Chapter 8
เฉินหมิงไม่คิดว่า บุตรชายจะรักจางม่านอวี้มากกว่าอนาคตของตัวเอง ถึงได้ยอมสละอะไรหลายอย่างเพื่อนาง ที่เขาไม่ขัดความคิดของบุตรชายเป็นเพราะ หน้าที่ที่จางม่านอวี้ไปทำนั้นมีความเสี่ยงมาก ขุนนางในวังล้วนแต่เป็นเสือและสิงห์ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อำนาจก็มีมาก ยิ่งต้องไปต่อสู้กับพระสนมมู่เซียนที่ใครต่างรู้ดีว่า มีอำนาจมากแค่ไหน จางม่านอวี้จำเป็นต้องมีคนช่วยอีกทางหนึ่ง แล้วรู้ด้วยว่า อีกเหตุผลหนึ่งของเฉินต้าเหว่ยคือ จะได้ใกล้ชิดจางม่านอวี้
“ถ้าเจ้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าก็เห็นตามนั้น” เฉินหมิงตอบกลับ “แล้วเจ้าจะเข้าไปอยู่ในวังได้ยังไง”
“ข้ามีวิธีขอรับท่านพ่อ”
การที่เฉินต้าเหว่ยตัดสินใจลาออกจากการเป็นรองแม่ทัพ ไปทำงานเป็นขุนนางในวังก็เพื่อช่วยเหลือจางม่านอวี้ เขาต้องมีวิธีที่ให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้น
“ข้าไม่ห้ามเจ้าว่าจะทำอะไร และไม่ห้ามเจ้าไม่ให้รักม่านอวี้ เพราะรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ ถ้าเจ้าอยากทำอะไรก็ทำ ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องดี เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง” เฉินหมิงพูดอย่างเข้าใจความรู้สึกลูก
“ขอบคุณขอรับท่านพ่อที่เข้าใจข้า” เฉินต้าเหว่ยคำนับบิดา “ข้าขอตัวไปหาเฉียนเจ้าก่อนนะขอรับ”
บิดาพยักหน้า รองแม่ทัพหนุ่มจึงออกจากห้องของเฉินหมิง รีบรุดเดินทางไปหาเฉียนเจ้าเพื่อนสนิทที่จะช่วยเขาให้เข้าไปทำงานในวัง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากเลย ทว่าเรื่องยากอยู่ที่ เฉินต้าเหว่ยจะสละตำแหน่งรองแม่ทัพตอนนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากศึกใหญ่ที่เขาต้องไปรบนั้น สำคัญไม่แพ้ไปช่วยจางม่านอวี้
แต่ไม่มีอะไรสำคัญกว่าไปช่วยนางในดวงใจ...แม้แต่ชีวิตเขา เขาก็สละได้เพื่อนาง
องค์รัชทายาทหรือองค์ชายจูหยวนเชียวเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างเร่งรีบ หลังได้รับข่าวว่า ไทเฮาหลีฮัวหลานหรือหลีไทเฮาทรงพระประชวร ความสนิทสนมระหว่างย่าหลานคู่นี้มีมาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าสนิทกว่าหลานทุกคนก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะองค์รัชทายาทเกิดจากหยูฮองเฮา ที่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่องค์รัชทายาทอายุได้เพียงเก้าชรรษา หลีไทเฮารักหยูฮองเฮามาก เมื่อหยูฮองเฮาจากไปความรักจึงถ่ายเทมาให้องค์รัชทายาท
