Home / อื่น ๆ / คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม / บทที่ 12 เรียนหนังสือ

Share

บทที่ 12 เรียนหนังสือ

Author: Just W.
last update Last Updated: 2025-07-03 01:17:32

นับจากวันที่ได้อุปกรณ์ครบ ทุกคนก็เริ่มลงมือทำที่ตากเนื้อแห้งกันอย่างขยันขันแข็ง และเนื่องจากสายเมฆได้วางแผนงานไว้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขนาดของโครงไม้ไปจนถึงการตัดผ้าตาข่ายขนาดต่าง ๆ ทำให้แต่ละคนสามารถแบ่งหน้าที่กันทำได้อย่างรวดเร็ว งานจึงคืบหน้าไปได้มากจนน่าตกใจ ลุงเพิ่มเจ้าของร้านชำที่แวะเวียนมาดูความคืบหน้าอยู่บ่อย ๆ ก็ถึงกับพึงพอใจที่สินค้าล็อตแรกเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้มากนัก

“สายเมฆเอ๊ย... ลุงกับป้าต้องขอบใจหนูจริง ๆ นะลูก” ศจีเอ่ยขึ้นมากลางวงขณะที่ทุกคนกำลังนั่งช่วยกันทำงานอยู่ “ถ้าไม่ได้หนูมาช่วยคิดช่วยทำ ป้าคงไม่ได้ลืมตาอ้าปากได้เร็วขนาดนี้หรอก”

“เรื่องเล็กน้อยครับป้า” สายเมฆยิ้มตอบอย่างอบอุ่น หัวใจของเขาอ่อนยวบลงเมื่อเห็นแววตาซาบซึ้งของศจี “อย่าลืมสิครับลุงกับป้าคือคนช่วยชีวิตผมไว้นะครับ”

“แล้วทำไมสายเมฆถึงได้รู้เรื่องอะไรมากมายอย่างนี้ล่ะลูก” ศจียังคงชวนคุยต่อด้วยความใคร่รู้

“แม่คะ! ก็พี่สายเมฆเขาเคยบอกไว้แล้วไงคะว่าเขาเคยทำงานบริษัทฝรั่ง เขาก็ต้องมีความรู้สิคะ!” ข้าวหอมรีบชิงตอบแทนสายเมฆ เพราะไม่อยากให้แม่ซักไซ้มากไปกว่านี้ เธอกลัวว่าสายเมฆจะหลุดว่าย้อนเวลามา

ศจีพยักหน้าหงึก ๆ คล้อยตามพลางเห็นด้วยในเหตุผลของลูกสาว

สายเมฆยิ้มบาง ๆ แล้วตอบสำทับอีกที “จริง ๆ แล้วของพวกนี้ผมก็แค่ดัดแปลงมาจากสิ่งที่เคยเห็นน่ะครับ ไม่ได้คิดเองทั้งหมดหรอก อีกอย่างที่ผมคิดว่าผมทำอะไรได้หลาย ๆ อย่าง ก็เพราะผมเรียนหนังสือด้วยแหละครับ การศึกษามันสำคัญจริง ๆ นะครับป้า มันช่วยให้เราได้เปิดหูเปิดตา ทันโลก ทันคน”

ทันทีที่สายเมฆพูดถึงเรื่องการศึกษา สีหน้าของศจีและรุจน์ก็พลันเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แววตาของทั้งคู่ฉายแววเจ็บปวดและผิดหวังในโชคชะตาที่เล่นตลกกับพวกเขา รุจน์ เป็นเด็กเรียนดีประจำหมู่บ้าน ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ตั้งความหวังไว้ว่าเขาจะได้เรียนสูง ๆ และนำความรู้กลับมาพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญก้าวหน้า แต่โชคชะตากลับพลิกผันอย่างคาดไม่ถึง เมื่อพ่อของรุจน์พาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในบ้าน ทำให้แม่ของรุจน์ตรอมใจตาย ส่วนผู้หญิงคนใหม่นั้นก็ใจร้าย บังคับให้รุจน์ออกจากโรงเรียนกลางคัน ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็พากันสงสารรุจน์ ผู้ใหญ่บ้านพยายามเข้ามาพูดคุยกับพ่อของรุจน์เพื่อขอให้เขากลับไปเรียนต่อ แต่ก็โดนว่ากลับมาว่ายุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่น ด้วยเหตุนี้ รุจน์จึงมีวุฒิการศึกษาเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 เท่านั้น

