เข้าสู่ระบบปานประดับกลับมาห้องเช่าด้วยความรู้สึกเศร้าโศก พอประตูปิดลงเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจก็ดังขึ้น ปล่อยโฮออกมาจนยากจะเกินทน ความเข้มแข็งที่พยายามแสดงต่อหน้าแม่ของเธอเมื่อครู่ต้องเค้นพลังใจออกมามากแค่ไหน ตอนนี้แทบไม่เหลือพลังชีวิตให้หยัดยืนอีกต่อไปเมื่อได้ยินคำพูดของหมอ
“คนไข้อยู่ได้ด้วยท่อหายใจ” หมอเองก็ลำบากใจที่จะเอ่ยออกมาเพราะเห็นช่วงเวลาที่ผ่านมาของคนไข้และลูกสาว มันไม่ง่ายเลย คำพูดนั้นทำเอาร่างกายของเธอชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า
“มะ หมายความว่า” ปานประดับแววตาสั่นระริก เปล่งเสียงแทบไม่ออกเหมือนมีก้อนสะอื้นจุกที่ลำคอ ร่างกายสั่นสะท้านอีกทั้งคุณหมอตรงหน้าก็ทอดถอนหายใจอย่างเวทนาเหมือนกัน หมอเองก็เห็นคนไข้นับพันนับหมื่น เจอสถานการณ์แบบนี้ซ้ำ ๆ แต่เขาเองก็ไม่ชินเหมือนกัน อีกทั้งยังเป็นแพทย์เจ้าของไข้ เขาเฝ้าดูคนไข้ ญาติคนไข้ตรงหน้ามานาน พอจะรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าขัดสนเงินทองมากขนาดไหน แต่ไม่เกี่ยงงอนเรื่องราคายาเลยสักนิด ทั้ง ๆ ที่เหมือนโยนหินลงทะเล หินก้อนนั้นก็คือเงิน…
“ญาติคนไข้ลองพิจารณาดู ตัดสินใจได้เมื่อไหร่ค่อยบอกหมอ” แม้จะรู้ว่าที่ทำไปก็ไม่มีประโยชน์ ปานประดับกลับไปมาโรงพยาบาลเฝ้ามองแม่ของเธออยู่อย่างนั้นถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม ก่อนจะตัดสินใจทำเรื่องที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าถูกต้องไหม…แม่ของเธอเองก็ทนทรมานมากพอแล้ว เส้นสายระโยงระยางตามสองแขน ร่างกายที่ซูบผอมจนติดกระดูก ใบหน้าที่อวบอิ่มในสมัยตอนที่ยังสาว ๆ แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ผมดกดำนิ่มสลวยในวันวานบัดนี้ไม่เหลือเลยสักเส้น จะกิน จะกลืนอะไรก็ลำบาก แม้รู้ว่าแม่ของเธอทรมานเพียงใด แต่ตัวเธอเองก็ตัดใจไม่ลงเหมือนกัน
ศพของปานจิตตั้งอยู่ในศาลาวัดแห่งหนึ่งใกล้บ้าน สวดอภิธรรมเพียงหนึ่งคืนก่อนจะส่งแม่ของเธอไปยังสวรรค์ฟากฟ้า พี่แป้ง เฮียปอ บรรดาลูกจ้างร้านโต๊ะจีนต่างก็มาร่วมอาลัย ใส่ซองให้ตามสมควร ปานประดับสองตาแดงก่ำ
“มีอะไรก็มาหาเฮียกับพี่แป้งได้” เฮียปอกล่าวหลังจากไฟในเตาโหมไหม้ ปานประดับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ปานประดับเรียกเฮียปอที่แก่คราวพ่อติดปากจนชินตามเด็กในร้าน เรียกติดปากมาจนถึงวันนี้
“ขอบคุณค่ะ”
“ปาน หลังจากนี้จะทำยังไง” ปาริตาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ปานประดับเป็นผู้หญิงอีกทั้งห้องเช่าละแวกนั้นก็เสื่อมโทรม กลัวว่าสักวันจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
