้านอนก่อนก็ได้นะคะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ที่เหลือหนูกับพี่สายเมฆจะทำต่อเอง”

ศจีกับรุจน์ซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันจากการทำนาและงานที่บ้าน มองหน้ากันด้วยแววตาซาบซึ้งใจ ก่อนจะขอตัวเข้านอน

ในห้องนอนที่มืดสลัว ศจีพลิกตัวเข้าหารุจน์พร้อมกับถอนหายใจแผ่วเบา “พ่อว่าชีวิตเราจะดีขึ้นเหมือนที่ยัยหนูบอกจริง ๆ ใช่ไหม” น้ำเสียงของเธอเจือด้วยความหวังและความไม่แน่ใจเล็กน้อย

รุจน์ยิ้มอ่อนโยนในความมืด ก่อนจะตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น “ต้องดีขึ้นสิ ศจี… พวกเราร่วมมือร่วมใจกันขนาดนี้ มันจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”

คำพูดของเขาเป็นเหมือนพลังใจที่หล่อเลี้ยงความหวังของศจี แล้วทั้งคู่ก็หลับไปในที่สุด พร้อมกับความฝันถึงวันพรุ่งนี้ที่สดใสกว่าเดิม

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 29 การตัดสินใจสุดท้าย

    หลังจากเปิดร้านในกรุงเทพฯ ได้เพียงสามปี ร้านเสื้อผ้าของข้าวหอ ก็โด่งดังในหมู่ชนชั้นสูงอย่างรวดเร็ว จนเธอต้องขยายสาขาเพิ่มอีกสามแห่ง รวมถึงมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชื่อดังอีกด้วยส่วนโรงงานที่รุจน์และศจี พ่อแม่ของเธอดูแลก็ขยายใหญ่โต จนต้องซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้างโรงงานใหม่ ส่วนโรงงานเดิมถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นที่ผลิตเสื้อผ้าสำหรับร้านของ แก้ว ซึ่งตอนนี้ได้แต่งงานกับธงแล้วข้าวหอมกลายเป็นสาวเนื้อหอมประจำเมืองหลวง ทั้งจากรูปร่างหน้าตา กิริยาวาจาที่งดงาม และรสนิยมการแต่งกายอันโดดเด่น ภาพของเธอปรากฏตามหน้านิตยสารและหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงข่าวซุบซิบเรื่องหนุ่มไฮโซ ดารา ที่พากันมาขายขนมจีบเธอไม่ขาดสายสายเมฆมองดูความสำเร็จของครอบครัวข้าวหอมและทุกคนที่เขาเคยอยู่ด้วย เขารู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง ‘นี่คงถึงเวลาที่เราต้องไปแล้วสินะ’ เขาพึมพำถามตัวเองในใจ“ใช่แล้ว! เจ้าบื้อ!” เสียงดังมาจากด้านหลังสายเมฆ ทำให้เขาต้องหันไปมอง ก็พบว่าพายุ เทวดาผู้คุมกฎของเขายืนอยู่ตรงนั้น“มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมดเลย” สายเมฆบ่น “แล้วท่านมาทำไมตอนนี้ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”“ก็มาหานายนั่นแหละ” พายุตอบพร้อมรอ

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 28 โยกย้ายเพื่ออนาคต

    ที่ร้านตัดเสื้อของข้าวหอม หลังจากลูกค้าช่วงเช้าที่คึกคักทยอยกลับไปหมด ข้าวหอมกำลังเตรียมตัวจะตักอาหารเที่ยงใส่จาน จู่ ๆ องุ่นก็ก้าวเข้ามาในร้าน“ข้าวหอมหนูกินข้าวก่อนก็ได้จ้ะ เดี๋ยวชั้นนั่งรอ” องุ่นเอ่ยอย่างเกรงใจ เมื่อเห็นข้าวหอมเตรียมจะวางช้อน“ไม่เป็นไรค่ะคุณองุ่น” ข้าวหอมยิ้มและเดินผละออกจากโต๊ะอาหารตรงไปหา “คุณองุ่นมาดูแบบเสื้อใหม่เหรอคะ”“ใช่จ้ะข้าวหอม” องุ่นพยักหน้า “ครั้งก่อนชั้นตามสามีเข้าไปกรุงเทพฯ ใส่ชุดของหนูไปงานเลี้ยง มีแต่คนชมชุดหนูนะ รอบนี้สามีมีงานที่กรุงเทพฯ อีก เลยจะมาดูแบบใหม่ ๆ ไว้เตรียมตัว” องุ่นพูดพลางเปิดดูแคตตาล็อกชุดที่วางบนโต๊ะ “จะว่าไปแล้วก็น่าเสียดายนะจ๊ะ ถ้าร้านหนูอยู่ในกรุงเทพฯ คงมีคนเข้าออกไม่ขาดสายเลยทีเดียว”“ไม่แน่นะคะ หนูอาจย้ายไปในกรุงเทพฯ ก็ได้ค่ะ” ข้าวหอมเอ่ยด้วยความมั่นใจ ความคิดนี้เคยแวบเข้ามาในหัวเธอหลายครั้งแล้ว เพียงแต่รอเวลาที่กิจการในอำเภอจะเข้าที่เข้าทางเสียก่อน“จริงเหรอ!” องุ่นอุทานด้วยความแปลกใจระคนยินดี ดวงตาเป็นประกาย“จริงค่ะ แต่อาจต้องใช้เวลานิดหน่อย” ข้าวหอมอธิบายแผนคร่าว ๆ “เพราะต้องหาที่เปิดร้าน หาพนักงานเพิ่ม และรอจัดระเบียบร้า

