เข้าสู่ระบบห้าวันผ่านไป
ร่างสูงใหญ่ของขุนพลหนุ่มแห่งต้าถัง ก้าวลงจากม้าคู่ชีพพร้อมแหงนหน้ามองประตูพระราชวังต้าหมิงกงที่กำลังเปิดรับกองทัพอันยิ่งใหญ่แห่งต้าถังกลับคืนสู่ฉางอาน ดวงตาดำใหญ่มองไปทะลุถึงเขตพระราชฐานชั้นใน เมื่อเห็นทุกอย่างยังอยู่ในสภาพดั่งเดิม “ห้าปีที่ข้าจากไปนำกองทัพออกรบปราบปรามกบฏ พระราชวังแห่งนี้เป็นเช่นไรก็กลับมาก็ยังเหมือนเดิม จะแตกต่างตรงที่มีสีสันและหมู่มวลดอกไม้มากขึ้น ฝ่าบาทยังคงปกครองบัลลังก์ได้อย่างปลอดภัยสินะ ป่านนี้ไม่รู้ว่าเสี่ยวหมิงจะเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนานคงจะเติบโตกลายเป็นหนุ่มใหญ่มากขึ้นเป็นแน่” แม่ทัพจ้าวรำพึงอยู่ภายในใจ ร่างสูงใหญ่เดินอย่างองอาจเข้าไปภายในพระราชวังเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เพื่อกราบทูลรายงาน ในเวลาเช้าเช่นนี้พระองค์คงกำลังออกว่าราชการ ขุนพลหนุ่มเดินไปขึ้นเกี้ยวเพื่อไปพระตำหนักเสวียนเจิ้ง อันเป็นสถานที่ซึ่งองค์จักรพรรดิเสด็จออกว่าราชการทุกวัน ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมองเห็นเจ้าเมืองลั่วหยางกำลังลงจากเกี้ยวพร้อมเดินตรงดิ่งมาที่ตน “ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพจ้าวเดินทางมาถึงฉางอานตั้งแต่เมื่อไร” เจ้าเมื“ที่แท้ท่านพ่อก็วางแผนการเอาไว้ล่วงหน้าจนหมดแล้ว และคาดเดาไว้ล่วงหน้าว่าข้าจะต้องลงมือทำตามแผนที่ท่านวางเอาไว้ทุกประการ... นี่ท่านล่วงรู้ได้ยังไงว่าข้าจะทำเช่นนั้น” รับสั่งถามด้วยความอยากรู้ “ก็ไม่เห็นจะยาก เพราะเจ้าให้ทหารในตำหนักฝ่ายในแอบลอบวางยาพิษจางกงกงในคุกหลวง แสดงว่าเลือกจะใช้ยาพิษกับผู้อื่นที่ไม่ใช่ฝ่าบาทและคนต่อไปที่เจ้าจะลงมือก็คือข้า เพราะถ้าสิ้นเว่ยเฟยหลงแล้วก็ไม่มีใครบงการชีวิตและออกคำสั่งกับเจ้าอีก... ใช่หรือไม่” เสนาบดีเฒ่าพูดแทงใจดำเว่ยฮองเฮาเสียยิ่งนัก ทุกสิ่งที่กล่าวมาล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้นจนฮองเฮาสาวไม่กล้าต่อปากต่อคำบิดาแม้แต่น้อย “ละ... แล้วทะ... ท่านพ่อฟื้นขึ้นมาได้ยังไง ในเมื่อข้าเห็นท่านดื่มยาพิษด้วยตาของข้าเอง” เว่ยฮองเฮารับสั่งถามสุรเสียงเบา “ชาหลงอู่ที่เจ้าอุตส่าห์เทให้ข้ากับมืออย่างนั้นเหรอ... หึ!” เสนาบดีเฒ่าสบถอยู่ในลำคอก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าเป็นเจ้าของยาพิษนั้นย่อมมียาแก้พิษเสมอ พิษนั่นเมื่อดื่มเข้าไปจะมีอาการอย่างหนึ่งที่จับสังเกตได้นั้นก็คือจะเกิดอาการง่วงนอนขึ้นมาทันทีและ
พระตำหนักจินเฟิ่ง “ปัง!” พระหัตถ์เรียวสวยตบลงบนโต๊ะเสวยเสียงดังสนั่น ครั้นเมื่อทรงได้ยินข่าวซึ่งนางกำนัลยวี่เยี่ยนนำความมากราบทูล “เจ้าว่าอะไรนะ! ฝ่าบาททรงแต่งตั้งหญิงผู้นั้นขึ้นเป็นกุ้ยเฟยอย่างเป็นทางการแล้วอย่างนั้นเหรอ!” พระเนตรลุกโชนเต็มไปด้วยความน่าสะพรึง กลัว “ใช่แล้วเพคะฮองเฮา... ฝ่าบาททรงมีประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงบ่าย หลังจากเสร็จจากการออกว่าราชการ นางกำนัลที่อยู่ด้านนอกพระตำหนักส่งข่าวมาบอกว่า เห็นฝ่าบาทเสด็จเข้าไปในพระตำหนักอยู่สักพักและก็เสด็จออกมา หลังจากนั้นก็ทรงกลับพระตำหนักจินหลงและก็มีประกาศแต่งตั้งออกมาเลยเพคะ เห็นบอกว่าก่อนหน้านั้น เคยทรงมีรับสั่งให้จัดแท่นพระบรรทมชั่วคราวให้พระองค์ได้เฝ้าไข้หญิงผู้นั้นด้วย แต่ก็ทรงไม่ได้ประทับบรรทมเพราะเสด็จมาประทับกับพระนางถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนแทน” นางกำนัลยวี่เยี่ยนถวายรายงานละเอียดยิบ “ฮึ่มมม!!!... มันน่าแค้นใจเสียเหลือเกิน พอหมดฤทธิ์ยาฝ่าบาทก็ตรงดิ่งไปที่ตำหนักไป๋เฟิ่งทันที แล้วก็แต่งตั้งหญิงปริศนาผู้นั้นขึ้นเป็นกุ้ยเฟย ให้มันมาคานอำนาจกับข้า! ม
ถ้อยรับสั่งของฮ่องเต้หนุ่มทำให้จางลี่เซียนหยุดชะงัก ไม่คาดคิดว่าพระองค์จะทรงมีความรู้สึกให้กับนางมากมายถึงเพียงนี้ ทว่าบุรุษเดียวที่อยู่ในหัวใจมิใช่พระองค์แต่กลับเป็นแม่ทัพหนุ่มนัยน์ตาโศกอันแสนเศร้าที่อยู่ในหัวใจของนางตลอดเวลาเท่านั้น “หม่อมฉันมิใช่ผู้หญิงของฝ่าบาทและไม่คู่ควรที่จะอยู่ที่นี่แม้แต่น้อย หากอยู่ที่นี่ต่อไปจะต้องเกิดเรื่องราวมากมายมิรู้จบ ทรงปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ หม่อมฉันขอร้อง” ลี่เซียนกราบทูลอ้อนวอน “ไม่! ไม่มีวัน! เจ้าจะต้องอยู่ข้างกายข้า! อยู่กับข้าตลอดไป! เจ้าคือฮองเฮาตัวจริงของข้ามาโดยตลอดและไม่เคยเปลี่ยนไปจากความคิดของข้าแม้แต่น้อย เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่กับข้าเท่านั้น!” รับสั่งสุรเสียงเฉียบขาด “แต่หม่อมฉันไม่อยากอยู่ที่นี่! ทรงได้ยินไหมว่าหม่อมฉันไม่อยากอยู่ที่นี่! ทรงทอดพระเนตรหม่อมฉันสิเพคะ ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ที่นี่ช่างโหดร้ายยิ่งนัก แฝงเร้นไปด้วยสายตาที่ปองร้าย เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ตระกูลจางเกือบสิ้นชื่อทั้งสกุลและหม่อมฉันก็เกือบถูกประหาร แต่ถึงกระนั้นก็โดนทรมานจนเกือบตาย ทรงทอดพระเนตรและล่วงรู้ว่าเป็นยังไง อย่าให้หม่
เจ็ดวันผ่านไปพระตำหนักจินเฟิ่ง (ตำหนักฮองเฮา) พระวรกายเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยความอวบอิ่มของฮองเฮาสาว ขณะที่กำลังสรงน้ำอยู่ภายในสระของพระตำหนักอย่างเพลิดเพลิน พระนางได้รับบทรักอันร้อนแรงจนสำลักความสุขอย่างล้นเหลือครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วนจากพระสวามีตลอดระยะเวลาเจ็ดวันที่ทรงประทับอยู่ในพระตำหนักกับพระนาง ทรงพระเกษมสำราญและมีพระอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เสวียนจงฮ่องเต้ประทับอยู่ด้วย รุ่งเช้าพระสวามีออกว่าราชการ แต่ครั้นเสร็จจากการว่าราชการแล้ว พระองค์เสด็จกลับพระตำหนักจินเฟิ่งเพื่อประทับอยู่กับฮองเฮาโดยไม่เสด็จไปประทับที่ตำหนักของพระสนมคนไหนเลย ทำให้ข้าราชบริพารฝ่ายในตลอดจนพระสนมในระดับต่างๆ พากันแปลกใจกันถ้วนหน้าว่าจู่ๆ เว่ยฮองเฮากลับมาเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ได้อย่างไรในเมื่อแม้แต่พระพักตร์ของพระนางองค์ฮ่องเต้ก็ไม่เคยแม้แต่จะอยากทอดพระเนตร เสียงหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุขดังแว่วออกมาจากพระตำหนักของฮองเฮาสาวอยู่ตลอดเวลา เมื่อนางกำนัลประจำพระองค์เอ่ยกราบทูลบางสิ่งบางอย่างจนทำให้เป็นที่พอพระทัย
