Home / อื่น ๆ / คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม / บทที่ 9 ร่วมมือร่วมใจ

Share

บทที่ 9 ร่วมมือร่วมใจ

Author: Just W.
last update Last Updated: 2025-07-01 09:39:13

เมื่ออุปกรณ์พร้อม ข้าวหอมกับสายเมฆก็เริ่มวางแผนการทำงาน สายเมฆมอบหมายให้ข้าวหอมตัดผ้าตาข่ายตามขนาดที่เขากำหนด ส่วนตัวเองก็ลงมือทำโครงไม้ไผ่ขนาดต่าง ๆ ตามคำสั่งซื้อ

ทั้งสองตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้นจนใกล้เวลาที่ศจีและรุจน์จะกลับจากทุ่งนา สายเมฆจึงบอกให้ข้าวหอมพักมือและช่วยเตรียมอาหารเย็น

เสียงน้ำจากก๊อกเก่าดังแผ่วเป็นจังหวะ ขณะข้าวหอมก้มล้างผักในอ่างสังกะสี สายเมฆเดินเข้ามาพร้อมเนื้อแดดเดียวที่ตากไว้ตั้งแต่เช้า

“วันนี้เรากินเนื้อทอด ผัดผัก แล้วก็ไข่ต้มนะ” สายเมฆเริ่มจัดเตรียมอาหาร

“แค่นี้ก็ดีมากแล้วล่ะ…” ข้าวหอมเอ่ยกับสายเมฆพลางปลุกใจตัวเองว่า ‘อดทนหน่อยนะข้าวหอม ต่อไปเธอจะต้องได้กินของดี ๆ คิดเสียว่าตอนนี้เป็นแค่ความฝัน’

สายเมฆจุดเตาถ่านอย่างคล่องแคล่ว มือเรียวหยิบเนื้อลงกระทะ กลิ่นหอมของเนื้อทอดลอยแตะจมูกทันที

ส่วนข้าวหอมมีหน้าที่แค่ปอกเปลือกไข่ต้ม เพราะสายเมฆเกรงว่าถ้าให้ทำมากกว่านี้เดี๋ยวไฟจะไหม้บ้านเอาอีก

เมื่อสายเมฆทำอาหารเสร็จสักพัก ทั้งคู่ก็ช่วยกันจัดโต๊ะเพื่อรอพ่อกับแม่กลับจากทุ่งนา

โต๊ะอาหารเล็ก ๆ ถูกเช็ดจนสะอาด มีเพียงจานเก่า ๆ กับชามบิ่นวางเรียงราย กับข้าวทุกอย่างอาจดูธรรมดา แต่สำหรับสภาพบ้านตอนนี้ แค่นี้ก็ถือว่าดีเยี่ยมแล้ว

ศจีและรุจน์กลับมาถึงบ้านช้าไปเล็กน้อย แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้หัวใจของทั้งคู่พองโต ข้าวหอมกับสายเมฆจัดเตรียมอาหารเย็นรอไว้อย่างเรียบร้อย หากเป็นเมื่อก่อน ลูกสาวคนนี้คงงอแงบ่นหิวและเร่งให้ศจีรีบทำกับข้าวให้

แต่มาวันนี้ ข้าวหอมกลับเป็นคนจัดเตรียมอาหารรอคอย ศจีแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ด้วยความตื้นตันใจ

“ข้าวหอมทำไมไม่กินก่อนล่ะลูก รอแม่แบบนี้หิวแย่เลย สายเมฆก็เหมือนกัน คราวหน้ากินก่อนป้าได้เลยนะ” ศจีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรค่ะแม่ กินกันสองคนมันไม่อร่อยหรอกค่ะ ต้องกินพร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่สิถึงจะอร่อย”

