"ทำห่อหมกครับป้า เอาไว้ผมจะเอาไปขายนะครับ" สิงห์ตะโกนตอบกลับไป
"เออ เอาสิ กลิ่นหอมแบบนี้น่าจะอร่อยทีเดียว เสร็จแล้วเอามาให้ป้าลองสักห่อนะ!" เสียงป้าชื่นตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี
คำพูดนั้นทำให้สิงห์ใจชื้นขึ้นมาอีกเป็นกอง เขามองลูกสาวตัวน้อยที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ข้างเตาถ่านราวกับว่าห่อหมกเป็นสมบัติล้ำค่า ไม่นานนักห่อหมกทั้งหมดก็สุกได้ที่พอดี
ปลากริมใช้ผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ จับฝาซึ้งที่ร้อนระอุออกอย่างระมัดระวัง ไอความร้อนที่หอมกรุ่นพวยพุ่งขึ้นมาปะทะใบหน้า เนื้อห่อหมกในกระทงใบตองดูนุ่มฟู หัวกะทิที่หยอดไว้แตกมันสวยงามน่ากินเป็นที่สุด
สมองของเชฟสาวในร่างเด็กเริ่มทำงานถึงราคาขาย (ปลาช่อนตัวใหญ่มาก ได้เนื้อปลาเยอะ เราทำออกมาได้ทั้งหมด 15 กระทงพอดี...ตั้งราคาขายห่อละ 50 สตางค์ก็แล้วกัน เพราะเราใส่เนื้อปลาเยอะไม่ได้มีแต่แป้งกับผักเหมือนเจ้าอื่น)
เธอคิดในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปพูดกับพ่อ
"พ่อจ๋า เราเก็บไว้กินกันสี่กระทงนะจ๊ะ คนละกระทงเลย ส่วนที่เหลืออีกสิบเอ็ดกระทง เราเอาไปขายกัน"
สิงห์พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นลูกมือของลูกสาวไปแล้ว แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดีอย่างน่าประหลาด
ก่อนจะรับฟังลูกสาวต่อ "พ่อจ๋า เอาห่อหมกกระทงนี้ไปให้ป้าชื่นก่อนเลยจ้ะ กระทงแรกของร้านเราเลยนะ เป็นการประเดิมเอาฤกษ์เอาชัย" ปลากริมบรรจงเลือกห่อหมกที่ดูสวยที่สุดส่งให้พ่อด้วยรอยยิ้มกว้าง
สิงห์รับกระทงห่อหมกที่ยังร้อนกรุ่นมาถือไว้ในมือ ความรู้สึกภาคภูมิใจแล่นปราดเข้ามาในหัวใจ ไม่นานชายหนุ่มที่เดินหายไปยังร้านป้าชื่นก็เดินนำเงินเหรียญห้าสิบสตางค์แรกที่ได้จากการขายกลับมาให้ลูกสาว ดวงตาของสองพ่อลูกสบกันอย่างมีความหมาย...นี่คือรายได้แรกจากหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเขา
หลังจากจัดการเรื่องธุรกิจเล็ก ๆ เรียบร้อยแล้ว ปลากริมก็หันมาจัดการเรื่องปากท้องของคนในครอบครัว เธอเหลือบไปเห็นไข่ไก่ที่แม่ตั้งใจจะต้มให้เธอกับน้องแบ่งกันยังคงวางอยู่ในตะกร้า
จากนั้นเด็กหญิงก็เดินไปที่เตาถ่านที่ยังร้อนอยู่ จัดการต้มไข่ที่เหลืออยู่หนึ่งฟองนั้นจนสุก พอไข่เย็นลงเธอก็จัดการปอกเปลือกอย่างบรรจงแล้วยื่นส่งให้น้องชายที่นั่งรอตาแป๋วอยู่
"ปั้นขลิบกินนะ พี่กินห่อหมก" เธอพูดพลางลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดู
ปั้นขลิบรับไข่ต้มมาถือไว้ในมือเล็กแล้วฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ เหตุการณ์ทุกอย่างครอบครัวผ่านไปจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด เย็นวันนั้น...บนแคร่ไม้ไผ่เก่าหน้าบ้านมีสำรับกับข้าวง่าย ๆ ที่ดูพิเศษกว่าทุกวัน ข้าวสวยร้อน ๆ กับห่อหมกปลาช่อนฝีมือเชฟปลากริมวางอยู่ตรงหน้าทุกคนในครอบครัว
มันไม่ใช่แค่อาหารมื้อค่ำ...แต่มันคือรสชาติของความหวังและจุดเริ่มต้นใหม่ของครอบครัว ค่ายมวยสิงหราชที่กำลังจะกลับมาผงาดอีกครั้ง
ซึ่งหลังจากบัวกลับมาจากขายขนมที่ยังเหลืออยู่นิดหน่อยก็ได้แต่มองกับข้าวอย่างประหลาดใจ กระนั้นเธอก็คิดว่าควรให้ทุกคนกินให้อิ่มก่อนค่อยถาม
