ธาวินใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอิงสุนทรอย่างเรียบง่าย ในแต่ละวันจะมีก้องเกียรติ จันทร์วิมลและลูกสาวทั้งสองคนแวะเวียนหาเรื่องพูดคุยกับเขาอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เจ้าตัวเหงาหงอยอยู่คนเดียว ทั้งยังเต็มใจช่วยกันค่อย ๆ ปรับสภาพจิตใจของเด็กตัวน้อยทีละนิด
แม้ธาวินจะไม่พูดอะไรเลยตลอดเกือบหนึ่งปีที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แต่ความรู้สึกของทุกคนยังคงเหมือนเดิม เอ็นดูและสงสารพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา
เขาทานอาหารทุกอย่างที่ป้ามล ผู้เป็นแม่บ้านเตรียมไว้ให้ทุกสามมื้อ ไม่เคยบอกว่าต้องการอะไรเป็นพิเศษ ทุกวันนี้ยังไม่เคยมีใครได้ยินเสียงพูดของเขาเลยสักครั้ง
หากแต่ในบางคืน เขาอาจส่งเสียงร้องเพราะฝันร้ายถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นบ้าง ทุกคนในบ้านก็จะพร้อมใจกันเข้ามาปลอบใจจนกว่าเจ้าตัวเล็กจะผล็อยหลับไป
คืนนี้ก็เช่นเดียวกัน เสียงสะอื้นดังเป็นระยะเล็ดลอดเข้ามายังห้องของวเรณย์ที่อยู่ข้างกัน ลูกชายคนเล็กของบ้านเคยร้องไห้จะเป็นจะตายอยากเปลี่ยนห้องนอนใหม่เพราะไม่อยากอยู่ใกล้เขา แต่พอคิดไปคิดมาแล้วกลับเปลี่ยนใจเพราะไม่อยากให้เขาไปอยู่ห้องว่างที่อยู่ตรงกลางระหว่างห้องพี่สาวสองคน
ถ้าเป็นแบบนั้น วเรณย์จะเป็นคนเดียวที่มีห้องนอนห่างจากคนอื่นมากที่สุด ในหัวน้อย ๆ พลันคิดว่าธาวินต้องหาโอกาสสนิทสนมกับพี่สาวแน่ ๆ
วเรณย์เปิดประตูฝั่งระเบียงห้องเบา ๆ มองมาห้องที่อยู่ข้างกันจึงได้เห็นว่าธาวินกำลังเอามือขยี้ตาร้องไห้อยู่คนเดียว ถึงเสียงร้องของเขาจะไม่ดังมากเหมือนทุกครั้งแต่คนที่ได้ยินกลับเป็นตัวเองคนเดียวแบบนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย จึงปิดประตูดังปังจนคนในห้องตกใจรีบคลุมโปงกลั้นเสียงร้องไห้
บางครั้งธาวินจะแอบยืนดูการ์ตูนเรื่องโปรดของวเรณย์อยู่หลังต้นเสาเพราะไม่อยากให้เจ้าตัวอารมณ์ไม่ดี หรือไม่ก็ทำตาละห้อยเวลาเห็นเกวลินตักไอศกรีมนับสิบรสชาติ แอบนั่งยอง ๆ อยู่ริมระเบียงมองดูก้องเกียรติกับจันทร์วิมลตัดแต่งกิ่งกุหลาบหน้าบ้าน การกระทำทุกอย่างล้วนแล้วแต่บอกใบ้ได้ว่าเขาต้องการอะไรแม้จะไม่พูดออกมา
วันหนึ่ง เมธาวีจึงซื้อตุ๊กตากระต่ายชื่อว่าเจคอบซึ่งเป็นตัวการ์ตูนเรื่องโปรดมาหลอกล่อธาวิน เธอรู้ว่าเขาใส่เครื่องช่วยฟังเพราะได้ยินไม่ค่อยชัดจึงนั่งลงข้าง ๆ แล้วพูดว่า “นาย ชอบ เจ คอบ ใช่ ไหม”
