Se connecterในอีกสองเดือนต่อมา บ้านและร้านของสายกับวรรณารีก็ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อย ทั้งสามคนจึงย้ายเข้าไปอยู่ในทันที
บ้านที่สายสร้างเป็นบ้านปูนชั้นเดียว มีสี่ห้องนอนพร้อมห้องน้ำในตัว หนึ่งห้องนั่งเล่น และหนึ่งห้องครัวบวกห้องกินข้าวเท่านั้น ที่สายไม่ทำบ้านหลายชั้นเพื่อให้ดูอลังการกว่านี้เพราะไม่อยากให้เป็นที่จับตาของผู้คน บวกกับบ้านชั้นเดียวแบบนี้ดูแลง่ายกว่า
ส่วนทางด้านร้านขายของเก่าที่สร้างติดกับบ้านใหม่นั้น แม้ไม่ได้ใหญ่โตนักแต่ก็เพียงพอที่จะประกอบกิจการซื้อขายได้ อุปกรณ์เครื่องใช้ที่ควรมีในร้านอย่างเครื่องช่วยยกของหนัก เครื่องปอกสายไฟ และเครื่องบดอัดกระดาษก็มีอยู่ครบตามความเหมาะสมและเพียงพอต่อการใช้งาน ไม่เท่านั้น เธอยังได้จ้างคนงานผู้ชายอีกสองคนเพื่อช่วยยกของและคัดแยกประเภทของที่รับเข้า
เมื่อเริ่มรับซื้อของเก่าได้สักระยะ ร้านจิ๊ดริดของเก่า ก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นทุกวัน จากลูกค้าที่เข้ามาขายของให้หลักสิบกลับกลายเป็นหลักร้อยต่อวัน ข้าวของที่รับซื้อในแต่ละวันจึงมีจำนวนมากและมีทุกประเภท แต่ร้านจิ๊ดริดของเก่ากลับไม่มีข้าวของกองสุมให้เห็นแบบร้านรับซื้อของเก่าทั่วไป เหตุเพราะวรรณารีใช้ระบบซื้อมาขายไปแทบจะทันทีหากของนั้นได้มาในปริมาณมากพอที่จะขายได้
เธอไม่มีความคิดที่จะเก็บสะสมเอาไว้นาน ๆ เพื่อรอราคาดีดขึ้นเพราะราคาของพวกนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้ วันนี้ราคาสูง อีกวันกลับถูกลงหลักบาทจนถึงหลักสิบบาทก็มี เธอจึงอาศัยขายเอากำไรวันต่อวัน ถึงจะได้กำไรน้อยแต่เมื่อนำกำไรที่ได้มารวมกันก็เป็นหลักหมื่นเช่นกันในแต่ละเดือน
อีกอย่างการสะสมของไว้จนแออัดอาจกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคและเป็นที่อยู่ของสัตว์มีพิษได้ ที่บ้านมีทั้งผู้สูงอายุและเด็ก วรรณารีไม่ยอมให้เกิดเรื่องอันตรายใด ๆ เด็ดขาด
หลังจากเปิดกิจการได้แปดเดือน ร้านมีความมั่นคงขึ้น วรรณารีจึงได้รับสมรและอุไร เพื่อนร่วมอาชีพมาทำงานเป็นพนักงานที่ร้านอย่างถาวรเพื่อช่วยเธอจัดการร้าน ไม่เท่านั้นยังรับลูกจ้างรายวันเพื่อคัดแยกของ ซึ่งในแต่ละวันมีไม่ต่ำกว่าสิบคน ทำเอาร้านรับซื้อของเก่าที่อยู่ในละแวกนั้นต่างมองค้อนกันตากลับ
เหตุที่ร้านจิ๊ดริดของเก่าได้รับความนิยมจากผู้ซื้อและผู้ขายเป็นอย่างมากส่วนหนึ่งก็มาจากอัธยาศัยที่ดีของวรรณารีทำให้ลูกค้าชอบใจ บวกกับราคาที่ค่อนข้างยุติธรรมในการรับซื้อและขาย จึงมีลูกค้าทั้งรายใหญ่และรายย่อยเรียงคิวเข้าหาจนพื้นร้านแทบสึก ผลที่ได้คือเงินกำไรที่เข้ามาจนกระเป๋าฟูเพิ่มขึ้นทุกเดือน