เมื่อมื้ออาหารแห่งความหวังผ่านพ้นไป บัวที่เก็บสำรับเรียบร้อยแล้วจึงเดินมานั่งเคียงข้างลูกสาวตัวน้อย
"ปลากริม...ลูกไปเรียนทำห่อหมกเก่งอย่างนี้มาจากไหนกันจ๊ะ แม่ไม่เคยรู้เลยว่าลูกทำกับข้าวเป็นด้วย" เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ซึ่งสิงห์ที่นั่งอยู่ด้วยก็รู้สึกประหลาดใจในคำถามของเมียรัก (ไม่ใช่ว่าปลากริมบอกว่าแม่เป็นคนสอนหรอกหรือ) เขาคิดก่อนจะนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ ข้างลูกชายที่กำลังนั่งมองคนในครอบครัวตาแป๋วสลับกันไปมา
ปลากริมนิ่งไปอึดใจหนึ่ง เธอรู้ว่าคำถามนี้ต้องมาถึงและเธอก็ได้เตรียมคำตอบที่น่าจะสมเหตุสมผลที่สุดสำหรับคนในยุคนี้ไว้ในใจแล้ว เด็กหญิงสูดหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะเล่าด้วยน้ำเสียงใส ๆ แต่จริงจังที่ทำให้คนเป็นพ่อแม่ยกมือทาบอกด้วยความคาดไม่ถึงระคนตกใจ
"คืออย่างนี้จ้ะ พ่อจ๋า แม่จ๋า ตอนที่หนูสลบไปหลังจากตกน้ำ...มีคุณยายใจดีคนหนึ่ง ท่านใส่ชุดสวยมากเหมือนคนสมัยก่อนเลย ท่านจูงมือหนูพาไปเที่ยวในที่ที่สวยเหลือเกิน และที่แห่งนั้นก็มีแต่ดอกไม้กับขนมหลากหลายแบบเต็มไปหมดเลยจ้ะ จากนั้นท่านก็ถ่ายทอดเรื่องการทำของหวานของคาวให้กับหนู ท่านสอนทุกอย่างเลยนะจ๊ะ...อีกทั้งยังกำชับหนูอีกว่าให้เอาความรู้เหล่านี้มาช่วยครอบครัวของเราให้ได้"
สิ้นคำพูดของปลากริมทั้งสิงห์และบัวต่างหันมาสบตากันด้วยความตกตะลึง แววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อระคนขนลุกซู่
"คุณ...คุณยายคนนั้น...ท่านชื่ออะไรลูก ท่านบอกไหม" คนเป็นแม่ถามเสียงสั่นน้ำตาจวนเจียนจะหยด หัวใจของหล่อนเต้นแรง
ปลากริมแสร้งทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง "ท่านไม่ได้บอกชื่อจ้ะแต่ท่านใจดีมาก ๆ เลย"
น้ำตาของแม่บัวเริ่มไหลรินออกมา "ต้องใช่แน่ ๆ...ต้องเป็นคุณยายกระถินของลูกแน่ ๆ...ท่านคงเป็นห่วงพวกเรา" เธอพึมพำกับตัวเอง
"ท่านเป็นแม่ของแม่เองลูก...ท่านจากแม่ไปตั้งแต่แม่ยังอายุแค่สิบห้า..."
ธารามลในร่างปลากริมได้แต่พยักหน้าเออออไปตามน้ำ เพราะในนิยายไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่นี่กลับกลายเป็นข้ออ้างชั้นดีที่ทำให้ความสามารถเกินวัยของเธอดูมีที่มาที่ไปอย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากบรรยากาศซาบซึ้งระคนลี้ลับผ่านไป ปลากริมก็เปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้แม่จมอยู่กับความเศร้านาน
"พ่อจ๋า แม่จ๋า เรามานับเงินกันเถอะจ้ะ!"
เด็กหญิงเทเหรียญทั้งหมดที่ได้จากการขายห่อหมกสิบเอ็ดกระทงลงบนแคร่ไม้ มีทั้งเหรียญบาท เหรียญสลึง และเหรียญห้าสิบสตางค์ผสมปนเป เธอนับรวมกันได้ห้าบาทห้าสิบสตางค์
บัวมองกองเงินเล็ก ๆ นั้นแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาอีกรอบ แต่ครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ
"เงินนี่...มันมากกว่าค่าแรงที่แม่เดินหาบขนมขายทั้งวันเสียอีกนะลูก"
ปลากริมยิ้มกว้าง เธอรวบกองเงินนั้นไว้ในอุ้งมือเล็กแล้วยื่นให้แม่ "ถ้าอย่างนั้นเงินจำนวนนี้เราเอามาเป็นทุนก้อนแรกในการทำขนมหวานของเราขายกันเองดีไหมจ๊ะแม่ เราไม่ต้องไปรับของใครมาขายแล้ว!"