คำพูดช้า ๆ ชัด ๆ เรียกปฏิกิริยาจากธาวินได้มากกว่าปกติ เมธาวีจึงเข้าใจว่าที่ผ่านมาธาวินไม่พูด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะช็อกแต่อีกส่วนน่าจะจับใจความเสียงที่เปล่งออกมาไม่ได้ด้วย
นับตั้งแต่นั้นมา เมธาวีจึงพูดกับเขาเสียงดังขึ้นและบอกคนอื่น ๆ ในบ้านด้วยว่าต้องทำอย่างไร และคนที่ได้ยินเสียงตอบกลับจากเขาคนแรกก็คือเมธาวีนั่นเอง
“พี่”
“หือ” เธอตอบทันทีที่ได้ยินเขาเรียกโดยลืมไปว่าปกติธาวินมักจะพยักหน้าหรือส่ายหน้าอย่างเดียวจนต้องหันขวับมาดูอีกครั้ง “นายเรียกพี่เหรอ”
“อือ” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า เรียกเธออีกครั้ง “พี่”
ครั้นได้ยินเสียงเสียงเพียงเท่านั้นก็กรี้ดลั่นบ้านเรียกทุกคนมานั่งรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่ในพริบตา ยกเว้นเจ้าชายน้อยอย่างวเรณย์
“พ่อคะ แม่คะ น้องพูดได้แล้ว เมื่อกี้น้องเรียกหนูด้วย” เมธาวีเล่าให้พวกเขาฟังอย่างตื่นเต้น
“จริงเหรอพี่เม” เกวลินเองก็ดีใจเช่นเดียวกัน “เรียก พี่ บ้าง สิ” เธอพูดช้า ๆ ด้วยความคาดหวัง
“พี่ลิน” เสียงน้อย ๆ ทำให้ทุกคนยิ้มแป้นมีความสุข
เกวลินโผเข้ากอดธาวินด้วยความเอ็นดู คนที่อยู่ในโถงข้างล่างบ้านจึงพากันผลัดเข้ามาพูดคุยกับธาวินจนเสียงดังขึ้นไปถึงห้องด้านบน
“ฮึ่ย หนวกหู” วเรณย์เอามือปิดหู ทำสีหน้าหงุดหงิด ไม่ชอบเลยที่ทุกคนเป็นแบบนี้
คนเป็นแม่เห็นว่าลูกชายคนเล็กของบ้านไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วยจึงเดินขึ้นมาตามข้างบนห้อง “เรย์ ออกมาคุยกับเพื่อนหน่อยไหม ธาวินถามหาเรย์ด้วยนะ”
“ไม่ไปครับ ผมง่วงนอน” เจ้าชายน้อยของบ้านตอบสั้น ๆ ไม่สนใจใยดีจนจันทร์วิมลได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ถ้าอย่างนั้น นอนเยอะ ๆ นะลูก ถึงเวลาอาหารเย็นเมื่อไหร่ แม่จะให้ป้ามลมาตาม” เธอบอกเขาแต่เพียงเท่านั้นแล้วไม่รบกวนเวลาส่วนตัวของลูกชายอีก
หากแต่นั่นกลับทำให้วเรณย์รู้สึกเสียใจที่แม่ไม่ยอมคะยั้นคะยอหรือมานั่งเล่นในห้องกับเขา ทุกคนเอาแต่สนใจสมาชิกใหม่ของบ้าน
นับวันความรู้สึกของวเรณย์ที่มีต่อธาวินยิ่งมีแต่ความไม่ชอบพอ ไม่เข้าใจ และอาจลามไปถึงความอิจฉาเสียอย่างนั้น
เช้าวันอาทิตย์ ก้องเกียรติและจันทร์วิมลมักจะทำสวนเป็นงานอดิเรกจึงชวนธาวินที่กำลังนั่งเล่นตุ๊กตากระต่ายอยู่ตรงระเบียงห้องมาปลูกกล้าไม้ที่เพิ่งซื้อใหม่ด้วยกันเพื่อจะได้ชวนคุยสร้างความสนิทสนมให้เขาพูดและแสดงความรู้สึกมากขึ้นตามที่หมอแนะนำ
วเรณย์มองดูทั้งสามคนอยู่ห่าง ๆ อยากเข้าหาพ่อแม่แต่ไม่ชอบที่จะต้องเห็นหน้าธาวิน เสียงพูดคุยหัวเราะคิกคักทำเอาเจ้าตัวนิ่วหน้าจนลุงชาญ คนสวนวิ่งมาถามว่าคุณหนูตัวน้อยต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่