“ย้ายไปอยู่หอหญิงเถอะนะ…พี่ขอ” ปาริตาเอ่ยตัดบท แม้ว่าห้องนั้นจะถูกยังไงแต่ก็ยังถูกกว่าราคาชีวิตของหญิงสาวตรงหน้าแน่นอน ปาริตาช่วยเก็บของอันน้อยนิด ใส่ท้ายรถเก๋งคันเล็กยังเหลือพื้นที่อีกด้วยซ้ำ เสื้อผ้าก็มีน้อยจนน่าตกใจ ปาริตาจินตนาการไม่ออกเลยว่าสองแม่ลูกใช้ชีวิตที่ผ่านมายังไงในห้องเช่าแห่งนี้ แม้ว่าปาริตาไม่พูดแต่ปานประดับก็รู้ว่าเธอคิดอะไร
“ปานทยอยทิ้งของใช้ไม่จำเป็นไปก่อนหน้าแล้วค่ะ” ปานประดับนั่งกุมมือตัวเองไปตลอดทาง น้ำใจที่ครอบครัวของเฮียปอมีให้เธอมากมายขนาดไหนเธอรู้ดี แต่คนเราไม่สามารถจะพึ่งพาใครได้ไปตลอดชีวิต
“ขอบคุณนะคะพี่แป้ง”
“ไม่เป็นไรเรื่องเล็ก” ปานประดับยกของท้ายรถเข้ามายังหอหญิงที่เป็นหอหนึ่งในกิจการเครือญาติของเฮียปอ แถมยังลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังแพงกว่าที่อยู่เดิมของเธออยู่ดี
“ปาน…ความปลอดภัยของชีวิตต้องมาก่อน พี่รู้ว่าเราลำบาก”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่แป้งที่คอยช่วยเหลือปานมาตลอด”
“พี่เห็นเราเป็นน้องสาวคนนึง มีอะไรก็บอกได้…จริงสิเรื่องงานพี่พูดกับเฮียเขาให้แล้ว…” ปาริตาพูดยังไม่ทันจับ ปานประดับก็จับมือของหญิงสาวก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
“พี่แป้ง ปานไม่อยากรบกวนพี่แป้งอีกแล้ว เงินสองล้านนั่นปานจะพยายามหามาคืนให้เร็วที่สุด อีกอย่างปานไม่อยากให้พี่แป้งเดือดร้อน แม้ว่านาฬิกาเรือนนั้นปานไม่ได้ขโมยมาก็ตาม…พี่แป้งช่วยปานมาเยอะแล้ว จากนี้ปานต้องช่วยเหลือตัวเอง ปานรู้ว่าพี่แป้งหวังดี แต่ว่าพี่แป้งตอนนี้ก็มีครอบครัวแล้ว” เธอเอื้อมมือไปลูบหน้าท้องที่เริ่มนูนนั้นเบา ๆ
“พี่แป้งเหนื่อยกับปานมามากพอแล้ว อีกหน่อยพี่แป้งต้องหัวหมุนแน่ ๆ”
“แต่ว่า” ปานประดับตบหลังมือนั้นเบา ๆ
“ขอบคุณนะคะพี่แป้ง หากปานมีเรื่องเดือดร้อนใจอะไรปานจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากพี่แป้งแน่ แต่ว่าตอนนี้…ขอให้ปานลองพยายามสู้ด้วยตัวเองอีกสักครั้งนะคะ” ปาริตาถอนหายใจพลางพยักหน้าน้อย ๆ
“เอางั้นก็ได้ แต่มีปัญหาอะไรอย่าเกรงใจที่จะเอ่ยปากนะปาน”
“ขอบคุณค่ะ” ปานประดับยกมือไหว้หญิงสาวตรงหน้าอย่างนอบน้อม แม้ไม่มีสายเลือดเดียวกันแต่กลับเป็นห่วงเป็นใยเธอและแม่มากกว่าพ่อบังเกิดเกล้าเสียอีก เมื่อส่งอีกฝ่ายกลับความเข้มแข็งที่แสร้งทำก่อนหน้าก็ละลายลงอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังเหยียดตรงเมื่อครู่กลับลู่ลงด้วยความห่อเหี่ยว