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 27 ของเลียนแบบ

    “ข้าวหอม อยู่มั้ยจ๊ะ!” เสียงเรียกดังขึ้นแต่เช้า ทำให้ ข้าวหอม ต้องรีบออกมาดู เจ๊จวง ซึ่งตอนนี้เป็นพันธมิตรคู่ค้าสำคัญของโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูปของข้าวหอมยืนอยู่หน้าบ้าน สีหน้าค่อนข้างเป็นกังวล“อยู่ค่ะเจ๊จวง มีอะไรรึเปล่าคะ อย่าบอกนะว่าชุดล็อตล่าสุดหมดแล้ว” ข้าวหอมทักอย่างอารมณ์ดี เพราะหลังจากโรงงานเสร็จ กิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็ไปได้ดีมาก ร้านค้าจากในตัวจังหวัดและต่างอำเภอต่างมาสั่งของเพื่อนำไปขาย ส่วนในอำเภอที่ข้าวหอมอยู่ เธอเลือกส่งให้ร้านเจ๊จวงเพียงที่เดียว เพื่อตอบแทนที่เคยช่วยเหลือกันมา“มีปัญหาแล้วล่ะข้าวหอม ดูนี่สิ!” เจ๊จวงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับหยิบถุงกระดาษที่ถือมาออกมา แล้วดึงเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่อยู่ในถุงให้ข้าวหอมดูข้าวหอมรับเสื้อมาพินิจ เสื้อที่อยู่ในมือมีตะเข็บที่แตกออก ด้ายที่เย็บบางตัวก็ไม่เรียบร้อย รังดุมบางตัวด้ายก็หลุดรุ่ย เธอขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจที่เจอเสื้อไม่ได้มาตรฐานจากโรงงานของตัวเอง แต่เมื่อลองสังเกตดูดี ๆ เธอก็พบว่ากระดุมที่ใช้ รวมถึงซิปและตะขอ แม้จะมีรูปแบบคล้ายกับของโรงงานเธอ แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว“เจ๊ไปเอามาจากไหนคะเนี่ย” ข้าวหอมถามเจ๊จวงด้วยความแ

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 26 ก้าวย่างสู่ความสำเร็จ

    “ปัง ปัง ปัง ปัง!”เสียงจุดประทัดดังกึกก้องทั่วซอย บ่งบอกถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่เป็นมงคล วันนี้เป็นวันเปิดร้านเสื้อผ้าของข้าวหอม หลังจากที่เธอได้ออกแบบร้านด้วยตัวเองแล้ว ลุงเพิ่มก็จัดหาช่างฝีมือดีมาลงมือก่อสร้างตามแบบที่ได้รับ ร้านของข้าวหอมออกแบบตามรสนิยมและความชอบของเธอ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ด้านการช้อปปิ้งของเธอเมื่อชาติที่แล้ว ทำให้ร้านมีดีไซน์ที่ดูแปลกตา ล้ำสมัย และน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก บรรยากาศภายในร้านโปร่งโล่งสบาย มีการจัดวางชุดเสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบ ชวนให้ลูกค้าอยากเดินเข้ามาชม“ข้าวหอม ยินดีด้วยนะจ๊ะ” คุณองุ่น เดินถือแจกันดอกไม้สวยงามเข้ามาแสดงความยินดีเป็นคนแรก ตามมาด้วยบรรดาภรรยาข้าราชการระดับต่าง ๆ และผู้มีฐานะอีกหลายท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่งเพียงไม่นาน ร้านของข้าวหอมก็ขึ้นชื่อในหมู่คนมีฐานะว่าตัดเย็บเสื้อผ้าได้ประณีตและออกแบบได้ไม่ซ้ำใคร ทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องและจำนวนมาก ช่างตัดเสื้อที่เดิมมีเพียง สาลี่ และแก้ว ซึ่งทำงานกันเองในบ้าน ก็เริ่มจะทำงานไม่ทันตามยอดสั่งซื้อที่เข้ามา ข้าวหอมจึงตัดสินใจขอร้องให้ลุงเพิ่มช่