“ไม่ครับ” เขาตอบสั้น ๆ แล้วรีบวิ่งเข้าไปกลางวงสนทนาเพียงเพื่อจะหยุดความคุ้นเคยระหว่างพ่อแม่กับลูกคนอื่นไว้เท่านั้น
“เรย์ มาตรงนี้สิ” ก้องเกียรติเรียกลูกชาย “ไหน ๆ ก็มาแล้ว ช่วยพ่อปักกล้ากระถางนี้หน่อย”
ปกติแล้วการทำสวนยามว่างเป็นกิจกรรมที่พวกเขาทำร่วมกันอยู่แล้ว แต่พอมีธาวินเพิ่มเข้ามาด้วย วเรณย์ก็ไม่ยอมให้ความร่วมมืออีกเลย พวกเขาจึงไม่บังคับอะไรแต่พอเห็นเจ้าลูกชายเป็นฝ่ายเดินเข้ามาด้วยตัวเองจึงรู้สึกว่าคงจะยอมอ่อนข้อให้บ้างแล้ว
คนเป็นพ่อแม่จึงโล่งใจโดยที่ไม่รู้เลยว่าลูกชายคนนี้กำลังคิดอะไรซับซ้อนในหัวเต็มไปหมด
“ป้ามลทำคุกกี้เสร็จแล้ว เดี๋ยวแม่ไปเตรียมของว่างมาให้นะ” เธอลูบศีรษะของลูกชายอย่างอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ขณะที่ก้องเกียรติลุกขึ้นบิดเอวแล้วบอกว่า “เรย์กับวินอยู่ตรงนี้ก่อนนะ พ่อจะไปเอาปุ๋ยกับลุงชาญที่ด้านหลังมาลง”
“...” ทั้งคู่นิ่งเงียบ ก้องเกียรติพลันนึกได้ว่าหากพูดจากด้านหลังธาวินจะไม่ได้ยินจึงแตะไหล่ของเขา รอธาวินหันมาแล้วพูดช้า ๆ “เดี๋ยว ลุง มา นะ ครับ”
“ครับ” เสียงของธาวินดังขึ้นมาอย่างสดใสเพราะรู้สึกสนุกสนานกับงานในวันนี้
คล้อยหลังผู้ใหญ่จึงเหลือแต่เพียงพวกเขาสองคน ธาวินนั่งตักดินลงในหลุมเพาะกล้าทีละส่วนอย่างอารมณ์ดีพลางเหลือบหันมามองคนอายุรุ่นเดียวกันแล้วยิ้มให้
“ยิ้มทำไม หาเรื่องเหรอ” คำพูดของวเรณย์เร็วจนเขาฟังไม่รู้เรื่องเท่าไหร่นักจึงทำหน้างง ๆ
“ห้ะ” เขาจ้องหน้าวเรณย์อย่างจริงจัง รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแต่นั่นกลับเหมือนคนที่กำลังจ้องหน้าหาเรื่อง
วเรณย์ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง หางตาเหลือบเห็นสัตว์ตัวนิ่มบนกิ่งไม้พอดีจึงคิดจะแกล้งธาวินคลายความขุ่นเคืองใจของตัวเอง เขาหักกิ่งไม้นั้นแล้วยื่นเจ้าตัวนิ่ม ๆ กระดึ๊บ ๆ ที่มีขนหนุบหนับมาทางธาวิน
คนตรงหน้าตาเบิกโพลงรู้ในทันทีว่านั่นคือตัวอะไรเพราะพ่อเคยเปิดให้ดูในสมุดบันทึกภาพสัตว์โลก “บุ้ง!” เขาตะโกนลั่นรู้พิษสงของมันเป็นอย่างดี
แต่เจ้าชายน้อยกลับไม่รู้เรื่องอะไรมากนักแหย่ก้านไม้ติดบุ้งมาทางธาวินจนใกล้จะทิ่มหน้าทำให้เขาต้องวิ่งหนี เด็กชายไม่เข้าใจว่าจะกลัวอะไรขนาดนั้น คิดว่าคนตรงหน้าเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิดแต่ก็รู้สึกสนุกดีจึงวิ่งไล่ตาม
ทว่า เขาคงไม่เคยคิดว่าเจ้าสัตว์หน้าตาน่ารักจะมีพิษร้ายขนาดนี้จนกระทั่งมันปลิวตามลมตอนที่เขาวิ่งไล่ธาวินจนกระเด็นมาตกบนหลังแขนของตัวเอง
อ๊าก!!!
