เสี่ยวจู้ หมูเทพที่ยังไม่ฟักออกจากไข่ ถูกสร้างขึ้นจากพลังเทพขององค์หญิงแห่งวังมังกรเพื่อช่วยนางหาสมุนไพรและปรุงยาเทพ วันหนึ่งขณะที่องค์หญิงออกไปหาสมุนไพรในป่าสวรรค์ชั้นใน หลานชายจอมซนเห็นไข่กลม ๆ ก็นึกว่าเป็นของเล่นอาหญิงที่น่าจะสร้างมาให้เขา เขาจึงนำไข่ไปเล่นที่ลานกลางวังมังกร เล่นไปเล่นมาสักพัก องค์ชายน้อยก็เบื่อเลยเขวี้ยงไข่ทิ้งไปโดยไม่สนทิศทาง ทำให้ไข่บินออกไปจากวังแล้วชนเข้ากับบ่อน้ำซึ่งเป็นทางลงไปสู่โลกมนุษย์จนเปลือกไข่แตกออก เสี่ยวจู้ที่อยู่ในไข่ตกใจที่ตนเองฟักออกมาก่อนเวลาแถมยังกำลังลอยละลิ่วลงมาจากฟากฟ้าพร้อมเปลือกไข่อีกส่วนหนึ่ง หมูน้อยตกใจมากที่ตนเองกำลังลงไปที่โลกมนุษย์และหวาดกลัวว่าตนเองจะกลับสวรรค์ไม่ได้ กระทั่งเสี่ยวจู้ตกลงไปยังป่าสัตว์อสูรแห่งหนึ่งในโลกมนุษย์ เสี่ยวจู้จึงคิดได้ว่าจะต้องหาคนมาทำพันธะสัญญาจนกว่าคนผู้นั้นจะเป็นเทพเซียน ตนเองจึงจะกลับไปยังสวรรค์ได้ ภารกิจตามหาและช่วยเหลือนายคนใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น
더 보기สำนักพรตหนานหนิง
แคว้นหนานมีสำนักฝึกฝนพลังเพื่อการเป็นเซียนมากมาย หนึ่งในนั้นคือสำนักพรตหนานหนิงที่มีชื่อเสียงในด้านสัตว์อสูร การปรุงยาและวิชากระบี่ มีนักพรตกวงข่ายเป็นเจ้าสำนักที่มีขั้นพลังไปถึงครึ่งเซียนแล้ว งานส่วนใหญ่ในสำนักจึงมอบหมายให้ศิษย์ทั้งสามดูแลแทน ตำหนักสัตว์อสูรมีผางเซิงดูแล ตำหนักปรุงยามีเยี่ยหว่านซิงเป็นเจ้าตำหนัก และตำหนักกระบี่มีจุนซีเหวินเป็นเจ้าตำหนัก ทั้งสามคนเป็นเด็กกำพร้าที่กวงข่ายรับมาเลี้ยงดูจนกระทั่งมีพลังถึงขั้นสวรรค์และคอยดูแลงานแทนกวงข่ายมาตลอดหลายปีศิษย์ในสำนักเป็นลูกหลานขุนนางในเมืองหลวงแคว้นหนานหลายคน เด็กจากตระกูลเฟินก็เป็นหนึ่งในนั้น เฟินเสี่ยวหยางและเฟินเสี่ยวเซี่ยเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ส่วนเจิ้งหลินเคยเป็นพี่สาวของทั้งสองคน แต่นางออกจากตระกูลเฟินเมื่อสองปีก่อนแล้วกลับมาใช้แซ่เจิ้งตามท่านตาซึ่งเป็นถึงเจิ้งกั๋วกงเจิ้งหลินในอดีตเคยอยู่ในตระกูลเฟินอย่างยากลำบากหลังจากเกิดมาแล้วทำให้แม่ของนางตายไป พ่อของนางเฟินหลางจึงรังเกียจนางที่ทำให้คนที่เขารักตาย เฟินหลางยังแต่งงานใหม่ตามคำสั่งแม่ของเขาจนมีเฟินเสี่ยวหยางและเฟินเสี่ยวเซี่ยออกมาในเวลาห่างกันเพียงหนึ่งปีหลังจากเจิ้งหลินเกิดเท่านั้นชีวิตของเฟินหลินในตระกูลเฟินถูกฮูหยินคนใหม่และลูก