“เงินเข้าเยอะทุกวันแบบนี้ เธอมาหัดลงทุนซื้อหุ้นและกองทุนกับฉันดีกว่า ปล่อยเงินนอนในธนาคารเฉย ๆ ไม่มีประโยชน์”
ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ร้านจิ๊ดริดของเก่าเติบโตขึ้นทุกวัน มีลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการอยู่ไม่ขาดจนมีเงินหมุนเวียนเข้าร้านไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นต่อวัน เมื่อเห็นเช่นนี้ สายจึงคิดชวนให้เธอต่อดอกต่อผลเงินที่ได้มา
วรรณารีเงยหน้ามองสายอย่างไม่แน่ใจ “วรรณกลัวจะมือไม่ดีเหมือนป้าน่ะสิคะ ถ้าขาดทุนขึ้นมาแย่แน่” เธอไม่ได้เป็นนักลงทุนตัวยงอย่างสาย การเอาเงินไปนอนกองไว้ที่ธนาคารจึงปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเอง
“คิดอะไรโง่ ๆ” สายเอ็ด “ปล่อยเงินนอนนิ่งอย่างเดียวไม่ได้นะ ชีวิตคนเราไม่ได้นิ่งตามเงิน ถ้าวันหนึ่งเธอจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ขึ้นมาแล้วเงินในบัญชีมีไม่พอล่ะจะทำยังไง เธอไม่ต้องกังวลหรอก ฉันไม่ปล่อยให้เธอขาดทุนแน่”
เมื่อสายรับคำมั่นแบบนี้ วรรณารีจึงเต็มใจลองเสี่ยงดูสักครั้ง ซึ่งสายสอนแบบไม่มีปิดบังใด ๆ วรรณารีกระจายเงินไปลงทุนในหลายช่องทางเพื่อให้เงินทำงานออกดอกออกผลด้วยตัวเอง หลังจากเตาะแตะอยู่บนเส้นทางสายนี้กว่าครึ่งปี พอร์ตการลงทุนต่าง ๆ ที่สร้างไว้จึงเริ่มผลิดอกออกผลให้เจ้าตัวชื่นใจจนยิ้มหน้าบานออกมาได้ในทุกวัน
แต่ไม่ใช่วันนี้...
“เห็นใจพวกเราหน่อยเถอะ เวลาจะขับรถเข้าออกบ้านนี่ลำบากเหลือทน ช่วยจัดการบรรดารถที่เข้ามาซื้อของเก่าให้ที อย่าให้ต้องมีปัญหากระทบกระทั่งกันเลยนะ ยังไงเราก็อยู่กันแบบพี่แบบน้องมานาน”
“นั่นสิ บ้านป้าก็มีลูกเล็ก ทั้งฝุ่นทั้งควันรถเข้าบ้านคลุ้งไปหมด แก้ปัญหาให้ด้วย”
วรรณารีมีใบหน้าที่เคร่งเครียด เธอรีบยกมือไหว้ขอโทษผู้นำชุมชนและบรรดาเพื่อนบ้านที่มาหาแต่เช้า “วรรณขอโทษทุกคนนะคะที่สร้างความเดือดร้อนให้ วรรณรับปากจะแก้ไขเรื่องนี้แน่ แต่อาจไม่เร็วนัก ขอวรรณาหาลู่ทางก่อน แต่ยังไงก็จะเร่งจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
เมื่อทุกคนได้รับคำตอบที่น่าพอใจ พวกเขาต่างเดินเรียงแถวออกจากบ้านไปด้วยสีหน้าที่สบายใจขึ้นซึ่งต่างจากวรรณารี
เหตุที่มีปัญหานี้ขึ้นเพราะในแต่ละวันมักจะมีกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ต่อแถวจนยาวเฟื้อยเพื่อรอขายของตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด ไม่เท่านั้น ยังมีรถสิบล้อวิ่งเข้ามาซื้อของที่ร้านแทบจะทุกวันเนื่องจากคุณภาพที่ดีของสินค้าภายในร้าน วรรณารีเข้มงวดในการรับซื้อเป็นอย่างมาก รวมถึงมีการคัดแยกที่ดี ไม่มีการยัดไส้ สามารถนำสินค้าจากร้านไปส่งต่อให้โรงหลอมได้แบบไม่มีปัญหาและได้ราคาที่ดีมากเป็นพิเศษ กำไรส่วนต่างตรงนี้จึงได้มากกว่ารับจากร้านของเก่าร้านอื่น