ทันทีที่พูดจบ ข้าวหอมก็รู้สึกสะกิดใจขึ้นมา ความทรงจำจากชาติที่แล้วที่เธอเคยมีฐานะร่ำรวย กินหรูอยู่สบายผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ตอนนั้น การได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่เป็นเรื่องที่ต้องรอโอกาสพิเศษ เพราะต่างคนต่างไม่มีเวลาให้กันมากพอ พอย้อนเวลากลับมา แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเดิม แต่เธอกลับได้กินข้าวพร้อมกับครอบครัวทุกวัน

‘อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นข้อดีของการย้อนเวลากลับมาสินะ… ฉันจะตักตวงความสุขและช่วงเวลาดีๆ กับพ่อและแม่เพื่อชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปให้ได้มากที่สุด’ ข้าวหอมตั้งมั่นอยู่ในใจ

หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ข้าวหอมกับศจีก็ช่วยกันวัดขนาดของผ้าตาข่าย ส่วนรุจน์และสายเมฆก็ร่วมแรงร่วมใจทำโครงจากไม้ไผ่อยู่บริเวณชานบ้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความร่วมมือและเสียงหัวเราะเบา ๆ

ทั้งหมดพูดคุยถึงแผนงานที่จะทำต่อ

“เดี๋ยวพรุ่งนี้น่าจะทำเสร็จครบหมดสำหรับชาวบ้านที่สั่งไว้ครับ” สายเมฆมองดูผลงานที่กองอยู่ด้วยแววตาปลื้มใจ “ลองคำนวณดูแล้วน่าจะได้กำไรประมาณ 250 บาทครับ”

“สองร้อยห้าสิบบาทเลยเหรอ!” รุจน์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างไม่เชื่อหู “ลุงกับป้าทำนาได้แค่คนละ 15 บาทต่อวันเองนะ”

“ใช่ค่ะพ่อ! ข้าวหอมเก่งใช่มั้ยคะ” ข้าวหอมยิ้มภูมิใจ

รุจน์ลูบศีรษะข้าวหอมเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู แล้วหันไปถามสายเมฆต่อ “แล้วนี่ทำให้ชาวบ้านเสร็จแล้ว จะทำต่อหรือเปล่า”

“ผมมีแผนว่าจะลองทำขายที่หมู่บ้านข้าง ๆ ด้วยครับ แล้วก็ทำอีกส่วนไปฝากขายที่ตลาดในเมืองด้วย” สายเมฆเล่าแผนงานของเขาให้รุจน์ฟังอย่างกระตือรือร้น

“แต่ว่าผมอาจจะต้องรบกวนคุณลุงพาผมไปตลาดในตัวเมืองด้วยนะครับ การซื้ออุปกรณ์จากในเมืองน่าจะช่วยลดต้นทุนลงได้อีก”

“ได้สิ” รุจน์รับปากทันทีว่าจะพาสายเมฆเข้าเมืองในอีกสองวันข้างหน้า เนื่องจากเขายังต้องไปช่วยทำนาให้ป้าแจ่มอีกสองวัน

“รุจน์ รุจน์เอ้ย อยู่รึเปล่า” เสียงเรียกรุจน์ออกมาจากรั้วนอกบ้าน

“ใครกันมาเอาซะป่านนี้” เสียงพึมพำแผ่วเบาของศจีหลุดออกมาขณะที่เธอชะเง้อมองออกไปยังความมืดนอกชานบ้าน

รุจน์เดินลงไปที่ประตูรั้ว ไม่นานนัก รุจน์ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับลุงเพิ่มที่เดินตามเข้ามาบนเรือนด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี ข้าวหอมและสายเมฆรีบยกมือไหว้สวัสดีตามธรรมเนียม

“ข้าวหอม ลุงเพิ่มเขาอยากมาเห็นที่ตากเนื้อแห้งน่ะลูก” รุจน์บอกข้าวหอม

ลุงเพิ่มเดินตรงเข้ามาพิจารณาอุปกรณ์ที่กำลังทำอยู่ สายตาของเขากวาดมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน พร้อมรอยยิ้มพึงพอใจประดับบนใบหน้า

