ลู่โจว / ค่ายดินแดนประจิม
“กองทัพของเราสูญเสียไพร่พลไปร้อยห้าสิบนายที่เหลือบาดเจ็บแต่ก็ปราบข้าศึกที่รุกล้ำดินแดนได้ทันก่อนที่พวกมันจะข้ามมาพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม สั่งการลงไป ให้ถอนกำลังลงมาอีกสิบลี้”
“เอ่อ ท่านอ๋อง เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ล่อมันเข้ามา แล้วฆ่าให้หมด!!”
เสียงที่หนักแน่นและสายตาแข็งกร้าวดุจพยัคฆ์ทำเอารองแม่ทัพเหรียนเจินไม่กล้าสบเนตรนั้น เขารู้ว่าท่านอ๋องเป็นคนโหดเหี้ยมเพียงใด ครั้งนี้สูญเสียไปร้อยห้าสิบนายแต่สิ่งที่ท่านอ๋องจะเอาคืนคือ “ทั้งกองทัพ” ของผู้ที่กล้ามารุกรานเขตแดนของพระองค์
“ท่านอ๋อง มีราชโองการของฝ่าบาทส่งมาพ่ะย่ะค่ะ”
“หยางฮ่าวหราน” หันกลับมาและขมวดคิ้วเลิกถามอย่างแปลกใจ เขากรำศึกอยู่กลางดินแดนประจิมมาได้สองปี แทบจะไม่เคยได้รับราชโองการใด ๆ จากเสด็จพ่อของเขานอกจากเรื่องการแต่งตั้งยศใหม่ให้ซึ่งเขาไม่เคยต้องการ จวนใหม่และเงินที่ประทานมาให้เขาก็นำเข้ากองทัพเพื่อซื้อยา อาวุธและเสบียงเสริม
“นี่มันเรื่องอะไรกัน "ต้าเป่า" เจ้าไปรับมา"
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ต้าเป่า” องครักษ์คนสนิทเพียงคนเดียวเดินไปรับกล่องที่ใส่ราชโองการ ด้านในนั้นมีม้วนราชโองการสีทองลายมังกรอยู่
“คาดผ้าสีแดง นี่หรือว่า…”
“ถึงเวลาเลือกพระชายาแล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ ใครกันนะที่จะ…”
“พูดมากน่ะอี้หลง เจ้าไปดูคนเจ็บมาแล้วงั้นหรือ”
“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะสั่งยามาเพิ่มให้แล้ว ข้าส่งข่าวไปขอความช่วยเหลือจากท่านตาได้ทันเวลา ท่านตาส่งคนพร้อมกับหมอและยามาให้แล้วอีกสองวันก็น่าจะถึง”
“ขอบใจมาก…. นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!”
ต้าเป่าและฟางอี้หลงหันไปมองหน้ากัน พวกเขาสนิทกันเพียงแค่มองตาก็รู้ใจ เมื่อเห็นท่านอ๋องที่ดูหงุดหงิดหลังจากที่อ่านราชโองการจบแล้วจึงได้หันไปมองที่ราชโองการที่ถูกทิ้งลงไปที่กล่อง
“มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าอ่านเอาเองสิ ข้าเองก็อยากถามเจ้าเหมือนกัน”
“ถามกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือว่า…”
ฟางอี้หลงรู้สึกร้อนวูบวาบแปลก ๆ หากว่าท่านอ๋องตรัสเช่นนี้หรือว่าราชโองการนั้นจะเกี่ยวข้องกับสกุลฟางของเขา ต้าเป่ากะพริบตามองอี้หลง เขาจึงพยักหน้าให้ต้าเป่าเดินเข้ามาอ่านพร้อมกัน อี้หลงเมื่ออ่านจบก็รู้ทันที ในตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่ท่านอ๋องเท่านั้นที่หงุดหงิด แม้แต่เขาเองก็คิดว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นในเวลานี้
“อะไรกันนี่ เหตุใดจึง…เป็นนาง”
