LOGIN“ยิ้มอยู่คนเดียวแบบนี้ แอบ ‘คิดลึก’ กับผมอยู่หรือเปล่าเนี่ยยาหยี” เสียงทุ้มนุ่มหูที่เอ่ยสัพยอกอย่างรื่นรมย์ชิดหน้าผากมน ทำให้อารดาตัวเกร็งและหน้าแดงซ่าน พร้อมกันนั้นสติของเธอก็กลับมาอีกครา
“บ้า!” คนโดนล้อค้อนจนตาคว่ำ แล้วก้มหน้างุด
จากนั้นมืออบอุ่นที่สัมผัสบริเวณฝ่าเท้าบอบบางอย่างอ่อนโยนระคนทะนุถนอมก็ทำให้อารดารู้สึกเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สุดท้ายก็เคลิ้มไป
“ถึงแม้จะปิดปลาสเตอร์ตอนแผลไม่สะอาด แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะเสี่ยงให้เชื้อโรคเข้าแผลเพิ่มมากขึ้น พอกลับถึงบ้านคุณก็รีบเอามันออก แล้วทำความสะอาดแผลให้ดีก็แล้วกัน อ้อ…และที่สำคัญอย่าลืมทายาด้วยละ” พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ปิดปลาสเตอร์ลงที่แผลของเธอเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ…ขอบคุณนะ” อารดาช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลา พร้อมกล่าวออกมาอย่างเก้อเขิน ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้น ส่วนเขาก็ผุดลุกยืนเต็มความสูง โดยไม่ลืมเกี่ยวรองเท้าสีแดงติดมือขึ้นมาด้วย
“ความจริงแล้วเท้าคุณก็บวมอยู่เหมือนกัน แต่ผมว่าคุณทนใส่รองเท้าไปให้ถึงบ้านก็ดีนะ แผลจะได้ไม่อักเสบเพราะฝืนเดินเท้าเปล่า เอ๊ะ…หรือว่าจะให้ผมอุ้มไปส่งที่บ้าน แต่ผมคิดค่าบริการแพงหน่อยนะยาหยี มันอาจจะเป็นจูบ หรือไม่ก็…” เธอเกือบจะเคลิ้มไปกับความน่ารักและมีน้ำใจของเขาจนตลอดรอดฝั่งอยู่แล้ว ถ้าในตอนท้ายพ่อเจ้าประคุณไม่วายปากเสียชวนหน้ามืดขึ้นมาอีกครา
“พอๆๆ หยุดพล่าม แล้วส่งรองเท้ามาให้ฉันเสียที ถ้าคุณอยากให้ฉันใส่มันกลับบ้านอย่างที่พูดจริงๆ” หญิงสาวพยายามสะกดโทสะอย่างสุดความสามารถ แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและสีหน้าเรียบนิ่ง
ตอนแรกเธอคิดว่าจะไม่สนใจไยดีรองเท้าแล้ว แต่ในเวลานี้อารดากลับต้องการมันมากเหลือเกิน นั่นก็เพราะเธอไม่ต้องการให้เท้าสวยๆ มีรอยราคีมากไปกว่านี้ เธอเป็นห่วงตัวเองหรอกนะ ไม่ใช่เพราะคำพูด ‘เหมือนจะ’ ดูดีแต่สอดไส้ความร้ายกาจของเขา
“โอเค ก็ไม่อยากได้สักหน่อย เพราะผมไม่นิยมใส่รองเท้าผู้หญิงอยู่แล้ว ถ้าช่วยถอดก่อนจะขึ้นเตียงทำกิจกรรมเข้าจังหวะก็ว่าไปอย่าง” เขาพูดพลางยื่นรองเท้าให้
“ฉันคงไม่จำเป็นต้อง ‘ขอบคุณ’ หรอกมั้ง” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงขึ้นจมูก ขณะยื่นมือไปกระชากรองเท้าจากเขาอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเพียงยักไหล่เบาๆ
“ไม่เป็นไร เพราะผมก็พอจะเข้าใจว่า ‘เด็ก’ สมัยนี้มักจะไม่ค่อยมีมารยาท” ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากพ่อหนุ่มร่างยักษ์ทำให้คนฟังถึงกับหน้าม้าน