วเรณย์ร้องลั่นสุดเสียงจนทุกคนรีบวิ่งมาหา เจ้าตัวน้อยร้องไห้จ้าเจ็บแสบปวดร้อนตรงที่โดนขนบุ้ง แขนของเขาเป็นผื่นแดงขึ้นมาเหมือนมีรอยไหม้
คนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างธาวินจึงรีบชี้ไปที่รอยนั้นแล้วบอกก้องเกียรติว่า “บุ้ง” จากนั้นคนเป็นพ่อจึงรีบปฐมพยาบาลแล้วพาเจ้าตัวแสบไปหาหมอทันที
เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว จันทร์วิมลจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สายตาของวเรณย์มองธาวินที่หลบอยู่หลังเธอแล้วไม่พูดอะไร เรื่องในวันนั้นจึงเป็นความลับที่รู้กันเพียงแค่สองคน
ห้าวันต่อมาหลังจากเที่ยวเล่นอยู่บนเกาะตามลำพังสองคนแล้ว ทั้งคู่จึงนั่งรถไฟกลับมาที่ปารีสเพื่อมาพบกับเกวลินที่รอรับอยู่ชานชาลาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส“พี่ลิน” ธาวินเรียกเธอพลางเข้าไปกอด “ไหนพี่บอกว่าจะรีบตามมาไงครับ”“โทษทีนะ ธุระคาราคาซังจนเกือบหนีออกมาไม่ได้แน่ะ” เธอลูบหัวคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดูพลางได้ยินเสียงน้องคนเล็กพึมพำ “ผมบอกพี่แล้วว่าให้ทำธุระก่อน พวกผมเที่ยวกันสองคนได้”เกวลินมองด้วยหางตา ถามธาวินว่า “เจ้าเด็กนี่แกล้งอะไรหรือเปล่า เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะดูแลนายเอง”แม้จะถามออกไปแบบนั้นแต่เธอเองก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศของคนทั้งสองเปลี่ยนไปจริง ๆ ตอนเห็นรูปถ่ายที่ธาวินส่งเข้าแชตครอบครัววันแรก
วันเดินทางคนในบ้านอิงสุนทรมาส่งวเรณย์กับธาวินที่สนามบินตอนสองทุ่มเพราะขึ้นเครื่องบินเที่ยวกลางคืน ทั้งคู่ตื่นเต้นที่จะได้เดินทางออกนอกประเทศเพียงลำพังครั้งแรกเพราะเกวลินติดธุระจึงตามไปทีหลังก้องเกียรติและจันทร์วิมลมองหน้าธาวินพลางเอ่ยปากบอกว่า “ยังไงก็คิดทบทวนอีกสักรอบนะวิน” พวกเขาไม่อยากปล่อยเด็กน้อยตรงหน้าไปจริง ๆ เพราะเลี้ยงดูมาตั้งนานแล้วรู้สึกว่าเหมือนเขากลายเป็นลูกคนหนึ่งไปแล้ว“ครับ” ธาวินรับปาก เขามีเวลาเหลืออีกสองปีที่จะอยู่ในบ้านอิงสุนทรต่อ ถึงเวลานั้นแล้วคนในบ้านอาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้ หากแต่คนข้างกายโอบกอดไหล่เขาเอาไว้พูดกับพ่อแม่ตัวเองว่า “พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงผมก็จะทำให้วินเปลี่ยนใจให้ได้”เมธาวีได้ยินดังนั้นจึงเดินเข้ามาตีแขนน้องชาย “วางแผนอะไรไว้ ถ้าวินคิดออกจากบ