ห้องใหม่ที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน แม้ว่าจะสะดวกสบายแต่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวก็ไม่ได้แตกต่างจากห้องเช่ารูหนูนั่นเลยสักนิด ความอ้างว้างกัดกินหัวใจทีละนิด ปานประดับเปิดประตูระเบียงสูดลมหายใจเข้าปอด เหม่อมองท้องฟ้าตรงหน้าก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ปานสบายดี แม่ไม่ต้องเป็นห่วง และหวังว่าแม่ก็จะสบายดีเช่นกัน”
“แล้วเราขอพี่หรือยัง” จินส่ายหน้า“แต่จินเป็นน้อง” จิรภีมม์แฝดน้องว่าพลางชี้นิ้วชี้เข้าหาตัว สามขวบแต่ช่างเจรจาและไม่ยอมเสียเปรียบใครหน้าไหนทั้งนั้น นายท่านจริญนั่งยอง ๆ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาเด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงปกติ“จินเราเป็นน้องก็จริง แต่พี่เขาไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องยอมเราตลอดเวลาเพราะว่าเราเป็นน้องหรอกนะ” นายท่านจริญว่าพลางชี้นิ้วไปยังจินตะ“ถ้าอยากเล่นก็ต้องขอพี่เขาก่อน ถ้าพี่เขาไม่อนุญาตเราต้องรอ เข้าใจไหมครับเด็กดีของปู่” จิรภีมม์กอดอกพลางหันหลังให้ นายท่านจริญถอนหายใจพลางจับตัวเด็กน้อยให้หันหน้ามาประจันกันเหมือนเดิม“ขอโทษพี่เขา”“ไม่ จินไม่ผิด”“ไม่ผิดก็ไม่ต้องเล่น จนกว่าเราจะสำนึกค่อยไปเล่นกับพี่เขา” นายท่านจริญหันไปสั่งบรรพต “พาเด็กทั้งสองคนไปเล่นฝั่งโน้นก่อนไป”“ครับ” บรรพตรับคำ ก่อนจะพาเด็กทั้งสองไปเล่นอีกทาง“ถ้าจินว่าจินไม่ผิดก็ยืนอยู่กับปู่ที่นี่แหละ ปู่มีเวลาให้จินสำนึกผิดอีกนาน” นายท่านจริญว่าพลางยืนถือไม้เท้ายืนขึ้น รอให้หลานน้อยมีท่าทีสงบ พอได้ยินเสียงพี่ ๆ เล่นกันอย่างสนุกสนานก็อยากจะไปเล่นด้วยบ้าง จิรภีมม์ยืนอยู่อย่างนั้นสักครู่ก่อนจะจับขากางเกงคุณปู่เขย่ายิก
“ขอบคุณนะครับคุณปู่”“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ”“แล้วแกจะมีข้ออ้างอะไรอีก อายุอานามเท่าไหร่แล้วเพิ่งจะมีลูกคนเดียว”“มีน้อยแต่โตมาอย่างมีคุณภาพ” เจอคำตอบนี้ไปจริญถึงกับจุกไปไม่ถูก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเฉไฉ“ระบบกงสียังอยู่ ใครมีลูกเล็กเด็กแดงฉันจะส่งเสียจนกว่าจะเรียนจนพอใจ” ก่อนจะเชิดหน้า“ข้าวของเครื่องใช้ก็เบิกกับบริษัท รวมทั้งค่าใช้จ่ายรายเดือน รวมถึงพี่เลี้ยงพอใจหรือยัง?”“อ่า…ผมขอคิดดูก่อนละกันครับ” นายท่านจริญกัดฟันกรอด จิรัติกรเคาะหน้าปัดนาฬิกาบอกความนัย“อาทิตย์ละวัน ตามนี้นะครับ”“แก!”“ก็ต้องดูพฤติกรรมคุณปู่ประกอบว่าพูดจริงทำจริงหรือเปล่า อาจจะเพิ่มเป็นสองถึงสามวัน พาไปกินข้าวที่ห้างได้บ้างอะไรบ้าง”“บรรพต! จัดการให้เรียบร้อยและเร็วที่สุด”“ได้ครับ!”คล้อยหลังปานประดับที่เดินกอดแขนสามีเอ่ยถามพลางทำสีหน้าเห็นใจ“ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ตาแก่นั่นต้องโดนซะบ้าง เธอก็เห็นผลลัพธ์ในการเลี้ยงลูกของเขาแล้วนี่”“จะว่าไปก็น่าเศร้านะคะ ท่านเลยตั้งความหวังไว้กับจินตะเอาไว้มากเลยทีเดียว” ปานประดับลูบหัวลูกน้อยด้วยความเห็นใจ“แล้วใครใช้ให้เลี้ยงลูกหลานแบบนั้นล่ะ” จิรัติกรตอบ
