แชร์

5. แม่แปรก

ผู้เขียน: ฉันรัก
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-16 17:23:18

“วรรณ...อยู่บ้านใช่ไหม”

“อยู่ค่ะคุณนาย” วรรณารีขานรับก่อนเปิดประตูออกมา

จะว่าไปคนที่ใจดีและจริงใจกับเธอนอกจากสายแล้วก็ยังมียี่สุ่น เจ้าของสวนผลไม้ที่เธอและสายขออาศัยอยู่ด้วยนั่นเอง

“ฉันเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดถึงรู้ว่าเธอคลอดลูกได้หลายวันแล้วก็เลยเอาขิงกับหัวปลีมาให้” ยี่สุ่นเอ่ยขึ้น

วรรณารียกมือไหว้และยื่นมือรับของจากยี่สุ่นอย่างไม่อิดออดด้วยรู้จักนิสัยใจคอของเธอดี หากเอ่ยปากจะให้สิ่งไหนหรืออะไรกับใคร ยี่สุ่นก็ไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำปฏิเสธใด ๆ จากอีกฝั่ง

“เห็นว่าคลอดเองที่บ้านไม่ทันได้ไปโรงพยาบาล โชคดีมากนะที่ปลอดภัยด้วยกันทั้งคู่”

“ค่ะคุณนาย โชคดีที่ป้าสายมาเจอพอดี ไม่อย่างนั้นวรรณกับลูกก็คงแย่เหมือนกัน” วันคลอดนั้นเธอบังเอิญหกล้มอย่างแรงจนกระเทือนถึงลูกในท้อง ประจวบกับมีฝนตกลงมาอย่างหนักทำให้ไม่สามารถหารถเพื่อเดินทางไปโรงพยาบาลได้ สายเลยตัดสินใจทำคลอดด้วยตัวเอง

“สายเก่งเรื่องนี้อยู่แล้วนี่นะ...” ยี่สุ่นพูดทิ้งไว้เท่านั้นก็ไม่ได้สนใจขยายความต่ออีก เธอเดินเข้าไปในบ้านเพื่อไปสนทนากับสายต่อ ทิ้งให้วรรณารีนิ่วหน้ามองตามอยู่ด้านหลัง

-----

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นเธอสดชื่นแบบนี้ รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่รกรุงรังเหมือนเก่า” ยี่สุ่นเอ่ยออกมาเมื่อเห็นสายหวีผมเรียบ ใส่เสื้อผ้าฝ้ายและผ้าถุงสีสบายตา ดูไม่เหมือนยายสายบ้าตามที่คนรอบข้างตั้งฉายาเหมือนเก่า

สายเหลือบมองแล้วทำท่าค้อนก่อนจะหันไปวางร่างเล็กของที่รักลงบนที่นอนซึ่งเตรียมไว้อยู่ด้านข้างอย่างเบามือ “เด็กนี่เอาแต่ใจจะตาย แค่ทำหน้านิ่วใส่หรือเห็นฉันผมเผ้ารุงรังก็เบะปากร้องโวยวายลั่นบ้าน ฉันทนหนวกหูไม่ไหวก็เท่านั้นเอง”

ยี่สุ่นหัวเราะออกมาอย่างไม่ไว้หน้า “แล้วไปรับลูกเขามาเลี้ยงให้เป็นภาระทำไมล่ะ”

สายได้แต่ค้อนตากลับ ท่าทางของทั้งคู่ดูคล้ายเพื่อนมากกว่าที่จะเป็นแค่ผู้ให้อาศัยและผู้ขออาศัยอย่างที่คนภายนอกมอง

“เห็นเธอมีชีวิตชีวาแบบนี้ฉันก็สบายใจ แม่หนูนี่สร้างบุญไว้โขเชียว เกิดมาได้ไม่เท่าไรก็ช่วยคนได้แล้วคนหนึ่ง”

สายเหลือบมองร่างเล็กที่กำลังนอนเล่นน้ำลายด้วยแววตาอ่อนโยน

“สดชื่นขึ้นแบบนี้ก็ดีแล้ว อะไรที่มันทุกข์ ๆ อะไรที่หนัก ๆ ก็โยนทิ้งให้หมด ชีวิตเราก็เหมือนนาฬิกาที่เปลี่ยนถ่านไม่ได้ ถ่านหมดวันไหนก็คือจบ ใช้ชีวิตให้สบายอกสบายใจดีกว่านะ ให้สมกับที่อุตส่าห์มีลมหายใจอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้”

สายยังคงมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างเงียบ ๆ แต่ในใจเธอกลับไม่เงียบอย่างท่าทาง เธอคิดถึงวันแรกที่เจอวรรณารีตรงบึงซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปหลายกิโลเมตรในวันนั้นจนกระทั่งลากมาอยู่ด้วยกันในวันนี้

ตอนแรกสายยอมรับว่ารู้สึกหงุดหงิดในใจไม่น้อยที่เหมือนมีภาระแบบไม่ได้ตั้งใจเกิดขึ้น ตามประสาคนที่อยู่เพียงลำพังมาเป็นสิบ ๆ ปี โดยเฉพาะช่วงแรกที่วรรณารีอยู่ในอาการที่ไม่อาจทิ้งไว้เพียงลำพังได้

แต่พอใช้ชีวิตร่วมกันหลายเดือนเข้า ความหงุดหงิดกลับกลายเป็นความผูกพัน หลังจากที่วรรณารีสลัดอาการหมดอาลัยตายอยากทิ้ง เธอได้กลายเป็นคนที่ปรับตัวง่าย เข้าใจอะไรได้ง่าย ตัวสายเองเสียอีกที่ดูจะเข้าถึงได้ยากกว่า แต่ก็ไม่ได้ยากเหมือนก่อนที่วรรณารีจะเข้ามาในชีวิตเธอ

วรรณารีเป็นคนใส่ใจผู้คน เธอคอยดูแลสายอยู่เสมอทั้งในเรื่องการกินอยู่ รวมถึงสุขภาพร่างกายแบบรายวัน ความรู้สึกจากความผูกพันเหมือนคนร่วมบ้าน เหมือนคนรู้จัก ก็ค่อย ๆ พัฒนาเป็นเหมือนญาติแทน จวบจนกระทั่งมีที่รักออกมาอีกคนนั่นแหละ สายถึงรู้ว่าความรักที่ยายมีต่อหลานนั้นเป็นเช่นไร

เมื่อเห็นสายยังเงียบ ยี่สุ่นจึงพูดต่อ “ถึงเวลาที่เธอควรจะเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียทีนะ ชีวิตใหม่ที่มีแม่ตัวเล็กนี่กับวรรณอยู่ด้วย การที่คนแปลกหน้าสองคนได้มาเจอกัน ฉันเชื่อว่ามันเป็นพรหมลิขิตไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน”

“เออนี่ ฉันว่าจะชวนเธอและวรรณไปกราบพระธุดงค์ ท่านมาปักกลดในสวนฝั่งโน้นของฉันเมื่อเจ็ดวันก่อน พรุ่งนี้ก็จะธุดงค์ไปที่อื่นแล้ว เห็นบรรดาคนงานที่ไร่บอกว่าท่านน่านับถือมาก ได้สนทนากับท่านทำให้ใจสงบลงเป็นกอง”

สายหันมามองด้วยความสนใจ

“เธอเป็นพวกที่ไม่ยอมเข้าวัดเลย ไหน ๆ ท่านก็มาโปรดถึงที่แล้วฉันว่าไปกราบเสียหน่อยเถอะ เอาบุญ”

วรรณารีสนใจที่จะไปด้วยเพราะที่รักตอนนี้ก็อายุได้เจ็ดวันแล้ว พอจะออกไปข้างนอกได้บ้าง และที่ที่จะไปก็แค่ชายสวนอีกฝั่งของบ้านยี่สุ่นเท่านั้น

เมื่อเดินไปถึงสถานที่ที่ปักกลด ยี่สุ่นและสายได้เข้าไปถวายเพลก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นสายก็ได้ถอยออกมานั่งกับวรรณารี ปล่อยให้ยี่สุ่นสนทนากับพระธุดงค์เพียงคนเดียว ส่วนตัวเองเลือกที่จะนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น

พระธุดงค์รูปนี้อายุประมาณหกสิบปี ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง หน้าตาผ่องใสลักษณะคล้ายคนอิ่มบุญ ยิ่งได้นั่งฟัง ได้สนทนา ก็ยิ่งทำให้ทั้งสามคนเลื่อมใส ความสุขสงบได้เกิดขึ้นในใจของทั้งสามคนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ลูกสาวชื่ออะไรล่ะนั่น” จู่ ๆ หลวงพ่อก็หันมาถามวรรณารีที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น