“เสด็จพ่อคงเกรงว่าข้าจะทำผลงานมากเกินไปจนล้ำหน้าองค์รัชทายาทหรืออย่างไรถึงได้สร้างเรื่องเหลวไหลนี่ขึ้นมา เอ่อ ข้าไม่ได้ว่าเจ้ากับสกุลฟางนะอี้หลงแต่การจับคู่เช่นนี้ข้าคงยอมไม่ได้”
“กระหม่อมเข้าใจพระองค์ดีพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อไม่ได้รักกันเหตุใดจึงประทานสมรสเช่นนี้”
“น้องสาวของเจ้า หากข้าจำไม่ผิดมีอยู่สองคนใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าน้องสาวคนเล็กน่าจะยัง…ไม่สิ อายุนางปีนี้ก็น่าจะครบสิบห้าพอดีแต่ถ้าถามกระหม่อม ในราชโองการนี้คงจะหมายถึงหลีม่านมากกว่าเพราะว่านางอายุย่างเข้าสิบแปดแล้ว”
“ช่างเถอะ เอาไว้เสร็จศึกนี้แล้วเข้าเมืองซีโจวสอบถามดูก็คงจะรู้ความ”
หยางห่าวหรานมาแช่น้ำเพื่อสงบสติอารมณ์ แม้ว่าเรื่องราชโองการสมรสจะเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายแต่เพราะเจ้าสาวมาจากสกุลฟางซึ่งนับเป็นสกุลแม่ทัพ อีกทั้งฟางอี้หลงเป็นสหายคนสนิทที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขามาหลายสมรภูมิ หากว่าเกี่ยวดองเป็นญาติกันก็คงไม่แปลกอันใด
“ฟางหลีม่านงั้นหรือ”
ห่าวหรานจำได้เพียงแค่เสียงแหลม ๆ ของเด็กหญิงวัยที่อ่อนกว่าเขาแต่ใบหน้านั้นเขาจำไม่ได้เพราะพบนางเพียงสองครั้งที่ลานล่าสัตว์ อีกครั้งดูเหมือนจะเป็นพิธีศพของพระสนมหยางซึ่งนางมากับอี้หลงแต่เขาในตอนนั้นแทบจะจดจำใครไม่ได้เลยสักคน เพราะในหัวใจเขามีเพียงความแค้น หลังจากนั้นจึงขออาสาฮ่องเต้ออกศึกไม่หยุดพักจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแคว้นมาจนถึงตอนนี้
“แต่งงาน พระชายางั้นหรือ มีผู้ใดที่อยากจะเป็นพระชายาอ๋องกระหายเลือดอย่างข้ากันเล่า นี่มันเรื่องน่าขำอันใดกัน”
...............................................
“ข้าอย่างไรเล่า ข้าอยากจะเป็นพระชายาท่านอ๋องเจ้าค่ะ ข้าจะรับราชโองการครั้งนี้เอง”
“ม่านเอ๋อร์…. เฮือก!!”
“ฮูหยินใหญ่!! เร็ว ๆ เข้ารีบไปเอายาหอมมาเร็ว!!”
ฮูหยินรองและน้องสามของนางรีบวิ่งเข้าไปพยุงมารดาของนางที่กำลังจะเป็นลมอีกครั้งหลังจากที่สกุลฟางได้รับราชโองการตามที่แม่ทัพฟางได้เกริ่นเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะส่งราชโองการนั้นมารวดเร็วจนนางรับไม่ทัน
“ราชโองการแห่งโอรสสวรรค์ บุตรีของสกุลฟางมากล้นด้วยความสามารถเปี่ยมคุณธรรม สกุลฟางทำชื่อเสียงให้กับซีโจวและแคว้นฉางอานเป็นที่ประจักษ์ ข้าในนามโอรสสวรรค์ขอประทานการหมั้นหมายระหว่างบุตรีสกุลฟางและชินหยางอ๋องแห่งราชวงศ์ จบราชโองการ”
หลังจากอ่านราชโองการจบ ฮูหยินใหญ่ก็ทรุดกายลงทันทีเพราะไม่คิดว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ แม้ว่าชื่อเสียงของชินอ๋อง “หยางห่าวหราน” จะเป็นที่โด่งดังไปทั่วแคว้นแต่การที่สมรสกับเขาก็เท่ากับพร้อมจะเป็นหม้ายได้ตลอดเวลาซึ่งนางไม่หวังจะให้เป็นเช่นนั้น
“ไม่นะ ม่านเอ๋อร์แม่ไม่ยอม ท่านพี่….”
