“วรรณ...อยู่บ้านใช่ไหม”
“อยู่ค่ะคุณนาย” วรรณารีขานรับก่อนเปิดประตูออกมา
จะว่าไปคนที่ใจดีและจริงใจกับเธอนอกจากสายแล้วก็ยังมียี่สุ่น เจ้าของสวนผลไม้ที่เธอและสายขออาศัยอยู่ด้วยนั่นเอง
“ฉันเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดถึงรู้ว่าเธอคลอดลูกได้หลายวันแล้วก็เลยเอาขิงกับหัวปลีมาให้” ยี่สุ่นเอ่ยขึ้น
วรรณารียกมือไหว้และยื่นมือรับของจากยี่สุ่นอย่างไม่อิดออดด้วยรู้จักนิสัยใจคอของเธอดี หากเอ่ยปากจะให้สิ่งไหนหรืออะไรกับใคร ยี่สุ่นก็ไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำปฏิเสธใด ๆ จากอีกฝั่ง
“เห็นว่าคลอดเองที่บ้านไม่ทันได้ไปโรงพยาบาล โชคดีมากนะที่ปลอดภัยด้วยกันทั้งคู่”
“ค่ะคุณนาย โชคดีที่ป้าสายมาเจอพอดี ไม่อย่างนั้นวรรณกับลูกก็คงแย่เหมือนกัน” วันคลอดนั้นเธอบังเอิญหกล้มอย่างแรงจนกระเทือนถึงลูกในท้อง ประจวบกับมีฝนตกลงมาอย่างหนักทำให้ไม่สามารถหารถเพื่อเดินทางไปโรงพยาบาลได้ สายเลยตัดสินใจทำคลอดด้วยตัวเอง
“สายเก่งเรื่องนี้อยู่แล้วนี่นะ...” ยี่สุ่นพูดทิ้งไว้เท่านั้นก็ไม่ได้สนใจขยายความต่ออีก เธอเดินเข้าไปในบ้านเพื่อไปสนทนากับสายต่อ ทิ้งให้วรรณารีนิ่วหน้ามองตามอยู่ด้านหลัง
-----
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นเธอสดชื่นแบบนี้ รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่รกรุงรังเหมือนเก่า” ยี่สุ่นเอ่ยออกมาเมื่อเห็นสายหวีผมเรียบ ใส่เสื้อผ้าฝ้ายและผ้าถุงสีสบายตา ดูไม่เหมือนยายสายบ้าตามที่คนรอบข้างตั้งฉายาเหมือนเก่า
สายเหลือบมองแล้วทำท่าค้อนก่อนจะหันไปวางร่างเล็กของที่รักลงบนที่นอนซึ่งเตรียมไว้อยู่ด้านข้างอย่างเบามือ “เด็กนี่เอาแต่ใจจะตาย แค่ทำหน้านิ่วใส่หรือเห็นฉันผมเผ้ารุงรังก็เบะปากร้องโวยวายลั่นบ้าน ฉันทนหนวกหูไม่ไหวก็เท่านั้นเอง”
ยี่สุ่นหัวเราะออกมาอย่างไม่ไว้หน้า “แล้วไปรับลูกเขามาเลี้ยงให้เป็นภาระทำไมล่ะ”
สายได้แต่ค้อนตากลับ ท่าทางของทั้งคู่ดูคล้ายเพื่อนมากกว่าที่จะเป็นแค่ผู้ให้อาศัยและผู้ขออาศัยอย่างที่คนภายนอกมอง
“เห็นเธอมีชีวิตชีวาแบบนี้ฉันก็สบายใจ แม่หนูนี่สร้างบุญไว้โขเชียว เกิดมาได้ไม่เท่าไรก็ช่วยคนได้แล้วคนหนึ่ง”
สายเหลือบมองร่างเล็กที่กำลังนอนเล่นน้ำลายด้วยแววตาอ่อนโยน
“สดชื่นขึ้นแบบนี้ก็ดีแล้ว อะไรที่มันทุกข์ ๆ อะไรที่หนัก ๆ ก็โยนทิ้งให้หมด ชีวิตเราก็เหมือนนาฬิกาที่เปลี่ยนถ่านไม่ได้ ถ่านหมดวันไหนก็คือจบ ใช้ชีวิตให้สบายอกสบายใจดีกว่านะ ให้สมกับที่อุตส่าห์มีลมหายใจอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้”
สายยังคงมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างเงียบ ๆ แต่ในใจเธอกลับไม่เงียบอย่างท่าทาง เธอคิดถึงวันแรกที่เจอวรรณารีตรงบึงซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปหลายกิโลเมตรในวันนั้นจนกระทั่งลากมาอยู่ด้วยกันในวันนี้
ตอนแรกสายยอมรับว่ารู้สึกหงุดหงิดในใจไม่น้อยที่เหมือนมีภาระแบบไม่ได้ตั้งใจเกิดขึ้น ตามประสาคนที่อยู่เพียงลำพังมาเป็นสิบ ๆ ปี โดยเฉพาะช่วงแรกที่วรรณารีอยู่ในอาการที่ไม่อาจทิ้งไว้เพียงลำพังได้
แต่พอใช้ชีวิตร่วมกันหลายเดือนเข้า ความหงุดหงิดกลับกลายเป็นความผูกพัน หลังจากที่วรรณารีสลัดอาการหมดอาลัยตายอยากทิ้ง เธอได้กลายเป็นคนที่ปรับตัวง่าย เข้าใจอะไรได้ง่าย ตัวสายเองเสียอีกที่ดูจะเข้าถึงได้ยากกว่า แต่ก็ไม่ได้ยากเหมือนก่อนที่วรรณารีจะเข้ามาในชีวิตเธอ
วรรณารีเป็นคนใส่ใจผู้คน เธอคอยดูแลสายอยู่เสมอทั้งในเรื่องการกินอยู่ รวมถึงสุขภาพร่างกายแบบรายวัน ความรู้สึกจากความผูกพันเหมือนคนร่วมบ้าน เหมือนคนรู้จัก ก็ค่อย ๆ พัฒนาเป็นเหมือนญาติแทน จวบจนกระทั่งมีที่รักออกมาอีกคนนั่นแหละ สายถึงรู้ว่าความรักที่ยายมีต่อหลานนั้นเป็นเช่นไร
เมื่อเห็นสายยังเงียบ ยี่สุ่นจึงพูดต่อ “ถึงเวลาที่เธอควรจะเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียทีนะ ชีวิตใหม่ที่มีแม่ตัวเล็กนี่กับวรรณอยู่ด้วย การที่คนแปลกหน้าสองคนได้มาเจอกัน ฉันเชื่อว่ามันเป็นพรหมลิขิตไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน”
“เออนี่ ฉันว่าจะชวนเธอและวรรณไปกราบพระธุดงค์ ท่านมาปักกลดในสวนฝั่งโน้นของฉันเมื่อเจ็ดวันก่อน พรุ่งนี้ก็จะธุดงค์ไปที่อื่นแล้ว เห็นบรรดาคนงานที่ไร่บอกว่าท่านน่านับถือมาก ได้สนทนากับท่านทำให้ใจสงบลงเป็นกอง”
สายหันมามองด้วยความสนใจ
“เธอเป็นพวกที่ไม่ยอมเข้าวัดเลย ไหน ๆ ท่านก็มาโปรดถึงที่แล้วฉันว่าไปกราบเสียหน่อยเถอะ เอาบุญ”
วรรณารีสนใจที่จะไปด้วยเพราะที่รักตอนนี้ก็อายุได้เจ็ดวันแล้ว พอจะออกไปข้างนอกได้บ้าง และที่ที่จะไปก็แค่ชายสวนอีกฝั่งของบ้านยี่สุ่นเท่านั้น
เมื่อเดินไปถึงสถานที่ที่ปักกลด ยี่สุ่นและสายได้เข้าไปถวายเพลก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นสายก็ได้ถอยออกมานั่งกับวรรณารี ปล่อยให้ยี่สุ่นสนทนากับพระธุดงค์เพียงคนเดียว ส่วนตัวเองเลือกที่จะนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น
พระธุดงค์รูปนี้อายุประมาณหกสิบปี ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง หน้าตาผ่องใสลักษณะคล้ายคนอิ่มบุญ ยิ่งได้นั่งฟัง ได้สนทนา ก็ยิ่งทำให้ทั้งสามคนเลื่อมใส ความสุขสงบได้เกิดขึ้นในใจของทั้งสามคนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ลูกสาวชื่ออะไรล่ะนั่น” จู่ ๆ หลวงพ่อก็หันมาถามวรรณารีที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น