ความคิดของเด็กหญิงทำให้สองสามีภรรยามองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับลูกสาวอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
"แล้ว...เราจะทำขนมอะไรขายกันดีล่ะลูก" สิงห์ถามขึ้น
ปลากริมชี้ไปยังเครือกล้วยน้ำว้าที่พ่อเพิ่งตัดมาจากดงกล้วยข้างบ้าน ซึ่งเป็นผลงานของแม่นางตานีที่เนรมิตให้เธอตามที่ผีสาวกล่าว
"เราจะทำกล้วยบวชชีกันจ้ะพ่อ! แต่...กล้วยบวชชีของปลากริมจะธรรมดาได้ยังไง!" เด็กหญิงพูดพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย ธารามลคนนี้จะใช้พิมพ์กดให้กล้วยเป็นรูปดอกไม้สวย ๆ เลยคอยดู! เธอคิดก่อนจะพูดออกมาอย่างมั่นใจ
"หนูจะทำกล้วยให้เป็นรูปดอกไม้จ้ะ รับรองไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน" ความคิดสร้างสรรค์ที่ดูเรียบง่ายแต่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในยุคนี้ทำให้พ่อกับแม่ได้แต่นึกทึ่งในตัวของลูกสาว
ดูเหมือนว่าคุณยายกระถินในความฝันคงจะมอบของขวัญล้ำค่าที่สุดมาให้ครอบครัวของพวกตนเพื่อที่จะได้พ้นจากความยากลำบาก
หลายปีต่อมา...ในคืนวันศุกร์ที่แสนคึกคักใจกลางย่านพระอาทิตย์...แสงไฟนีออนสีน้ำเงินนวลสาดส่องลงบนป้ายชื่อร้านที่ออกแบบอย่างมีรสนิยม... "พระอาทิตย์ บลูส์" (Phra Athit Blues) นี่คือไพรเวทแจ๊สคลับที่หรูหราและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในพระนคร และเจ้าของคลับแห่งนี้ก็คือสองหนุ่มโสดที่เนื้อหอมมากที่สุด...ข้าวเหนียวและปั้นขลิบ บรรยากาศภายในคลับอบอวลไปด้วยเสียงดนตรีแจ๊สสด ๆ ที่บรรเลงอย่างนุ่มนวลกลิ่นหอมของซิการ์ชั้นดีและเสียงพูดคุยของเหล่าแขกผู้มีระดับ...ทั้งนักธุรกิจ ทูตานุทูตและศิลปินชื่อดัง ข้าวเหนียวในชุดสูทสั่งตัดอย่างดีกำลังยืนพูดคุยกับกลุ่มนักธุรกิจชาวต่างชาติด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว...ส่วนปั้นขลิบก็กำลังโปรยเสน่ห์ให้กับกลุ่มคุณหนูไฮโซที่โต๊ะข้างเวที...ซึ่งทั้งสองคนได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ ที่โต๊ะVIP ที่ดี
หลังจากที่สองสหายคู่ซี้อย่างข้าวเหนียวและปั้นขลิบ...ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋...ได้เดินทางกลับมาถึงพระนครหลังจากไปทำหน้าที่อาสา พวกเขาก็ได้รับวันหยุดพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเมื่อสองหนุ่มโสด...โปรไฟล์ดี...ผู้มีพลังงานล้นเหลือได้กลับคืนสู่เมืองหลวง...ค่ำคืนแห่งความสนุกสนานก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง... และเบื้องหลังรอยยิ้มที่มีเสน่ห์นั้น...พวกเขาก็บังเกิดความคิดที่จะสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมาบ้างนอกจากจะช่วยดูแลกิจการของครอบครัว ดังนั้นในเย็นวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ที่เลานจ์หรูของร้านเลอ บัว เบลอ หลังจากที่ช่วยปลากริมดูแลความเรียบร้อยของร้านแล้ว ปั้นขลิบก็ได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ "พี่ข้าวเหนียว...พอผมเห็นพี่ปลากริ