“เฮ้อ ราชโองการมาถึงแล้วเราทำสิ่งใดไม่ได้แล้วล่ะ”
“พี่รอง ท่านจะไปจริง ๆ หรือ เช่นนั้นให้ข้า...”
“หรูเอ๋อร์!! เจ้าหุบปากไป”
“แม่รองท่านไม่ต้องห่วงข้าไม่ให้นางไปแทนข้าหรอก ข้าจะไปเองท่านพ่อเจ้าคะ ตามราชโองการต้องส่งลูกไปที่เมืองลู่โจวก่อนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ม่านเอ๋อร์ เจ้า…ตัดสินใจแน่แล้วงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะลูกตัดสินใจแล้ว นอกจากนี้ลูกก็จะได้พบพี่ใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ไม่ได้กลับมาเกือบห้าปีแล้วนะเจ้าคะ”
แม่ทัพฟางหันไปมองฮูหยินที่น้ำตาไหลรินแต่ในยามนี้ความตั้งใจของบุตรสาวคงไม่มีสิ่งใดห้ามได้ ฟางฮูหยินทราบอยู่แล้วว่าหลีม่านเป็นคนที่ตั้งมั่น หากว่านางจะทำสิ่งใดแล้วไม่มีทางถอยจนกว่านางจะพ่ายแพ้
“ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็อยู่แต่ในจวนที่เมืองลู่โจว ที่นั่นมีพี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ พิธีสมรสก็ยังไม่ได้ประกาศมีเพียงประทานการหมั้นหมายเท่านั้น เอาไว้ค่อยว่ากันเถอะ”
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอกนะเจ้าคะ ท่านอย่าลืมสิว่าที่เมืองลู่นั่นมีจวนของท่านตาอยู่ ข้าไม่ได้ตัวคนเดียวหากว่ามีใครรังแกข้าละก็ข้าจะวิ่งไปฟ้องท่านตา”
“ม่านเอ๋อร์เจ้าไม่เข้าใจแม่เสียเลย พี่ใหญ่ของเจ้าก็ออกศึกกับท่านอ๋องร่วมห้าปีโดยที่ไม่กลับบ้าน แล้วนี่เจ้ายังจะ…. เจ้าจะให้แม่ขาดใจตายเลยหรืออย่างไร”
“ท่านแม่เจ้าคะ”
“ฮูหยิน ใช่ว่าม่านเอ๋อร์จะต้องไปอยู่ที่ลู่โจวตลอดเสียหน่อย ครั้งนี้หากจบศึกท่านอ๋องและหลงเอ๋อร์ก็ได้กลับมาประจำที่ซีโจวแล้ว รออีกไม่นานหรอกเจ้าก็อย่าได้คิดมากไป”
“ท่านพี่ก็พูดเช่นนี้แต่ว่าม่านเอ๋อร์เป็นสตรี นางไม่เคยออกจากจวนไปที่ใดนานขนาดนี้”
“แต่ว่าจะช้าหรือเร็วม่านเอ๋อร์ก็ต้องแต่งงานออกเรือนไปอยู่ดี เทียบกับต้องแต่งออกไปที่จวนท่านโหวหยวนกับชินหยางอ๋อง เจ้าจะเลือกผู้ใดเล่าฮูหยิน”
ท่านอ๋องหันไปสบตากับนางเป็นครั้งแรกในรอบหลาย ๆ วันมานี้ หลีม่านเองก็ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วเช่นกัน“หม่อมฉันเพียงแค่แจ้งให้ทราบ มิได้ขออนุญาตพระองค์นะเพคะ”“เดี๋ยวก่อน! เจ้าจะไปไหน”“จะไปเตรียมของเพื่อไป ว้าย! ห่าวหรานท่านทำอะไรน่ะ”“ข้าจะดูสิว่าผ่านวันนี้ไปเจ้าจะมีแรงลุกจากเตียงกลับไปที่สกุลฟางอยู่หรือไม่”“อย่านะ หยางห่าวหรานท่านปล่อยข้าลงนะ คนบ้าท่านปล่อยข้านะ”“เงียบเถอะเหยาเหยา