ๆ รังแกมาจนกระทั่งอายุ 7 ขวบ หากว่าเจิ้งกั๋วกงไม่ส่งคนแอบเข้าไปตรวจสอบหลานสาวคนเดียวของเขา ป่านนี้เฟินหลินคงตายไปแล้ว เจิ้งกั๋วกงโกรธมากจนเข้าไปขอพระราชโองการจากฮ่องเต้เพื่อให้หลานสาวตัดขาดจากตระกูลเฟินแล้วกลับมาใช้แซ่เจิ้งและเป็นทายาทเพียงคนเดียวของจวนเจิ้งกั๋วกงเจิ้งกั๋วกงดูแลหลานสาวดุจไข่มุกบนฝ่ามือ เขายังหาอาจารย์มาสอนหลานสาวอย่างดีจนสามารถสอบเข้าเรียนที่สำนักพรตหนานหนิง แต่ไม่นึกเลยว่าสองพี่น้องตระกูลเฟินเองก็ถูกรับเข้าเรียนมาเช่นเดียวกัน ทำให้เจิ้งหลินยังคงถูกทั้งสองรวมหัวกับเพื่อนรังแกอยู่บ่อย ๆ แต่เจิ้งหลินที่ได้รับความรักจากเจิ้งกั๋วกงก็ยังคงมีจิตใจเข้มแข็งและไม่ยอมให้พวกเขารังแกได้ง่าย ๆ เจิ้งหลินยังมีเพื่อนสนิทในสำนักที่ไม่ชอบสองพี่น้องคู่นี้ซึ่งมักจะวางอำนาจบาตรใหญ่ในสำนักตั้งแต่เข้ามาช่วยเหลืออยู่ไม่น้อย กลุ่มของทั้งสองคนจึงมักปะทะคารมกันอยู่บ่อย ๆเฟินเสี่ยวหยางเข้าเรียนในตำหนักกระบี่ ส่วนเฟินเสี่ยวเซี่ยนั้นเรียนในตำหนักปรุงยา ทั้งสองมีพรสวรรค์ปานกลางในการฝึกฝนเท่านั้น แตกต่างจากเจิ้งหลินที่มีพรสวรรค์อันสูงส่งไม่ต่างจากเจิ้งกั๋วกงเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้เจิ้งหลินจะอยากเรียนการปรุงยา แต่พอรู้ว่ามีเฟินเสี่ยวเซี่ยเรียนอยู่ นางจึงเลือกที่จะเรียนในตำหนักสัตว์อสูรแทน และอีกสามวันข้างหน้าก็จะถึงกำหนดการให้ศิษย์ในสำนักเข้าป่าสัตว์อสูรที่อยู่ทางเหนือของสำนัก ซึ่งการตามหาสัตว์อสูรประจำตัวนั้นทุกตำหนักจำเป็นจะต้องออกตามหาด้วยตนเอง และทุกคนใช่ว่าจะได้รับสัตว์อสูรประจำตัวได้ง่าย ๆ การทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรนั้นต้องได้รับความยินยอมจากสัตว์อสูรตัวนั้นเสียก่อน นอกจากจะมีคนใช้กำลังบังคับให้สัตว์อสูรมาเป็นของตน แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่วิธีที่ดีในการมีสัตว์อสูรประจำตัว ศิษย์ทุกคนจึงต้องพยายามใช้วิธีการตามที่ได้เรียนรู้มาแทนการบีบบังคับเพื่อให้สัตว์อสูรยอมรับตนเองก่อนวันออกเดินทางหนึ่งวัน กลุ่มของเฟินเสี่ยวหยางกับเฟินเสี่ยวเซี่ยเดินไปพบกลุ่มของเจิ้งหลินที่กำลังจะกลับตำหนักสัตว์อสูรหลังกินอาหารมื้อเที่ยง“เฮอะ นึกว่าใคร ที่แท้ก็พวกสวะนี่เอง พรุ่งนี้ข้าคิดว่ากลุ่มขยะคงไม่มีใครได้รับสัตว์อสูรดี ๆ สักตัวหรอก” เฟินเสี่ยวหยางกล่าวเสียงดัง