วรรณารีก้มลงมองลูกอย่างตกใจไม่น้อย เด็กวัยเจ็ดวันผมยังไม่ขึ้น แล้วเสื้อผ้าที่ที่รักสวมก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นเด็กผู้หญิง แต่พระท่านกลับทักได้ถูกต้อง แล้วที่จำได้ ไม่มีใครหลุดปากบอกท่านเลยว่านี่คือเด็กผู้หญิง

“ชื่อจิ๊ดริดค่ะ ชื่อจริงที่รัก” วรรณารีตอบด้วยน้ำเสียงที่เลื่อมใสมากขึ้น

หลวงพ่อพยักหน้าและยิ้มน้อย ๆ พลางพิศมองสองแม่ลูกอยู่นานก่อนเอ่ย “จิ๊ดริด...เหมือนที่ใช้เรียกช้างเด็ก ชื่อดีนะ สมตัว แม่หนูนี่เกิดมาเพื่อเป็นแม่แปรก เป็นผู้นำช้างโขลง เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำความสุขและความสบายมาให้กับสมาชิกในโขลง ไม่ต้องห่วงนะ ชีวิตของคุณโยมทุกคนจะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ ...”

คนเป็นแม่ย่อมต้องยิ้มชื่นอย่างที่สุดอยู่แล้วเมื่อได้ยินพรอันวิเศษที่เกี่ยวกับลูก แต่แล้วรอยยิ้มของเธอก็เจื่อนลงเมื่อได้ยินคำพูดต่อไปของหลวงพ่อ

“...แล้วครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในท้ายที่สุดนะ”

วรรณารีใบหน้าซีดเผือด มือทั้งสองข้างที่อุ้มลูกอยู่สั่นเทาขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ส่วนพระท่านได้หันไปสนทนากับยี่สุ่นต่อและไม่ได้พูดอะไรกับวรรณารีอีกจนกระทั่งทั้งสามคนกราบลา

วรรณารีที่เดินอุ้มที่รักตามหลังสายและยี่สุ่นมานั้นยังคงมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร เธอมือสั่นระริกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้

ยี่สุ่นที่พอจะรู้เรื่องราวความเป็นไปของวรรณารีมาบ้างจึงพอจะเข้าใจความคิดของหญิงสาว เธอเอ่ยปลอบเสียงนุ่ม “ครอบครัวพร้อมหน้าต้องเป็นยายสาย แม่วรรณ และหลานจิ๊ดริดแน่ ๆ เลยว่าไหม”

วรรณารีมองและคิดตาม ไม่แน่...อาจจะหมายถึงแบบนั้นได้เหมือนกัน

“ไง...แม่หนู ชอบไหมที่พระท่านทักว่าเราเกิดมาเป็นดาวนำโชคน่ะ” ยี่สุ่นหันไปกระเซ้าเด็กหญิงที่นอนลืมตาแป๋วมองมายังเธอ

“แอะ...แอ...” เด็กหญิงส่งเสียงทักกลับพร้อมกับยิ้มตายิบหยี

“น่าเกลียดน่าชังจริงเชียว มิน่าเธอถึงติดหนึบไม่ยอมห่างแบบนี้” ยี่สุ่นหันมาคุยกับสาย

สายมองค้อน

“ให้ยายขอพรนางฟ้าตัวน้อยเป็นคนแรกดีไหมลูก” ยี่สุ่นหันมาพูดกับเด็กหญิงที่กำลังทำเสียงอืออาอย่างอ่อนโยน “ยายอยากขอพรให้ลูกสาวและครอบครัวกลับมาอยู่บ้านกับยาย หนูช่วยยายได้ไหม”

ที่รักยังคงจ้องยี่สุ่นตาแป๋ว ส่วนสายและวรรณารีต่างเหลียวไปมองยี่สุ่นอย่างเห็นใจ

“อา...อา...” เธอส่งเสียงพร้อมกับยื่นมือน้อยไปจับมือยี่สุ่นเอาไว้แน่น

“ดูสิ ดูแม่หนูทำ” ยี่สุ่นเอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “หนูรู้เรื่องใช่ไหมลูก สมกับเป็นนางฟ้าตัวน้อยจริง ๆ”

