ตอนที่ 14
“พวกท่านมาขวางทางข้าทำไมกัน” มูนาพยายามดัดเสียงให้เป็นชาย แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยใจหวาดหวั่น เพราะไม่คาดคิดว่าดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังจะมีคนออกมาขี่ม้าเล่นกันอยู่อีก
“ข้าสิต้องถามเจ้า ว่าเจ้าเป็นใคร มาจากที่ไหน แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ออกมาเดินอยู่กลางทะเลทรายคนเดียวเช่นนี้ แล้วเจ้าเป็นหญิงหรือชายกันแน่” คอลิดเอ่ยถามแทนนายเหนือหัว
“มันเรื่องส่วนตัวของข้า ทำไมข้าต้องบอกพวกท่านด้วย”
“เจ้านี่ช่างยอกย้อนเก่งเหลือเกิน แล้วคงไม่เคยเกรงกลัวใครมาก่อนเลยสิ ถึงได้กล้าปากดีต่อข้าที่มากันตั้งสามคน ส่วนเจ้าตัวคนเดียว แล้วเจ้าไม่รู้หรือว่าการเดินอยู่ท่ามกลางทะเลทรายในยามค่ำคืนเช่นนี้อันตรายสักแค่ไหน” คอลิดบอกเสียงดุ ริมฝีปากกระตุกยิ้มหยันให้กับความหาญกล้าของคนที่เอาแต่ก้มหน้าหนี แต่คิดหรือว่าจะรอดพ้นสายตาของเหยี่ยวดำแห่งบาลายูดาไปได้ เห็นนิ่งๆ เงียบๆ เช่นนั้น ในใจกำลังคิดอยู่เป็นแน่
“จะอันตรายหรือไม่ นั่นมันเรื่องของข้า พวกท่านโปรดหลีกทางให้ข้าด้วย ข้ารีบ” มูนาจำใจเงยหน้าขึ้นบอก แต่เบนสายตาไปยังอีกสองหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทางนิ่งสงบ คนหนึ่งแววตาดูไร้พิษสง ซ้ำยังดูจะมีจิตใจเมตตาอารีมากกว่าสองหนุ่ม ส่วนอีกคนแววตาดุดันน่ากลัวไม่ต่างจากเสือร้ายที่พร้อมตะครุบเหยื่อ จนทำให้คนมองรู้สึกหนาวเยือกเข้าไปในอก มือเล็กกำกริชที่บิดามอบให้ไว้แน่นจนมือชื้นเหงื่อ แต่ก็พร้อมจะเอาออกมาป้องกันตัวหากเกิดภัย
“เจ้านี่ช่างกล้าหาญนัก คิดว่าตัวเล็กๆ อย่างเจ้าจะไปสู้ใครได้”
“นั่นก็เรื่องของข้าอีกเช่นกัน ข้าขอตัว” มูนาเบี่ยงตัวเดินออกไป แต่ม้าของฟารีฟมาขวางทางเอาไว้ ทำเอาหญิงสาวถึงกับผงะหน้าซีดเผือด ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของม้าเจ้าปัญหาที่ทำให้เธอตกจนใจขวัญแทบกระเจิง
“เจ้ายังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” เสียงห้าวห้วนดังขึ้น ทำให้คนขวัญกระเจิงแทบจะหยุดหายใจ เพราะไม่ใช่แค่สายตาของเขาเท่านั้นที่น่ากลัว หากแต่น้ำเสียงที่ก้องกังวานในยามที่ดึกสงัดเช่นนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อย มูนากอดห่อผ้าไว้แนบอก อีกมือก็ซุกอยู่ที่กริชเตรียมดึงออกมาจากฝักเพื่อใช้ป้องกันตัว
“ทะ...ทำไม...ทำไมข้าถึงยังไปไหนไม่ได้ ในเมื่อข้าไม่ได้ทำอะไรผิด” มูนาย้อนถามเสียงตะกุกตะกัก สองเท้าเล็กค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างเชื่องช้า เพื่อรอโอกาสวิ่งหนีไป
“เพราะเจ้ากำลังเดินไปในเส้นทางของข้า”
“เส้นทางของท่าน?”