การเดินทางกลับเมืองหลวงเร่งด่วนครั้งนี้ ทำให้เขาพลาดอะไรไปหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือ สานต่อความสัมพันธ์กับหญิงสาวถูกใจ ระหว่างทางที่ขี่ม้ากลับมาเมืองใหญ่ เขานึกถึงรอยยิ้มของจางม่านอวี้ตลอดทาง ยามนึกพลังบางอย่างก็ปลุกระดมในกาย องค์รัชทายาทไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า เพียงแค่รอยยิ้มจะทำให้เขากระโจนสู่ห้วงความรักได้ ทั้งที่ในวังมีพระชายาเป่ยหลิงที่มีความงดงามมาก ลูกสาวขุนนางมีให้เลือกก็มาก ทว่าเขาหาได้สนใจ กลับสนใจจางม่านอวี้ สตรีที่ตรึงเขาด้วยรอยยิ้ม
“ท่านย่าเป็นยังไงบ้างพ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทเอ่ยถามหลีไทเฮา
“กว่าเจ้าจะกลับมา ข้าก็หายดีแล้ว” หลีไทเฮาพูดเชิงน้อยใจ
“กระหม่อมได้ข่าวว่าท่านย่าป่วย กระหม่อมก็รีบกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้านึกว่าเจ้าจะเที่ยวจนลืมย่าแก่ๆ คนนี้แล้วซะอีก” เขารู้ว่า ผู้เป็นย่ากำลังน้อยใจ เขาจึงลุกขึ้นเดินไปกอดหลีไทเฮา หอมแก้มเอาใจนาง
“กระหม่อมไม่มีวันลืมท่านย่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรักท่านย่า” เพียงแค่หลานรักทำแค่นี้ ไทเฮาก็ยิ้มแก้มปริ ความน้อยใจหายไปในพริบตา
“วันมะรืนจะมีการแต่งตั้งพระสนมคนใหม่ พ่อเจ้ามีเมียนับร้อย แต่เจ้านี่สิ มีเมียแค่คนเดียว แต่งกันมาตั้งหลายปีไม่มีแววว่าจะมีเหลนให้ข้า เจ้าน่าจะหานางในมารับใช้เพิ่มสักคนสองคน เจ้าจะได้มีเหลนให้ข้าอุ้ม เจ้าอย่าลืมสิว่า เจ้าคือองค์รัชทายาทที่จะสืบทอดบัลลังก์ต่อจากพ่อเจ้า เจ้าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีลูกสืบทอดบัลลังก์ต่อไป ข้ามองลูกสาวขุนนางไว้หลายคน ข้าจะเลือกให้เจ้าเอง”
องค์รัชทายาทมีพระชายานามว่า เป่ยหลิง นางเป็นบุตรสาวของอำมาตย์เป่ยกง นางเป็นพระชายาของเขามานานสี่ปี ทว่ายังไม่มีวี่แววว่าจะได้ทายาทมาสืบทอดบัลลังก์ หลีไทเฮาจึงต้องจัดการหานางในมารับใช้ให้หลานรัก ก่อนที่จะมีเรื่องยุ่งๆ ตามมา คำพูดของหลีไทเฮา กระตุ้นความคิดบางอย่างในหัวขององค์รัชทายาท
“ถ้าหากกระหม่อมจะเลือกพระชายารองเองจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ตามกฎราชวงศ์จู ฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทไม่มีสิทธิ์เลือกคู่ครองเอง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝ่ายในเป็นคนจัดหา พระสนมของฮ่องเต้เป็นหน้าที่ของฮองเฮา ส่วนพระชายาขององค์รัชทายาทเป็นการตัดสินใจของไทเฮา
“พระชายารองหรือ” หลีไทเฮาทวนคำ สีหน้านางแปลกใจ ปกติแล้วแค่ตำแหน่งนางใน หลานรักยังไม่ใส่ใจ แต่นี่จะเลือกพระชายารองเอง ทำให้นางคิดว่า ผู้หญิงที่องค์รัชทายาทหมายปองต้องมีความสำคัญทางใจแน่นอน “เจ้าผูกใจกับหญิงใด เป็นลูกขุนนางคนไหน”
“กระหม่อมหมายปองสตรีคนหนึ่ง กระหม่อมอยากให้นางเป็นพระชายารองของข้า ท่านย่าให้กระหม่อมเป็นคนเลือกเองได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