“เฮ้อ เจ้าก็พูดเกินไปคุณชายเฟิน ถึงขยะกลุ่มนี้จะฝีมืออ่อนด้อย แต่อย่างน้อยน่าจะได้รับกระต่ายอสูรมาสักตัวสองตัวนะ ฮ่า ฮ่า” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้น
“เสียงหมูหมากาไก่ที่ไหนน่ะชิงเอ๋อ? น่ารำคาญจริง ๆ” เจิ้งหลินถามหานชิงเพื่อนตน
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันหลินเอ๋อ แทนที่จะเอาเวลามาพูดเรื่องน่ารำคาญเช่นนี้ไปเตรียมตัวเดินทาง กลับมาเห่าหอนแถมยังขวางทางคนเดินอีก”
“กรี๊ด!! นังตัวดี แกว่าใครเป็นหมา อยากตายนักใช่หรือไม่” เฟินเสี่ยวเซี่ยกรีดร้องออกมาอย่างโมโหที่ถูกด่าว่าเป็นหมา
“หุบปาก!!! แล้วก็หลีกทางด้วย หมาดีไม่ขวางทางคน” เจิ้งหลินตวาดกลับ
“ข้าจะฆ่าเจ้านังสวะ!” เฟินเสี่ยวเซี่ยรวบรวมพลังปราณที่ฝ่ามือเตรียมโจมตี
“หยุดนะ!!! พวกเจ้ากำลังทำอะไร?” อาจารย์หวังที่ผ่านมาเห็นกลุ่มเด็กตรงหน้าก็รีบเข้ามาหยุดการต่อสู้ทันที
“ฮือ...ท่านอาจารย์ นังเจิ้งหลินกับพวก มันหาว่าพวกข้าเป็นหมาเจ้าค่ะ” เฟินเสี่ยวเซี่ยรีบเข้าไปฟ้องอาจารย์ประจำตำหนักปรุงยาที่ตนเรียนอยู่
“นี่เรื่องจริงหรือเจิ้งหลิน?” อาจารย์หวังหันไปถาม
“จริงเจ้าค่ะ แต่พวกเขาเป็นคนด่าว่าพวกข้าเป็นสวะกับขยะก่อนเจ้าค่ะ”
“ฮึ่ม! เฟินเสี่ยวเซี่ย เจ้าไปด่าเพื่อนร่วมสำนักเช่นนี้ได้อย่างไร ตำหนักเราไม่เคยสอนให้พวกเจ้ามีนิสัยเหยียดหยามเพื่อนร่วมสำนักมาก่อน เจ้ากับเพื่อนกลับไปคุกเข่าที่หน้าตำหนักสามชั่วยามเสีย รวมทั้งพวกเจ้าด้วยเฟินเสี่ยวหยาง ข้ารู้นะว่าพวกเจ้าพี่น้องมักจะก่อเรื่องเช่นนี้อยู่เป็นประจำ ข้าจะรายงานให้เจ้าตำหนักกระบี่ทราบ”
เฟินเสี่ยวเซี่ยที่บีบน้ำตาให้อาจารย์แต่ไม่ได้ผลก็ยิ่งโกรธแค้นกลุ่มของเจิ้งหลินมากขึ้นทุกที นางไม่รู้ว่าเหตุใดอาจารย์ในสำนักต่างเข้าข้างกลุ่มของเจิ้งหลินมาโดยตลอด ไม่ว่าพวกนางจะมีการปะทะคารมกันกี่ครั้ง ต้องเป็นกลุ่มของนางกับพี่ชายที่ถูกลงโทษอยู่แทบทุกครั้ง มีเพียงครั้งที่มีการลงไม้ลงมือเท่านั้นที่ทุกคนถูกลงโทษทั้งหมด“ยังไม่รีบกลับตำหนักของพวกเจ้าไปอีก! ข้าต้องขอโทษแทนเด็กพวกนั้นด้วยนะเจิ้งหลิน ครอบครัวพวกเขาน่าจะตามใจจนเสียคน จึงได้ทำเช่นนี้”