“วันนี้พวกที่ไปทำนากลับมาพูดถึงที่ตากเนื้อแห้งกันใหญ่ มาถามว่าร้านลุงมีไหม ลุงเลยอยากมาดูให้เห็นกับตาว่ามันเป็นยังไง” ลุงเพิ่มเอ่ยพลางหยิบที่ตากเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งขึ้นมาพลิกดูในมือ

“ตารุจน์ ของพวกนี้ถ้าร้านฉันสั่ง แกพอจะทำให้ได้ไหม” ลุงเพิ่มหันไปถามรุจน์ด้วยความสนใจ

“ต้องถามพวกเด็ก ๆ โน่น พวกเขาเป็นคนคิดน่ะ ข้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอก” รุจน์ตอบพลางโบกมือไปทางข้าวหอมกับสายเมฆ

ลุงเพิ่มหรี่ตามองข้าวหอมอย่างพินิจพิจารณา ‘ยัยหนูข้าวหอมไม่ได้โกหกจริงด้วย ทั้งหมดเธอคิดกับหลานชายคนนั้นจริง ๆ แบบนี้ข่าวลือที่ว่าข้าวหอมตั้งแต่ฟื้นมาดูแปลก ๆ ไปก็น่าจะจริงสินะ แต่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็ถือว่าเป็นบุญของรุจน์กับศจีมันล่ะ’ ความคิดแล่นเข้ามาในหัวของลุงเพิ่ม

“ข้าวหอม ว่าไงลูก พอจะทำให้ลุงเขาได้ไหม” ศจีถามข้าวหอมด้วยน้ำเสียงคาดหวัง

“ได้ค่ะ แต่ลุงเพิ่มต้องสั่งไม่ต่ำกว่า 100 อันนะคะ แล้วข้าวหอมจะขายให้ในราคาพิเศษ แต่ถ้าไม่ถึง 100 อัน ข้าวหอมจะขายให้ในราคาที่ขายให้ชาวบ้านค่ะ” ข้าวหอมตอบลุงเพิ่มอย่างมั่นใจ เธออธิบายโดยใช้หลักการขายปลีกกับขายส่งที่คุ้นเคยในยุคที่เธอจากมา

สายเมฆมองข้าวหอมด้วยความพอใจ แววตาของเขามีประกายแห่งความทึ่งเล็กน้อย ‘อย่างน้อยยัยบ้านี่ก็ฉลาดอยู่บ้าง รู้จักขายให้ได้ปริมาณมาก ๆ’ เขาคิดในใจ

ส่วนลุงเพิ่มเมื่อคิดคำนวณดูแล้วเห็นว่าตอนนี้ที่ตากเนื้อแห้งของข้าวหอมกำลังเป็นที่พูดถึง อีกทั้งยังมีเสียงเรียกร้องจากลูกค้าที่เข้ามาถามหาที่ร้านของเขา การสั่ง 100 อัน น่าจะขายออกได้ไม่ยาก เลยตกลงกับข้าวหอมในที่สุด

เมื่อตกลงราคาและขนาดของแต่ละแบบเสร็จ สายเมฆก็เสนอให้มีการเซ็นสัญญากัน เพื่อความชัดเจนและเป็นหลักประกันให้กับทั้งสองฝ่าย

ศจีเห็นว่าเป็นคนกันเอง ไม่จำเป็นต้องเซ็นก็ได้ แต่ลุงเพิ่มกลับเห็นด้วยกับสายเมฆ “เซ็นก็ดี เป็นหลักประกันทั้งสองฝ่าย ข้าก็จะได้ไม่ต้องกลัวว่ายัยหนูจะโกงข้าด้วย” ลุงเพิ่มพูดติดตลก

เมื่อเซ็นสัญญาเสร็จเรียบร้อย ลุงเพิ่มก็ยื่นเงินจำนวนหนึ่งพันบาทให้ข้าวหอมเพื่อเป็นมัดจำครึ่งหนึ่ง

