“ผึ้ง ช้าง ไหว้สวัสดียายสายกับน้าวรรณสิ อีกหน่อยต้องได้เจอกันบ่อย”
เด็กหญิงชายท่าทางแก่นแก้วทั้งสองยกมือไหว้อย่างว่าง่าย
“นี่หลานของฉันเอง คนโตชื่อผึ้ง อายุห้าขวบ ส่วนคนเล็กชื่อช้าง อายุสามขวบ” น้ำเสียงของยี่สุ่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข วันนี้เป็นวันแรกที่ครอบครัวลูกสาวย้ายมาอยู่ที่บ้านสวนกับเธอ กอปรกับที่สายและวรรณารีไม่ได้ออกไปไหนในช่วงนี้เพราะต้องอยู่เฝ้าการก่อสร้างบ้านและร้านที่ตอนนี้เสร็จไปแล้วกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อเห็นโอกาสดี ยี่สุ่นจึงไม่ลืมที่จะพาหลานทั้งสองคนมาที่บ้านท้ายสวนเพื่อทำความรู้จักกันไว้
“ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะผึ้ง ช้าง วันไหนเบื่อก็มานั่งเล่นกับหนูจิ๊ดริดของน้าได้ แล้วน้าจะทำขนมอร่อย ๆ ให้กิน” วรรณารีพูดแทนสายที่เอาแต่นั่งมองเด็กทั้งสองอย่างเงียบ ๆ
อลิสราและคชาภัทรแม้จะรู้สึกเกรงกลัวสายตาของสายอยู่บ้าง แต่ด้วยบุคลิกไม่กลัวใครเป็นทุนเดิม ทั้งคู่ก็อดสอดส่ายสายตามองไปทั่วอย่างสนอกสนใจไม่ได้ กระทั่งมาหยุดอยู่ที่เด็กหญิงวัยห้าเดือนในอ้อมแขนของวรรณารี ตัวเด็กหญิงเองก็กำลังจ้องมองสองพี่น้องตาแป๋วด้วยเช่นกัน
วรรณารีเห็นสายตาของทั้งคู่ก็อมยิ้ม “จิ๊ดริด ทักทายพี่ผึ้งกับพี่ช้างสิลูก”
“จาจะ...” ที่รักทักออกมาเสียงดังแถมยังยื่นมือขวาอวบ ๆ ไปทางอลิสราและคชาภัทรด้วย เสียงและท่าทางแบบนี้ของเธอได้สร้างความสนใจให้กับสองพี่น้องยิ่งขึ้นอีก
“อยากเห็นน้องใกล้ ๆ ไหม”
เมื่อได้ยินคำชักชวนของวรรณารี อลิสราและคชาภัทรต่างแย่งกันปีนขึ้นไปบนแคร่ไม้และมองตุ๊กตารูปร่างอ้วนขาว ตาเรียวเล็กเหมือนตุ๊กตาจีนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างชอบอกชอบใจ
เพราะยังรู้สึกแปลกหน้าจึงไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา แต่ถึงอย่างนั้น สายตาที่ทั้งคู่ใช้จ้องมองวรรณารีนั้นกลับแฝงไปด้วยการกล่าวหานิด ๆ ที่ไม่ยอมปล่อยตุ๊กตาอ้วนออกจากอ้อมแขนมาเล่นกับทั้งคู่เสียที
วรรณารีอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “รอแป๊บนะจ๊ะ น้าขอปูผ้าบนพื้นก่อน น้องยังเล็ก ผิวยังบางอยู่” เมื่อจัดแจงปูผ้าเรียบร้อยแล้ว วรรณารีจึงวางที่รักลง หลังจากนั้น สองพี่น้องก็คลานมาห้อมล้อมเด็กหญิงในทันที
ที่รักกางแขนกางขานอนบนผ้าอย่างสบายตัวพร้อมกับขยับแขนขาตีกับพื้นแคร่อย่างมีความสุข เธอหัวเราะคิกคักเล่นกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีจนลืมสนใจเด็กชายและหญิงสองคนไปเสียสนิท
คชาภัทรนั่งมองตุ๊กตาตัวกลมที่ขยับดุกดิกอยู่เบื้องหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาเขยิบเข้าไปใกล้เธออีกนิด ตาจับจ้องอยู่ที่แก้มยุ้ยทั้งสองข้างด้วยอยากเอานิ้วไปลองจิ้มใจแทบขาด อยากรู้ว่าจะนุ่มนิ่มเหมือนตาเห็นไหม
ไม่คิดเปล่า มือของเด็กชายได้ค่อย ๆ เคลื่อนไปยังแก้มที่อยู่ใกล้ และก่อนที่จะทันได้สัมผัสอย่างใจนึก สายตาเขาก็ไปปะทะกับดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นของเธอเสียก่อน
ที่รักที่กำลังนอนเล่นอย่างอารมณ์ดี รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมือข้างนั้น เธอหันขวับมาจ้องหน้าเจ้าของมืออย่างสนอกสนใจ แล้วริมฝีปากเล็กสีชมพูก็พลันแย้มยิ้มพร้อมกับขยิบตาข้างขวาให้อีกหนึ่งที
“กี้...” หลังจากนั้นก็ส่งเสียงทักไปแบบกรุบกริบ
คชาภัทรสะดุ้งเล็กน้อยก่อนขยับถอยห่างและหรี่ตามองอย่างไม่ใคร่ไว้ใจเท่าไร
ผู้ใหญ่ต่างกลั้นขำกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
“ท่าทางจิ๊ดริดจะตกหลุมรักหลานคุณนายเข้าอย่างจังแล้วนะคะ” วรรณารีหัวเราะเบา ๆ
ยี่สุ่นหัวเราะออกมาอย่างเต็มเสียงแบบน้อยครั้งที่จะได้เห็น ส่วนสายเพียงแค่อมยิ้มจาง ๆ ออกมาเท่านั้น
คชาภัทรใบหน้าแดงก่ำ สำหรับเด็กวัยสามขวบอย่างเขาที่ตอนนี้ฟังคำผู้ใหญ่พูดเข้าใจหมดแล้ว คำว่ารัก ๆ ชอบ ๆ ดูเหมือนจะสร้างความรู้สึกทางใจมากเกินไปสักหน่อย แม้จะรู้สึกอายไม่ใช่น้อยแต่สายตายังคงจ้องไปที่เด็กประหลาดคนนี้เขม็ง
“เป็นไงลูก น้องน่ารักใช่ไหม ยายบอกแล้วว่าถ้าผึ้งกับช้างมาเจอจะต้องชอบ”
“น้องตัวสั้นจัง” อลิสราเอ่ยปากพูดประโยคแรก
คชาภัทรกวาดตามมองไปทั่วตัวที่รักและพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่สาว นอกจากสั้นแล้วยังอ้วนด้วย
“ตอนผึ้งกับช้างอายุเท่าน้องก็ตัวป้อม ๆ สั้น ๆ แบบนี้แหละ เมื่อน้องโตขึ้นก็จะเหมือนหลานทั้งคู่เอง”
คชาภัทรมองทั่วร่างเด็กหญิงอีกครั้งด้วยสายตาที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งต่อคำพูดของยาย เรื่องสูงเขาไม่เถียง แต่เรื่องอ้วนนี่สิ
“มัมมะ” ที่รักพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองแม่ตาละห้อย
“หิวแล้วสิ” วรรณารีพูดอย่างรู้ใจ เธอลุกเดินไปหยิบขวดนมที่ชงเตรียมไว้แล้ว ต่อจากนั้นก็เตรียมอุ้มเด็กหญิงขึ้นตัก แต่คราวนี้ที่รักกลับปฏิเสธ
“ทำไมล่ะลูก แม่จะอุ้มหนูหม่ำ ๆ นมไง”
เด็กหญิงปัดแขนแม่ทิ้ง ขณะที่มืออีกข้างชี้ไปที่ขวดนมและทำท่ากวักมือเพื่อขอ
“สงสัยเริ่มอยากนอนกินคนเดียว” ยี่สุ่นเดา
วรรณารียิ้มและทดลองส่งนมให้ลูกสาว
เด็กหญิงใช้มือทั้งสองข้างจับขวดนมไว้มั่นก่อนจะนำจุกนมส่งเข้าปากพร้อมกับดูดส่งเสียงจุ๊บจั๊บอย่างน่าอร่อยโดยมีสายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูของผู้ใหญ่มองมา
คชาภัทรมองแก้มป่อง ๆ ที่กำลังดูดนมอย่างดุเดือดของเธออย่างคันไม้คันมือ อารมณ์อยากพิสูจน์ความนุ่มกลับมาอีกครั้ง นั่งลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก็ทำใจกล้าค่อย ๆ ยื่นปลายนิ้วชี้ขยับเข้าไปใกล้แก้มของเด็กหญิง
ตุบ...