“ฉันไม่ใช่เด็ก!” คราวนี้อารดาแผดเสียงเถียงคอเป็นเอ็น เรียกรอยยิ้มขบขันให้ผุดพรายขึ้นที่มุมปากหยัก เดเรคไม่นึกเลยว่าแม่สาว ‘หน่อมแน้ม’ จะร้ายใช่เล่น ดูเหมือนเขาจะประเมินเธอต่ำไปหลายอย่างเลยทีเดียว
“แต่พฤติกรรมของคุณมันบ่งบอกว่ายังเด็ก” พ่อตัวโตพยายามไล่ต้อนให้อารดาจนมุม ยิ่งเห็นเธอออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงเขาก็ยิ่งนึกคึกคะนองเป็นเท่าทวี
“เอ๊ะ…คุณนี่มันยังไงนะ กวนประสาทฉันอยู่ได้” คนที่ถูกกล่าวหาว่า ‘ยังเด็ก’ ชักสีหน้า พร้อมยกมือขึ้นเท้าสะเอว แล้วหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ตอนนี้ระบบควบคุมตัวเองของเธอพังยับเยินจนไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้ว
“เด็กหนอเด็ก เถียงไม่สู้ก็โวยวายซะงั้น” เดเรคว่าอย่างยิ้มๆ แต่กระนั้นก็ยังทำให้อารดากำหมัดตัวสั่นเทิ้ม นึกอยากจะซัดไอ้ผู้ชาย ‘เฮงซวย’ ให้เลือดกลบปากนัก
“สรุปคือ คุณจะยืนลอยหน้ายียวนฉันอยู่แบบนี้ทั้งคืนใช่ไหม” หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างข่มกลั้นอารมณ์เต็มอัตรา หญิงสาวก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าประกายตากลับวาวโรจน์ บ่งบอกให้รู้ว่าเธอพร้อมจะกระโจนเข้าเล่นงานเขาทุกขณะจิต
“แล้วคุณว่าไงล่ะ” คำถามที่ฟังดูใสซื่อราวกับไม่ได้ตั้งใจกวนโมโหนั้น ทำเอาอารดาถึงกับกัดฟันกรอดและหน้ามืดไปวูบหนึ่ง ก่อนจะพยายามอดทนอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ
“ฉันไม่พิสมัยการต่อปากต่อคำกับคนกวนประสาทอย่างคุณ ฉะนั้นทางใครทางมัน โอเค?” ท้ายประโยคเจ้าของใบหน้าเรียบตึงจงใจขึ้นเสียงสูง พลางเชิดหน้าคอแข็ง
“โอเค…ผมไปก่อนนะเด็กน้อย ใจจริงก็อยากจะไปส่งให้ถึงประตูบ้านอยู่หรอก แต่วันนี้มันดึกมากแล้ว แถมผมมีนัดกับสาวสวยเซ็กซี่ซะด้วยสิ อ้อ…ลืมบอกไปอีกอย่าง ปากคุณหวานเป็นบ้า ว่างๆ ผมจะหาเวลาแวะมาจูบใหม่ก็แล้วกันนะ” ท้ายประโยคพ่อหนุ่มขี้เล่นจับจ้องกลีบปากอิ่มที่เขารู้ดีว่าหวานล้ำมากเพียงใด พร้อมหลิ่วตาหว่านเสน่ห์ให้ ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋ายิ้มเผล่จากไป ทิ้งให้หญิงสาวยืนอ้าปากค้าง
“ไอ้คนทุเรศ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไอ้จอมฉกฉวย ไอ้คนหล่อจอมชีกอ ไปตายซะ!” ครั้นได้สติอารดาก็แผดเสียงด่าทอไล่หลังอย่างคับข้องใจเหลือคณา ก่อนจะยกหลังมือเกลี้ยงเกลาขึ้นถูไถริมฝีปากอวบอิ่มที่โดนเรียวปากร้ายกาจประทับตีตราแรงๆ จนแสบร้อนไปหมด
“ฮึ่ย…ฉันจะถือว่านี่เป็นประสงค์ของพระเจ้าก็แล้วกัน” หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เจ้าของใบหน้างอง้ำก็พยายามคิดบวก เพื่อให้ตัวเองไม่สติแตกมากไปกว่านั้น หากแต่ยังไม่วายก้มลงสวมรองเท้าด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดก่อนจะเดินโขยกเขยกกลับบ้านที่อยู่สุดซอย