“พ่อ! ดูสินี่มันพันบาทเชียวนะ!” ศจีหยิบธนบัตรห้าร้อยบาทสองใบในมือมาดูด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นและดีใจระคนไม่คุ้นชิน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้จับเงินจำนวนมากขนาดนี้

‘แม่ขา… เมื่อก่อนเงินแค่นี้คือเงินที่แม่ให้ทิปเด็กนะคะ’ ข้าวหอมมองแม่และนึกในใจ รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า เธอรู้สึกยินดีที่อย่างน้อยในวันนี้ก็ทำให้แม่มีความสุขได้มากขนาดนี้

หลังจากลุงเพิ่มเดินทางกลับไป ทุกคนก็เริ่มปรึกษาหารือกันอีกครั้ง บรรยากาศบนชานบ้านเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและเสียงพูดคุยแผ่วเบาภายใต้แสงจันทร์ เมื่อพิจารณาจากจำนวนที่ลุงเพิ่มสั่ง พวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่าการวางแผนขายที่หมู่บ้านข้าง ๆ อาจจะต้องพักไปก่อนในตอนนี้ เพื่อเร่งผลิตสินค้าให้กับลุงเพิ่มให้ทันตามกำหนด

ข้าวหอมเอ่ยขอให้พ่อกับแม่หยุดรับจ้างทำนาเพื่อมาช่วยเร่งงาน แต่ศจีและรุจน์กลับให้เหตุผลว่าการไปรับจ้างทำนาไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเงินทองเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่บางครั้งขาดแคลนแรงงานจริง ๆ ถ้าพ่อกับแม่ไม่ไปช่วย คนงานในนาก็จะลดน้อยลง ทำให้งานล่าช้า

ท้ายที่สุด ทุกคนก็ได้ข้อสรุปที่ลงตัวว่าพ่อกับแม่จะไปช่วยเฉพาะนาของบ้านที่สนิทสนมกัน หรือบ้านที่ขาดแคลนคนงานจริง ๆ เท่านั้น เพื่อที่พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนักมากนัก และก็จะได้ช่วยผลิตสินค้าให้ลุงเพิ่มด้วย

ทั้งหมดปรึกษาหารือกันจนดึกดื่น ข้าวหอมจึงเอ่ยกับพ่อและแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหลืออีกไม่กี่อันแล้วค่ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่เข้านอนก่อนก็ได้นะคะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ที่เหลือหนูกับพี่สายเมฆจะทำต่อเอง”

ศจีกับรุจน์ซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันจากการทำนาและงานที่บ้าน มองหน้ากันด้วยแววตาซาบซึ้งใจ ก่อนจะขอตัวเข้านอน

ในห้องนอนที่มืดสลัว ศจีพลิกตัวเข้าหารุจน์พร้อมกับถอนหายใจแผ่วเบา “พ่อว่าชีวิตเราจะดีขึ้นเหมือนที่ยัยหนูบอกจริง ๆ ใช่ไหม” น้ำเสียงของเธอเจือด้วยความหวังและความไม่แน่ใจเล็กน้อย

รุจน์ยิ้มอ่อนโยนในความมืด ก่อนจะตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น “ต้องดีขึ้นสิ ศจี… พวกเราร่วมมือร่วมใจกันขนาดนี้ มันจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”

คำพูดของเขาเป็นเหมือนพลังใจที่หล่อเลี้ยงความหวังของศจี แล้วทั้งคู่ก็หลับไปในที่สุด พร้อมกับความฝันถึงวันพรุ่งนี้ที่สดใสกว่าเดิม

