“นี่ธง... เธอจะเอายังไงต่อเหรอ? หลังจากของล็อตสุดท้ายนี่เสร็จหมดแล้วน่ะ” แก้ว เอ่ยถาม ธง ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่พวกเขานั่งทำงานตัดตาข่ายอยู่ข้าง ๆ กัน คำถามของแก้วกลับทำให้ธงชะงักไปชั่วครู่ธง นิ่งคิดไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ไม่รู้สิแก้ว” คือเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำยังไงต่อดี ชีวิตเขามันยังไงก็ได้ จะทำที่ตากเนื้อแดดแห้งต่อในหมู่บ้านก็ดี หรือจะตามไปอยู่ในเมืองกับครอบครัวข้าวหอมก็น่าสนใจ เพราะการได้อยู่ใกล้ ๆ พวกเขาแล้วมันรู้สึกสบายใจ แถมยังได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา เพราะครอบครัวนี้ดูมีความรู้ มีความคิดที่จะทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่เคยหยุดนิ่งแก้วได้ฟังคำตอบแล้วก็หน้าเจื่อนลงไปทันที ในใจของเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้ธงไปด้วยกัน เพราะถ้าธงไปอยู่เมืองเดียวกับเธอ เธอคงจะอุ่นใจมากขึ้นกว่านี้ ตั้งแต่ตอนเด็กไม่ว่าเธอจะโดนเพื่อนแกล้ง หรือเจอเรื่องอะไรไม่สบายใจ ธงก็คอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงเป็นคนที่คอยช่วยนั่นนี่เธออยู่เสมอธงเห็นแก้วเงียบไป ใบหน้าดูหม่นหมอง เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “แก้วอยากให้เราไปอยู่ในเมืองด้วยไหม? ถ้าแก้วอยากให้เ
“ได้ของมาแล้วใช่ไหม? คิดว่าจะทำตามได้ไหม?” ลำดวน ถาม เข้ม ลูกน้องคนสนิทด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแฝงความไม่พอใจ หากคำตอบที่ได้ยินไม่เป็นไปตามที่เธออยากฟัง“ได้มาแล้วครับคุณลำดวน” เข้มตอบรับเสียงหงอย พลางก้มหน้าส่งที่ตากเนื้อแห้งที่ซื้อมาเป็นตัวอย่างให้ลำดวนดูอย่างระมัดระวัง “กำลังให้คนงานลองแกะดูอยู่ครับ ดูแล้วน่าจะทำตามได้ไม่ยากขอรับ”ลำดวนไม่ได้สนใจที่จะมองดูตัวอย่างสินค้านั้นเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างไร้อารมณ์ เธอเพียงแต่กำชับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ดี! ทำให้เร็วที่สุด และมากที่สุด! ฉันต้องการให้เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์” ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เข้มยืนงุนงงอยู่เพียงลำพังเข้มมองตามแผ่นหลังเจ้านายของเขาด้วยความงุนงง ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เดิมทีเขาเป็นคนดูแลกิจการให้กับนายใหญ่ผู้ล่วงลับ ซึ่งก็คือสามีของลำดวน แต่เมื่อนายใหญ่เสียชีวิต มรดกทุกอย่างก็ตกเป็นของลำดวนทั้งหมด เมื่อลำดวนกลับมาที่บ้านเกิดเขาก็ถูกลำดวนเรียกตัวมาใช้งานต่อทันทีครั้งนี้ลำดวนสั่งให้เขาไปสืบมาว่าที่บ้านของรุจน์กำลังจัดงานฉลองอะไร พอรู้ว่ารุจน์เริ่มทำสินค้าส่งให้เจ๊จวงที่ตลา