แต่ยังไม่ทันได้จิ้มสมใจ เท้าสั้น ๆ อวบ ๆ ของเธอกลับยกขึ้นมาพาดบนตักของเขาเสียก่อน คชาภัทรนั่งตัวแข็งทื่อ ดวงตาจ้องไปยังปลายนิ้วเท้าเล็ก ๆ ทั้งห้าที่กระดุกกระดิกไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก
ใจอยากจะผลักเท้านี้ไปให้พ้นตัว แต่เมื่อเห็นเด็กหญิงทำตาปรือคล้ายกำลังจะหลับ คชาภัทรจึงตัดใจยอมนั่งนิ่ง ๆ และควักช็อกโกแลตแท่งโปรดจากกระเป๋ากางเกงมานั่งกินอย่างเงียบ ๆ
ภาพของเด็กชายที่อุทิศตักของตัวเองให้เด็กหญิงใช้เท้าพาดได้สร้างความประทับใจให้กับยี่สุ่นและวรรณารีเป็นอย่างยิ่ง แววตาของทั้งคู่ต่างเผยถึงความชอบใจออกมาอย่างเต็มที่
สายตื่นแต่เช้าเหมือนเช่นปกติ เมื่อก้าวลงจากเตียง กิจวัตรแรกสำหรับช่วงนี้ก็คือเดินไปเอียงคอด้านขวาอยู่หน้ากระจก แล้วเงาสะท้อนในกระจกทำให้สายขมวดคิ้วอย่างกังวลตอนนี้ก้อนที่คอด้านขวาดูเหมือนจะโตขึ้นกว่าเดิม สายใช้มือกดก้อนแข็ง ๆ ข้างคออย่างกังวล หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน สายไม่คิดจะวิตกในเรื่องการเจ็บป่วยหรือตายของเธอเลยสักนิด แต่ตอนนี้ต่างออกไป เธอมีครอบครัวของตัวเองแล้ว เธอยังอยากเห็นหลานรักของตนเติบใหญ่และมีครอบครัวมีเหลนให้เธอได้ชื่นใจ“ป้าคะ เราไปหาหมอเถอะ” วรรณารีเองก็กังวลใจไม่แพ้กัน เธอเพียรอ้อนวอนสายอยู่หลายรอบก่อนหน้า แต่สายยังใจแข็งอยู่สายใช้มือลูบก้อนข้างคออีกครั้ง หญิงสูงวัยนั่งคิดอยู่นานก่อนพยักหน้าตกลง-----“อะไรนะ? มะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสาม” น้ำเสียงของสายตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อทราบผลการตรวจวรรณารีบีบมือสายเอาไว้เบา ๆ สีหน้าของเธอนั้นตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน“ใช่ครับ ผมแนะนำให้รีบรักษาโดยด่วน ระยะนี้การทำคีโมคือทางเลือกที่ดีที่สุด ยิ่งเริ่มไว โอกาสที่โรคสงบก็มีมาก”“ขอฉันค
เมื่อไปถึงที่ดินดังกล่าวก็เป็นอย่างที่พีรายุคาดไว้ พื้นที่แถบนี้เป็นบริเวณที่พัฒนาต่อได้ยากเพราะเป็นแถบสวนและไร่ของชาวบ้าน รวมถึงเป็นเขตที่นิยมค้าขายของเก่ากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีร้านค้าของเก่าอยู่ถึงสิบกว่าร้านบริเวณนี้ คงจะหานักธุรกิจเข้ามาพัฒนาที่ดินแถบนี้ให้เจริญได้ยากแต่ถึงกระนั้น พีรายุก็ตกลงที่จะซื้อไว้เพราะจินดาราอยากได้นักหนา โดยจะนัดโอนกันในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า“จิ๊ดริดของเก่า” พีรายุพึมพำออกมาอย่างต้องมนต์สะกด“ชื่อแปลกจัง ดูตล๊กตลก ว่าไหมคะพี” จินดาราเบะปากให้กับร้านรับซื้อของเก่าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างทางระหว่างนั่งรถกลับจากดูที่ดินพีรายุยังคงนิ่งเงียบ เขามองดูป้ายร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเหม่อลอย“วรรณ” ชายหนุ่มพึมพำออกมาเสียงเบา“คุณว่าอะไรนะคะ” จินดาราเอียงหน้ามาถาม“วรรณ!” พีรายุตะโกนเสียงดังลั่นรถก่อนหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทางอย่างกะทันหัน และพยายามเปิดประตูรถเพื่อจะเดินข้ามไปอีกฝั่งให้ได้“คุณจะทำอะไรคะ!” จินดาราพยายามยื้อแขนชายหนุ่มเอาไว้ไม่ให้เขาเปิดประตูออกไปได้ ขณะที่สีหน้าของเธอเผยถ
ที่อาคารสำนักงานของบริษัทเทพสถิต บริษัทจัดหาวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ซึ่งเป็นอาคารสูงสิบชั้น มีพนักงานกว่าสามร้อยคน แต่ส่วนมากกลับทำงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตาแทบจะหาความสุขไม่ได้ แม้บริษัทนี้จะดูก้าวหน้ายิ่งกว่ารุ่นพ่อของเจ้าของบริษัท รวมถึงสวัสดิการและเงินเดือนที่สูงกว่าที่ทำงานอื่นก็ตาม“นี่เธอ คุณจินดาราอยากกินเค้กมะพร้าวของร้านมิวกี้ เธอไปซื้อมาหน่อย” ชยากร ผู้ช่วยฝ่ายจัดซื้อของบริษัทเดินมาเคาะนิ้วที่โต๊ะประชาสัมพันธ์และสั่งพนักงานประชาสัมพันธ์ที่กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าบริษัทเสียงแข็ง“แม่บ้านก็มี ไปให้พวกเธอซื้อสิคะ” ชไมพร หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“พวกแม่บ้านทั้งเล็บทั้งมือดำปี๋ จะให้ไปหยิบของกินของคุณจินได้ยังไง พวกเธอนั่นแหละออกไป ร้านอยู่เลยจากนี่แค่สองป้ายรถเมล์เอง ไม่ทันเหนื่อยหรอก”“มันไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรานะคะ เรายังมีงานที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จก่อนเลิกงาน” ชไมพรยังคงเสียงแข็งชยากรหรี่ตามองเธอ “เธอก็รู้ใช่ไหมว่าคุณจินดาราเป็นใคร แล้วคุณพีรายุรักเธอมากแค่ไหน พวกเธออยากถูกไล่ออกจากงานก่อนสี่โมงเย็น
หลังจากที่กล่อมที่รักให้นอนหลับไปแล้ว ทั้งคู่ได้พากันไปนั่งหารือเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เพิ่งได้มาใหม่“ป้าคะ มันไม่เป็นไรจริง ๆ หรือที่จะไม่ติดต่อบอกเจ้าของที่ดินคนเดิมว่าเราเจอของมีค่าแบบนี้”สายส่ายหน้าพร้อมค้อนขวับให้หนึ่งที “เธอนี่กังวลอะไรไม่เข้าท่า”“ป้าเชื่อว่าเจ้าของเดิมคงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน หรือแม้แต่พ่อของเขาซึ่งเป็นเจ้าของคนก่อนก็ไม่น่าจะรู้ ถ้ารู้คงบอกลูกเขาไปนานแล้วว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ข้างใน ป้าซื้อที่ดินนี้มายี่สิบปีก็ไม่เห็นมีใครมาตามหาตู้นี้สักคน ป้าถือว่านี่เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมที่เราควรจะได้”เมื่อเห็นท่าทีที่ยังสับสนของวรรณารี สายก็ยิ้ม ๆ และพูดต่อ “ป้าจะบอกอะไรให้นะวรรณ วิธีที่เราจะอยู่ในสังคมนี้อย่างมีความสุข นอกจากไม่ไปรังแกใครแล้ว ต้องไม่เป็นคนดีจนเกินงามด้วย อะไรที่เป็นสิทธิ์และโอกาสของเรา เราก็ควรฉกฉวยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นอาจต้องมานั่งเสียดายเหมือนชีวิตของป้า” สายนิ่งไปสักระยะแล้วจึงพูดต่อ “แต่อะไรที่ไม่ใช่ของเราก็ควรปล่อยมือไป อย่าพยายามยื้อให้เหนื่อย”“อีกอย่าง โชคครั้งนี้ถ้าจิ๊ดริดไม่เป็นคนบอก เราทั้งคู่ก็ไม