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 15 กินเลี้ยงเล็ก ๆ

    วันนี้เป็นวันที่ห้าของการทำงาน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ใต้ถุนบ้าน สินค้าที่ทุกคนช่วยกันทำอย่างขยันขันแข็งก็ใกล้จะครบจำนวนที่ต้องส่งในล็อตแรกแล้ว ข้าวหอมมองเห็นความสำเร็จอยู่รำไร จึงเอ่ยเสนอขึ้นมากลางวง “นี่! หลังจากที่เราส่งสินค้าล็อตแรกให้เจ๊จวงแล้ว พวกเราควรมีการฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ กันไหมคะ? ทำอะไรอร่อย ๆ กินกันตอนเย็น ให้ธงกับแก้วชวนป้าแจ่มกับลุงเพิ่มมาด้วยเลย!”ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามด้วยในทันที ใบหน้าของแต่ละคนเปื้อนยิ้มด้วยความยินดี พร้อมทั้งรับปากว่าจะนำอาหารมาร่วมฉลองด้วยอย่างแน่นอน บรรยากาศของการทำงานในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความสุขและความกระตือรือร้น เพราะทุกคนต่างมีเป้าหมายร่วมกัน และอดใจรอช่วงเวลาแห่งการฉลองไม่ไหวเมื่อทำสินค้าชิ้นสุดท้ายจนครบตามจำนวน สายเมฆได้ขอให้ทุกคนช่วยทำเพิ่มอีกขนาดละสามอัน “กันไว้ดีกว่าแก้นะครับ” เขากล่าว “เผื่อมีเสียหายระหว่างขนส่ง หรือมีอันไหนไม่ได้มาตรฐาน จะได้ไม่ต้องกังวล” ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยทำต่ออย่างไม่ปริปากบ่นเมื่อสินค้าสำรองเสร็จเรียบร้อย รุจน์ก็เล่าแผนการในวันพรุ่งนี้ว่า “พรุ่งนี้พ่อจะไปหาเหมารถสองแถว เพื่อเอาของไปส่งให้เจ๊จ

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   เพื่อนร่วมงาน

    หลังจากที่ป้าแจ่มและเจ้าธงกลับไปแล้ว รุจน์และสายเมฆก็เริ่มปรึกษาหารือกันเรื่องสถานที่ที่จะใช้เป็นโรงงานผลิตที่ตากเนื้อแห้งชั่วคราว ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่า ใต้ถุนบ้าน นี่แหละคือจุดที่เหมาะสมที่สุด ด้วยความที่เป็นใต้ถุนยกสูง ลมพัดโกรกสบาย ทำให้ทำงานได้โดยไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวศจีเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรทำห้องเก็บของไว้ใต้ถุนด้วย จะได้ไม่ต้องขนข้าวของขึ้นลงไปเก็บข้างบนให้ยุ่งยาก ข้าวหอมเองก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยปรับปรุงสถานที่และสร้างห้องเก็บของขนาดกะทัดรัดให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะถึงวันนัดหมายสำคัญเมื่อวันนัดมาถึง กลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงบ้านข้าวหอมคือ เจ้าธง แซม และสาลี่ผู้เป็นแม่ของแซม ทั้งสามคนดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน พวกเขาหิ้วตะกร้าใส่ส้มและกล้วยมาด้วย เพื่อเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนที่ได้รับโอกาสในการทำงาน เจ้าธงผู้ร่าเริงและเข้ากับคนง่าย รับหน้าที่แนะนำแซมและสาลี่ให้ทุกคนในบ้านรู้จัก แซมดูขัดเขินเล็กน้อย พูดน้อย ไม่ต่างจากสาลี่ผู้เป็นแม่ที่ค่อนข้างจะเรียบร้อยและเงียบเช่นกันศจีผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปชวนสาลี่คุย เพื่อสร้างความรู้สึกคุ