“เอกสารที่ผมรวบรวมไว้ช่วงที่ท่านไม่อยู่ครับ” ไวพจน์มาหาพีรายุที่โรงพยาบาลในเช้าวันต่อมาได้หอบเอกสารเป็นตั้งมาด้วย “ในนี้เป็นสำเนาระบุสเปกวัสดุก่อสร้างที่มีลายเซ็นของจินดารากับเสี่ยทรงยศ แล้วยังมีรูปถ่ายที่ทั้งสองไปเจอกันตามที่ต่าง ๆ ด้วย ที่เหลือคือชื่อของพนักงานในบริษัททั้งหมดที่เป็นคนของจินดาราครับ”พีรายุไล่เปิดเอกสารดูหน้าเครียด “แล้วตอนนี้เริ่มทำคำสั่งซื้อพวกนี้หรือยัง”“เริ่มสั่งไปบ้างแล้วครับ รายละเอียดอยู่ด้านล่างสุด เสี่ยทรงยศจะเริ่มลงไซต์งานอาทิตย์หน้าแล้ว ผมว่าคำสั่งซื้อทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยภายในอาทิตย์นี้”“ขอบคุณคุณไวพจน์มากนะครับที่เหนื่อยมาหลายอาทิตย์ เอกสารพวกนี้ทิ้งไว้ที่ผม ผมจะจัดการที่เหลือต่อเอง คุณไม่ต้องทำอะไรแล้ว”“ให้ผมช่วยเถอะครับ ท่านออกโรงคนเดียวจะเป็นอันตรายได้”“เรื่องนี้ผมต้องทำคนเดียว ถ้าประธานบริษัทเป็นคนถือเอกสารไปหาผู้ใหญ่ของกระทรวงนั้นเองจะดูน่าเชื่อถือกว่า”“ไม่อันตรายแน่นะครับ”“ไม่เป็นไร ผมจะระวังตัว”ไวพจน์กลับไปแล้วแต่พีรายุยังคงนั่งอ่านเอกสารเหล่านั้นอย่างไม่ละสายตาจนไม่
สายเดินเข้ามาใกล้สองพ่อลูกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับหลาน “ตอนนี้เราปล่อยให้พ่อกับแม่พักก่อนดีกว่านะ แล้วพรุ่งนี้ยายจะพามาหาแต่เช้า”แม้ไม่เต็มใจแต่พีรายุก็ยอมคลายอ้อมกอดจากลูกแต่โดยดี เช่นเดียวกับที่รัก เธอมองมายังพีรายุอย่างเสียดาย เด็กหญิงเอียงหน้าไปหอมแก้มพีรายุฟอดใหญ่ก่อนยิ้มให้ “พรุ่งนี้จิ๊ดริดจะมาหาพ่อตั้งแต่เช้า พ่อกับแม่นอนดี ๆ อย่าทะเลาะกันนะ”วรรณารีนั่งหน้าแดงมองตามสองยายหลานจนแผ่นหลังของทั้งคู่ลับสายตาไปเธอจึงได้ถอนสายตากลับเพื่อมาเจอกับแววตาลุ่มลึกของอีกคนที่ยังอยู่ในห้อง“ผมขอบคุณคุณมากนะครับที่ยอมเปิดโอกาสให้ผมอีกครั้ง”“ฉันแค่อนุญาตให้ลูกเรียกพ่อ ตอนนี้ฉันยอมรับคุณแค่เป็นพ่อของลูกเท่านั้น”รอยยิ้มของพีรายุลดลง เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ “แล้วเรื่องของเราล่ะครับ”วรรณารีจ้องเขาด้วยใจที่แปลบปร่า “ฉันไม่สามารถทำใจรับคุณมาเป็นคู่ชีวิตได้อีก”“วรรณครับ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตคุณก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจผมไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีแค่คุณเท่านั้น ยอมให้โอกาสเราทั้งคู่มาเป็นครอบครัวกันอีกครั้งเถอะนะครับ”วรร
