สุขเกษมกำลังนอนลืมตาอย่างเหม่อลอยที่เตียงในโรงพยาบาล นี่เป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่เขามีสติดีที่สุดนับแต่ป่วยหนักมา เขาเหลียวมองหลานชายที่นั่งหน้าหมองอยู่ข้างเตียงแล้วยกมือสั่น ๆ ไปลูบศีรษะเด็กชายที่กำลังจะไร้ญาติคนนี้อย่างเวทนา
ใช่...สุขเกษมรู้ตัวดีว่าเหลือเวลาอีกไม่มากนัก แต่นับว่าสวรรค์ยังไม่ใจดำ ยังเปิดทางสว่างให้กับหลานชายคนนี้และเปิดโอกาสให้เขาได้ขอโทษสายระวีก่อนจะเดินทางไกลไปชั่วนิรันดร์
ไม่คิดเลยว่าจากที่ทั้งครอบครัวช่วยกันตามหาจนแทบพลิกแผ่นดิน จะมาเจอสายระวีใต้เปลือกตาตรงนี้เอง แต่กว่าจะเจอก็สายไป
เขาเฝ้าแต่โทษตัวเองมาตลอดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นในต่างประเทศ เพราะความเหงาและคิดถึงสายระวีจับใจจึงเผลอไปมีอะไรกับแสงระวีเข้า แม้จะไม่ได้รักแสงระวีเหมือนกับที่รู้สึกต่อสายระวี แต่เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยเฉพาะเมื่อแสงระวีเผอิญตั้งครรภ์ขึ้นมา
การเข้าไปสารภาพความจริงและขอเลิกกับสายระวีเป็นเรื่องเจ็บปวดอย่างที่สุดสำหรับเขา แต่ก็เชื่อว่าสายระวีย่อมเจ็บปวดกว่าหลายเท่าตัว ทั้งหมดก็เพราะความเลวของเขาทั้งสิ้น
ผลกรรมที่ทำต่อคนดี ๆ แบบสายระวีจึงติดตามเขากับแสงระวีไม่หยุดหย่อน ชีวิตครอบครัวระหว่างเขาและเธอไม่เคยเจอความสุขเลย
เมื่อทั้งครอบครัวรู้ว่าสายระวีหนีไปแล้วก็เหมือนกับหลังคาบ้านทั้งหลังถล่มลงมา พ่อและแม่ของเธอเอาแต่ฟูมฟายเสียใจ เฝ้าแต่โทษตัวเองและพวกเขาสามีภรรยากันไม่หยุดหย่อน ทุกคนเฝ้าตามหาเธอไปรอบทิศแต่ก็ไม่เคยเจอ จนพ่อตาและแม่ยายตรอมใจจากโลกนี้ไปภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากสายระวีหายตัวไป
ส่วนชีวิตแต่งงานของเขากับแสงระวี แทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยมีความสุขเลย ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็เพื่อลูกที่เกิดมาเท่านั้น แล้วก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด สยามรัฐ ลูกชายคนเดียวของเขาเกเรตั้งแต่เด็ก แล้วค่อย ๆ พัฒนาขึ้นกลายเป็นคนติดยาและผีพนันในที่สุด เพราะทุกข์เรื่องลูก แสงระวีจึงได้ลาจากโลกนี้ไปในวัยเพียงสี่สิบแปดปี เหลือเพียงเขาที่ต้องคอยประคับประคองครอบครัวเพียงลำพัง แม้จะถอดใจอยู่หลายครั้งแต่ก็ต้องฮึดสู้เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับเป็นหนึ่ง หลานชายของเขาคนนี้
เป็นหนึ่งเป็นลูกของลูกชายเขากับเพื่อนผู้หญิงที่อยู่ในกลุ่มติดยาด้วยกัน เมื่อคลอดแล้ว ฝ่ายหญิงได้ทิ้งเด็กไว้แล้วหนีหายไป
ด้านสยามรัฐนั้นไม่เคยใส่ใจเป็นหนึ่งเลยสักครั้ง สุขเกษมจึงเป็นฝ่ายฟูมฟักดูแลมาตั้งแต่เกิด ซึ่งมันคงไม่มีปัญหาและไม่ลำบากอะไรนักถ้าสยามรัฐไม่ก่อเหตุร้ายแรงขึ้น