วันนี้เป็นวันที่ห้าของการทำงาน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ใต้ถุนบ้าน สินค้าที่ทุกคนช่วยกันทำอย่างขยันขันแข็งก็ใกล้จะครบจำนวนที่ต้องส่งในล็อตแรกแล้ว ข้าวหอมมองเห็นความสำเร็จอยู่รำไร จึงเอ่ยเสนอขึ้นมากลางวง “นี่! หลังจากที่เราส่งสินค้าล็อตแรกให้เจ๊จวงแล้ว พวกเราควรมีการฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ กันไหมคะ? ทำอะไรอร่อย ๆ กินกันตอนเย็น ให้ธงกับแก้วชวนป้าแจ่มกับลุงเพิ่มมาด้วยเลย!”ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามด้วยในทันที ใบหน้าของแต่ละคนเปื้อนยิ้มด้วยความยินดี พร้อมทั้งรับปากว่าจะนำอาหารมาร่วมฉลองด้วยอย่างแน่นอน บรรยากาศของการทำงานในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความสุขและความกระตือรือร้น เพราะทุกคนต่างมีเป้าหมายร่วมกัน และอดใจรอช่วงเวลาแห่งการฉลองไม่ไหวเมื่อทำสินค้าชิ้นสุดท้ายจนครบตามจำนวน สายเมฆได้ขอให้ทุกคนช่วยทำเพิ่มอีกขนาดละสามอัน “กันไว้ดีกว่าแก้นะครับ” เขากล่าว “เผื่อมีเสียหายระหว่างขนส่ง หรือมีอันไหนไม่ได้มาตรฐาน จะได้ไม่ต้องกังวล” ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยทำต่ออย่างไม่ปริปากบ่นเมื่อสินค้าสำรองเสร็จเรียบร้อย รุจน์ก็เล่าแผนการในวันพรุ่งนี้ว่า “พรุ่งนี้พ่อจะไปหาเหมารถสองแถว เพื่อเอาของไปส่งให้เจ๊จ
หลังจากที่ป้าแจ่มและเจ้าธงกลับไปแล้ว รุจน์และสายเมฆก็เริ่มปรึกษาหารือกันเรื่องสถานที่ที่จะใช้เป็นโรงงานผลิตที่ตากเนื้อแห้งชั่วคราว ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่า ใต้ถุนบ้าน นี่แหละคือจุดที่เหมาะสมที่สุด ด้วยความที่เป็นใต้ถุนยกสูง ลมพัดโกรกสบาย ทำให้ทำงานได้โดยไม่รู้สึกร้อนอบอ้าว ศจีเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรทำห้องเก็บของไว้ใต้ถุนด้วย จะได้ไม่ต้องขนข้าวของขึ้นลงไปเก็บข้างบนให้ยุ่งยาก ข้าวหอมเองก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยปรับปรุงสถานที่และสร้างห้องเก็บของขนาดกะทัดรัดให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะถึงวันนัดหมายสำคัญ เมื่อวันนัดมาถึง กลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงบ้านข้าวหอมคือ เจ้าธง แซม และสาลี่ผู้เป็นแม่ของแซม ทั้งสามคนดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน พวกเขาหิ้วตะกร้าใส่ส้มและกล้วยมาด้วย เพื่อเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนที่ได้รับโอกาสในการทำงาน เจ้าธงผู้ร่าเริงและเข้ากับคนง่าย รับหน้าที่แนะนำแซมและสาลี่ให้ทุกคนในบ้านรู้จัก แซมดูขัดเขินเล็กน้อย พูดน้อย ไม่ต่างจากสาลี่ผู้เป็นแม่ที่ค่อนข้างจะเรียบร้อยและเงียบเช่นกัน ศจีผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปชวนสาลี่คุย เพื่อสร้างความรู้