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 13 หาคน

    หลังจากที่ส่งมอบที่ตากเนื้อแห้งล็อตสุดท้ายให้แก่ลุงเพิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สายเมฆกับรุจน์ก็พากันนำตัวอย่างสินค้าชุดใหม่สำหรับเจ๊จวงไปให้ดูที่ตลาดในเมืองทันที ส่วนทางด้านศจีที่อยู่บ้านก็เริ่มภารกิจสำคัญ นั่นคือการพยายามหาคนที่ไว้ใจได้และมีฝีมือดีมาช่วยงานที่ตากเนื้อแห้งตามแผนที่สายเมฆวางไว้ขณะที่ศจีกำลังครุ่นคิดและกลุ้มใจว่าจะไปหาใครที่เหมาะสมได้จากที่ไหน ทันใดนั้น เจ้าธง หลานชายของป้าแจ่ม ก็เดินแบกถังใส่ข้าวสารใบใหญ่มาที่บ้าน ศีรษะมีเหงื่อซึมตามไรผม บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า ข้าวสารในถังนั้นคือค่าตอบแทนที่สายเมฆช่วยเข็นข้าวเปลือกไปสีที่โรงสีเมื่อหลายวันก่อน ศจีมองเห็นเจ้าธงแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนี้ดูมีหน่วยก้านดี ร่างกายแข็งแรง และเป็นคนขยันขันแข็ง เธอจึงตัดสินใจเอ่ยถามขึ้น“เจ้าธง... ระหว่างรอเกี่ยวข้าวที่นา มีอะไรทำรึเปล่าลูก?”เจ้าธงยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบ 32 ซี่ พลางเกาหัวอย่างเขิน ๆ “ก็ว่าจะเข้าไปหางานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเมืองจ้ะน้า อยู่ที่บ้านก็ไม่มีงานอะไรทำ ว่าง ๆ ก็เบื่อเหมือนกัน”ศจีจึงถือโอกาสนี้ชวนทันที “พอดีเลย... บ้านน้ากำลังต้องการคนช่วย น้าต้องทำที่ตากเนื้อ

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 12 เรียนหนังสือ

    นับจากวันที่ได้อุปกรณ์ครบ ทุกคนก็เริ่มลงมือทำที่ตากเนื้อแห้งกันอย่างขยันขันแข็ง และเนื่องจากสายเมฆได้วางแผนงานไว้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขนาดของโครงไม้ไปจนถึงการตัดผ้าตาข่ายขนาดต่าง ๆ ทำให้แต่ละคนสามารถแบ่งหน้าที่กันทำได้อย่างรวดเร็ว งานจึงคืบหน้าไปได้มากจนน่าตกใจ ลุงเพิ่มเจ้าของร้านชำที่แวะเวียนมาดูความคืบหน้าอยู่บ่อย ๆ ก็ถึงกับพึงพอใจที่สินค้าล็อตแรกเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้มากนัก“สายเมฆเอ๊ย... ลุงกับป้าต้องขอบใจหนูจริง ๆ นะลูก” ศจีเอ่ยขึ้นมากลางวงขณะที่ทุกคนกำลังนั่งช่วยกันทำงานอยู่ “ถ้าไม่ได้หนูมาช่วยคิดช่วยทำ ป้าคงไม่ได้ลืมตาอ้าปากได้เร็วขนาดนี้หรอก”“เรื่องเล็กน้อยครับป้า” สายเมฆยิ้มตอบอย่างอบอุ่น หัวใจของเขาอ่อนยวบลงเมื่อเห็นแววตาซาบซึ้งของศจี “อย่าลืมสิครับลุงกับป้าคือคนช่วยชีวิตผมไว้นะครับ”“แล้วทำไมสายเมฆถึงได้รู้เรื่องอะไรมากมายอย่างนี้ล่ะลูก” ศจียังคงชวนคุยต่อด้วยความใคร่รู้“แม่คะ! ก็พี่สายเมฆเขาเคยบอกไว้แล้วไงคะว่าเขาเคยทำงานบริษัทฝรั่ง เขาก็ต้องมีความรู้สิคะ!” ข้าวหอมรีบชิงตอบแทนสายเมฆ เพราะไม่อยากให้แม่ซักไซ้มากไปกว่านี้ เธอกลัวว่าสายเมฆจะหลุดว่าย้อนเวลามาศจีพยักหน้าหงึก ๆ