“เอ่อ…ไม่จ้ะ ลูกมาขอนอนด้วย” เมื่อโดนเมียรักคาดคั้นเดเรคก็สารภาพออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง เพราะกลัวแม่ยอดรักจะทำแง่งอนจนไม่ยอมให้เขานอนกอด“แล้วทำไมไม่ให้ลูกเข้ามานอนด้วยล่ะคะ เตียงเราออกจะกว้าง” คุณแม่จอมแสบทำหน้ายุ่งไม่ต่างจากลูกชายเมื่อสักครู่เท่าไร่นัก จนเขาต้องบีบจมูกรั้นอย่างมันเขี้ยว “ที่รักไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ เด็กๆ ไปนอนแล้ว ส่วนเราสองคนก็อย่ามัวแต่คุยกันอยู่เลย นอนดีกว่านะเมียจ๋า” ขาดคำเขาก็ตั้งท่าจะรวบร่างอรชรเข้าสู่อ้อมอก ทว่าเธอกลับขยับกายหนีเสียก่อน “ไม่ต้องมาทำเฉไฉเลยนะคะ บอกดาด้ามาซะดีๆ ว่าทำไมเจ้าสามแสบถึงยอมไปนอนง่ายๆ คุณแอบไปตกลงอะไรกับลูกไว้หรือเปล่า” หญิงสาวถามเสียงเรียบ พร้อมหรี่ตาอย่างจับพิรุธคุณสามี “ทำไมถึงขี้สงสัยจังนะเมียเรา” พ่อหนุ่มกะล่อนเย้าเสียงกลั้วหัวเราะ“ถ้าไม่อยากให้สงสัย ก็ไขข้อข้องใจมาสิคะ” เสียงหวานสวนกลับทันควัน“คุณอยากรู้จริงๆ เหรอทูนหัว ว่าผมไปตกลงอะไรกับลูกไว้” คนเจ้าเล่ห์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ในใจก็ได้แต่แอบกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะเมียรักกำลังจะหลงกล เขาคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่ทำเป็นบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเล่าความจริงให้เธอฟัง และทำเป็นเหมือนไม่สลักสำค
“มารบกวนดึกๆ ดื่นๆ ขนาดนี้อยากตายหรือไงฮะ!” ทันทีที่แง้มประตูออก เดเรคก็เค้นเสียงกระด้างลอดไรฟันด้วยความหงุดหงิดสุดฤทธิ์ ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นผู้ที่กล้ามากวนใจในยามวิกาล “เรานอนไม่หลับ!” สามวายร้ายตัวจิ๋วต่างพร้อมใจกันตอบโต้ผู้เป็นพ่อด้วยประโยคเหมือนกันเปี๊ยบ สมแล้วที่เป็นฝาแฝดซึ่งคลานจากท้องแม่ในเวลาไล่เลี่ยกันไม่กี่นาที คุณพ่อลูกสี่ทำหน้าเมื่อย พร้อมพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเอือมระอา เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าแฝดนรกทั้งสามบุกเข้าห้องนอนของเขากับภรรยาสุดที่รักในยามวิกาล ดีที่ลูกชายคนเล็กยังไม่ประสีประสา ไม่งั้นคงคลานลงจากเตียงมาร่วมผสมโรงกับพวกพี่ชายตัวแสบด้วย“นอนไม่หลับก็ต้องนอน เด็กไม่ควรนอนดึกรู้ไหมไอ้สามทหารเสือ” ผู้เป็นพ่อก้าวขาออกไปเผชิญหน้ากับลูกๆ แล้วค่อยๆ งับประตูลงอย่างเบามือ เพราะเกรงว่าตนกับลูกจะเป็นสาเหตุให้แม่ยอดยาหยีตื่น“เราไม่ใช่เด็ก” พี่ชายคนโตเงยหน้าเถียงคอเป็นเอ็น ก่อนที่ดีแลนและดันแคนจะผสมโรงอย่างชวนปวดหัว “ใช่ เราเป็นหนุ่มแล้ว แถมยังหล่อมากด้วย” “และที่สำคัญเราสามคนมีแฟนแล้วด้วย” ประโยคสุดท้ายนี่ถ้ามารดามาได้ยินคงแทบจะเป็นลมกับความก๋ากั่นของเจ้าลูกชา