จากสีหน้า แววตาขององค์รัชทายาท ทำให้นางรู้ว่า หลานรักจริงจังกับสตรีคนนี้มากแค่ไหน และยิ่งทำให้นางอยากเห็นหน้าสตรีนางนี้เร็วๆ นางคิดอีกเรื่องหนึ่งว่า หากจูหยวนเชียวได้พระชายารองที่มีความรักให้ นางอาจได้อุ้มเหลนเร็วขึ้น หลีไทเฮาจึงยอมแหกกฎ
“ข้าอนุญาต” องค์รัชทายาทยิ้มกว้าง หอมแก้มท่านย่า
“ขอบพระทัยท่านย่าพ่ะย่ะค่ะ เสร็จจากงานสำคัญ กระหม่อมจะรีบไปหานาง”
“ข้าว่าตอนนี้เจ้ารีบไปหาเป่ยหลิงดีกว่านะ ข้าเห็นนางหน้าเศร้าอยู่หลายวันแล้ว เจ้าน่าจะทำดีกับนางบ้าง ไม่รักนางก็แย่พออยู่แล้ว อย่าทำหมางเมินไม่ใส่ใจนางเลย อย่างน้อยนางก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพระชายาของเจ้า”
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่องค์รัชทายาทไม่มีลูก ความที่เป็นหญิงสาวที่ไม่ได้รัก ส่งผลให้เป่ยหลิงถูกหมางเมิน ไม่ได้รับการใส่ใจจากองค์รัชทายาทเท่าที่ควร หากนางให้หลานรักหาพระชายารองหรือนางในเอง บางทีเรื่องที่นางหวังอาจเห็นผลเร็วขึ้น
“พ่ะย่ะค่ะ” ข้อนี้องค์รัชทายาทยอมรับว่าตัวเองผิด ทว่าเขาเป็นคนไม่ชอบฝืนใจตัวเอง ทำตามหน้าที่สามีในบางครั้ง เห็นทีวันนี้เขาต้องไปทำหน้าที่สามีที่ดี ไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบนางก็ยังดี
องค์รัชทายาทอยู่พูดคุยกับหลีไทเฮาอีกครู่หนึ่งก็ขอตัวกลับ สถานที่ต่อไปที่เขาไปคือ ตำหนักหลันฮวา ตำหนักที่พระชายาของเขาพักอยู่
ระหว่างที่องค์รัชทายาทจูหยวนเชียวเดินไปตำหนักหลันฮวาที่อยู่ด้านหน้าของวังหลัง เขาต้องเดินผ่านตำหนักหนึ่งที่เป็นเพียงตำหนักเล็กๆ คนที่อยู่อาศัยคือพระสนมหรือนางในคนใดคนหนึ่ง แต่ก็รู้กันอยู่ว่า ใครอยู่ตำหนักละแวกนี้จะเป็นคนนอกสายตาไม่ได้รับใช้ฮ่องเต้
องค์รัชทายาทเดินผ่านจุดนี้นับครั้งไม่ถ้วน สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เรียกความสนใจให้เขาสักเท่าไหร่ ทว่าวันนี้ไม่ใช่ เสียงพิณที่ดังออกมาจากตำหนักชิวเป่า ทำให้เท้าของเขาระงับเดิน หยุดฟังเสียงดนตรีที่เต็มไปด้วยความไพเราะ ในขณะเดียวกันมันคือความเศร้าของผู้บรรเลงเพลง เสียงพิณกู่เจิงชวนหลงใหล เสมือนเสียงเพลงจากสวรรค์ที่ทำให้คนฟังเคลิบเคลิ้ม
“ตำหนักนี้ใครอยู่” องค์รัชทายาทเอ่ยถามนางกำนัล
“ว่าที่พระสนมคนใหม่ของฮ่องเต้เพคะ”
“ท่าทางนางจะเหงานะ เสียงเพลงช่างเศร้าเหลือเกิน”
องค์รัชทายาทเอ่ยขึ้น ทอดสายตามองตำหนักตรงหน้า ก่อนจะก้าวเท้าเดินห่างเสียงเพลงที่บอกถึงความเศร้า ขณะที่องค์รัชทายาทกำลังเดินเลี้ยวไปทางขวามือ หลินหลินได้ถือถาดน้ำชาเดินสวนมา ทว่าความมืดของยามราตรี ที่มีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่นางกำนัลถืออยู่ ส่งผลให้เขาเห็นหน้าหลินหลินไม่ชัด ส่วนหลินหลินก็เดินก้มหน้าไม่ได้มองเขาเช่นกัน