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 25 ค้นหาความชอบ

    วันนี้หลังจากเรียน กศน. เสร็จ ทุกคนก็กลับมาพร้อมกันที่บ้าน และเริ่มจับกลุ่มคุยกันถึงงานกลุ่มและการบ้านที่ได้รับมอบหมาย“มันยากจังเลยครับลุง! ยากกว่าตอนเรียนประถมอีก” ธง ที่นั่งก้มหน้าทำการบ้านไปได้สักพักก็บ่นออกมา พร้อมกับทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก แก้วซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดูสมุดของธง แล้วเริ่มอธิบายตรงจุดที่ธงติดขัดอย่างใจเย็น“อดทนหน่อยนะเจ้าธง” รุจน์ เห็นท่าทางของธงแล้วก็อดปลอบไม่ได้ “อย่างน้อยขอให้ได้วุฒิ ม.3 ไปก่อน แล้วค่อยมาดูว่าจะเรียนต่อ ปวส. ปวช. หรือจะเรียนสายสามัญต่อ แต่ยังไงก็ต้องเรียนนะ มีความรู้ติดตัวไว้ก็ไม่เสียหายหรอก”“ครับลุง ผมจะพยายามครับ” ธงตอบรับรุจน์อย่างคนหมดแรง“ธงอยากทำอะไรในอนาคตเหรอ” ข้าวหอม เอ่ยถามธงขึ้นมาเบา ๆธงนั่งคิดอยู่นานก็หัวเราะออกมาอย่างขำขันตัวเอง “ไม่รู้สิข้าวหอม ผมไม่เคยมีความคิดความฝันอยากเป็นอะไรเลย ก่อนมาเจอข้าวหอม ผมก็แค่อยากหางานทำเพื่อจะได้มีเงินไปใช้จ่าย ไม่ต้องรบกวนทางบ้านน่ะ” เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองข้าวหอม “แล้วข้าวหอมล่ะ มีความฝันอยากเป็นอะไร?”“ข้าวหอมรักเงิน” ข้าวหอมตอบความฝันตัวเองไปด้วยสายตาเป็นประกายแห่งความสุข “ข้

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 24 บ้านเริ่มคึกครื้น

    วันถัดมาหลังจากงานเลี้ยงต้อนรับนายตำรวจจบลง บรรยากาศภายในซอยบ้านของข้าวหอมก็เริ่มคึกคักผิดหูผิดตา มีรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาจอดเทียบท่าไม่ขาดสาย ตลอดทั้งวัน ข้าวหอมยังคงดำเนินแผนการโชว์สินค้าในรูปแบบเดิม เธอจัดวางเสื้อผ้าบนราวอย่างเป็นระเบียบ แล้วนำมาให้ลูกค้าผู้หญิงที่แต่งกายภูมิฐานซึ่งทยอยกันเข้ามาชมทีละราว เธออธิบายรายละเอียดของชุดแต่ละชุดอย่างคล่องแคล่ว เมื่อลูกค้าเลือกชุดที่ถูกใจก็จะเขียนหมายเลขชุดที่ต้องการ ก่อนจะไปวัดตัวกับสาลี่ เพื่อปรับขนาดให้พอดีและจ่ายเงินมัดจำเป็นการยืนยันการสั่งซื้อด้วยความที่การช้อปปิ้งและแฟชั่นคือความชอบส่วนตัวของเธอ ข้าวหอมจึงทำหน้าที่นำเสนอสินค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติและไหลลื่น เธออธิบายด้วยรอยยิ้มสดใส พลางแนะนำจุดเด่นของชุดแต่ละชุดอย่างละเอียดลออ สิ่งเหล่านี้สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ชุดสวยแล้ว ยังได้รับคำแนะนำที่เป็นกันเองจากเจ้าของร้านอีกด้วยศจีและรุจน์ มองดูลูกสาวคนเก่งอยู่ห่าง ๆ จากมุมหนึ่งของห้องโถง ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้เป็นอย่างมาก ส่วนสายเมฆนั้น เขายืนพิงกรอบประตู มองดูข้าวหอมที่กำลั

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status