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 11 ลำดวน

    รถสองแถวค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากท่ารถที่ตลาดช้า ๆ ทิ้งความจอแจไว้เบื้องหลัง รุจน์นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ท่าทางของเขาดูครุ่นคิดและเงียบผิดปกติ สายเมฆที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็นแววตาของรุจน์แล้ว ก็พอจะคาดเดาได้ว่าระหว่างรุจน์กับลำดวนคงมีเรื่องราวบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าคนรู้จักทั่วไป‘แล้วเราควรจะบอกข้าวหอมเรื่องนี้ดีไหมนะ? จะเป็นการยุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่นเกินไปรึเปล่า? หากมันไม่มีอะไรจริง ๆ จะกลายเป็นการทำให้น้าศจีต้องระแวงเปล่า ๆ รึเปล่า?’ สายเมฆคิดวนไปมาในหัวอย่างหนักใจ เขาพยายามพิจารณาถึงผลกระทบที่จะตามมา ก่อนจะตัดสินใจว่าเขายังจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้ อย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นคนนอก แต่ถ้าหากมีอะไรไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้นจริง ๆ เขาค่อยบอกข้าวหอมทีหลัง‘ช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าครอบครัวนี้ไม่กลับไปร่ำรวย เขาก็คงอดกลับสวรรค์น่ะสิ’ ความคิดเรื่องภารกิจกลับสวรรค์ผุดขึ้นมาในใจ ทำให้เขารู้สึกว่ามีความชอบธรรมที่จะสอดส่องและดูแลครอบครัวนี้ต่อไปเมื่อรถสองแถวมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน รุจน์กับสายเมฆก็ช่วยกันแบกข้าวของที่ซื้อมามากมายเดินกลับบ้าน แม้ของจะหนักและทางเดินจะค่อนข้าง

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 10 ตลาดในเมือง

    วันนี้ทั้งบ้านตื่นเช้าเป็นพิเศษ ตั้งแต่แสงแรกของอรุณรุ่ง ข้าวหอมช่วยศจีจัดเตรียมอาหารที่แม่ทำใส่กล่องข้าวอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้รุจน์และสายเมฆห่อติดตัวไปกินในเมืองตอนแรกข้าวหอมออกจะไม่เห็นด้วยนักกับการห่อข้าวไปกิน เธอรู้สึกว่ามันไม่สะดวกเอาเสียเลย การซื้อกินที่นั่นน่าจะดีกว่า ทั้งประหยัดเวลาและดูสบายกว่ากันเยอะ“พ่อคะ ตอนนี้เราก็พอมีเงินแล้วนี่คะ ทำไมเรายังจะต้องประหยัดขนาดนี้อีก? พ่อควรจะได้กินอะไรดีๆ ในเมืองบ้างนะคะ” ข้าวหอมเอ่ยถามด้วยความสงสัยรุจน์ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะสอนลูกสาวด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ข้าวหอม… ยามที่เรามี ก็ควรรู้จักเก็บหอมรอมริบเอาไว้บ้างนะลูก เผื่อวันหนึ่งข้างหน้าวันที่เราไม่มี จะได้ไม่ลำบาก อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัดเถอะ ใช้เงินอย่างรู้คุณค่า แล้ววันหน้าจะไม่เดือดร้อน”‘ยัยนี่ก็ยังไม่รู้จักคุณค่าของเงินอยู่ดีสินะ พอมีก็จะใช้อย่างเดียวเลย’ สายเมฆคิดในใจพลางแอบมองข้าวหอมก่อนจะเอ่ยสมทบคำพูดของรุจน์ “ที่พ่อพูดน่ะถูกแล้วข้าวหอม ตอนนี้เราเริ่มหาเงินได้ก็ต้องเก็บไว้ก่อน เราไม่รู้หรอกว่าที่ตากเนื้อแห้งของเราจะขายได้ไปอีกนานแค่ไหน สักระยะหนึ่งเราก็ต้องหาอย่างอื่นทำ อันไหนประหยั

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status