“งั้นป้าฝากน้องด้วยนะลูก” โคลอี้กล่าวอย่างยิ้มๆ “ครับผม” ดันแคนพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน ก่อนจะหันไปหานางฟ้าตัวน้อย แล้วก็ต้องฉุนกึก เมื่อแม่หนูแองจี้เดินเข้าไปกอดขาแพนเตอร์ด้วยท่าทางสนิทสนม “แพนเตอร์จ๋า อุ้มๆ” สาวน้อยเงยหน้าทำตาแป๋ว พร้อมเอื้อนเอ่ยออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน จนพ่อหนุ่มมาดขรึมอย่างแพนเตอร์ต้องใจอ่อนยวบ “ช่างอ้อนจริงๆ เลยนะเรา” เสียงห้าวที่เริ่มแตกเนื้อหนุ่มเย้า ขณะเขี่ยแก้มยุ้ยของสาวน้อยอย่างมันเขี้ยว เรียกเสียงหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจจากอีกฝ่าย จากนั้นก็ย่อตัวลงอุ้มร่างจ้ำม่ำไว้ในวงแขน ส่วนอาลาเล่ก็ได้แต่ทำหน้าล้อเลียนพี่ชาย เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะหันไปทางคู่ปรับตลอดกาล “กินแห้วอีกแล้วล่ะสิ” อาลาเล่ทำหน้าเย้ยๆ ใส่ดันแคน ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับรวบมือน้อยกำเป็นหมัดแนบลำตัว ทว่าพยายามไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมาทางสีหน้าและแววตา “อะไร กินแห้วอะไร แองจี้ยังไม่ได้เลือกใครเสียหน่อย” ดันแคนทำเสียงสูงกลบเกลื่อนความอับอายระคนหงุดหงิด เพราะยังไม่ทันจะเริ่มจีบก็เหมือนจะไม่สมหวังเสียแล้ว “งั้นฉันจะทำให้นายหมดหวังเร็วขึ้นก็แล้วกัน” อาลาเล่กล่าวอย่างร้ายกาจ
“พี่แพนเตอร์! พี่อาลาเล่!” สามหนุ่มพากันร้องเสียงดังลั่นด้วยความยินดี แล้ววิ่งหน้าตั้งมาหาสองพี่น้องทายาทตระกูลโบลาโกนี ส่วนแดนนี่ที่ถูกพี่ๆ ทิ้งก็เดินเตาะแตะตามหลังมา พร้อมรอยยิ้มร่าประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่ต่างจากพี่ชายทั้งสาม หลังจากทักทายแพนเตอร์ สามทหารเสือสุดแสบก็พากันกระโจนเข้าไปกอดอาลาเล่ จนเธอแทบหงายหลังล้ม แต่ยังดีที่มีพี่ชายพยุงร่างไว้เสียก่อน “หยุดกอดพี่ได้แล้ว พี่อึดอัด” เสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆ“นั่นสิวะ พวกนายสามคนหยุดกอดน้องสาวฉันเสียที” คนหวงน้องสาวทำเสียงเข้มติดจะห้วนออกคำสั่ง สีหน้าเรียบตึงด้วยความไม่ชอบใจ “แหม…กอดแค่นี้ทำเป็นหวงนะพี่ชาย” ดีแลนเบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้“นั่นสิ ทำหน้าดุอย่างกับว่าเราจะแย่งน้องสาวไปอย่างนั้นแหละ รู้หรอกน่าพี่ชายว่าหวงน้องสาวมากแค่ไหน” เดฟสัพยอกอย่างยิ้มๆ “อาลาเล่ ดันแคนขอจีบได้ไหม” อยู่ๆ ดันแคนก็โพล่งขึ้นกลางวงสนทนา อาลาเล่อ้าปากค้าง เพราะไม่นึกว่าคนที่ทำตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอมาตลอดจะมาจีบเอาซะดื้อๆ แถมยังพูดมันออกมาต่อหน้าทุกคนอีกต่างหาก “ดันแคน!” แพนเตอร์ตวาดลั่น ใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึงด้วยความไม่สบอารมณ์สุดขีด เพร