วรรณารีก้มลงมองลูกอย่างตกใจไม่น้อย เด็กวัยเจ็ดวันผมยังไม่ขึ้น แล้วเสื้อผ้าที่ที่รักสวมก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นเด็กผู้หญิง แต่พระท่านกลับทักได้ถูกต้อง แล้วที่จำได้ ไม่มีใครหลุดปากบอกท่านเลยว่านี่คือเด็กผู้หญิง
“ชื่อจิ๊ดริดค่ะ ชื่อจริงที่รัก” วรรณารีตอบด้วยน้ำเสียงที่เลื่อมใสมากขึ้น
หลวงพ่อพยักหน้าและยิ้มน้อย ๆ พลางพิศมองสองแม่ลูกอยู่นานก่อนเอ่ย “จิ๊ดริด...เหมือนที่ใช้เรียกช้างเด็ก ชื่อดีนะ สมตัว แม่หนูนี่เกิดมาเพื่อเป็นแม่แปรก เป็นผู้นำช้างโขลง เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำความสุขและความสบายมาให้กับสมาชิกในโขลง ไม่ต้องห่วงนะ ชีวิตของคุณโยมทุกคนจะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ ...”
คนเป็นแม่ย่อมต้องยิ้มชื่นอย่างที่สุดอยู่แล้วเมื่อได้ยินพรอันวิเศษที่เกี่ยวกับลูก แต่แล้วรอยยิ้มของเธอก็เจื่อนลงเมื่อได้ยินคำพูดต่อไปของหลวงพ่อ
“...แล้วครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในท้ายที่สุดนะ”
วรรณารีใบหน้าซีดเผือด มือทั้งสองข้างที่อุ้มลูกอยู่สั่นเทาขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ส่วนพระท่านได้หันไปสนทนากับยี่สุ่นต่อและไม่ได้พูดอะไรกับวรรณารีอีกจนกระทั่งทั้งสามคนกราบลา
วรรณารีที่เดินอุ้มที่รักตามหลังสายและยี่สุ่นมานั้นยังคงมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร เธอมือสั่นระริกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้
ยี่สุ่นที่พอจะรู้เรื่องราวความเป็นไปของวรรณารีมาบ้างจึงพอจะเข้าใจความคิดของหญิงสาว เธอเอ่ยปลอบเสียงนุ่ม “ครอบครัวพร้อมหน้าต้องเป็นยายสาย แม่วรรณ และหลานจิ๊ดริดแน่ ๆ เลยว่าไหม”
วรรณารีมองและคิดตาม ไม่แน่...อาจจะหมายถึงแบบนั้นได้เหมือนกัน
“ไง...แม่หนู ชอบไหมที่พระท่านทักว่าเราเกิดมาเป็นดาวนำโชคน่ะ” ยี่สุ่นหันไปกระเซ้าเด็กหญิงที่นอนลืมตาแป๋วมองมายังเธอ
“แอะ...แอ...” เด็กหญิงส่งเสียงทักกลับพร้อมกับยิ้มตายิบหยี
“น่าเกลียดน่าชังจริงเชียว มิน่าเธอถึงติดหนึบไม่ยอมห่างแบบนี้” ยี่สุ่นหันมาคุยกับสาย
สายมองค้อน
“ให้ยายขอพรนางฟ้าตัวน้อยเป็นคนแรกดีไหมลูก” ยี่สุ่นหันมาพูดกับเด็กหญิงที่กำลังทำเสียงอืออาอย่างอ่อนโยน “ยายอยากขอพรให้ลูกสาวและครอบครัวกลับมาอยู่บ้านกับยาย หนูช่วยยายได้ไหม”
ที่รักยังคงจ้องยี่สุ่นตาแป๋ว ส่วนสายและวรรณารีต่างเหลียวไปมองยี่สุ่นอย่างเห็นใจ
“อา...อา...” เธอส่งเสียงพร้อมกับยื่นมือน้อยไปจับมือยี่สุ่นเอาไว้แน่น
“ดูสิ ดูแม่หนูทำ” ยี่สุ่นเอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “หนูรู้เรื่องใช่ไหมลูก สมกับเป็นนางฟ้าตัวน้อยจริง ๆ”