สยามรัฐติดการพนันอย่างหนัก แอบขโมยทรัพย์สินของที่บ้านไปแลกเป็นเงินเพื่อเล่นพนันจนหมด เมื่อไม่มีทรัพย์สินหลงเหลือในบ้านแล้ว เขาจึงไปทำสัญญากู้ยืมเงินนับสิบล้านบาทจากเจ้าของบ่อนโดยเอาสำเนาโฉนดที่ดินของบ้านเป็นสิ่งค้ำประกัน และเงินสิบล้านบาทก็วอดหายไปในคืนเดียว แล้วคืนนั้นสยามรัฐก็จากไปตลอดกาลจากเหตุทะเลาะวิวาทกับนักเลงข้างบ่อน
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เจ้าของบ่อนจึงเลือกตามทวงหนี้กับสุขเกษมแทน บีบให้สุขเกษมโอนที่ดินของบ้านให้ตามที่ระบุในสัญญา แต่สุขเกษมไม่ยอม คนเหล่านั้นจึงตามขู่ ตามทวงแบบรายวัน ลามไปถึงที่ทำงานของเขาจนเพื่อนร่วมงานเดือดร้อนตามไปด้วย เพื่อให้จบปัญหา สุขเกษมจึงตัดสินใจลาออก
แล้วอีกไม่กี่วันถัดมา บ้านที่อยู่อาศัยทั้งหลังของเขาก็เกิดไฟไหม้แบบไม่ทราบสาเหตุ สุขเกษมอุ้มเป็นหนึ่งหนีออกมาตัวเปล่า หลังจากนั้น เขาได้พาหลานชายเร่ร่อนมาตลอดหลายเดือน ไม่กล้ากลับไปดูสถานการณ์ที่บ้านเพราะกลัวเจอเจ้าของบ่อนดักทำร้าย แล้วก็ไม่กล้าติดต่อคนรู้จักอื่น ๆ เพราะกลัวจะไปสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขา ได้แต่หอบหลานทำงานรับจ้างแบบรายวันเพื่อหาเงินประทังชีวิต แต่โชคชะตาก็เล่นงานเขาอีกครั้งจนป่วยหนักใกล้ลาโลกแบบนี้
โชคดีนักที่ได้เจอสายระวีอีกครั้ง
-----
“แสง...ตายเมื่อไหร่” สายที่นั่งอยู่ข้างเตียงได้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขาดเป็นห้วงโดยมีวรรณารีนั่งบีบมือปลอบขวัญอยู่ด้านข้าง
“สิบกว่าปีแล้ว” สุขเกษมตอบเสียงแผ่ว
สายหลับตาพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ภาพของเธอและน้องสาวตั้งแต่วัยเด็กจนแรกสาวยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ วัยแห่งความสุขของพวกเธอสองพี่น้อง...อนิจจา ช่างน่าเสียดายนัก เมื่อคิดไปถึงชีวิตบนทางแยกของพวกเธอพี่น้อง ก้อนสะอื้นก็ขึ้นมาจุกที่คอหอย มือของสายสั่นระริกขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแม้ว่าจะมีมือของวรรณารีคอยบีบให้กำลังใจอยู่เป็นระยะก็ตาม
“...สายระวี”
“เรียกฉันว่าสาย คนชื่อสายระวี รุจนันท์ไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว” สายพูดเสียงตึง
“ผมขอโทษ”
“คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษใด ๆ ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่สายระวีอีกต่อไป ระหว่างเราจึงไม่ได้มีเรื่องขุ่นเคืองใด ๆ ต่อกันให้ต้องมานั่งขอโทษอีก คุณก็มีครอบครัวของคุณ ฉันก็มีครอบครัวของฉัน” ประโยคสุดท้ายสายพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งเมื่อเหลียวไปมองวรรณารีที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“ขอบ...ขอบคุณที่ให้อภัยผม แค่นี้ผมก็ตายตาหลับแล้ว”
“ปู่...” เป็นหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างเตียง
“พูดอะไรแบบนั้นต่อหน้าเด็ก” สายเอ็ดเสียงขุ่น
“ผม...ผมรู้ตัวดี ผมไม่เคยห่วงชีวิตตัวเอง ห่วงแต่หนึ่งเท่านั้น แกยังเด็ก” สุขเกษมพูดด้วยลมหายใจหอบถี่ขึ้น