“คุณจะไม่ลงไปเจอหน่อยเหรอคะ”“ไม่ล่ะ…ชั่วโมงเดียว”“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ปานประดับอุ้มลูกน้อยแนบอกโดยมีบอดีการ์ดเดินตามเป็นพรวน ลงไปหาคุณปู่ด้านล่าง นายท่านจริญที่ดูแก่ชราแต่ยังคงเหลือมาดท่านเจ้าสัว ยังคงความน่าเกรงขามแม้จะนั่งรอที่ห้องรับแขกด้านล่าง แต่สีหน้าเก็บซ่อนความกระวนกระวายไม่มิดชะเง้อมองหาหลานน้อยไม่วางตา“เดี๋ยวก็มาครับ” บรรพตที่ตามมารับใช้เอ่ยเตือน “นั่นไงครับ มาแล้ว”“ไหน ๆ”“สวัสดีค่ะ” ปานประดับยกมือไหว้พร้อมกับอุ้มจินตะที่หันหน้าออก“ขอฉันอุ้มหน่อย” ปานประดับให้อุ้มแต่โดยดีเพราะสงสารคนแก่ตรงหน้า ว่ากันว่าปู่ย่าสมัยที่เป็นพ่อแม่มักจะเข้มงวดกับลูก แต่กับหลานจะสปอยนั้นเป็นความจริง นายท่านจริญอุ้มจินตะโยกไปมาอย่างมีความสุขก่อนจะโบกมือน้อย ๆ บรรพตที่ถือหูกระเป๋าพลาสติกสีดำดูมีน้ำหนักเลื่อนมาทางปานประดับ“อะไรคะ”“ของรับขวัญหลาน” นายท่านจริญพูดโดยไม่เงยหน้ามามองปานประดับ พูดอ้อมแอ้มในคอ“ฉันเตรียมไว้นานแล้ว”“ขอบคุณค่ะ”“ของหลานไม่ใช่ของเธอ”“ดิฉันทราบค่ะ ไหน ๆ ก็มาแล้วไปเล่นกันที่สวนด้านหลังดีไหมคะ อากาศเย็นกำลังดี”“เธอนำไปสิ”“ได้ค่ะ”สักพักก็มีเสียงโวยวายเมื่อนายท่านจริญ
“ไอ้จิเมื่อไหร่แกจะเอาหลานมาให้ฉันอุ้ม” จิรัติกรยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะทำงานไม่สนใจเสียงก่นด่าของนายท่านจริญที่ดังลอดออกมาตามสาย แม้ว่าการให้กำเนิดทายาทของผู้บริหารยักษ์ใหญ่ JK1 GROUP ไม่ได้เป็นความลับแต่ก็ไม่เคยปรากฏบนสื่อที่ไหนมาก่อน อีกทั้งปานประดับเองก็อยากจะให้ลูกชายเติบโตมาอย่างอิสระ ไม่มีพันธะกับ JK1 GROUP ที่ต้องแบกภาระเอาไว้บนบ่าตั้งแต่ลืมตาดูโลกเพราะคำว่าทายาท เธอยากให้โอกาสลูกชายได้เลือกทางเดินเอง และเด็กชายจินตะเองก็ไม่เคยพบเจอญาติฝั่งเอกาฤกษ์ยกเว้นฝั่งแม่อย่างอารยาที่มาหา ช่วยเลี้ยงหลานอาทิตย์ละสามสี่วัน“นายท่านจริญมีหลานตั้งแต่เมื่อไหร่”“แก แกอยากเห็นฉันอกแตกตายใช่ไหม”“ก็แล้วแต่จะคิดครับ”“ฉันเป็นพ่อแก”“แล้ว?”“เมื่อไหร่แกจะยกโทษให้ฉัน”“แล้วต้องยกโทษให้ด้วยเหรอครับ”“ฉันสูญเสียลูกเต้าไปตั้งหลายคน ฉัน…ไม่อยากเสียแกไปอีกคน มีทางไหนที่พอจะให้ฉันแก้ไข แกบอกมาฉันจะทำ”“ขอคิดดูก่อนละกันนะครับ” จิรัติกรกดวางสายพร้อมกับเมินสายเรียกเข้าที่สั่นครืดคราดต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนต้องกดปิดสั่นแล้ววางไว้ในลิ้นชัก ปานประดับที่อุ้มลูกน้อยวัยหกเดือนที่กำลังฝึกน