Chapter 9สองวันมานี้จางม่านอวี้คิดหาวิธีเข้าใกล้พระสนมมู่เซียน โดยที่อีกฝ่ายจะต้องไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังถูกล้วงความลับ เดิมทีจางม่านอวี้ตั้งใจเข้าไปฝากเนื้อฝากตัวกับมู่เซียน แต่คิดไปคิดมา วิธีนี้คงไม่ได้ผล คนฉลาดอย่างสนมมู่เซียนต้องสงสัยว่า ตนเข้าไปทำความรู้จักเพื่อเหตุผลใด เพราะปกติเหล่าพระสนมจะชิงดีชิงเด่น ชิงเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ น้อยนักที่จะสามัคคีรักใคร่กลมเกลียว และนั่นอาจส่อพิรุธให้มู่เซียนจับได้ จางม่านอวี้จึงคิดหาทางอื่น ที่จะทำให้มู่เซียนไว้ใจและเชื่อใจนาง ทว่างานนี้นางทำคนเดียวไม่ได้ นางต้องมีคนช่วยและมีอีกเรื่องหนึ่งที่จางม่านอวี้บอกจิวฮองเฮา เรื่องนั้นคือเรื่องการติดต่อระหว่างนางกับฮองเฮา ก่อนจะถึงวันแต่งตั้งนางขึ้นเป็นพระสนม จางม่านอวี้คิดว่า ไม่สมควรเจอกันบ่อยนักเพราะอาจทำให้มู่เซียนเกิดความสงสัย ทางใดที่ทำให้มู่เซียนเกิดความคลางแคลงใจ จำต้องตัดทิ้งเพื่อความสำเร็จในวันหน้า จางม่านอวี้ใช้วิธีเขียนจดหมายถึงฮองเฮาจิวหยวน ให้นางทำตามแผนที่ตนเขียนไว้อย่างละเอียดภายในจดหมายฉบับนั้น ก่อนจะให้เจี่ยเหว่ยนางกำนัลรับใช้ที่จิวฮองเฮาส่งมา นำสารดังกล่าวไปตำหนักกลาง จิวฮองเฮาเปิดจด
Chapter 8 เฉินหมิงไม่คิดว่า บุตรชายจะรักจางม่านอวี้มากกว่าอนาคตของตัวเอง ถึงได้ยอมสละอะไรหลายอย่างเพื่อนาง ที่เขาไม่ขัดความคิดของบุตรชายเป็นเพราะ หน้าที่ที่จางม่านอวี้ไปทำนั้นมีความเสี่ยงมาก ขุนนางในวังล้วนแต่เป็นเสือและสิงห์ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อำนาจก็มีมาก ยิ่งต้องไปต่อสู้กับพระสนมมู่เซียนที่ใครต่างรู้ดีว่า มีอำนาจมากแค่ไหน จางม่านอวี้จำเป็นต้องมีคนช่วยอีกทางหนึ่ง แล้วรู้ด้วยว่า อีกเหตุผลหนึ่งของเฉินต้าเหว่ยคือ จะได้ใกล้ชิดจางม่านอวี้“ถ้าเจ้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าก็เห็นตามนั้น” เฉินหมิงตอบกลับ “แล้วเจ้าจะเข้าไปอยู่ในวังได้ยังไง”“ข้ามีวิธีขอรับท่านพ่อ”การที่เฉินต้าเหว่ยตัดสินใจลาออกจากการเป็นรองแม่ทัพ ไปทำงานเป็นขุนนางในวังก็เพื่อช่วยเหลือจางม่านอวี้ เขาต้องมีวิธีที่ให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้น“ข้าไม่ห้ามเจ้าว่าจะทำอะไร และไม่ห้ามเจ้าไม่ให้รักม่านอวี้ เพราะรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ ถ้าเจ้าอยากทำอะไรก็ทำ ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องดี เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง” เฉินหมิงพูดอย่างเข้าใจความรู้สึกลูก“ขอบคุณขอรับท่านพ่อที่เข้าใจข้า” เฉินต้าเหว่ยคำนับบิดา “ข้าขอตัวไปหาเฉียนเจ้าก่อนนะขอรั