“ใช่! เส้นทางของข้า แล้วเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เดินไปในเส้นทางของข้า” ฟารีฟกระตุกยิ้มชอบใจกับแววตาข้องใจของคนที่พยายามดัดเสียงให้เป็นชายชาตรี แต่ก็เอาเถอะ เขาจะรอให้เธอเล่นละครให้สนุกไปก่อน
“ข้าไม่เชื่อ เพราะผืนทรายของประเทศอัสคาซานก็เป็นขององค์ฟาตินเท่านั้น แล้วข้าก็เป็นประชาชนขององค์ฟาตินคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นข้าก็ย่อมมีสิทธิ์เดินไปทางไหนก็ได้ตามแต่ใจของข้า ท่านไม่มีสิทธิ์มาห้ามข้าเข้าใจหรือไม่” มูนาตะเบ็งเสียงตอบกลับด้วยความขึงโกรธ
“ใช่! เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วว่าผืนทรายทุกเม็ดเป็นขององค์ฟาติน แต่ผืนทรายที่เจ้ากำลังเหยียบย่ำอยู่นั้นเป็นของข้า เพราะข้าได้ประกาศเป็นเจ้าของไปแล้วต่อหน้าเจ้า...เมื่อสักครู่” ฟารีฟพูดย้ำช้าๆ ชัดๆ ให้อีกคนฟัง แล้วกระตุกบังเหียนม้าให้เดินเข้าไปใกล้ร่างอรชรที่เตรียมวิ่งหนี แต่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้นก็ต้องหยุด เพราะมีม้าอีกสองตัวมาขวางทางเอาไว้
“นี่ท่าน...ทะ...ท่าน...ท่านไม่เกรงกลัวอาญาองค์ฟาตินหรือไร ถึงได้พูดออกมาเช่นนั้น” มูนาบอกด้วยเสียงเริ่มประหม่า เพราะดูท่าชายทั้งสามคนจะไม่เกรงกลัวอาญาต่อเจ้าของผืนทรายแม้แต่น้อย
คนพวกนี้เป็นโจรงั้นหรือนี่? แล้วจะต้องทำเช่นไรดีเล่าถึงจะรอดพ้นเงื้อมมือคนพวกนี้ไปได้ ลำพังแค่กริชในมือคงไม่อาจต้านทานแรงชายสามคนได้หรอก’ เจ้าของเสียงรำพันเริ่มหวาดวิตก ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือผิดกันแน่ที่หนีออกมาจากกองคาราวานของท่านรามินทร์ แต่หากไม่หนีมาแล้วเธอต้องเข้าไปอยู่ในวังที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ และการแย่งชิงซึ่งเธอก็ยอมรับสภาพของตัวเองเช่นนั้นไม่ได้หรอก
“หากข้ากลัวอาญาจากองค์ฟาติน แล้วข้าจะพูดให้เจ้าฟังหรือไรเล่าพ่อหนุ่มน้อย” ฟารีฟเน้นคำท้าย พร้อมกระตุกยิ้มคล้ายจะเยาะหยันระคนตลกแม่สาวน้อยมูนาที่พยายามเหลือเกินที่จะทำตัวให้เป็นเยี่ยงชายชาตรี
“ถ้าเช่นนั้น พวกท่านต้องการอะไรจากข้างั้นหรือ แต่ข้าจะบอกให้ว่าเงินทองของมีค่าอะไร ข้าไม่มีติดตัวมาหรอก ข้าเป็นคนจน” มูนาเปลี่ยนเรื่อง พยายามเดินถอยหนีม้าทั้งสามตัวที่ขยับเข้าใกล้เธอเข้าไปทุกที
“เจ้าแน่ใจ ว่าในตัวเจ้าไม่มีของมีค่าอะไรเลย” พูดจบ ฟารีฟก็ลงจากหลังม้า เดินเข้ามาใกล้พ่อหนุ่มน้อยที่ยืนใจเต้นรัวแรงๆ อยู่กลางวงล้อมของม้า
“ข้าแน่ใจ” มูนาเอ่ยตอบเสียงรัวเร็ว แต่น้ำเสียงกลับไม่มั่นคงนัก มือเล็กกำกริชแน่น หญิงสาวช่างใจอยู่ว่าจะดึงมันออกจากฝักดีหรือไม่
“ข้าขอค้นตัวเจ้าดูก่อน แล้วข้าถึงจะเชื่อคำพูดของเจ้า” ฟารีฟเตรียมยื่นมือไปดึงห่อผ้าจากพ่อหนุ่มน้อย วินาทีนั้นมูนาก็ดึงกริชออกจากฝักมาข่มขู่คนที่กำลังจะค้นตัวเธอทันที
อวสานหนึ่งเดือนต่อมาข่าวการประกาศสละราชบัลลังก์ขององค์ฟาตินก็ดังไปทั่วประเทศอัสคาซาน รวมไปถึงประเทศใกล้เคียงที่ต่างก็ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธีที่ถูกจัดภายในพระราชวังอัสเซโรซานาพร้อมการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ เหล่าประชาชนทั่วประเทศอัสคาซานก็พากันร่วมเฉลิมฉลองในหมู่บ้านของตน