“แม่วรรณ เธอมันบ้าบิ่นเกินไปนะ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเกิด...ถ้าเกิด...” สายเอ่ยตำหนิวรรณารีทันทีหลังจากที่หมอและพยาบาลออกจากห้องไปแล้ววรรณารีที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ได้หลุบตานิ่งอย่างสำนึกผิด ใบหน้าและลำตัวเธอมีแต่รอยฟกช้ำโดยเฉพาะตรงลำคอที่แดงช้ำอย่างน่ากลัว “วรรณใจร้อนเกินไปจริง ๆ ค่ะ วรรณขอโทษ”“คนที่เธอควรจะขอโทษก็คือจิ๊ดริดกับคุณพีต่างหาก” สายชี้ไปยังที่รักซึ่งยืนสำนึกผิดอยู่ข้างเตียงและพีรายุซึ่งนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ที่อยู่ติดกัน“ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่แผลถาก ๆ” พีรายุรีบพูดช่วย“แม่จ๋า จิ๊ดริดไม่ดี จิ๊ดริดช่วยแม่ไม่ได้” ที่รักน้ำตาเตรียมจะหยดแหมะออกมาเต็มที่วรรณารีรีบกอดปลอบลูก “ไม่ใช่ความผิดจิ๊ดริด แม่หาเรื่องเอง ถ้าแม่ไม่เข้าไปในนั้นแม่ก็จะไม่โดนทำร้าย”“แต่จิ๊ดริดเตือนแม่ไม่ได้ จิ๊ดริดไม่เห็นอะไรเลย”“ก็เพราะหนูไม่สบายอยู่ อย่าโทษตัวเองสิลูก แล้วแม่ก็ไม่ได้บาดเจ็บเยอะแยะ อีกสองวันก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จิ๊ดริดเสียอีกที่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ ไข้จะได้ไม่กลับมา”“จิ๊ดริดหายแล้ว ไม่มีไข้แล้ว”“หายก็ก
“เอ็งแน่ใจนะว่าไม่มีใครอยู่ที่ร้านแน่”บานชื่นถามสามีอย่างกระวนกระวายใจ ส่วนมือนั้นยังคงสาละวนดึงทองแดงจากกองใหญ่มาใส่ในรถเข็นของตัวเอง“แน่สิวะ ข้ามาแอบดูหลายคืนแล้ว ในร้านไม่มีคนเฝ้าเลยสักคน พวกคนงานไปอยู่ที่บ้านพักฝั่งตรงข้ามหมด ถ้าจะมีก็มีแต่ผีเท่านั้นแหละ”“เอ็งอย่าพูดสิ ยิ่งมืด ๆ อยู่”“กลัวอะไรกับผี อย่ามัวแต่พูด รีบขนขึ้นรถเร็วเข้า เอาไปให้ได้มากที่สุด พรุ่งนี้จะได้เอาไปขายที่ร้านเฮียอุย คุณภาพดีแบบนี้ได้หลายหมื่นแน่มึง” โชติยิ้มย่องเมื่อเห็นทองแดงเกรดดีที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าเพราะเอาเงินไปลงทุนกับเหล็กจนหมด แต่เหล็กกลับขายไม่ออกช่วงนี้ ทำให้เขาและภรรยาอดอยากปากแห้งมาหลายสัปดาห์ กระทั่งมาได้ยินคนงานในร้านของวรรณารีคุยกันเรื่องทองแดงกองพะเนินในร้านที่มีลูกค้าติดต่อขอซื้อเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสร้างรายได้ให้วรรณารีเป็นล้านบาทโชติและบานชื่นแค้นใจจนแทบกระอักเลือด ขณะที่พวกเขาตกต่ำจนแทบไม่มีหนทางให้เดิน แต่ศัตรูอย่างวรรณารีกลับเจริญไม่หยุด แบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาต้องดึงผลประโยชน์ที่วรรณารีได้มาเป็นของตัวเองส่วนหนึ่ง