Chapter 7“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เจ้าไปอยู่ในตำหนักชิวเป่า เป็นตำหนักในส่วนของพระสนมขั้นสามและสี่อยู่”“เพคะฮองเฮา”“ส่วนนางกำนัลรับใช้ ข้าจะให้ฮุ้ยเจี้ยนกับเจียเหม่ยไปดูแลเจ้า สองคนนี้เป็นคนของข้า จะคอยส่งข่าวให้เจ้ารู้ว่า เจ้าต้องทำอะไร”“หม่อมฉันขอให้สาวใช้ของข้าอยู่รับใช้หม่อมฉันที่นี่ด้วยได้ไหมเพคะ”“ข้าว่าอย่าดีกว่า มีคนของข้าแล้วไม่จำเป็นต้องใช้คนของเจ้า”ฮองเฮาไม่ต้องการให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือรับรู้เรื่องแผนการกำจัดพระสนมมู่เซียนมากนัก ยิ่งรู้มากการที่ข่าวจะรั่วไหลก็มากตาม“หม่อมฉันกลับคิดว่ามีความจำเป็นเพคะ”“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าจำเป็น” ฮองเฮาถามกลับ“หม่อมฉันต้องการให้มีคนที่หม่อมฉันไว้ใจที่สุดอยู่ใกล้ด้วย หลินหลินอยู่กับหม่อมฉันตั้งแต่เกิด เราโตมาด้วยกัน และรักกันเหมือนพี่น้อง หม่อมฉันไม่เคยมีความลับกับหลินหลิน เช่นเดียวกับที่หลินหลินไม่เคยมีความลับกับหม่อมฉัน การที่หม่อมฉันเข้ามาอยู่ในวังที่เปรียบเสมือนอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่กว้างใหญ่และน่ากลัว แล้วยังต้องแบกภาระหน้าที่ที่ต้องทำอีกด้วย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาคนที่ไว้ใจที่สุดในการทำงาน ซึ่งหม่อมฉันไม่ไว้ใจคนของฮองเฮา เพ
Chapter 6ขบวนเกี้ยวมาหยุดเมื่อเดินทางมาถึงวังหลวง จางม่านอวี้ก้าวลงมาจากเกี้ยว นางยืนมองไปรอบๆ ที่เป็นลานกว้างมีทหารหลายสิบนายเดินตรวจตรา ห่างไปตรงหน้าราวห้าสิบเชี้ยะเป็นประตูบานใหญ่ซึ่งนางคิดว่า คงเป็นประตูวัง จางม่านอวี้มองประตูบานนั้นนิ่ง หากนางก้าวผ่านขอบประตูบานนั้น นั่นหมายความว่า นางจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนใจ ไม่อาจหันหลังกลับ ทางเดียวต่อจากนี้คือ เดินหน้าทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเพียงแค่เห็นความกว้างใหญ่ของวังหลวง จางม่านอวี้สัมผัสได้ถึงความว้าเหว่ เปลี่ยวเหงา ด้านหลังประตูบานนั้นนางไม่รู้จักใครเลย แปลกทั้งสถานที่และคน อย่างหลังนางถึงกับหนักใจ นางรู้มาว่า คนในวังหลวงแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แต่ละคนเสมือนจิ้งจอกล่าเนื้อ รวมถึงขนบธรรมเนียมที่ต่อจากนี้ไปนางต้องเรียนรู้ ที่มาพร้อมกับหน้าที่ที่นางเองก็ไม่รู้ว่า จะทำได้ดีหรือไม่ “แม่นางจาง เชิญขอรับ ฮองเฮารออยู่”หลีกงกงบอกว่าที่พระสนม จางม่านอวี้พยักหน้าเดินตามหลีกงกงข้ามผ่านประตูสีแดงเข้าไปในเขตวัง ความรู้สึกของจางม่านอวี้เวลานี้ นางรู้สึกร้อนเท้า แต่ละก้าวที่จางม่านอวี้ก้าวเดินเสมือนเดินบนกองไฟอย่างไงอย่างนั้น ค