ที่รักส่งยิ้มที่เห็นแต่ไรเหงือกมาให้สำหรับคำชมในครั้งนี้
แต่ไม่คิดเลยว่าคำขอของยี่สุ่นในวันนี้จะเป็นจริงขึ้นมาได้ในอีกไม่กี่วันต่อมา
-----
“ครอบครัวลูกสาวฉันกำลังจะมาอยู่ด้วยในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว” ในอีกสามวันให้หลัง ยี่สุ่นได้เดินมาบอกสายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ระบายอยู่เต็มหน้า ทำให้บุคลิกแข็งกระด้างของเธอดูนิ่มนวลขึ้นทันตา
เพราะความที่เป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว มีลูกหนึ่งคนที่ต้องคอยเลี้ยงดู แถมยังต้องดูแลสวนผลไม้นับร้อยไร่ด้วยตัวเอง ประสบการณ์ชีวิตที่มีได้เปลี่ยนบุคลิกเธอจากแม่บ้านธรรมดากลายเป็นผู้หญิงแกร่งและดุ เป็นที่ยำเกรงของผู้คนรอบข้าง
แต่กระนั้นเธอก็ยังมีความเหงาแฝงอยู่เสมอ โดยเฉพาะยามเมื่อลูกสาวแต่งงานออกเรือนไป นาน ๆ ครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยมสักที
แต่พอมาวันนี้ได้ทราบว่าลูกสาวจะพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ด้วย เรื่องน่ายินดีแบบนี้ย่อมสร้างความดีใจให้กับยี่สุ่นอย่างที่สุด
“ลูกเขยฉันไม่ลงรอยกับพี่น้องเขา ตั้งแต่พ่อแม่เขาเสียไปก็มีปัญหากันมาตลอดเรื่องสมบัติบ้าอะไรพวกนั้นแหละ” ยี่สุ่นยังคงเล่าให้ฟังไม่หยุด “ทางฝั่งพ่อแม่ก็ไม่ทำพินัยกรรมอะไรไว้ พี่ชายเลยอาศัยความหัวหมอโยกย้ายทรัพย์สินทั้งหมดมาเป็นของตัวรวมถึงที่ดินของบ้านที่อยู่ตอนนี้ด้วย ลูกเขยฉันตั้งท่าจะฟ้องแต่พอดีเป็นช่วงที่กำลังจะตกงานกันทั้งผัวเมีย ลูกสาวฉันเห็นท่าไม่ดีเลยจะย้ายมาอยู่กับฉัน รอจัดการงานในบริษัทให้เรียบร้อยก่อนก็จะมากันทั้งหมด”
“ก็ดีนะ มาลงหลักปักฐานที่นี่ สวนจะได้มีคนช่วย” สายดีใจไปกับเธอด้วย
“ฉันก็บอกลูกอย่างนั้น ให้สองผัวเมียมารับช่วงต่อ ไม่ต้องไปสนใจทรัพย์สินขี้ปะติ๋วของฝั่งนั้นหรอก เดี๋ยวฉันยกสมบัติของฉันให้เอง”
“ทีนี้ก็จะไม่เหงาแล้วสิ”
ยี่สุ่นผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้มกว้าง ขณะที่ดวงตานั้นมีน้ำเคลือบขึ้นมาจาง ๆ สะท้อนถึงอารมณ์ยินดีและชื่นบานอย่างที่สุดของเจ้าตัว
ยี่สุ่นเหลียวมองที่รักที่กำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของวรรณารีด้วยรอยยิ้มที่ยังคงไม่เลือนหายไปจากหน้า “สงสัยเพราะขอพรจากนางฟ้าน้อย ๆ คนนี้ในครั้งก่อนแน่ ทำให้ยายยี่สุ่นคนนี้สมหวังขึ้นมาได้”
วรรณารีก้มลงมองลูกสาวด้วยแววตาประหลาด
“ยายจะหาชุดสวย ๆ ให้หนูใส่หลาย ๆ ชุดเชียวแม่นางฟ้าของยาย” ยี่สุ่นพูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากบ้านของสายไป
“ป้าคะ หรือยายหนูของเราจะเป็นนางฟ้านำโชคจริง ๆ” วรรณารีถามออกมาอย่างข้องใจ