“คุณพักก่อนเถอะ อาการปอดอักเสบต้องพักเยอะ ๆ”
สุขเกษมส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง “ผมไม่มีเวลาแล้ว คุณสาย...ถือว่าเห็นแก่ลูกนกลูกกาตัวหนึ่ง ช่วยดูแลหนึ่งให้ด้วย แกน่าสงสาร กำพร้ามาตั้งแต่เด็ก ชีวิตแกไม่มีใครเลย”
เป็นหนึ่งสะอื้นหนักขึ้น
สายน้ำตารื้น เธอมองชายร่างผอมคล้ำที่เหลือแต่ซี่โครงตรงหน้าด้วยอาการที่ตื้ออยู่ในคอ ก่อนจะพยักหน้าให้อย่างไม่ลังเล “ไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลเด็กคนนี้อย่างดีที่สุด”
“ขอบคุณนะสาย ขอบคุณ” น้ำเสียงของสุขเกษมโล่งใจอย่างสุดประมาณ
ตอนสายเดินออกมาจากห้องพักคนไข้ สายลังเลอยู่นานก่อนหันไปถามวรรณารี “ถ้าฉันจะให้จิ๊ดริดช่วยรักษาเขา วรรณจะว่าอะไรไหม”
แน่นอนว่าวรรณารีย่อมไม่คัดค้าน เธอพาที่รักมาโรงพยาบาลและให้ลูกทำแบบที่เคยทำกับจุลพงศ์เมื่อคราวก่อน
แต่น่าแปลกที่น้ำลายที่รักไม่มีผลใด ๆ ต่อสุขเกษมเลย
“น่ากลัวว่าน้ำลายจิ๊ดริดจะใช้ไม่ได้กับคนที่แกไม่ผูกพันด้วย” สายมองร่างกายที่แทบจะไม่มีลมหายใจของสุขเกษมอย่างใจหาย
ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา สุขเกษมได้จากไปอย่างสงบด้วยอาการปอดอักเสบขั้นรุนแรงจนอวัยวะภายในล้มเหลว
หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลพีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไปพีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น“สวัสดีครับ”“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไ
“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ววรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วยส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโดเมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียน
“พี่ช้าง จิ๊ดริดผอมลงยัง” ที่รักร้องถามเมื่อเจอหน้าคชาภัทรสะดุดกึกและรีบกวาดตาสำรวจร่างป้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ที่รักในวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแขนกุด ทำให้เห็นแขนอวบขาวอมชมพูอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้ากลมแป้นที่มีจุดเด่นตรงตาเรียวเล็ก แก้มแดงอมชมพูที่แสดงถึงความมีสุขภาพดีของเธอ ปลายนิ้วของเขาคันยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจิ้มแก้มนิ่ม ๆ เล่น แต่เมื่อนึกถึงแรงถีบของเธอที่เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน คชาภัทรจำต้องสกัดความอยากของตัวเองลงอย่างยากเย็น“น้องถามทำไมไม่ตอบ” อลิสราหันมาเอ็ด “ตอบดี ๆ ล่ะ” แล้วก็กำชับเสียงเหี้ยมนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับเผยยิ้มออกมาคชาภัทรถอยห่างจากพี่สาวโดยสัญชาตญาณ เมื่อวานตอนค่ำเขาโดนสมาชิกในบ้านเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ทำอีกเด็ดขาดเด็กชายรุ่นพี่กวาดตาสำรวจร่างป้อมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและจ้องดูพุงที่กลมกว่าทุกวันก็ลอบถอนใจยาว“อืม ดูผอมลงนิดหน่อย” น้ำเสียงดูไม่เต็มปากนักที่รักลูบพุงตัวเองอย่างชอบใจ “วันนี้จิ๊ดริดกินข้าวน้อยกว่าทุกวัน”คชาภัทร