ยิ่งเจ้าร้องมากเท่าไหร่ข้ายิ่งรู้สึกอยากรังแกเจ้ามากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเก็บแรงไว้ร้องครางบนเตียงเถอะ”ท่านอ๋องพาพระชายาเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับลงกลอนแน่นหนาเมื่อวางร่างของนางลงที่เตียงได้ก็เริ่มจับนางมากอดและซุกไปทั่วทั้งกายด้วยความคิดถึง“เหยาเหยาเจ้าใจร้ายกับข้าเกินไปแล้ว ไม่คุยกับข้าตั้งสามสี่วันนี่ยังจะหอบลูกหนีไปอีกงั้นหรือ”“อย่านะเพคะ พระองค์มิได้ต้องการ…”“ข้าต้องการ ใครพูดว่าข้าไม่ต้องการกัน เจ้าต่างหากที่เอาแต่ผลักไสข้า ไม่ต้องการข้าแล้วงั้นหรือเจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว”“เดี๋ยวก่อนเพคะ คุยกันก่อน”“ไม่ เอาไว้คุยหลังจากนี้เถอะเจ้าจะให้ข้าทนอีกงั้นหรือ ข้าอดทนมากี่วันกี่คืนแล้วเจ้าไม่รู้หรือ เจ
ฮูหยินทั้งสองเดินทางมาเยี่ยมหลีม่านและเมื่อเห็นสีหน้าไม่ดีของพระชายาจึงได้เอ่ยถาม หลีม่านหมดหนทางจึงได้เอ่ยปากปรึกษาเรื่องนี้ไปตอนนี้ลูกทั้งสองกำลังสนุกกับการเล่นดาบไม้และตุ๊กตาผ้าที่ท่านตาและอี้หลงนำมาให้จึงไม่ได้สนใจท่านยายทั้งสองกับท่านแม่ที่อยู่ระเบียงหน้าเรือนรับรองแขก“เช่นนั้นเจ้าก็ลองคิดดูสักหน่อยเถิด แม่ว่าเรื่องนี้ท่านอ๋องก็น่าเห็นใจไม่น้อย คงจะอยากได้บุตรเพิ่มจริง ๆ”“นั่นสิม่านเอ๋อร์ แม่รองคิดว่าที่แม่เจ้าพูดมาก็ถูก หานเยว่กับหลินอิงก็อายุจะสี่ขวบแล้ว เจ้าเว้นช่วงมานานท่านอ๋องก็คงอยากจะได้บุตรเพิ่ม อีกอย่างเจ้าดูสิ ทั้งสองคนติดท่านตากับท่านลุงเช่นนี้ท่านอ๋องก็คงอยากจะมีลูกสาวลูกชายเพิ่มเพื่อจะได้เล่นกับพวกเขาบ้าง”“แต่ว่าพี่ใหญ่กับฉวนหลานเองก็มีบุตรสองคนเช่นกัน เหตุใดพวกเขาไม่มีปัญหาเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ”“ไม่ใช่ไม่มีแต่สุขภาพของหลานเอ๋อร์เจ้าก็รู้อยู่นี่นา นางเองก็สุขภาพพึ่งจะฟื้นฟูได้ไม่กี่ปี มีลูกสองคนก็นับว่าเก่งมากแล้ว แต่เจ้าที่สุขภาพแข็งแรงดีอีกอย่างเชื้อพระวงศ์อื่น ๆ ก็มีลูกมากเป็นธรรมดา”“ช่างเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้เอาไว้ข้าจะคุยกับท่านอ๋องอีกครั้ง”“อืม เช่นนั้นวันน