สองปีผ่านไปวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ เดเรคพาเมียรักและลูกๆ มาพักผ่อนที่เกาะส่วนตัว โดยไม่ลืมชวนครอบครัวของฟรานเชเซียสกับทวิชา และครอบครัวของแมทธิวกับโคลอี้มาร่วมปาร์ตี้บาร์บีคิวริมหาดด้วย“มาช้านะพวก มัวแต่อ้อนเมียอยู่หรือไงวะ” เจ้าบ้านเอ่ยเป็นเชิงทักทาย พร้อมสัพยอกด้วยท่าทางครื้นเครงตามประสาพ่อหนุ่มขี้เล่นผู้มากอารมณ์ขัน “ก็อยากอ้อนอยู่หรอกนะ ถ้าเมียไม่ติดงาน นี่ก็พาเข้าไปเคลียร์งานก่อนมา ขนาดวันหยุดเมียฉันยังไม่เว้นเลยว่ะ” ฟรานเชเซียสหันไปมองยังเบื้องหลัง ครั้นเห็นทวิชามัวแต่ชี้ชวนลูกดูนั่นดูนี่ เขาก็บ่นอุบเป็นเชิงนินทาเมียรัก เรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี “แล้วเมื่อไรแกจะให้เมียเลิกทำงานวะ”“จนกว่าจะเกษียณอายุโน่นแหละค่ะ นกถึงจะเลิกอาชีพตำรวจ” ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะได้อ้าปากโต้ตอบ เสียงหวานก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน ทำให้เจ้าพ่อค้าอาวุธได้แต่ยักไหล่ ราวกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่าแล้วแต่แม่เจ้าประคุณจะตัดสินใจเถอะ เพราะคนรักและเคารพเมียอย่างเขาไม่กล้าขัดใจเธออยู่แล้ว “สวัสดีครับคุณนก” เดเรคกล่าวทักทายภรรยาของเพื่อนรักด้วยท่าทางเป็นกันเอง“สวัสดีค่ะคุณเดเรค” ทวิชาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ก
“ยินดีต้อนรับมาเป็นครอบครัวเดียวกันนะจ๊ะหนูดาด้า” หลังจากชื่นชมหลานชายทั้งสามจนหนำใจมาดามดาเลียก็หันมาพูดกับอารดาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “ขอบคุณมากค่ะคุณป้า” เสียงหวานกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “ว้าย! เรียกคุณป้าไม่ได้จ้ะ ต้องเรียกว่ามัม ไหนลองเรียกมัมสิลูก”“ขอบคุณมากค่ะมัม”“เรียกลุงว่าแด๊ดด้วยนะลูก” “ค่ะแด๊ด” ความว่าง่ายของสาวเจ้าทำให้คนแก่ทั้งคู่ต่างคลี่ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ“ยินดีต้อนรับเราสามคนด้วยนะหลานย่า” เจ้าของน้ำเสียงอ่อนหวานพูดกับหลานๆ ด้วยรอยยิ้มละมุนละไมที่อัดแน่นไปด้วยความอบอุ่น ขาดคำนางดาเลียก็อดที่จะก้มลงหอมแก้มหลานชายทั้งสามอีกครั้งไม่ได้ “ขอบคุณมากฮะคุณย่า ดันแคนรักคุณย่าที่สุดเลย” “ดีแลนก็รักคุณย่าที่สุดในโลก”“เดฟก็รักคุณย่ามากเหมือนกันครับ” ท่าทีแย่งกันประจบคุณย่าของเจ้าตัวแสบทั้งสามทำให้เดเรคและอารดาต่างพากันอมยิ้มด้วยความเอ็นดูระคนมันเขี้ยว “แล้วไม่รักปู่หรือไงหือ” นายแดเนียลเอ่ยเรียกร้องความสนใจจากหนุ่มน้อยทั้งสาม ครั้นได้ยินดังนั้นสามศรีพี่น้องก็ต่างแจ้นไปซบอกกว้างของคุณปู่อย่างประจบเอาใจ แล้วส่งเสียงเจื้อยแจ้วแย่งกันบอกรักผู้เป็นปู่ เรียกเ