อาจารย์หวังรู้ดีว่าเจิ้งหลินเป็นถึงทายาทคนเดียวของจวนกั๋วกง พวกเขาเหล่าอาจารย์ได้รับการไหว้วานจากคนของเจิ้งกั๋วกงให้ดูแลเจิ้งหลินเป็นอย่างดีด้วยเงินจำนวนมาก ทำให้ท่านเจ้าตำหนักทั้งสามสามารถนำเงินเหล่านั้นมาปรับปรุงสำนักได้ไม่น้อย อาจารย์ทุกคนจึงถูกกำชับให้คอยดูแลนางอย่างลับ ๆ มาโดยตลอดตั้งแต่เจิ้งหลินเริ่มเข้าเรียน“ท่านอาจารย์ไม่ต้องขอโทษแทนคนพวกนั้นหรอกเจ้าค่ะ ข้ารู้นิสัยของพวกเขาดี”
“เช่นนั้นก็ดี พวกเจ้ารีบกลับไปเตรียมตัวเถอะ พรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางไปยังป่าอสูรกันแต่เช้า เราจะอยู่ที่ป่าอสูรเป็นเวลาสามวัน พวกเจ้าเตรียมตัวให้ดี”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เป็นห่วง พวกข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
เจิ้งหลินกับเพื่อนคำนับลาอาจารย์หวังแล้วเดินจากไป กลุ่มของนางมีกันอยู่เพียงแค่ 4 คนเท่านั้น เพื่อนอีกสามคนของนางคือหานชิง อู๋อิง และเซียวเหมย ทั้งสี่คนเรียนในตำหนักอสูรและมีนิสัยร่าเริงเหมือนกัน พวกนางจึงเข้ากันได้ดีจนกลายเพื่อนสนิทกันในเวลาต่อมา ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ในตำหนักส่วนมากก็จะแบ่งแยกกันออกเป็นหลายกลุ่ม พวกเขามีทั้งกลุ่มชายหญิงแยกย่อยออกไปอีก 8 กลุ่ม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่คนละกลุ่ม แต่ก็สามัคคีกันมากในห้องเรียนสัตว์อสูรเช้าวันต่อมา
อาจารย์แต่ละตำหนักทั้ง 9 คนต่างเรียกศิษย์ที่ยังไม่มีสัตว์อสูรมารวมตัวกันที่ลานหน้าสำนัก โดยมีเจ้าตำหนักทั้งสามกล่าวให้โอวาทก่อนจะปล่อยศิษย์นับร้อยคนออกเดินทางไปพร้อมอาจารย์ทั้ง 9 คนอาจารย์ประจำตำหนักสัตว์อสูรที่ไปคราวนี้มีอาจารย์อ้าย อาจารย์ตู้และอาจารย์โยว คอยควบคุมศิษย์จากตำหนักสัตว์อสูรที่ออกเดินทางในครั้งนี้ทั้ง 30 คน กลุ่มของเจิ้งหลินแน่นอนว่าพวกนางเกาะกลุ่มกันใกล้ ๆ ไม่ห่าง เพราะหลังจากที่เข้าสู่เขตป่าสัตว์อสูรแล้ว ศิษย์ทุกคนจะต้องแยกออกเป็นกลุ่ม ๆ และแยกย้ายกันตามหาสัตว์อสูรประจำตัวตามวาสนาของตนเองหนึ่งเดือนก่อนหน้า
เสี่ยวจู้ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้นำของเหล่าสัตว์อสูรหลอมยาจำนวนมากให้กับสัตว์อสูรจนพวกมันบางตัวก็สามารถเลื่อนระดับขั้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้สัตว์อสูรทุกตัวต่างยอมรับนับถือหมูน้อยสีชมพูตัวนี้มากขึ้นไปอีก พวกมันไม่อยากให้นางจากไปเลย หากนางยังคงอยู่ที่นี่แล้วล่ะก็ พวกมันคงสามารถพัฒนาระดับขั้นขึ้นมาได้อีกมากเป็นแน่ แต่อย่างไรพวกมันก็ไม่สามารถห้ามนางได้เช่นกัน พวกมันคงทำได้เพียงใช้เวลาที่นางยังไม่พบเจ้านายคนใหม่ หาสมุนไพรมาให้นางช่วยหลอมให้ได้มากที่สุดเท่านั้นเสี่ยวจู้ในระหว่างที่อยู่กับเหล่าสัตว์อสูรในป่าแห่งนี้มีความสุขมากเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวจู้ซึ่งเพิ่งออกจากไข่มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลาย พวกเขาทำให้เสี่ยวจู้รู้ว่าการมีเพื่อนมาก ๆ แบบนี้ไม่เหงาเหมือนตอนอยู่ในไข่เลยสักนิด ในโลกมนุษย์ไม่ได้แย่อย่างที่เสี่ยวจู้คิดกลัวในตอนแรกเลยตอนนี้เสี่ยวจู้สามารถปกปิดพลังสัตว์เทพเอาไว้ได้แล้ว หลังจากที่ฝึกฝนมาตลอดตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา ทำให้เสี่ยวจู้ดูเหมือนหมูน้อยน่ารักสีชมพูตัวหนึ่งเท่านั้น ยกเว้นพวกสัตว์อสูรทั้งหมดในป่าแห่งนี้ที่รู้ว่าเสี่ยวจู้ไม่ใช่หมูน้อยธรรมดา ไม่ว่าจะพลังหรือความสามารถในการหลอมยา เสี่ยวจู้ล้วนเก่งกาจกว่าสัตว์ทุกตัว“ท่านเสี่ยวจู้ เราได้รับข่าวว่าอีกสามวันจะมีสำนักพรตหนานหนิงมาตามหาสัตว์อสูรประจำตัวขอรับ” กระต่ายขาวตัวหนึ่งรีบรายงานข่าวให้เสี่ยวจู้ทราบ
“จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ารีบนำสมุนไพรมาให้ข้าเยอะ ๆ เลยนะ ข้าจะรีบหลอมยาเอาไว้ให้พวกเจ้าให้มากที่สุด” เสี่ยวจู้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณท่านเสี่ยวจู้” สัตว์อสูรทั้งหลายรีบขอบคุณและกระจายตัวไปเก็บสมุนไพรตามคำสั่งของเสี่ยวจู้ทันที พวกเขารู้ดีว่าอีกไม่นานท่านเสี่ยวจู้ก็จะจากไปแล้ว ยาทั้งหมดที่ท่านเสี่ยวจู้จะหลอมเอาไว้ให้นับเป็นสมบัติล้ำค่าของพวกเขา
เสี่ยวจู้เห็นสัตว์ทุกตัวต่างกระตือรือร้นในการหาสมุนไพรก็ยิ้มดีใจและหลอมยาต่อด้วยพลังสัตว์เทพที่ได้รับมาจากองค์หญิงมังกรอย่างสบาย ๆ ไม่ว่ายาระดับใด เสี่ยวจู้ก็สามารถหลอมออกมาได้เสียงฮือฮาด้านล่างดังขึ้นอย่างอดไม่ได้เมื่อพวกเขาเห็นสัตว์เทพโบราณอย่างกิเลนไฟและมังกรดำ ส่วนเสี่ยวจู้ที่รูปร่างไม่ต่างจากหมูน้อยไม่ได้ถูกพูดถึงมากนัก จ้าววังมังกรยังมองเสี่ยวจู้อย่างแปลกใจที่สัตว์เทพซึ่งเสด็จพี่ของพระองค์สร้างมากับมือกลับรวมอยู่ในหมู่คนตระกูลเจิ้งด้วย ชา
“แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้านะเสี่ยวจู้” กิเลนไฟเอ่ยขึ้นหลังจากฟังมานาน“ทำไมกันเจ้านกบ้า หรือเจ้าอยากเข้าร่วมสงครามบ้าบอนี่กัน” เสี่ยวจู้กล่าวอย่างโมโห“เจ้าใจเย็นก่อนได้หรือไม่เล่า ถึงพวกเราจะหลบอยู่ที่นี่จนจบสงครามแล้วอย่างไร
ณ วังสวรรค์ จ้าวสวรรค์ที่ได้รับข่าวจากองครักษ์ลับว่าเผ่าต่าง ๆ เสริมความแข็งแกร่งจนพวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ก็เริ่มร้อนรนใจ พระองค์ที่ไม่ได้รับยาดี ๆ จากเผ่ามังกรมาสิบกว่าปีเริ่มรู้ตัวว่าตนเองกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ถึงแม้ตอนนี้ในวังของพระองค์จะมีพระสนมและลูกหลานมากมาย อย่างไรก็ยังมีกำลังไม่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับทหารเดนตายของแต่ละเผ่าอยู่ดี อีกทั้งอดีตจ้าวสวรรค์ผู้เป็นบิดายังต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกมนุษย
เสี่ยวจู้พอได้ฟังคำขององค์หญิงใหญ่เข้า มันก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยลงตามที่เคยวางแผนกับเจิ้งหลินเอาไว้นานแล้ว เจิ้งหลินเห็นเสี่ยวจู้รับลูกทันจึงรีบเอ่ยตอบ“หม่อมฉันยินดีดูแลเสี่ยวจู้เพคะ เป็นพระกรุณายิ่งแล้วที่องค์หญิงมอบมันกลับมา”“อืม… เช่นนั้นคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว หากเจ้ามีสมุนไพรใหม่ ๆ ก็ส่งคนไปแจ้งเราที่ตำหนักได้ตลอดนะ เรายังหวังว่าเจ้าจะสามารถหาสมุนไพรดี ๆ มาขายเราได้”“หม่
ค่ำคืนนั้นทุกคนต่างช่วยกันเตรียมอาหารและนั่งกินกันที่ลานด้านหน้าอย่างสนุกสนาน ด้วยคนจำนวนมากที่เพิ่งมาถึง ทำให้บ้านเจิ้งครึกครื้นกันอยู่นานถึงค่อนคืนเลยทีเดียว ถึงแม้ตอนนี้องครักษ์ทั้งหมดจะยังไม่มีที่พักดี ๆ แต่พวกเขาที่เคยนอนกลางดินกินกลางทรายเวลาออกปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่ได้บ่นว่าอันใด พวกเขากลับมีความสุขมากที่ได้กลับมารับใช้นายท่านอย่างชิงก้านหลง
เมื่อทุกคนปรึกษากันเสร็จสิ้น ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนในเรือนโดยที่พรุ่งนี้เช้ากิเลนไฟจะมาปลุกพวกเขาเพื่อออกจากมิติทีหลังเหมือนกับทุกวัน หลังเจิ้งหลินกับชิงก้านหลงดูแลแปลงสมุนไพรในมิติเสร็จ ทั้งสามก็ออกจากมิติลับไปด้านนอกโดยที่ตอนนี้บ่าวไพร่กำลังแตกตื่นที่สมุนไพรในสวนหายไปจำนวนมาก ยิ่งกับสมุนไพรล้ำค่าที่หายไปทั้งหมดด้วยแล้ว พวกเขายิ่งหวาดกลัวจะถูกเจ้านายลงโทษหากหาตัวคนร้ายไม่พบทั้งที่มีเวรยามคอยเดินตลอดทั้งคืน
댓글