เช่นเดียวกับ ศจี ที่ครอบครัวของเธอมีฐานะยากจน และมีลูกหลายคน ทางบ้านไม่สามารถส่งเสียให้เรียนได้ครบทุกคน จึงเลือกส่งเพียงลูกชายได้เรียน ส่วนลูกผู้หญิงอย่างศจีต้องช่วยงานบ้านมาตั้งแต่เด็ก ศจีก็เลยจบการศึกษาเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 เช่นเดียวกับรุจน์

เมื่อทั้งสองคนได้แต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน ก็มีความคาดหวังร่วมกันว่าจะส่งเสียลูกสาวคนเดียวอย่างข้าวหอมให้ได้เรียนสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ลูกจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนพวกเขา แต่โชคชะตาก็เหมือนจะเล่นตลกอีกครั้ง เมื่อข้าวหอมกลับเป็นเด็กที่ช่างไม่รักเรียนเอาเสียเลย ทำให้พอจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 เธอก็ขอออกจากโรงเรียนมาอยู่บ้านเฉย ๆ สร้างความปวดใจให้กับศจีและรุจน์เป็นอย่างมาก

สายเมฆเห็นสีหน้าที่เศร้าสร้อยของทั้งคู่เมื่อพูดถึงเรื่องการศึกษา เขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะกลัวจะเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดในใจของพวกเขา แต่ในความเงียบนั้น สายเมฆกลับครุ่นคิดถึงวิธีที่จะช่วยเหลือครอบครัวนี้ได้มีโอกาสได้เรียนหนังสืออีกครั้ง

สายเมฆคิดไม่ตกเรื่องการศึกษาของข้าวหอม รุจน์ และศจี เขารู้ดีว่าด้วยอายุของทั้งสามคนในยุคนี้ การกลับไปเรียนโรงเรียนปกติเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ความกังวลเกาะกินในใจจนหาทางออกไม่เจอ เมื่อคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เขาก็เลยขอตัวออกไปเดินเล่นบริเวณรอบ ๆ บ้าน เพื่อหาที่สงบ ๆ คิดอะไรคนเดียว

เมื่อมั่นใจว่าลับตาคน เขาก็ตัดสินใจลองเรียก พายุ เทวดาผู้คุมกฎของเขาดูอีกครั้ง แม้จะไม่แน่ใจว่าจะได้ผลหรือไม่ เพราะตั้งแต่มายังโลกมนุษย์ เขาก็ไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของพายุเลย “พายุ! พายุ! พายุ! ท่านได้ยินข้าไหม” เขาเรียกซ้ำ ๆ สามสี่ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของใครโผล่มา ความหงุดหงิดเริ่มคืบคลานเข้ามายามที่ความพยายามไม่เป็นผล

“ไอ้เทวดาบ้า!” สายเมฆสบถออกมาเสียงเข้มอย่างลืมตัว “ไหนแกบอกว่าจะคอยช่วยเหลือฉันอยู่ห่าง ๆ ไง? ฉันมาอยู่ที่นี่ได้เกือบเดือนแล้ว ไม่เห็นแม้แต่หัวแกเลย!”

ทันใดนั้นเอง แสงเรืองรองสีฟ้าอ่อนก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ก่อนจะก่อตัวเป็นร่างของ พายุ เทวดาหนุ่มผู้มีรอยยิ้มกวนโอ๊ยประดับอยู่บนใบหน้า “แหม! ตั้งแต่มาอยู่เมืองมนุษย์ ปากคอเราะร้ายมากเลยนะท่าน” พายุเอ่ยหยอกล้อด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ไม่ได้ถือสาคำสบถของสายเมฆเลยแม้แต่น้อย

“แล้วเรียกข้ามาทำไมล่ะ?” พายุถามต่อด้วยน้ำเสียงกวนประสาทไม่เลิก “อย่าบอกนะว่าไม่อยากเป็นมนุษย์แล้ว? ข้าบอกไว้ก่อนนะ ท่านได้เลือกแล้ว ถ้าครอบครัวนี้ไม่ร่ำรวย ท่านก็ไม่ได้กลับสวรรค์หรอกนะ ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะกวนใจของพายุดังขึ้น ทำให้สายเมฆรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกหยอกไม่เลิก