หลังจากเรื่องราวภายในครอบครัวผ่านพ้นมาได้ด้วยดีครอบครัวใหญ่แห่งบ้านสิงหราชก็ได้เติบโตและงอกงามขึ้นอย่างมีความสุข มะตูมและนีรนาถมีทายาทชายคนแรกเป็นโซ่ทองคล้องใจ ส่วนปลากริมและเทวากรก็มีลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าชัง... ค่ำคืนหนึ่งบนโต๊ะอาหารที่แสนอบอุ่นและคึกคักของบ้านสิงหราช เพชรในยศร้อยตรีกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงวันหยุด เขาได้เห็นภาพความสุขของทุกคนในครอบครัว...และมันก็ทำให้เขาตัดสินใจในเรื่องสำคัญในชีวิตออกมาได้ คืนเดียวกันนั้นหลังจากที่สมาชิกภายในครอบครัวได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจเข้าไปคุยกับสิงห์และบัวผู้ที่เปรียบเหมือนพ่อแม่เป็นการส่วนตัว... "พ่อครูครับ...แม่บัวครับ..." เขาเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงความหนักแน่น "ผมได้อาสาสมัครไปประจ
ท่ามกลางการเติบโตของทุกคน กาลเวลาเองก็ได้เปลี่ยนเด็กชายขี้อายที่ชื่อดิน...ให้กลายเป็นชายหนุ่มผู้สุขุมและน่าเกรงขามในวงการมวยไทย บัดนี้เขาคือโปรโมเตอร์ดิน สิงหราช ผู้ก่อตั้งสิงหราชโปรโมชั่นและเป็นหนึ่งในโปรโมเตอร์หนุ่มที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของเวทีราชดำเนิน สำนักงานของเขาที่เช่าไว้มุมหนึ่งของสนามมวยไม่ได้ใหญ่โตหรูหรา แต่มันคือศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว ผนังห้องเต็มไปด้วยโปสเตอร์รายการมวยที่เขาเคยจัด รูปถ่ายขาวดำของนักมวยในค่ายที่คว้าชัยชนะและกระดานดำขนาดใหญ่ที่ขีดเขียนตารางการซ้อมและรายชื่อคู่มวยไว้จนเต็ม เสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานของเขาดังขึ้นแทบจะตลอดทั้งวัน..."ครับพี่...เรื่องน้ำหนักของเจ้าสมิงขาวไม่น่ามีปัญหาครับ...เดี๋ยวผมจะคุมด้วยตัวเอง" เขาพูดสายหนึ่ง ก่อนจะวางหูแล้วรับอีกสาย&nbs
หนึ่งปีผ่านไป...หลังจากที่ทุกคนได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านสิงหราช... บ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์วันหนึ่ง บรรยากาศในบ้านดูจะคึกคักและมีพิรุธมากเป็นพิเศษ...โดยที่ทุกคนในครอบครัวสิงหราชต่างก็รู้ดีว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น...ยกเว้นเพียงคนเดียว...คือปลากริมที่หารู้เรื่องรู้ราวใด ๆ เทวากรที่ตอนนี้กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มเต็มตัว กำลังยืนอยู่หน้ากระจกด้วยท่าทีที่ประหม่ามากที่สุดในชีวิต ในมือของเขาคือกล่องกำมะหยี่ขนาดเล็กที่บรรจุแหวนหมั้นวงงาม...ซึ่งเขาได้ซักซ้อมแผนการของตนเองกับเหล่าพี่ชายของหญิงสาวในดวงใจเป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าคนทั้งคู่จะเป็นคู่หมายกัน...ทว่าสำหรับเทวากรแล้วเขาอยากจะทำให้ทุกช่วงเวลาของเขากับปลากริมเต็มไปด้วยความหมาย "ผมจะรอจังหวะที่น้องซ้อ
สามปีผ่านไป... กาลเวลาได้นำพาเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวแห่งบ้านสิงหราชและบ้านเมธาวินเติบโตขึ้นสู่เส้นทางแห่งเกียรติยศและความสำเร็จ มะตูมกับเพชรหลังจากเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย...พวกเขาก็ได้บรรจุเข้ารับราชการเป็นนายตำรวจและนายทหารหนุ่มอนาคตไกล ด้วยผลงานการชกมวยที่สร้างชื่อให้กับประเทศชาติในนามทีมชาติสมัครเล่น จึงทำให้พวกเขาได้รับราชการอยู่ในเขตพระนครทำให้คนทั้งคู่สามารถกลับมาดูแลค่ายมวยและครอบครัวได้เสมอ ส่วนปลากริม...หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัย เธอก็ได้เข้ามาดูแลและพัฒนาสูตรอาหารและขนมให้กับกิจการทั้งหมดของครอบครัว ทั้งร้านเลอ บัว เบลอและโรงแรมเมธาวินแกรนด์...ในฐานะคู่หมายอย่างเป็นทางการของเทวากร...