ธาวินนิ่งเงียบหลบสายตาที่ทำให้เจ้าตัวอ่อนไหวแต่เสียงหัวใจยังคงเต้นรัวไม่อาจปิดบังความจริงได้ว่าเขาชอบวเรณย์มากแค่ไหน“ธาวิน” เสียงกระซิบข้างหูยิ่งทำให้ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วลามมาถึงหูและลำคอ “นอนกันเถอะแล้วพรุ่งนี้ไปซื้อของเตรียมตัวไปเที่ยวด้วยกัน”“นายไปนอนห้องตัวเองสิ” ธาวินพึมพำ “ถ้าอยากไปเที่ยวด้วยก็ไป ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่ายังไงฉันก็จะเรียนต่ออยู่ดีแล้วก็คงจะอยู่ที่นั่นต่อแล้วก็...”จุ๊บริมฝีปากของวเรณย์ประทับลงมาโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวจุ๊บสายตาของวเรณย์มองอย่างอ่อนโยน นับตั้งแต่ที่รู้ใจตัวเองก็รุกเข้าหาธาวินเต็มกำลัง
ไม่กี่วันต่อมาก้องเกียรติเรียกลูกชายคนเล็กเข้าไปหาที่ห้องทำงานแล้วบอกเรื่องสำคัญให้เขาได้รับรู้“พ่อบอกว่าอะไรนะครับ” เขาถามด้วยความตกใจก้องเกียรติถอนหายใจเอ่ยอีกครั้งว่า “พ่อจะรับวินมาเป็นลูกบุญธรรม”“ทำไมล่ะครับ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงคิดจะทำแบบนั้น” เขาไม่เข้าใจเพราะที่ผ่านมาทั้งพ่อและแม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย“พ่อกับแม่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้วินออกจากบ้านเราไปน่ะสิ” สีหน้าของเขาเหมือนกำลังคิดหาวิธีรั้งตัวเด็กน้อยที่เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยง“ทำไมวินต้องออกจากบ้านด้วยล่ะครับ”“ไม่รู้สิ จู่ ๆ ก็บอกพ่อว่าเรีย
เช้าวันต่อมาท้องฟ้าอากาศแจ่มใสจนทำให้ใครบางคนในบ้านอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่เขาได้ยินเสียงประตูของห้องข้าง ๆ เปิดออกก็รีบพุ่งตัวออกมาทักทายอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“หลับฝันดีไหม”ธาวินไม่ตอบว่าคืนที่ผ่านมาเขาฝันดีมากจนรู้สึกไม่อยากตื่นแต่จะให้บอกไปตามตรงก็ไม่ได้ว่าคนในฝันคือวเรณย์“เมื่อคืนนี้นายหลับไปก่อนเลยไม่เห็นดาวหางใช่ไหมล่ะ แต่ว่าฉันเห็นพอดีเลย สงสัยอีกสี่สิบปีข้างหน้าคงต้องปลุกนายมาดูด้วยกันแล้วล่ะ” คำพูดของวเรณย์ทำให้เขานึกสงสัยว่าเจ้าตัวไม่สบายหรือเปล่าถึงได้พูดอะไรที่แปลกไปจากนิสัยปกติแม้แต่แฮปปี้เองก็กระโดดโลดเต้นส่ายหางราวกับดีใจที่พี่ชายทั้งสองคืนดีกันอย่างไรอย่างนั้น&l
ครั้นธาวินออกไปแล้ววเรณย์จึงนั่งเงียบ ๆ อยู่คนเดียว คิดในใจว่าฉันคงเป็นไอ้บ้าจริง ๆ สินะ ทำไมต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยตึกตัก ตึกตักโอ๊ย หัวใจเลิกหยุดเต้นแบบนี้สักทีได้ไหมฉันต้องไปหาหมอไหมเนี่ยคืนนั้น ภาพในความฝันของวเรณย์จึงวนเวียนกลับมาอีกครั้ง สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อตอนกลางวันกำลังฉายชัดในความฝันเพียงแต่คนที่ธาวินจูบไม่ใช่ณดลแต่เป็นเขามาแทนที่บรรยากาศเคลิบเคลิ้มชวนให้คนทั้งคู่ทำอะไรที่มากไปกว่านั้น ลึกล้ำดึงดูดราวกับหลงใหลจนไม่อาจถอนตัวออกมาได้ ทั้งยังทำให้เจ้าตัวเพลิดเพลินไปกับการกระทำที่อ่อนโยนของคนตรงหน้าจนกระทั่งอ๊ะ พรวด...พรึ่บ!!!วเรณย์สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วเปิดผ้าห่มดูกางเกงตัวเองก่อนจะกุมขมับแล้วกรีดร้องในใจไอ