ที่รักส่งยิ้มที่เห็นแต่ไรเหงือกมาให้สำหรับคำชมในครั้งนี้

แต่ไม่คิดเลยว่าคำขอของยี่สุ่นในวันนี้จะเป็นจริงขึ้นมาได้ในอีกไม่กี่วันต่อมา

-----

“ครอบครัวลูกสาวฉันกำลังจะมาอยู่ด้วยในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว” ในอีกสามวันให้หลัง ยี่สุ่นได้เดินมาบอกสายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ระบายอยู่เต็มหน้า ทำให้บุคลิกแข็งกระด้างของเธอดูนิ่มนวลขึ้นทันตา

เพราะความที่เป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว มีลูกหนึ่งคนที่ต้องคอยเลี้ยงดู แถมยังต้องดูแลสวนผลไม้นับร้อยไร่ด้วยตัวเอง ประสบการณ์ชีวิตที่มีได้เปลี่ยนบุคลิกเธอจากแม่บ้านธรรมดากลายเป็นผู้หญิงแกร่งและดุ เป็นที่ยำเกรงของผู้คนรอบข้าง

แต่กระนั้นเธอก็ยังมีความเหงาแฝงอยู่เสมอ โดยเฉพาะยามเมื่อลูกสาวแต่งงานออกเรือนไป นาน ๆ ครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยมสักที

แต่พอมาวันนี้ได้ทราบว่าลูกสาวจะพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ด้วย เรื่องน่ายินดีแบบนี้ย่อมสร้างความดีใจให้กับยี่สุ่นอย่างที่สุด

“ลูกเขยฉันไม่ลงรอยกับพี่น้องเขา ตั้งแต่พ่อแม่เขาเสียไปก็มีปัญหากันมาตลอดเรื่องสมบัติบ้าอะไรพวกนั้นแหละ” ยี่สุ่นยังคงเล่าให้ฟังไม่หยุด “ทางฝั่งพ่อแม่ก็ไม่ทำพินัยกรรมอะไรไว้ พี่ชายเลยอาศัยความหัวหมอโยกย้ายทรัพย์สินทั้งหมดมาเป็นของตัวรวมถึงที่ดินของบ้านที่อยู่ตอนนี้ด้วย ลูกเขยฉันตั้งท่าจะฟ้องแต่พอดีเป็นช่วงที่กำลังจะตกงานกันทั้งผัวเมีย ลูกสาวฉันเห็นท่าไม่ดีเลยจะย้ายมาอยู่กับฉัน รอจัดการงานในบริษัทให้เรียบร้อยก่อนก็จะมากันทั้งหมด”

“ก็ดีนะ มาลงหลักปักฐานที่นี่ สวนจะได้มีคนช่วย” สายดีใจไปกับเธอด้วย

“ฉันก็บอกลูกอย่างนั้น ให้สองผัวเมียมารับช่วงต่อ ไม่ต้องไปสนใจทรัพย์สินขี้ปะติ๋วของฝั่งนั้นหรอก เดี๋ยวฉันยกสมบัติของฉันให้เอง”

“ทีนี้ก็จะไม่เหงาแล้วสิ”

ยี่สุ่นผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้มกว้าง ขณะที่ดวงตานั้นมีน้ำเคลือบขึ้นมาจาง ๆ สะท้อนถึงอารมณ์ยินดีและชื่นบานอย่างที่สุดของเจ้าตัว

ยี่สุ่นเหลียวมองที่รักที่กำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของวรรณารีด้วยรอยยิ้มที่ยังคงไม่เลือนหายไปจากหน้า “สงสัยเพราะขอพรจากนางฟ้าน้อย ๆ คนนี้ในครั้งก่อนแน่ ทำให้ยายยี่สุ่นคนนี้สมหวังขึ้นมาได้”

วรรณารีก้มลงมองลูกสาวด้วยแววตาประหลาด

“ยายจะหาชุดสวย ๆ ให้หนูใส่หลาย ๆ ชุดเชียวแม่นางฟ้าของยาย” ยี่สุ่นพูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากบ้านของสายไป

“ป้าคะ หรือยายหนูของเราจะเป็นนางฟ้านำโชคจริง ๆ” วรรณารีถามออกมาอย่างข้องใจ

สายเหลียวมองแบบทั้งฉุนทั้งขัน “เพี้ยนหรือเปล่าแม่วรรณ พระท่านก็พูดอวยพรตามปกติเหมือนที่ทำกับเด็กทุกคน แล้วจะไปจริงจังอะไรกับคำพูดของคนแก่ที่กำลังดีใจมากคนหนึ่ง เธอมานั่งนี่ดีกว่า ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”