พร้อมกับการได้รับข้าวของบริจาคจากราชวังที่องค์ฟาเดลทรงให้ตัวแทนนำออกมาแจกจ่ายให้กับประชาชนของพระองค์ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ประชาชนทุกคนต่างร่วมยินดีที่พระองค์ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศอัสคาซาน ในขณะภายในพระราชวังกำลังจัดพิธีเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่อยู่นั้น ที่เนินทรายสูงมีหญิงชายนั่งกอดกันอยู่บนหลังม้าใกล้กับโอเอซิสขนาดเล็ก เพื่อเดินทางกลับหมู่บ้านบาลายูดา หลังจากฟารีฟได้พามูนาเดินทางกลับไปเยี่ยมผู้ให้กำเนิดที่หมู่บ้านคาเบียนเซีย ที่เวลานี้มีแต่ความสงบสุขไม่ต่างจากหมู่บ้านบาลายูดา “ท่านพี่” มูนาขานเรียกเจ้าของอ้อ
ตอนที่ 82จังหวะรักร้อนแรงขึ้นพอๆ กับเสียงครวญครางของสองสามีภรรยา แล้วฟารีฟก็จับร่างเมียรักพลิกนอนคว่ำหน้า ขยับตัวขึ้นทาบทับ เบียดความรุ่มร้อนเข้าหา ปากหยักพรมจูบไปทั่วไหล่ลาดและแผ่นหลังเนียน มือหนาคว้าเอวเล็กไว้แล้วยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อผสานความรักต่อกัน มืออีกข้างก็ลากผ่านไปทางด้านหน้าเพื่อเคล้นคลึงอกอิ่มไปพร้อมกัน เหงื่อไหลย้อยเป็นทางเมื่อความกระชั้นโถมขึ้นหนักหน่วง ชั่วอึดใจคนที่รับความแข็งแกร่งก็ครางลั่นยาวเหยียด สมองที่มืดมนสว่างวาบเมื่อความทรมานที่มาพร้อมความซาบซ่านถึงจุดสิ้นสุด มูนาถึงกับอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว จนต้องฟุบหน้าแนบไปกับฟูกนุ่ม ด้านฟารีฟเมื่อเห็นว่าเมียรักเดินทางไปถึงสวรรค์เรียบร้อยแล้ว จึงเร่งทะยานพาตัวเองไปถึงจุดนั้นตามเธอไปติดๆ เพียงไม่นานก็เปล่งเสียงครางลึกอย่างสุขสม เมื่อปลดปล่อยความรักทั้งหมดทั้งมวลให้เมียรักจอมดื้อรั้นไปแล้ว ก่อนทิ้งร่างลงนอนทาบ อ้อมแขนกำยำสอดเข้าไปโอบกอดร่างนุ่มที่ยังสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์รักไว้แน่น จูบซับเม็ดเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน แต่เหมือนความต้องการของเขาไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เมื่อเนื้อสัมผัสเนื้อจึงเกิดกระแสความปรารถนาขึ้น
ตอนที่ 81ฟารีฟขยับตัวเพียงนิดเพื่อจะเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าบนกายเมียรักออก ปากของเขาลากลงมาที่ลำคอระหง จูบซับอย่างเอาใจคนใต้ร่าง โดยที่มืออีกข้างก็สอดหายเข้าไปใต้ชายผ้าที่รั้งขึ้นมาจนถึงโคนขาเรียว วาดผ่านแผ่วเบาไปบนความนุ่มละมุมของความเป็นหญิง กอบกุมลูบไล้ด้วยความพึงพอใจ ก่อนจับร่างเล็กพลิกให้นอนคว่ำ แล้วเข้าทาบทับทางด้านหลัง ไซ้จมูกและปากไปกับก้านคอขาวผ่อง พร้อมปลดพันธนาการของตัวเองจนเหลือเพียงกายเปลือยเปล่า ผิดกับอาภรณ์บนกายเมียรักเขาค่อยๆ ถอดออกทีละชิ้น พยายามใจเย็นที่สุดในชีวิต ซึ่งเมื่อผิวนวลขาวของเมียรักเผยตรงจุดไหนเขาก็ก้มหน้าพรมจูบไปตรงนั้น แล้วจบลงที่สะโพกงอนงามหลังจากที่ตอนนี้หญิงสาวนอนเปลือยอวดเรือนร่างให้เห็นตลอดทั้งตัว“ยอดรักของพี่” ฟารีฟเคลื่อนตัวขึ้นไปกระซิบคำหวานใส่ใบหูเล็ก แล้วกดปากร้อนลงกับแก้มนุ่ม ทาบเรือนกายส่วนหน้าแนบชิดกับเรือนร่างบอบบางด้านหลัง ทำให้มูนาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าผู้เป็นสามีจะไร้อาภรณ์เช่นเดียวกัน หนำซ้ำความแข็งขึงที่ถูไถไล้วนเวียนกับสะโพกของเธอ ก็ส่งผลให้ใบหน้าคมสวยร้อนผ่าวและเห่อแดงขึ้นมาทันตา