“ไม่ใช่!” สายเมฆตอบเสียงห้วน “ข้าแค่อยากให้ท่านช่วยหาข้อมูลบางอย่าง ท่านมีพลังของเทวดานี่ คงไม่ยากอะไรหรอกมั้ง”

“แล้วท่านอยากรู้อะไรล่ะ?” พายุถาม ดวงตาจับจ้องไปที่สายเมฆอย่างรู้ทัน “คงไม่ใช่เรื่องล็อตเตอรี่งวดนี้จะออกอะไร หรือหุ้นตัวไหนจะ ‘ทูเดอะมูน’ หรอกนะ? เรื่องพวกนี้ข้าบอกท่านไม่ได้หรอกนะ เพราะมันจะเป็นการโกงมนุษย์คนอื่น ผิดกฎสวรรค์อย่างร้ายแรงเลยล่ะ” พายุอธิบายข้อจำกัดที่เขาสามารถช่วยเหลือได้ให้สายเมฆรับทราบ

“ไม่ใช่หรอก” สายเมฆปฏิเสธ ก่อนจะเล่าเรื่องความกังวลเกี่ยวกับการศึกษาของข้าวหอม รุจน์ และศจีให้พายุฟังโดยละเอียด “ข้าแค่อยากรู้เกี่ยวกับระบบการศึกษาของมนุษย์ในยุคนี้ ว่ามีช่องทางไหนที่พวกเขาพอจะเรียนต่อได้บ้าง”

“อ้อ... ถ้าแบบนี้ก็พอมีทางช่วยอยู่” พายุพยักหน้าเข้าใจทันที พลางกวาดมือเบา ๆ ในอากาศ ภาพข้อมูลต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นเบือนหน้าสายเมฆ “ระบบการศึกษาไทยช่วงปี พ.ศ. 2520 น่ะ... ก็มีทั้งโรงเรียนปกติ และก็มีโครงการ การศึกษานอกโรงเรียน หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า กศน. ที่เปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยได้เรียนรู้ และได้รับวุฒิการศึกษาที่เทียบเท่ากับการศึกษาในระบบได้ด้วยนะ...” พายุอธิบายรายละเอียดของระบบการศึกษา รวมถึงช่องทางและเงื่อนไขต่าง ๆ ของ กศน. ให้สายเมฆฟังอย่างชัดเจน ตามข้อมูลที่เขาได้หามาให้

เมื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เรียบร้อยแล้ว พายุก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของสายเมฆอีกเล็กน้อยด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะโบกมือลาแล้วขอตัวกลับไปยังสวรรค์อย่างเกียจคร้าน เหลือทิ้งไว้เพียงสายเมฆที่ยืนอยู่คนเดียว พร้อมกับข้อมูลอันล้ำค่าที่ส่องประกายความหวังให้แก่เขา

ข้าวหอมที่เห็นสายเมฆหายไปนานผิดปกติ ก็เริ่มรู้สึกเป็นห่วงและเดินออกมาตามหาจนพบว่าเขายืนอยู่เงียบ ๆ บริเวณหลังบ้าน

“พอดีเลยข้าวหอม” สายเมฆเห็นเธอเดินมาก็ทักขึ้นก่อนด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่กำลังจะหาทางเรียกข้าวหอมออกมาปรึกษาอยู่พอดี”

“ปรึกษาเรื่องอะไรคะพี่สายเมฆ?” ข้าวหอมถามด้วยความสงสัย

“เรื่องเรียนน่ะ” สายเมฆตอบ ก่อนจะเริ่มอธิบายถึงระบบการศึกษานอกโรงเรียน หรือ กศน. ที่เขาเพิ่งได้ข้อมูลมาจากพายุอย่างละเอียด

“แล้วทำไมข้าวหอมต้องเรียนด้วยอะพี่สายเมฆ?” ข้าวหอมถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเห็นด้วยนัก “พี่ยังไม่ลืมใช่มั้ยว่าก่อนข้าวหอมจะข้ามเวลามายังที่นี่ ข้าวหอมเรียนจบปริญญาโทเลยนะคะ!” เธอเน้นย้ำถึงวุฒิการศึกษาเดิมของเธอ