สี่ปีต่อมา“ยกขาขึ้นสูง ๆ อาเจินไปเอาไม้มา”“แต่ว่าพระชายาเพคะ”“ข้าบอกให้ไปเอาไม้มา”อาเจินหันไปมองท่านหญิงและท่านชายที่ถูกพระชายาทำโทษเพราะแย่งขอเล่นจนทะเลาะกัน ซึ่งนางเคยสอนและตักเตือน “หยางหานเยว่” กับ “หยางหลินอิง” ฝาแฝดแสนซนที่อายุยังไม่ครบสี่ขวบดีก็ซนและเริ่มทะเลาะกัน อาเจินถือไม้ไผ่ที่หลีม่านเคยสั่งให้เหลาเอาไว้มาและถือไว้ เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นไม้ในมือท่านแม่ก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง“รู้หรือไม่ว่าทำอะไรผิด”“ฮึก ฮึก ท่านแม่ขอรับลูกสำนึกแล้วแต่ว่า…”“รู้แล้วเหตุใดถึงยังทำอีก แม่เคยพูดแล้วว่าถ้าทะเลาะกันอีกก็ต้องถูกลงโทษ เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นพี่เจ้าเดินออกมาก่อน”“แต่ข้า…”“อาเยว่ของตา!! เดี๋ยวก่อน ๆ ม่านเอ๋อร์นี่เจ้าทำอะไรน่ะ”“ท่านตา! ฮิือ….”หานเยว่รีบวิ่งไปหาท่านตาทันทีเมื่อเห็นท่านแม่ที่ถลึงตามองด้วยความโกรธ พวกเขารู้ดีว่าท่านแม่จะไม่ทำโทษหากว่ามีแขกมาที่จวน “อิงเอ๋อร์หลานลุงเป็นอะไรไป”“ท่านลุง ฮือ….”“นี่พวกท่าน…. กลับมานี่นะ หานเยว่ หลินอิง”หลินอิงรีบวิ่งไปหาฟางอี้หลงที่เดินมาพร้อมกับท่านตาได้ทันเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกทำโทษ ไม้ไผ่เหลาอย่างดีในมือของหลีม่านสั่นเมื่อเห็นลู
ประทัดหน้าจวนอ๋องเดิมซึ่งเป็นที่พักขององค์หญิงเจ็ด “เอี้ยฉวนหลาน” ดังขึ้นเมื่อขบวนเกี้ยวเจ้าบ่าวมาถึงหน้าประตูจวน องค์รัชทายาทแห่งซีเป่ยมาพร้อมกับชินหยางอ๋องและพระชายาที่เริ่มมีครรภ์โตขึ้นจากเดิมก็หันไปมองทันที“พี่ใหญ่มาแล้วเพคะ”“ฉางซือท่านจะทำจริง ๆ น่ะหรือ นี่เป็นธรรมเนียมของซีโจวท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท ที่จริงไม่ต้องทำก็ได้”“ไม่ได้ ๆ ห่าวหรานท่านอย่าได้ปรามาสเรา นี่งานแต่งของหลานเอ๋อร์ทั้งทีข้าในฐานะพี่ชายของนางก็ต้องทำให้ครบพิธี มิเช่นนั้นคงรู้สึกผิดกลับไปซีเป่ยเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ ไปเถอะเหยาเหยา เจ้าค่อย ๆ เดินนะ”“เพคะ”ท่านอ๋องไม่ยอมให้พระชายาอยู่ห่างพระวรกายเลยตั้งแต่ครรภ์นางมากขึ้น ทั้งคู่เดินออกมาด้านนอกเพื่อรับแขกที่มาร่วมในงาน ฟางอี้หลงในชุดเจ้าบ่าวหล่อเหลาสง่างามเมื่อลงจากม้ามาคำนับท่านอ๋อง“ยินดีด้วยอี้หลง ในที่สุดก็ถึงวันมงคลเสียที ข้ากับเหยาเหยาขออวยพรให้เจ้าและฉวนหลานมีความสุขยั่งยืนนานลูกหลานเต็มเมือง”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าสาวมาแล้ว!”เสียงของแม่สื่อดังออกมาพร้อมกับขบวนเจ้าสาวที่มีสาวใช้ของฉวนหลานพยุงเพื่อพาเจ้าสาวเดินออกมา องค์รัชทายาทของซีเป่ยเ