ตอนที่ 80“เจ้าจะกลับไปหาไอ้ราชิดหรือไงมูนา!” ฟารีฟตะคอกถามเสียงแข็งกระด้าง จากที่โมโหเพราะความดื้อรั้นของเมียรักอยู่นั้น ตอนนี้กลับมีแรงหึงหวงเข้ามาเพิ่ม ยิ่งทำให้ใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยหนวดเครายาวเฟื้อยบึ้งตึงมากยิ่งขึ้น “หากใช่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่าน” มูนาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างท้าทาย ขุ่นเคืองเขาที่ดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวทั้งที่ต้นเหตุของเรื่องคือเขาคนเดียวเท่านั้นที่หลอกลวงเธอมาตลอด “มูนา!” ฟารีฟคำรามลั่น แววตาคมลุกวาวไม่จากกองไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นจุณ “ออกไป! ไปให้พ้นหน้าข้า” ปากบอกขณะที่มือก็คว้าหมอนที่เกลื่อนพื้นขึ้นมาปาใส่ร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่เหี้ยมจัด ตามด้วยข้าวของที่พอจะฉวยหยิบขึ้นมาได้จนฟารีฟต้องถลันเข้ามาคว้าข้อมือเล็กไว้แน่น พร้อมกับตวาดเสียงแข็งเพื่อปราม&nb
ตอนที่ 79หลายวันผ่านพ้นไปนับตั้งแต่เรื่องราวเศร้าสะเทือนใจชาวบ้านค่อยๆ จางหาย แต่ชาวบ้านทุกคนก็มิเคยลืมเลือนพ่อเฒ่าซุกกี ทุกอย่างในหมู่บ้านบาลายูดากลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งดูไม่ค่อยเป็นสุขนัก เมื่อเมียรักยังไม่ยอมพูดจาด้วย หลังฟารีฟเริ่มปฏิบัติการง้อเมียรักอยู่หลายวันแต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ และในค่ำคืนนี้ก็เช่นกันที่ฟารีฟยังคงเดินหน้าง้อเมียรักเช่นเดิมผิดกับมูนาที่นับวันก็ยิ่งโกรธเคืองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมากขึ้นทุกวัน หลังเขาสั่งกักขังเธอไว้แต่ในบ้านราวกับสัตว์เลี้ยงเมื่อเธอยืนยันว่าจะไปจากเขา ‘คนใจร้าย อย่าให้ข้าหนีไปได้นะ ชาตินี้ทั้งชาติ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านแน่ คนหลอกลวง!’มูนาเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธจัด หากแต่ตนก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั่งระบายความเคียดแค้นกับผ้าห่มที่ถูกกระชากทิ้งลงพื้นไปไม่รู้กี่ครั้ง ทว่าก็ถูกดึงกลับขึ้นมาแล้วจับขมวดเป็นก้อนกลมแล้วปาทิ้งอยู่อย่างนั้น
ตอนที่ 78“นัจมีย์ไม่ทราบหรอกเจ้าค่ะ พอเห็นนัจมีย์ก็รีบมาบอกคุณหนูนี่แหละเจ้าค่ะ หรือว่า! พวกชาวบ้านจะรู้กันแล้วว่าคนที่วางยาท่านพ่อเฒ่าคือคุณหนู แล้วจะทำอย่างไรกันดีล่ะเจ้าคะคุณหนู” นัจมีย์โผเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาอันดาด้วยเนื้อตัวสั่นงันงก น้ำตาก็ไหลพรากด้วยความหวาดกลัว“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นัจมีย์ แล้วก็จำไว้ว่าข้าไม่ได้เป็นคนวางยาท่านลุง แต่เป็นเจ้าต่างหากที่เป็นคนใส่ยาพิษลงไปในอาหารของท่านลุง แล้วก็เป็นเจ้าอีกเช่นกันที่ใส่ยาพิษลงไปในขนมของนังมูนา” อันดาสะบัดขาของตนออกจากเกาะกุมของสาวใช้“คุณหนู! เหตุใดถึงได้พูดเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ” นัจมีย์หน้าไร้เลือดมาหล่อเลี้ยงพร้อมส่ายหน้าที่เจิ่งนองด้วยน้ำตาไปมา“ก็มันเป็นเจ้าจริงๆ ที่เป็นคนวางยาท่านลุงของข้า” อันดายังคงโบ้ยความผิดให้สาวใช้“แต่นัจมีย์ทำไปเพราะคำสั่งของคุณหนูนะเจ้าคะ”“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นัจมีย์!” อันดาโผเข้าไปตบหน้าของสาวใช้ฉาดใหญ่ แล้วบังคับให้นัจมีย์ยอมรับผิดเพียงคนเดียว แต่นัจมีย์ยังไม่ได้