สายเมฆไม่รอช้า ใช้นิ้วดีดหน้าผากมนของข้าวหอมเบา ๆ เป็นการเตือนสติ “แล้วชาตินี้เธอมีใบปริญญาไหมล่ะ? เธอมีวุฒิแค่ ป.7 แล้วเธอจะอยู่ขายที่ตากเนื้อแห้งตลอดไปรึยังไง? เธออยากรวยไม่ใช่เหรอ? เธอมีความรู้ก็จริง แต่เวลาไปสมัครงานหรือแม้แต่ติดต่อลูกค้า เธอคิดว่าเขาจะเชื่อมั่นในตัวเธอไหมถ้าไม่มีอะไรมาการันตี?”

ข้าวหอมคิดตามคำพูดของสายเมฆอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพยักหน้า เบา ๆ เธอเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดดี แม้จะขี้เกียจแค่ไหน แต่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ก็คงต้องยอมทำ

สายเมฆเมื่อเห็นข้าวหอมคล้อยตาม เขาก็เริ่มถามถึงรุจน์และศจีต่อ เพราะไม่แน่ใจว่าทั้งคู่จะอยากเรียนด้วยหรือไม่

ข้าวหอมหลับตาลงเล็กน้อย พยายามใช้ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอย่างละเอียด และเธอก็พบว่าพ่อกับแม่ของเธอนั้นเป็นคนรักเรียนมาก แต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างในอดีตทำให้ต้องหยุดเรียนไป ข้าวหอมจึงเล่าเรื่องราวจากความทรงจำทั้งหมดให้สายเมฆฟังด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

เมื่อสายเมฆได้ข้อมูล เขาก็ปรึกษาหารือกับข้าวหอมอย่างจริงจัง จนได้ข้อสรุปว่า เนื่องจาก กศน. ไม่ได้มีอยู่ทุกหมู่บ้าน แม้จะไม่ต้องเรียนทุกวัน แต่การเดินทางไปเรียนก็คงไม่สะดวกสำหรับทั้งสามคน ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงกันว่าจะตั้งใจทำงานเก็บเงินสักปีหนึ่ง เพื่อให้มีทุนรอนเพียงพอ แล้วจึงจะหาทางย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอ เพื่อหาช่องทางทำกินที่นั่น และเรียน กศน. ในตัวอำเภอไปพร้อมกัน

สายเมฆและข้าวหอมเดินกลับเข้าไปปรึกษาเรื่องแผนการในอนาคตนี้กับรุจน์และศจี ซึ่งทันทีที่ทั้งคู่ได้รู้ถึงแผนการอันยาวไกลนี้ ดวงตาของรุจน์และศจีก็เป็นประกายด้วยความหวังและความตื่นเต้น

“แล้วที่ตากเนื้อแห้งของเราล่ะลูก... จะเลิกทำไปเลยเหรอ?” ศจีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย

“เรื่องนี้ผมจะคุยกับคุณลุงคุณป้าพอดีเลยครับ” สายเมฆตอบ “ออเดอร์จากเจ๊จวงที่เราจะไปรับ น่าจะเยอะกว่าของลุงเพิ่มมาก การที่เราทำแค่ไม่กี่คนแบบนี้คงจะทำได้ช้า ผมอยากให้คุณลุงคุณป้าลองหาคนที่ไว้ใจได้ในหมู่บ้านมาช่วยงานอีกสักสามสี่คน เราจะได้ดูหน่วยก้านของพวกเขา ก่อนที่เราจะย้ายไปก็จะได้ยกกิจการตรงนี้ให้เขาดูแลแทนไปเลยครับ” สายเมฆเสนอแผนการอย่างรอบคอบ

ศจีและรุจน์มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจกับแนวคิดที่ไม่คาดฝัน

“ถึงแม้จะดูน่าเสียดายที่ต้องทิ้งสิ่งที่เราสร้างมาตั้งแต่แรก” สายเมฆกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่เราไม่สามารถทำทุกอย่างพร้อมกันได้ ถ้าป้าเชื่อใจผม ผมรับรองว่าเมื่อเราย้ายไปอยู่ในเมือง ผมจะหาอาชีพที่ทำรายได้ดีกว่านี้ให้ครอบครัวเราอย่างแน่นอน”

ศจีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก เธอเชื่อมั่นในตัวสายเมฆอย่างประหลาด แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสะกิดใจนิด ๆ ที่สายเมฆใช้คำว่า ‘ครอบครัวเรา’ อยู่บ่อยครั้ง ‘ถ้าเขาเป็นหลานเราจริง ๆ ได้แบบนี้ก็ดีสินะ’ ศจีคิดในใจพลางลอบมองสายเมฆด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูและความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 15 กินเลี้ยงเล็ก ๆ

    วันนี้เป็นวันที่ห้าของการทำงาน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ใต้ถุนบ้าน สินค้าที่ทุกคนช่วยกันทำอย่างขยันขันแข็งก็ใกล้จะครบจำนวนที่ต้องส่งในล็อตแรกแล้ว ข้าวหอมมองเห็นความสำเร็จอยู่รำไร จึงเอ่ยเสนอขึ้นมากลางวง “นี่! หลังจากที่เราส่งสินค้าล็อตแรกให้เจ๊จวงแล้ว พวกเราควรมีการฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ กันไหมคะ? ทำอะไรอร่อย ๆ กินกันตอนเย็น ให้ธงกับแก้วชวนป้าแจ่มกับลุงเพิ่มมาด้วยเลย!”ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามด้วยในทันที ใบหน้าของแต่ละคนเปื้อนยิ้มด้วยความยินดี พร้อมทั้งรับปากว่าจะนำอาหารมาร่วมฉลองด้วยอย่างแน่นอน บรรยากาศของการทำงานในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความสุขและความกระตือรือร้น เพราะทุกคนต่างมีเป้าหมายร่วมกัน และอดใจรอช่วงเวลาแห่งการฉลองไม่ไหวเมื่อทำสินค้าชิ้นสุดท้ายจนครบตามจำนวน สายเมฆได้ขอให้ทุกคนช่วยทำเพิ่มอีกขนาดละสามอัน “กันไว้ดีกว่าแก้นะครับ” เขากล่าว “เผื่อมีเสียหายระหว่างขนส่ง หรือมีอันไหนไม่ได้มาตรฐาน จะได้ไม่ต้องกังวล” ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยทำต่ออย่างไม่ปริปากบ่นเมื่อสินค้าสำรองเสร็จเรียบร้อย รุจน์ก็เล่าแผนการในวันพรุ่งนี้ว่า “พรุ่งนี้พ่อจะไปหาเหมารถสองแถว เพื่อเอาของไปส่งให้เจ๊จ

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   เพื่อนร่วมงาน

    หลังจากที่ป้าแจ่มและเจ้าธงกลับไปแล้ว รุจน์และสายเมฆก็เริ่มปรึกษาหารือกันเรื่องสถานที่ที่จะใช้เป็นโรงงานผลิตที่ตากเนื้อแห้งชั่วคราว ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่า ใต้ถุนบ้าน นี่แหละคือจุดที่เหมาะสมที่สุด ด้วยความที่เป็นใต้ถุนยกสูง ลมพัดโกรกสบาย ทำให้ทำงานได้โดยไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวศจีเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรทำห้องเก็บของไว้ใต้ถุนด้วย จะได้ไม่ต้องขนข้าวของขึ้นลงไปเก็บข้างบนให้ยุ่งยาก ข้าวหอมเองก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยปรับปรุงสถานที่และสร้างห้องเก็บของขนาดกะทัดรัดให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะถึงวันนัดหมายสำคัญเมื่อวันนัดมาถึง กลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงบ้านข้าวหอมคือ เจ้าธง แซม และสาลี่ผู้เป็นแม่ของแซม ทั้งสามคนดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน พวกเขาหิ้วตะกร้าใส่ส้มและกล้วยมาด้วย เพื่อเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนที่ได้รับโอกาสในการทำงาน เจ้าธงผู้ร่าเริงและเข้ากับคนง่าย รับหน้าที่แนะนำแซมและสาลี่ให้ทุกคนในบ้านรู้จัก แซมดูขัดเขินเล็กน้อย พูดน้อย ไม่ต่างจากสาลี่ผู้เป็นแม่ที่ค่อนข้างจะเรียบร้อยและเงียบเช่นกันศจีผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปชวนสาลี่คุย เพื่อสร้างความรู้สึกคุ