หลีม่านค่อย ๆ เดินเข้าไปเพื่อถอดชุดเจ้าบ่าวของท่านอ๋องออกแต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ทันใจของอีกฝ่ายที่ทนเห็นอกอวบอิ่มตรงหน้าที่พุ่งเข้ามาไม่ไหว ปลายเริ่มโลมเลียผ่านชั้นในบางสีแดง มือเริ่มดึงเชือกที่ผูกลำคอและดึงสิ่งที่ปิดกั้นอยู่ออกจนหมด ร่างบางแหงนหงายตามแรงดูดกระชากจากลิ้นสวาทของพระสวามี“อ๊าา ห่าวหราน อ๊าา…”ไม่นานหลีม่านก็ถูกดึงขึ้นมาที่เตียง ชุดที่เหลือถูกสะบัดออกอย่างรวดเร็วจนนางมองตามไม่ทัน ตอนนี้ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบเข้าด้วยกันราวกับโหยหามานานแสนนาน ผ้าห่มถูกละเลยอีกทั้งม่านรอบเตียงก็ยังค่อย ๆ ถูกดึงลงมา“อ๊าา ห่าวหราน อื้อ”“เหยาเหยาของข้าช่างงดงามนัก กลิ่นของเจ้าและตัวเจ้าทั้งหอมและหวานมากกว่าครั้งใด ๆ”ท่านอ๋องปวดกายหนึบจนเกือบจะทนไม่ไหว มังกรยักษ์ของพระองค์ไม่เคยเรียกร้องมากถึงเพียงนี้มาก่อนแม้ว่าพระองค์อยากจะค่อย ๆ ทำพิธีส่งตัวไปอย่างช้า ๆ แต่ความเร่าร้อนของพระชายาตรงหน้ากลับไม่เป็นใจเอาเสียเลย“ข้าทนไม่ไหวแล้วเหยาเหยา เริ่มกันเถอะนะ อาา…อุ่นเหลือเกิน ยังแน่นไม่เปลี่ยน อาา…”เสียงครางแหบต่ำทำให้พระชายาเริ่มตอดรับตามจังหวะพร้อมกับเบียดกายเรียกร้องให้ท่านอ๋องชื่นชมส่วนอื่น ซึ่
ท่านอ๋องขึ้นม้าพร้อมกับสายสะพายโบสีแดงที่ฉวนหลานยื่นให้ด้วยสีหน้าหมั่นไส้พี่ชายตัวเองเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มให้เขาด้วยความดีใจ“ยินดีด้วยเพคะท่านอ๋อง”“ขอบใจองค์หญิง แล้วพบกันในวังนะ”“เพคะเสด็จพี่รอง”ชินหยางอ๋องยิ้มให้ฉวนหลานก่อนจะค่อย ๆ ดึงบังเหียนของเสี่ยวเซินออกจากจวนสกุลฟาง ขบวนเจ้าสาวของชินหยางอ๋องเริ่มเคลื่อนออกจากจวนสกุลฟางแล้ว ครั้งนี้งานอภิเษกถูกจัดขึ้นในวังหลวงซึ่งฮ่องเต้มีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทเป็นผู้จัดการงานทั้งหมดท้องพระโรง เมื่อเจ้าบ่าวรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยวก็ค่อย ๆ พยุงนางออกมาและทั้งคู่ก็รับโบแดงซึ่งมีหมัวมัวในวังยื่นให้ ทั้งสองเดินขึ้นบันไดไปยังท้องพระโรงที่มีฝ่าบาทและฮองเฮา แม่ทัพฟางและฮูหยินทั้งสอง แขกเหรื่อในงานพร้อมกับเหล่าขุนนางที่รอร่วมยินดีกับทั้งคู่อยู่ด้านใน เมื่อทั้งสองเข้ามาในท้องพระโรงแล้ว กงกงจึงดำเนินการตามประเพณี“คำนับที่หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน”“คำนับสอง คำนับบิดามารดา”“คำนับสาม… คำนับกันและกัน”กงกงเดินนำไม้มงคลมายื่นให้ชินหยางอ๋องก่อนจะกระซิบ“ท่านอ๋องเชิญเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบคุณกงกง”หยางห่าวหรานรับไม้บนพานออกมาและค่อย ๆ เปิดหน้าเจ้าส