Chapter 5เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามเฉินต้าเหว่ยควบม้าคู่ใจด้วยใจอันร้อนรน การขี่ม้าครั้งนี้ถือว่าเร็วที่สุดในชีวิต เร็วกว่าตอนออกศึกรบเสียอีก ทว่าความเร็วของม้ายังไม่เพียงพอ เขาอยากให้มันเร็วกว่านี้เพื่อที่จะได้ตามทันขบวนเกี้ยวที่มารับจางม่านอวี้เข้าวัง แต่ความเร็วของม้าทำได้เพียงแค่นี้ ช้ากว่าใจเฉินต้าเหว่ยเป็นร้อยเท่าทันทีที่แม่ทัพหนุ่มกลับมาจากส่งสารสำคัญจากต่างเมือง เขาได้รับข่าวร้ายจากบิดาเรื่องจางม่านอวี้ ตอนนั้นเฉินต้าเหว่ยรู้สึกงงงวย ความไม่เข้าใจแฝงในความรู้สึกที่อยู่ๆ จางม่านอวี้ได้เป็นพระสนม นางกำลังจะเป็นของชายอื่น ซึ่งผู้ชายคนนั้นถือว่าเป็นเจ้าชีวิตของคนทั้งแคว้น รองแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรไม่รู้ที่มาที่ไปของการเข้าวังของนาง ในใจของเขาตอนนี้รู้เพียงว่า ต้องตามนางให้ทัน เขาจึงรีบควบม้าตามขบวนเกี้ยวอย่างไม่ลดละระยะทางจากเมืองหลานหยูไปเมืองหลวงมีระยะทางหลายร้อยลี้ ขบวนเกี้ยวที่มารับจึงใช้ม้าในการลากเกี้ยวแทนคนแบกหาม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางเร็วขึ้น เนื่องจากม้าเดินไม่ได้วิ่ง ส่งผลให้แรงอาชาไนยของรองแม่ทัพหนุ่มนำพาเขามาทันขบวนเกี้ยวที่มองเห็นในระยะสายตาเฉินต้าเหว่ยรีบเร่
Chapter 4องค์รัชทายาทไม่ปล่อยให้ความอยากรู้อยู่กับตัวเองนาน เขารีบเข้าไปถามพ่อค้าซาลาเปากับคำตอบที่อยากได้ โดยให้สินน้ำใจหนึ่งตำลึง มีหรือที่คำตอบนั้นจะไม่พรั่งพรูออกจากพ่อค้า เมื่อรู้คำตอบ เขาไม่ได้เร่งรีบไปหาจางม่านอวี้ เพราะมีงานสำคัญงานหนึ่งต้องทำ ตั้งใจว่าทำเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะรีบไปหานางทันที แต่เผอิญว่าเจอนางที่นี่เสียก่อน“แล้วเจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใครไปทำไม ทีข้ายังไม่อยากรู้เรื่องของเจ้าเลย”“ก็เพราะ...” ยังไม่ทันพูดจบ ชายรูปร่างสูงเพรียว แต่งกายคล้ายจอมยุทธเดินเข้าหา ก่อนจะกระซิบข้างหู “ข้าขอตัวก่อนนะแม่นางจาง ไว้ข้าไปหาเจ้าที่บ้านนะ”องค์รัชทายาทพูดจบก็รีบเร่งเดินไปยังท่าเรือพร้อมพรรคพวก“ผู้ชายคนนี้ดูแปลกๆ นะเจ้าคะคุณหนู” หลินหลินพูดกับเจ้านายสาว“ช่างเขาเถอะอย่าไปสนใจเลย ข้าเชื่อว่า ข้ากับเขาคงไม่ได้พบกันอีก” จางม่านอวี้คิดเช่นนั้น “ไปกันเถอะ”สองสาวพากันเดินไปยังจวนรองแม่ทัพ จางม่านอวี้หวังว่าจะได้พบเฉินต้าเหว่ย แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น คนที่นางอยากเจอยังไม่กลับมาจากออกศึก จางม่านอวี้เศร้าหนักกว่าเดิม ความรู้สึกตอนนี้ของนางไม่ดีเลย รู้สึกโหวงๆ หวิวๆ ชอบกล ด้วยเหตุผลใด