“จิ๊ดริดไม่สบายหรือลูก ทำไมเดินแบบนั้น” วรรณารีร้องถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นที่รักกำลังก้าวขาออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้าในเช้าวันต่อมา กว่าที่เธอจะก้าวเท้าสัมผัสพื้นแต่ละก้าวได้นั้นเล่นเอาคนเป็นแม่ยืนลุ้นจนใจหายใจคว่ำ“หนูไม่เป็นไข้” ที่รักบอกแม่เสียงเบา“ในเมื่อสบายดีแล้วทำไมหนูก้าวช้าแบบนั้น หรือว่าปวดขาปวดข้อตรงไหน”“หนูไม่ปวด”“งั้นก้าวขาเร็ว ๆ สิลูก ค่อย ๆ ย่างแบบนั้นเดี๋ยวเสียจังหวะหัวทิ่มได้นะ”“หนูจะเดินช้า ๆ”“ทำไมล่ะลูก”“จะได้ผอม” ที่รักตอบพร้อมกับค่อย ๆ ย่างเท้าซ้าย“ทำแบบนี้จะผอมได้ยังไง”“แม่ไม่ถามเดี๋ยวหนูอ้วน” ที่รักค่อย ๆ ย่างเท้าขวาต่อวรรณารียืนงงเป็นไก่ตาแตกที่รักซึ่งใช้เวลาสิบนาทีในการก้าวจากห้องนอนไปยังห้องครัวได้สำเร็จ เธอยกมือปาดเหงื่อที่แตกซ่กตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสเป็นที่สุดแตกต่างจากสีหน้าของแม่และยายที่กำลังยืนมองดูเธออยู่แบบลิบลับ“ทำไมหนูเดินช้าล่ะลูก” วรรณารียังคงถามอย่างกังขา“หนูจะได้ไม่หิว”“ทำแบบนี้จะไม่หิวได้ยังไง” สายไม่เข
“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้นนับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจอลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆแม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแ
“ทองแดงโลละสองร้อย ขวดใสโลละแปด กระดาษอ่อนโลห้าบาท กระดาษแข็งโลสามบาท”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ยังพูดไม่ชัดนักเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณหน้าร้านรับซื้อของเก่า เป็นภาพที่ชินตาสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นอย่างดีไม่เพียงแค่ตะโกนบอกราคาเสียงใส ตัวเธอเองก็ไม่อยู่นิ่ง มือคอยขยับยกข้าวของที่มีลูกค้านำมาขาย จับแยกออกเป็นประเภทอย่างชำนาญเพื่อให้สะดวกต่อการชั่งน้ำหนักและคิดราคา แม้ข้าวของจะแลดูสกปรกในสายตาผู้คนทั่วไปแต่เด็กหญิงก็หารังเกียจไม่ ภาพนี้สร้างความรู้สึกเอื้อเอ็นดูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการเป็นอย่างยิ่ง“จิ๊ดริด อย่ายกของหนักนะลูก ให้ลุงหวินกับน้าโหน่งยกแทน” วรรณารีหันมาเตือนลูกสาวเป็นระยะ“จิ๊ดริดยกไหวจ้ะแม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วง” เด็กหญิงพูดตอบกลับไป“ไม่ได้นะลูก กระดูกหนูยังอ่อน ยกของหนักมากกระดูกจะเสียหายได้ แล้วหนูก็จะไม่สูงด้วยนะ”พอได้ยินคำว่าไม่สูง ที่รักรีบวางกองหนังสือที่มัดเรียงกันเป็นตั้งลงทันที ไม่ได้สิเรื่องความสวยความงามต้องมาที่หนึ่งที่รักจากแรกเกิด