เมื่อวรรณารีเขยิบมานั่งใกล้ ๆ สายจึงพูดต่อ “ถ้าฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เธอคิดว่ายังไง”

วรรณารีเลิกคิ้วมองอย่างตกใจ

เทียบกับความตกใจของวรรณารีแล้ว ทางฝั่งยี่สุ่นตกใจยิ่งกว่า เธอมาล้งเล้งกับสายทันทีที่ทราบเรื่อง แต่เมื่อทราบถึงสถานที่ที่สายจะย้ายไปและได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งของสาย เธอจึงไม่คิดคัดค้านในเรื่องนี้อีก ประโยคที่ว่านั้นก็คือสายคิดที่จะสร้างครอบครัวเล็ก ๆ เป็นของเธอเองแล้ว

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • จิ๊ดริดที่รัก   75. ชวนไปฉลองวันเกิด

    “เอกสารที่ผมรวบรวมไว้ช่วงที่ท่านไม่อยู่ครับ” ไวพจน์มาหาพีรายุที่โรงพยาบาลในเช้าวันต่อมาได้หอบเอกสารเป็นตั้งมาด้วย “ในนี้เป็นสำเนาระบุสเปกวัสดุก่อสร้างที่มีลายเซ็นของจินดารากับเสี่ยทรงยศ แล้วยังมีรูปถ่ายที่ทั้งสองไปเจอกันตามที่ต่าง ๆ ด้วย ที่เหลือคือชื่อของพนักงานในบริษัททั้งหมดที่เป็นคนของจินดาราครับ”พีรายุไล่เปิดเอกสารดูหน้าเครียด “แล้วตอนนี้เริ่มทำคำสั่งซื้อพวกนี้หรือยัง”“เริ่มสั่งไปบ้างแล้วครับ รายละเอียดอยู่ด้านล่างสุด เสี่ยทรงยศจะเริ่มลงไซต์งานอาทิตย์หน้าแล้ว ผมว่าคำสั่งซื้อทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยภายในอาทิตย์นี้”“ขอบคุณคุณไวพจน์มากนะครับที่เหนื่อยมาหลายอาทิตย์ เอกสารพวกนี้ทิ้งไว้ที่ผม ผมจะจัดการที่เหลือต่อเอง คุณไม่ต้องทำอะไรแล้ว”“ให้ผมช่วยเถอะครับ ท่านออกโรงคนเดียวจะเป็นอันตรายได้”“เรื่องนี้ผมต้องทำคนเดียว ถ้าประธานบริษัทเป็นคนถือเอกสารไปหาผู้ใหญ่ของกระทรวงนั้นเองจะดูน่าเชื่อถือกว่า”“ไม่อันตรายแน่นะครับ”“ไม่เป็นไร ผมจะระวังตัว”ไวพจน์กลับไปแล้วแต่พีรายุยังคงนั่งอ่านเอกสารเหล่านั้นอย่างไม่ละสายตาจนไม่

  • จิ๊ดริดที่รัก   74. จิ๊ดริดมีพ่อชื่อพีรายุ 2

    สายเดินเข้ามาใกล้สองพ่อลูกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับหลาน “ตอนนี้เราปล่อยให้พ่อกับแม่พักก่อนดีกว่านะ แล้วพรุ่งนี้ยายจะพามาหาแต่เช้า”แม้ไม่เต็มใจแต่พีรายุก็ยอมคลายอ้อมกอดจากลูกแต่โดยดี เช่นเดียวกับที่รัก เธอมองมายังพีรายุอย่างเสียดาย เด็กหญิงเอียงหน้าไปหอมแก้มพีรายุฟอดใหญ่ก่อนยิ้มให้ “พรุ่งนี้จิ๊ดริดจะมาหาพ่อตั้งแต่เช้า พ่อกับแม่นอนดี ๆ อย่าทะเลาะกันนะ”วรรณารีนั่งหน้าแดงมองตามสองยายหลานจนแผ่นหลังของทั้งคู่ลับสายตาไปเธอจึงได้ถอนสายตากลับเพื่อมาเจอกับแววตาลุ่มลึกของอีกคนที่ยังอยู่ในห้อง“ผมขอบคุณคุณมากนะครับที่ยอมเปิดโอกาสให้ผมอีกครั้ง”“ฉันแค่อนุญาตให้ลูกเรียกพ่อ ตอนนี้ฉันยอมรับคุณแค่เป็นพ่อของลูกเท่านั้น”รอยยิ้มของพีรายุลดลง เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ “แล้วเรื่องของเราล่ะครับ”วรรณารีจ้องเขาด้วยใจที่แปลบปร่า “ฉันไม่สามารถทำใจรับคุณมาเป็นคู่ชีวิตได้อีก”“วรรณครับ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตคุณก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจผมไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีแค่คุณเท่านั้น ยอมให้โอกาสเราทั้งคู่มาเป็นครอบครัวกันอีกครั้งเถอะนะครับ”วรร