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 13 หาคน

    หลังจากที่ส่งมอบที่ตากเนื้อแห้งล็อตสุดท้ายให้แก่ลุงเพิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สายเมฆกับรุจน์ก็พากันนำตัวอย่างสินค้าชุดใหม่สำหรับเจ๊จวงไปให้ดูที่ตลาดในเมืองทันที ส่วนทางด้านศจีที่อยู่บ้านก็เริ่มภารกิจสำคัญ นั่นคือการพยายามหาคนที่ไว้ใจได้และมีฝีมือดีมาช่วยงานที่ตากเนื้อแห้งตามแผนที่สายเมฆวางไว้ขณะที่ศจีกำลังครุ่นคิดและกลุ้มใจว่าจะไปหาใครที่เหมาะสมได้จากที่ไหน ทันใดนั้น เจ้าธง หลานชายของป้าแจ่ม ก็เดินแบกถังใส่ข้าวสารใบใหญ่มาที่บ้าน ศีรษะมีเหงื่อซึมตามไรผม บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า ข้าวสารในถังนั้นคือค่าตอบแทนที่สายเมฆช่วยเข็นข้าวเปลือกไปสีที่โรงสีเมื่อหลายวันก่อน ศจีมองเห็นเจ้าธงแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนี้ดูมีหน่วยก้านดี ร่างกายแข็งแรง และเป็นคนขยันขันแข็ง เธอจึงตัดสินใจเอ่ยถามขึ้น“เจ้าธง... ระหว่างรอเกี่ยวข้าวที่นา มีอะไรทำรึเปล่าลูก?”เจ้าธงยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบ 32 ซี่ พลางเกาหัวอย่างเขิน ๆ “ก็ว่าจะเข้าไปหางานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเมืองจ้ะน้า อยู่ที่บ้านก็ไม่มีงานอะไรทำ ว่าง ๆ ก็เบื่อเหมือนกัน”ศจีจึงถือโอกาสนี้ชวนทันที “พอดีเลย... บ้านน้ากำลังต้องการคนช่วย น้าต้องทำที่ตากเนื้อ

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 12 เรียนหนังสือ

    นับจากวันที่ได้อุปกรณ์ครบ ทุกคนก็เริ่มลงมือทำที่ตากเนื้อแห้งกันอย่างขยันขันแข็ง และเนื่องจากสายเมฆได้วางแผนงานไว้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขนาดของโครงไม้ไปจนถึงการตัดผ้าตาข่ายขนาดต่าง ๆ ทำให้แต่ละคนสามารถแบ่งหน้าที่กันทำได้อย่างรวดเร็ว งานจึงคืบหน้าไปได้มากจนน่าตกใจ ลุงเพิ่มเจ้าของร้านชำที่แวะเวียนมาดูความคืบหน้าอยู่บ่อย ๆ ก็ถึงกับพึงพอใจที่สินค้าล็อตแรกเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้มากนัก“สายเมฆเอ๊ย... ลุงกับป้าต้องขอบใจหนูจริง ๆ นะลูก” ศจีเอ่ยขึ้นมากลางวงขณะที่ทุกคนกำลังนั่งช่วยกันทำงานอยู่ “ถ้าไม่ได้หนูมาช่วยคิดช่วยทำ ป้าคงไม่ได้ลืมตาอ้าปากได้เร็วขนาดนี้หรอก”“เรื่องเล็กน้อยครับป้า” สายเมฆยิ้มตอบอย่างอบอุ่น หัวใจของเขาอ่อนยวบลงเมื่อเห็นแววตาซาบซึ้งของศจี “อย่าลืมสิครับลุงกับป้าคือคนช่วยชีวิตผมไว้นะครับ”“แล้วทำไมสายเมฆถึงได้รู้เรื่องอะไรมากมายอย่างนี้ล่ะลูก” ศจียังคงชวนคุยต่อด้วยความใคร่รู้“แม่คะ! ก็พี่สายเมฆเขาเคยบอกไว้แล้วไงคะว่าเขาเคยทำงานบริษัทฝรั่ง เขาก็ต้องมีความรู้สิคะ!” ข้าวหอมรีบชิงตอบแทนสายเมฆ เพราะไม่อยากให้แม่ซักไซ้มากไปกว่านี้ เธอกลัวว่าสายเมฆจะหลุดว่าย้อนเวลามาศจีพยักหน้าหงึก ๆ