สายเหลียวมองแบบทั้งฉุนทั้งขัน “เพี้ยนหรือเปล่าแม่วรรณ พระท่านก็พูดอวยพรตามปกติเหมือนที่ทำกับเด็กทุกคน แล้วจะไปจริงจังอะไรกับคำพูดของคนแก่ที่กำลังดีใจมากคนหนึ่ง เธอมานั่งนี่ดีกว่า ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”
เมื่อวรรณารีเขยิบมานั่งใกล้ ๆ สายจึงพูดต่อ “ถ้าฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เธอคิดว่ายังไง”
วรรณารีเลิกคิ้วมองอย่างตกใจ
เทียบกับความตกใจของวรรณารีแล้ว ทางฝั่งยี่สุ่นตกใจยิ่งกว่า เธอมาล้งเล้งกับสายทันทีที่ทราบเรื่อง แต่เมื่อทราบถึงสถานที่ที่สายจะย้ายไปและได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งของสาย เธอจึงไม่คิดคัดค้านในเรื่องนี้อีก ประโยคที่ว่านั้นก็คือสายคิดที่จะสร้างครอบครัวเล็ก ๆ เป็นของเธอเองแล้ว
หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลพีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไปพีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น“สวัสดีครับ”“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไ
“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ววรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วยส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโดเมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียน
“พี่ช้าง จิ๊ดริดผอมลงยัง” ที่รักร้องถามเมื่อเจอหน้าคชาภัทรสะดุดกึกและรีบกวาดตาสำรวจร่างป้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ที่รักในวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแขนกุด ทำให้เห็นแขนอวบขาวอมชมพูอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้ากลมแป้นที่มีจุดเด่นตรงตาเรียวเล็ก แก้มแดงอมชมพูที่แสดงถึงความมีสุขภาพดีของเธอ ปลายนิ้วของเขาคันยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจิ้มแก้มนิ่ม ๆ เล่น แต่เมื่อนึกถึงแรงถีบของเธอที่เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน คชาภัทรจำต้องสกัดความอยากของตัวเองลงอย่างยากเย็น“น้องถามทำไมไม่ตอบ” อลิสราหันมาเอ็ด “ตอบดี ๆ ล่ะ” แล้วก็กำชับเสียงเหี้ยมนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับเผยยิ้มออกมาคชาภัทรถอยห่างจากพี่สาวโดยสัญชาตญาณ เมื่อวานตอนค่ำเขาโดนสมาชิกในบ้านเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ทำอีกเด็ดขาดเด็กชายรุ่นพี่กวาดตาสำรวจร่างป้อมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและจ้องดูพุงที่กลมกว่าทุกวันก็ลอบถอนใจยาว“อืม ดูผอมลงนิดหน่อย” น้ำเสียงดูไม่เต็มปากนักที่รักลูบพุงตัวเองอย่างชอบใจ “วันนี้จิ๊ดริดกินข้าวน้อยกว่าทุกวัน”คชาภัทร