  • จิ๊ดริดที่รัก   73. จิ๊ดริดมีพ่อชื่อพีรายุ 1

    “แม่วรรณ เธอมันบ้าบิ่นเกินไปนะ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเกิด...ถ้าเกิด...” สายเอ่ยตำหนิวรรณารีทันทีหลังจากที่หมอและพยาบาลออกจากห้องไปแล้ววรรณารีที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ได้หลุบตานิ่งอย่างสำนึกผิด ใบหน้าและลำตัวเธอมีแต่รอยฟกช้ำโดยเฉพาะตรงลำคอที่แดงช้ำอย่างน่ากลัว “วรรณใจร้อนเกินไปจริง ๆ ค่ะ วรรณขอโทษ”“คนที่เธอควรจะขอโทษก็คือจิ๊ดริดกับคุณพีต่างหาก” สายชี้ไปยังที่รักซึ่งยืนสำนึกผิดอยู่ข้างเตียงและพีรายุซึ่งนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ที่อยู่ติดกัน“ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่แผลถาก ๆ” พีรายุรีบพูดช่วย“แม่จ๋า จิ๊ดริดไม่ดี จิ๊ดริดช่วยแม่ไม่ได้” ที่รักน้ำตาเตรียมจะหยดแหมะออกมาเต็มที่วรรณารีรีบกอดปลอบลูก “ไม่ใช่ความผิดจิ๊ดริด แม่หาเรื่องเอง ถ้าแม่ไม่เข้าไปในนั้นแม่ก็จะไม่โดนทำร้าย”“แต่จิ๊ดริดเตือนแม่ไม่ได้ จิ๊ดริดไม่เห็นอะไรเลย”“ก็เพราะหนูไม่สบายอยู่ อย่าโทษตัวเองสิลูก แล้วแม่ก็ไม่ได้บาดเจ็บเยอะแยะ อีกสองวันก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จิ๊ดริดเสียอีกที่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ ไข้จะได้ไม่กลับมา”“จิ๊ดริดหายแล้ว ไม่มีไข้แล้ว”“หายก็ก

  • จิ๊ดริดที่รัก   72. วรรณารีโดนทำร้าย

    “เอ็งแน่ใจนะว่าไม่มีใครอยู่ที่ร้านแน่”บานชื่นถามสามีอย่างกระวนกระวายใจ ส่วนมือนั้นยังคงสาละวนดึงทองแดงจากกองใหญ่มาใส่ในรถเข็นของตัวเอง“แน่สิวะ ข้ามาแอบดูหลายคืนแล้ว ในร้านไม่มีคนเฝ้าเลยสักคน พวกคนงานไปอยู่ที่บ้านพักฝั่งตรงข้ามหมด ถ้าจะมีก็มีแต่ผีเท่านั้นแหละ”“เอ็งอย่าพูดสิ ยิ่งมืด ๆ อยู่”“กลัวอะไรกับผี อย่ามัวแต่พูด รีบขนขึ้นรถเร็วเข้า เอาไปให้ได้มากที่สุด พรุ่งนี้จะได้เอาไปขายที่ร้านเฮียอุย คุณภาพดีแบบนี้ได้หลายหมื่นแน่มึง” โชติยิ้มย่องเมื่อเห็นทองแดงเกรดดีที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าเพราะเอาเงินไปลงทุนกับเหล็กจนหมด แต่เหล็กกลับขายไม่ออกช่วงนี้ ทำให้เขาและภรรยาอดอยากปากแห้งมาหลายสัปดาห์ กระทั่งมาได้ยินคนงานในร้านของวรรณารีคุยกันเรื่องทองแดงกองพะเนินในร้านที่มีลูกค้าติดต่อขอซื้อเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสร้างรายได้ให้วรรณารีเป็นล้านบาทโชติและบานชื่นแค้นใจจนแทบกระอักเลือด ขณะที่พวกเขาตกต่ำจนแทบไม่มีหนทางให้เดิน แต่ศัตรูอย่างวรรณารีกลับเจริญไม่หยุด แบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาต้องดึงผลประโยชน์ที่วรรณารีได้มาเป็นของตัวเองส่วนหนึ่ง