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 11 ลำดวน

    รถสองแถวค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากท่ารถที่ตลาดช้า ๆ ทิ้งความจอแจไว้เบื้องหลัง รุจน์นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ท่าทางของเขาดูครุ่นคิดและเงียบผิดปกติ สายเมฆที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็นแววตาของรุจน์แล้ว ก็พอจะคาดเดาได้ว่าระหว่างรุจน์กับลำดวนคงมีเรื่องราวบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าคนรู้จักทั่วไป‘แล้วเราควรจะบอกข้าวหอมเรื่องนี้ดีไหมนะ? จะเป็นการยุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่นเกินไปรึเปล่า? หากมันไม่มีอะไรจริง ๆ จะกลายเป็นการทำให้น้าศจีต้องระแวงเปล่า ๆ รึเปล่า?’ สายเมฆคิดวนไปมาในหัวอย่างหนักใจ เขาพยายามพิจารณาถึงผลกระทบที่จะตามมา ก่อนจะตัดสินใจว่าเขายังจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้ อย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นคนนอก แต่ถ้าหากมีอะไรไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้นจริง ๆ เขาค่อยบอกข้าวหอมทีหลัง‘ช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าครอบครัวนี้ไม่กลับไปร่ำรวย เขาก็คงอดกลับสวรรค์น่ะสิ’ ความคิดเรื่องภารกิจกลับสวรรค์ผุดขึ้นมาในใจ ทำให้เขารู้สึกว่ามีความชอบธรรมที่จะสอดส่องและดูแลครอบครัวนี้ต่อไปเมื่อรถสองแถวมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน รุจน์กับสายเมฆก็ช่วยกันแบกข้าวของที่ซื้อมามากมายเดินกลับบ้าน แม้ของจะหนักและทางเดินจะค่อนข้าง

  • คุณแม่ขา...ขอพรเทวดาทำไม   บทที่ 10 ตลาดในเมือง

    วันนี้ทั้งบ้านตื่นเช้าเป็นพิเศษ ตั้งแต่แสงแรกของอรุณรุ่ง ข้าวหอมช่วยศจีจัดเตรียมอาหารที่แม่ทำใส่กล่องข้าวอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้รุจน์และสายเมฆห่อติดตัวไปกินในเมืองตอนแรกข้าวหอมออกจะไม่เห็นด้วยนักกับการห่อข้าวไปกิน เธอรู้สึกว่ามันไม่สะดวกเอาเสียเลย การซื้อกินที่นั่นน่าจะดีกว่า ทั้งประหยัดเวลาและดูสบายกว่ากันเยอะ“พ่อคะ ตอนนี้เราก็พอมีเงินแล้วนี่คะ ทำไมเรายังจะต้องประหยัดขนาดนี้อีก? พ่อควรจะได้กินอะไรดีๆ ในเมืองบ้างนะคะ” ข้าวหอมเอ่ยถามด้วยความสงสัยรุจน์ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะสอนลูกสาวด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ข้าวหอม… ยามที่เรามี ก็ควรรู้จักเก็บหอมรอมริบเอาไว้บ้างนะลูก เผื่อวันหนึ่งข้างหน้าวันที่เราไม่มี จะได้ไม่ลำบาก อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัดเถอะ ใช้เงินอย่างรู้คุณค่า แล้ววันหน้าจะไม่เดือดร้อน”‘ยัยนี่ก็ยังไม่รู้จักคุณค่าของเงินอยู่ดีสินะ พอมีก็จะใช้อย่างเดียวเลย’ สายเมฆคิดในใจพลางแอบมองข้าวหอมก่อนจะเอ่ยสมทบคำพูดของรุจน์ “ที่พ่อพูดน่ะถูกแล้วข้าวหอม ตอนนี้เราเริ่มหาเงินได้ก็ต้องเก็บไว้ก่อน เราไม่รู้หรอกว่าที่ตากเนื้อแห้งของเราจะขายได้ไปอีกนานแค่ไหน สักระยะหนึ่งเราก็ต้องหาอย่างอื่นทำ อันไหนประหยั

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status