“จิ๊ดริดไม่สบายหรือลูก ทำไมเดินแบบนั้น” วรรณารีร้องถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นที่รักกำลังก้าวขาออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้าในเช้าวันต่อมา กว่าที่เธอจะก้าวเท้าสัมผัสพื้นแต่ละก้าวได้นั้นเล่นเอาคนเป็นแม่ยืนลุ้นจนใจหายใจคว่ำ“หนูไม่เป็นไข้” ที่รักบอกแม่เสียงเบา“ในเมื่อสบายดีแล้วทำไมหนูก้าวช้าแบบนั้น หรือว่าปวดขาปวดข้อตรงไหน”“หนูไม่ปวด”“งั้นก้าวขาเร็ว ๆ สิลูก ค่อย ๆ ย่างแบบนั้นเดี๋ยวเสียจังหวะหัวทิ่มได้นะ”“หนูจะเดินช้า ๆ”“ทำไมล่ะลูก”“จะได้ผอม” ที่รักตอบพร้อมกับค่อย ๆ ย่างเท้าซ้าย“ทำแบบนี้จะผอมได้ยังไง”“แม่ไม่ถามเดี๋ยวหนูอ้วน” ที่รักค่อย ๆ ย่างเท้าขวาต่อวรรณารียืนงงเป็นไก่ตาแตกที่รักซึ่งใช้เวลาสิบนาทีในการก้าวจากห้องนอนไปยังห้องครัวได้สำเร็จ เธอยกมือปาดเหงื่อที่แตกซ่กตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสเป็นที่สุดแตกต่างจากสีหน้าของแม่และยายที่กำลังยืนมองดูเธออยู่แบบลิบลับ“ทำไมหนูเดินช้าล่ะลูก” วรรณารียังคงถามอย่างกังขา“หนูจะได้ไม่หิว”“ทำแบบนี้จะไม่หิวได้ยังไง” สายไม่เข
“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้นนับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจอลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆแม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแ
“ทองแดงโลละสองร้อย ขวดใสโลละแปด กระดาษอ่อนโลห้าบาท กระดาษแข็งโลสามบาท”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ยังพูดไม่ชัดนักเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณหน้าร้านรับซื้อของเก่า เป็นภาพที่ชินตาสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นอย่างดีไม่เพียงแค่ตะโกนบอกราคาเสียงใส ตัวเธอเองก็ไม่อยู่นิ่ง มือคอยขยับยกข้าวของที่มีลูกค้านำมาขาย จับแยกออกเป็นประเภทอย่างชำนาญเพื่อให้สะดวกต่อการชั่งน้ำหนักและคิดราคา แม้ข้าวของจะแลดูสกปรกในสายตาผู้คนทั่วไปแต่เด็กหญิงก็หารังเกียจไม่ ภาพนี้สร้างความรู้สึกเอื้อเอ็นดูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการเป็นอย่างยิ่ง“จิ๊ดริด อย่ายกของหนักนะลูก ให้ลุงหวินกับน้าโหน่งยกแทน” วรรณารีหันมาเตือนลูกสาวเป็นระยะ“จิ๊ดริดยกไหวจ้ะแม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วง” เด็กหญิงพูดตอบกลับไป“ไม่ได้นะลูก กระดูกหนูยังอ่อน ยกของหนักมากกระดูกจะเสียหายได้ แล้วหนูก็จะไม่สูงด้วยนะ”พอได้ยินคำว่าไม่สูง ที่รักรีบวางกองหนังสือที่มัดเรียงกันเป็นตั้งลงทันที ไม่ได้สิเรื่องความสวยความงามต้องมาที่หนึ่งที่รักจากแรกเกิด