หลังจากที่ส่งมอบที่ตากเนื้อแห้งล็อตสุดท้ายให้แก่ลุงเพิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สายเมฆกับรุจน์ก็พากันนำตัวอย่างสินค้าชุดใหม่สำหรับเจ๊จวงไปให้ดูที่ตลาดในเมืองทันที ส่วนทางด้านศจีที่อยู่บ้านก็เริ่มภารกิจสำคัญ นั่นคือการพยายามหาคนที่ไว้ใจได้และมีฝีมือดีมาช่วยงานที่ตากเนื้อแห้งตามแผนที่สายเมฆวางไว้ขณะที่ศจีกำลังครุ่นคิดและกลุ้มใจว่าจะไปหาใครที่เหมาะสมได้จากที่ไหน ทันใดนั้น เจ้าธง หลานชายของป้าแจ่ม ก็เดินแบกถังใส่ข้าวสารใบใหญ่มาที่บ้าน ศีรษะมีเหงื่อซึมตามไรผม บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า ข้าวสารในถังนั้นคือค่าตอบแทนที่สายเมฆช่วยเข็นข้าวเปลือกไปสีที่โรงสีเมื่อหลายวันก่อน ศจีมองเห็นเจ้าธงแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนี้ดูมีหน่วยก้านดี ร่างกายแข็งแรง และเป็นคนขยันขันแข็ง เธอจึงตัดสินใจเอ่ยถามขึ้น“เจ้าธง... ระหว่างรอเกี่ยวข้าวที่นา มีอะไรทำรึเปล่าลูก?”เจ้าธงยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบ 32 ซี่ พลางเกาหัวอย่างเขิน ๆ “ก็ว่าจะเข้าไปหางานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเมืองจ้ะน้า อยู่ที่บ้านก็ไม่มีงานอะไรทำ ว่าง ๆ ก็เบื่อเหมือนกัน”ศจีจึงถือโอกาสนี้ชวนทันที “พอดีเลย... บ้านน้ากำลังต้องการคนช่วย น้าต้องทำที่ตากเนื้อ
นับจากวันที่ได้อุปกรณ์ครบ ทุกคนก็เริ่มลงมือทำที่ตากเนื้อแห้งกันอย่างขยันขันแข็ง และเนื่องจากสายเมฆได้วางแผนงานไว้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขนาดของโครงไม้ไปจนถึงการตัดผ้าตาข่ายขนาดต่าง ๆ ทำให้แต่ละคนสามารถแบ่งหน้าที่กันทำได้อย่างรวดเร็ว งานจึงคืบหน้าไปได้มากจนน่าตกใจ ลุงเพิ่มเจ้าของร้านชำที่แวะเวียนมาดูความคืบหน้าอยู่บ่อย ๆ ก็ถึงกับพึงพอใจที่สินค้าล็อตแรกเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้มากนัก“สายเมฆเอ๊ย... ลุงกับป้าต้องขอบใจหนูจริง ๆ นะลูก” ศจีเอ่ยขึ้นมากลางวงขณะที่ทุกคนกำลังนั่งช่วยกันทำงานอยู่ “ถ้าไม่ได้หนูมาช่วยคิดช่วยทำ ป้าคงไม่ได้ลืมตาอ้าปากได้เร็วขนาดนี้หรอก”“เรื่องเล็กน้อยครับป้า” สายเมฆยิ้มตอบอย่างอบอุ่น หัวใจของเขาอ่อนยวบลงเมื่อเห็นแววตาซาบซึ้งของศจี “อย่าลืมสิครับลุงกับป้าคือคนช่วยชีวิตผมไว้นะครับ”“แล้วทำไมสายเมฆถึงได้รู้เรื่องอะไรมากมายอย่างนี้ล่ะลูก” ศจียังคงชวนคุยต่อด้วยความใคร่รู้“แม่คะ! ก็พี่สายเมฆเขาเคยบอกไว้แล้วไงคะว่าเขาเคยทำงานบริษัทฝรั่ง เขาก็ต้องมีความรู้สิคะ!” ข้าวหอมรีบชิงตอบแทนสายเมฆ เพราะไม่อยากให้แม่ซักไซ้มากไปกว่านี้ เธอกลัวว่าสายเมฆจะหลุดว่าย้อนเวลามาศจีพยักหน้าหงึก ๆ