“แม่จ๋า อุ้ม” เมื่อเห็นวรรณารีเดินเข้าบ้าน ที่รักจึงอ้าแขนตัวเองออกเพื่ออ้อนให้คนเป็นแม่อุ้มวรรณารีเดินยิ้มตรงมาหาเธอและสวมกอดลูกเอาไว้อย่างอ่อนโยน “เพราะไม่สบายแน่เลยใช่ไหมถึงอ้อนให้แม่อุ้มแบบนี้” ว่าพลางยกร่างที่ไม่เบาของลูกขึ้นมาจากที่นอนและอุ้มเอาไว้อย่างง่ายดาย “ลูกสาวแม่หนักขึ้นอีกแล้ว อีกหน่อยแม่คงอุ้มไม่ไหวแล้วมั้ง ตัวยังรุมอยู่เลยนะ ปวดหัวไหมลูก”“นิดนึง” ที่รักตอบพลางเงยหน้ามองแม่ “แม่จ๋า จิ๊ดริดเหมือนปวดจิ๊ด ๆ ตรงนี้” เด็กหญิงชี้ไปที่อกซ้ายของตัวเองวรรณารีมีสีหน้ากังวลขึ้นมา “ปวดตรงไหน ปวดมากไหม หายใจสะดวกไหมลูก หรือจะไปหาหมอดี”ที่รักส่ายหน้า “จิ๊ดริดไม่ได้ปวดแบบนั้น จิ๊ดริดบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่จิ๊ดริดรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนกำลังจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดี แต่จิ๊ดริดไม่รู้ว่าเป็นอะไร มันเลยปวดจิ๊ด ๆ ตรงหน้าอก”สายที่เดินเข้ามากับพีรายุถึงกับขมวดคิ้ว เธอวางแก้วนมลงที่โต๊ะก่อนหันมาถาม “จิ๊ดริดรู้สึกว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมลูก”พีรายุสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เคร่งเครียดขึ้นทันตาของสายก็ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ
ที่รักลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “หนูเป็นอะไร”“จิ๊ดริดเป็นไข้ กินยาเดี๋ยวก็หายนะลูก” แม้ปากจะปลอบแต่วรรณารียังคงกังวลอยู่ไม่คลายเพราะตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวของเธอไม่เคยเป็นไข้เลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกและดูหนักหนาเอาการเลยทีเดียว“ทำไมหนูเป็นไข้”“ตอนวันเกิดเมื่อวานหนูคงวิ่งกลางแดดร้อน ๆ มากเกินไป แล้วยังกินน้ำหวานใส่น้ำแข็งมากเกินไปด้วย ต่อไปไม่ทำแบบนี้แล้วนะลูก เป็นไข้แล้วไม่สบายตัวเลยใช่ไหม”“อื้อ หนูไม่ทำแล้ว หนูไม่อยากเป็นไข้” ที่รักสะลึมสะลือตอบก่อนจะค่อย ๆ หลับไปเพราะสบายตัวมากขึ้นหลังจากที่แม่เช็ดตัวให้คืนนี้ วรรณารีไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะที่รักไข้สูงเป็นระยะต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดเวลาจนอาการค่อยทุเลาในช่วงเช้ามืดของอีกวัน“ทำไมหน้าซีดแบบนี้ ไม่สบายหรือเปล่า” สายถามขึ้นตอนเห็นวรรณารีเดินออกจากห้องในตอนเช้า“จิ๊ดริดเป็นไข้สูงค่ะ เลยไม่ได้นอนทั้งคืน”“อะไรนะ ลูกเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พีรายุที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมาเอ่ยถามเสียงตื่นใจอยากจะมองเมิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าทุกข์ร้อนของเขา วรรณารีจึงตอบออกไปเสียงห