“ไม่เคยได้ยินหรือคะ รักใครให้ดื่มนม นี่แหละค่ามัดจำของญ่า” เชาวน์ชลิตได้แต่เลยตามเลย เพราะเขาเองก็ยอมที่จะให้ชัญญ่ามัดมือชกในวิธีการของเธอเอง เอวบางเริ่มบดเบียดแนบชิดส่วนล่าง กระโปรงบางของชุดนอนที่เป็นปราการสุดท้ายปกปิดของสงวน ชัญญ่าเองก็ขุดหลุมรอเหยื่อเข้ามาติดกับอย่างแยบยลเช่นกัน พี่น้องคู่นี่แสบพอ ๆ กัน“ญ่า” เชาวน์ชลิตครางเสียงกระเส่าเมื่อกางเกงชุดนอนถูกถอดออกพร้อมกับส่วนชื้นแฉะที่ถูไถขึ้นลงหยอกล้อกับความเป็นชายให้ค่อย ๆ ผงาด“เป็นของญ่า แล้วญ่าจะไม่ทำให้พี่เชาวน์เสียใจ” คำนี้เขาเองต้องเป็นฝ่ายพูดไม่ใช่เหรอไง เชาวน์ชลิตที่กำลังจะอ้าปากแย้งริมฝีปากบางก็งับลงมาดูดดึงอย่างมันเขี้ยวเสียก่อน สายตาและท่าทางของชัญญ่าในตอนนี้เหมือนนางแมวยั่วสวาท ไม่เหลือเค้าชัญญ่าที่ขี้อายก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย“ญ่า เดี๋ยวจะเจ็บเอา” เมื่ออีกฝ่ายพยายามใช้ความเปียกปอนของเธอถูไถกับหัวบากนั้นช้า ๆ เหมือนจะเข้าแต่ก็ไม่เข้า เชาวน์ชลิตได้แต่ข่มความอึดอัดเอาไว้ไม่อยากจะกระแทกสวนขึ้นไปแรง ๆ เขาอยากจะทะนุถนอมคนตรงหน้าให้เหมาะสมกับที่ชัญญ่าคอยดูแลเขาเสมอมา ชัญญ่าก้มลงไปจูบตรงซอกคอไล่ลงมายังหน้าอกขาวที่เหมือนจะซูบผอมล
“ขอบคุณนะคะ” เชาวน์ชลิตที่หลังจากฟังคำตัดสินก็โล่งใจและกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และความกะล่อนก็เริ่มมีให้เห็น“ญ่ารับคำขอบคุณไว้ก็ได้ค่ะ แต่ว่าพี่เชาวน์ต้องกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง”“นี่คอนโดพี่”“งั้นญ่ากลับเอง” เรื่องอะไรเธอจะยอมให้เขากินฟรี แม้ว่าเธออยากจะกินเขาจนตัวสั่น ทำทีสงวนตัวเล็กน้อยแต่พองามย่อมเรียกคะแนนความน่ารักน่าเอ็นดูเพิ่มขึ้นเป็นกองข้อมือขาวถูกจับไว้หลวม ๆ พร้อมกับวางทาบไว้ที่หน้าอกซ้าย“พี่เพิ่งผ่านเหตุการณ์หน้าเสียวหน้าขวานมา ญ่านอนเป็นเพื่อนพี่ได้หรือเปล่า”“อ้อนวอนหรือคะ”“ใช่”“แล้วให้ญ่านอนในฐานะอะไร”“แล้วญ่าอยากได้ฐานะอะไรล่ะ” ชัญญ่าทำสีหน้าครุ่นคิด“ขอคิดดูก่อนละกัน”“อย่าคิดนานพี่แก่แล้ว”“เหอ ๆ ญ่าไม่ใช่ของตายนะคะ”“พี่ไม่เคยเห็นญ่าเป็นของตาย เพียงแต่เมื่อก่อน…” เชาวน์ชลิตหลุบตา“เราอายุห่างกันมากขนาดนั้น” ชัญญ่ายักไหล่“ก็จริง…อีกอย่างเด็กหนุ่มมหาลัยกับเด็กสาวม.ต้นก็ยังไง ๆ อยู่”“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก อีกอย่างเรามีศักดิ์เป็นน้องไอ้จิด้วย เอาน้องเพื่อนเป็นแฟนก็ยังไงอยู่ ตอนนั้นพี่เองไม่มีความคิดจะหยุดที่ใคร”“เหรอคะ…ตอนนี้ล่ะ”“พี่ว่าตอนนี้ถูกที่ถูกเวลา และพี่