หลังจากวรรณารีง้างฝากล่องลึกลับนี้ขึ้นมา หญิงสาวก็เบิกตากว้างกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมานอกร่าง มือและเท้าเย็นเฉียบเหมือนกับไปแช่น้ำแข็งมานานนับชั่วโมงตอนนี้แสงประกายสีทองจากสิ่งของภายในกล่องได้ทำให้ดวงตาเธอพร่ามัวจนต้องกะพริบถี่ ๆ เพื่อหวังจะเห็นภาพตรงหน้าให้ชัดขึ้นทองแท่งจำนวนมากวางเรียงกันในกล่องแบบเต็มพื้นที่!หญิงสาวใช้มืออันสั่นระริกลากผ่านทองแท่งเหล่านั้นอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน หากเธอสัมผัสแรงไปกลัวว่าจะต้องตื่นจากความฝันอันแสนดีนี้เสียก่อนวรรณารีเหลียวมองไปรอบตัวอย่างระแวดระวังก่อนจะรีบปิดฝากล่องลงตามเดิมและกดปุ่มกลม ๆ เล็ก ๆ นี้อีกครั้ง ฝากล่องได้เลื่อนเข้าหากันจนปิดสนิทกลายสภาพเป็นชั้นหนังสือธรรมดาทั่วไปอีกครั้งเมื่อเห็นว่ากล่องปิดสนิทดีแล้วเธอก็รีบเข้าไปในตัวบ้านและวิ่งตรงไปยังห้องนอนของสายทันทีหลังจากนั้นไม่นาน วรรณารีก็เดินนำออกมาหน้าตาตื่น ตามด้วยสายที่มีสีหน้าแบบเดียวกัน และปิดท้ายด้วยเด็กน้อยร่างอ้วนที่วิ่งตามมาห่าง ๆ ด้วยขาอันสั้นของเธอ
วรรณารีและสายรอจนกระแต พี่เลี้ยงของที่รักกลับไปพักผ่อนยังบ้านพักคนงานที่สร้างไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนจึงพากันมายืนเมียง ๆ มอง ๆ รอบตู้ไม้อย่างสนอกสนใจแต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนตู้ไม้ก็คือตู้ไม้ ไม่เห็นมีอะไรพิเศษตรงจุดไหน เป็นเพียงตู้ไม้ที่มีชั้นสำหรับวางหนังสือทั้งสามชั้นหนากว่าตู้ปกติทั่วไปเท่านั้น คาดว่าที่ทำให้หนาก็เพื่อรองรับหนังสือซึ่งมีน้ำหนักมากนั่นเอง“ตู้ใบนี้ดีจริงหรือลูก” วรรณารีอดถามออกมาไม่ได้ที่รักพยักหน้าแรง ๆ ติดกันหลายทีจนไขมันตรงแก้มกลม ๆ สั่นกระเพื่อมไปมา มือวรรณารีคันยุบยิบอยากจะบีบแก้มนุ่ม ๆ นั้นใจแทบขาดแต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้วรรณารีและสายพากันเดินวนดูอีกสองรอบก็เหมือนจะไร้ผล“ป้าว่าเรื่องดีที่จิ๊ดริดบอกอาจจะไม่เกิดขึ้นทันทีก็ได้ กลับเข้าบ้านกันดีกว่ายุงเริ่มชุมแล้ว”วรรณารีพยักหน้าเห็นด้วย เธอให้สายพาที่รักเข้าไปก่อน ส่วนตัวเองจะขอทำความสะอาดคราบฝุ่นให้หมดเพราะรู้สึกไม่สบายใจกลัวจะมีแมลงมีพิษหลงเหลืออยู่จนทำอันตรายต่อคนในบ้านได้ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็เช็ดทำความสะอาดภายนอกจนเอี่ยมอ่อง แล้วความสวยง