พระตำหนักไป๋เฟิ่ง ร่างอรชรอ้อนแอ้นกำลังนอนคว่ำหน้าเผยให้เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าขาวนวลเนียนเป็นยองใยไร้สิ้นไฝฝ้าราคีคาว หรือแม้กระทั่งรอยแผลเป็นจากการถูกแส้เฆี่ยนตีจนเป็นรอยแผลแตกยับไปทั่วทั้งแผ่นหลังและด้านหน้า ด้วยผลของรากทารกสวรรค์ที่ได้ดื่มเข้าไปถึงสองครั้งสองคราในเวลาไล่เลี่ยกัน ประกอบกับนำยานั้นมาบดจนละเอียดพร้อมกับน้ำผึ้งทำให้แผลสมานเข้าหากันอย่างรวดเร็วและเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างน่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก ท่ามกลางการดูแลเอาใจใส่ของลี่อิงพี่เลี้ยงของนางที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดไม่เคยห่างไปไหนแม้แต่น้อย “คุณหนูของบ่าว ตอนนี้แผลหายไปหมดเลยเจ้าค่ะ ไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลือให้เห็นอีกเลย ยาของท่านแม่ทัพจ้าวช่างดีจริงๆ ราวกับว่าเป็นยาเทวดาเลยเจ้าค่ะคุณหนู” ลี่อิงกล่าวพร้อมใช้มือของนางลูบไล้แผ่นหลังเปลือยเปล่านวลเนียนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งยวด “ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า รากทารกสวรรค์ของท่านพี่จะมีสรรพคุณมากกว่าที่เคยได้ยินมาเสียอีก และก็เพิ่งจะล่วงรู้ว่าตัวข้าดื่มยานี้ไปถึงสองครั้งแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงก็ไม่ร
พระตำหนักไป๋เฟิ่ง ร่างระหงของจางลี่เซียนยังคงนอนเหยียดยาวบนแท่นพระบรรทม โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย เวลาผ่านไปเข้าสู่รุ่งอรุณของเช้าวันใหม่แล้ว คำกล่าวของแม่ทัพจ้าวที่ว่ายานี้จะทำให้ผู้ที่ดื่มเข้าไปฟื้นขึ้นมาภายในสองถึงสี่ชั่วยาม แต่ทว่าจางลี่เซียนหาเป็นเช่นนั้นนางยังคงหมดสติมิมีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย เดือดร้อนถึงลี่อิงสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่คอยเฝ้าคุณหนูของนางอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่เห็นเป็นไปตามคำกล่าวของแม่ทัพจ้าว ลี่อิงจึงดั้นด้นออกจากพระตำหนักไป๋เฟิ่งเพื่อติดตามแม่ทัพจ้าวให้เข้ามาดูอาการคุณหนูของนางอย่างเร่งด่วน “ทางนี้เจ้าค่ะ! ค่อยๆ เดินตามบ่าวมานะเจ้าคะ มาทางนี้” ลี่อิงเดินนำหน้าร่างสูงใหญ่ของจ้าวเทียนอี้จนทะลุมาถึงด้านหลังของตำหนัก “เจ้าแน่ใจแล้วนะลี่อิงว่าพาข้ามาทางนี้จะไม่มีผู้ใดเห็นแน่นอน” เทียนอี้เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณพระตำหนักอีกครั้ง “ช่วงนี้ทหารยามกำลังเปลี่ยนเวรเจ้าค่ะ ยังไม่เข้ามาประจำจุดเดินไปอีกหน่อยก็จะถึงหลังตำหนักไป๋เฟิ่งแล้ว พระตำหนักด้านในจะมีแต่คนขอ