  • จิ๊ดริดที่รัก   71. จิ๊ดริดไม่สบาย 2

    “แม่จ๋า อุ้ม” เมื่อเห็นวรรณารีเดินเข้าบ้าน ที่รักจึงอ้าแขนตัวเองออกเพื่ออ้อนให้คนเป็นแม่อุ้มวรรณารีเดินยิ้มตรงมาหาเธอและสวมกอดลูกเอาไว้อย่างอ่อนโยน “เพราะไม่สบายแน่เลยใช่ไหมถึงอ้อนให้แม่อุ้มแบบนี้” ว่าพลางยกร่างที่ไม่เบาของลูกขึ้นมาจากที่นอนและอุ้มเอาไว้อย่างง่ายดาย “ลูกสาวแม่หนักขึ้นอีกแล้ว อีกหน่อยแม่คงอุ้มไม่ไหวแล้วมั้ง ตัวยังรุมอยู่เลยนะ ปวดหัวไหมลูก”“นิดนึง” ที่รักตอบพลางเงยหน้ามองแม่ “แม่จ๋า จิ๊ดริดเหมือนปวดจิ๊ด ๆ ตรงนี้” เด็กหญิงชี้ไปที่อกซ้ายของตัวเองวรรณารีมีสีหน้ากังวลขึ้นมา “ปวดตรงไหน ปวดมากไหม หายใจสะดวกไหมลูก หรือจะไปหาหมอดี”ที่รักส่ายหน้า “จิ๊ดริดไม่ได้ปวดแบบนั้น จิ๊ดริดบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่จิ๊ดริดรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนกำลังจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดี แต่จิ๊ดริดไม่รู้ว่าเป็นอะไร มันเลยปวดจิ๊ด ๆ ตรงหน้าอก”สายที่เดินเข้ามากับพีรายุถึงกับขมวดคิ้ว เธอวางแก้วนมลงที่โต๊ะก่อนหันมาถาม “จิ๊ดริดรู้สึกว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมลูก”พีรายุสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เคร่งเครียดขึ้นทันตาของสายก็ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ

  • จิ๊ดริดที่รัก   70. จิ๊ดริดไม่สบาย 1

    ที่รักลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “หนูเป็นอะไร”“จิ๊ดริดเป็นไข้ กินยาเดี๋ยวก็หายนะลูก” แม้ปากจะปลอบแต่วรรณารียังคงกังวลอยู่ไม่คลายเพราะตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวของเธอไม่เคยเป็นไข้เลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกและดูหนักหนาเอาการเลยทีเดียว“ทำไมหนูเป็นไข้”“ตอนวันเกิดเมื่อวานหนูคงวิ่งกลางแดดร้อน ๆ มากเกินไป แล้วยังกินน้ำหวานใส่น้ำแข็งมากเกินไปด้วย ต่อไปไม่ทำแบบนี้แล้วนะลูก เป็นไข้แล้วไม่สบายตัวเลยใช่ไหม”“อื้อ หนูไม่ทำแล้ว หนูไม่อยากเป็นไข้” ที่รักสะลึมสะลือตอบก่อนจะค่อย ๆ หลับไปเพราะสบายตัวมากขึ้นหลังจากที่แม่เช็ดตัวให้คืนนี้ วรรณารีไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะที่รักไข้สูงเป็นระยะต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดเวลาจนอาการค่อยทุเลาในช่วงเช้ามืดของอีกวัน“ทำไมหน้าซีดแบบนี้ ไม่สบายหรือเปล่า” สายถามขึ้นตอนเห็นวรรณารีเดินออกจากห้องในตอนเช้า“จิ๊ดริดเป็นไข้สูงค่ะ เลยไม่ได้นอนทั้งคืน”“อะไรนะ ลูกเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พีรายุที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมาเอ่ยถามเสียงตื่นใจอยากจะมองเมิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าทุกข์ร้อนของเขา วรรณารีจึงตอบออกไปเสียงห

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status