เสี่ยวจู้ หมูเทพที่ยังไม่ฟักออกจากไข่ ถูกสร้างขึ้นจากพลังเทพขององค์หญิงแห่งวังมังกรเพื่อช่วยนางหาสมุนไพรและปรุงยาเทพ วันหนึ่งขณะที่องค์หญิงออกไปหาสมุนไพรในป่าสวรรค์ชั้นใน หลานชายจอมซนเห็นไข่กลม ๆ ก็นึกว่าเป็นของเล่นอาหญิงที่น่าจะสร้างมาให้เขา เขาจึงนำไข่ไปเล่นที่ลานกลางวังมังกร เล่นไปเล่นมาสักพัก องค์ชายน้อยก็เบื่อเลยเขวี้ยงไข่ทิ้งไปโดยไม่สนทิศทาง ทำให้ไข่บินออกไปจากวังแล้วชนเข้ากับบ่อน้ำซึ่งเป็นทางลงไปสู่โลกมนุษย์จนเปลือกไข่แตกออก เสี่ยวจู้ที่อยู่ในไข่ตกใจที่ตนเองฟักออกมาก่อนเวลาแถมยังกำลังลอยละลิ่วลงมาจากฟากฟ้าพร้อมเปลือกไข่อีกส่วนหนึ่ง หมูน้อยตกใจมากที่ตนเองกำลังลงไปที่โลกมนุษย์และหวาดกลัวว่าตนเองจะกลับสวรรค์ไม่ได้ กระทั่งเสี่ยวจู้ตกลงไปยังป่าสัตว์อสูรแห่งหนึ่งในโลกมนุษย์ เสี่ยวจู้จึงคิดได้ว่าจะต้องหาคนมาทำพันธะสัญญาจนกว่าคนผู้นั้นจะเป็นเทพเซียน ตนเองจึงจะกลับไปยังสวรรค์ได้ ภารกิจตามหาและช่วยเหลือนายคนใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น
View Moreณ วังมังกร แดนสวรรค์
องค์หญิงหลงเอ้อหลิงใช้เวลาในการสร้างไข่สัตว์เทพเพื่อให้ช่วยเก็บสมุนไพรและปรุงยาให้นางมาเกือบสามร้อยปี โดยตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าในไข่นั้นจะเป็นสัตว์เทพชนิดใด แต่ด้วยพลังเทพมังกรซึ่งเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง นางมั่นใจว่าไข่สัตว์เทพของนางจะต้องมีพลังและความสามารถมากมายจากที่นางมอบความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรรวมถึงการปรุงยาให้กับสัตว์เทพในไข่ ไม่เว้นแม้กระทั่งพลังการต่อสู้ที่นางมอบให้เพื่อป้องกันการถูกรังแกจากสัตว์ตัวอื่นระหว่างการหาสมุนไพร นางเฝ้าฟูมฟักจนไข่ใกล้จะฟักออกมาในอีกไม่นานนี้แล้วก่อนที่ไข่จะฟักออกมา องค์หญิงเห็นว่าสมุนไพรของนางลดลงไปมากจึงออกไปที่ป่าสวรรค์ชั้นในและคิดจะรีบกลับมาเพื่อรอไข่ฟัก ระหว่างที่นางไม่อยู่ในตำหนัก หลานชายตัวน้อยที่อายุเพียงไม่กี่ร้อยปีกลับไม่รู้ว่าอาหญิงไม่อยู่ เขาชอบมาเล่นที่นี่กับอาหญิงบ่อย ๆ พอเห็นไข่กลม ๆ วางอยู่ในตำหนัก เขาจึงคิดว่าเป็นของเล่นที่อาหญิงน่าจะเตรียมเอาไว้ให้ องค์ชายน้อยที่มีพลังมังกรมาตั้งแต่เกิดหยิบไข่ขึ้นมาแล้วนำออกไปเล่นที่ลานกลางวังมังกรอย่างสนุกสนาน กระทั่งเขานึกเบื่อจึงเขวี้ยงไข่ออกไปจนสุดแรงโดยไม่สนใจทิศทาง เขาคิดว่าอย่างไรถ้าจะนำกลับมาเล่นใหม่ก็แค่ใช้องครักษ์มังกรออกตามหาให้เขาก็สิ้นเรื่องเสี่ยวจู้ที่อยู่ในไข่รับรู้ว่าตนเองกำลังลอยละลิ่วออกไปอย่างไม่รู้ทิศทางก็หวาดกลัวตั้งแต่อยู่ในไข่แล้ว ด้วยแรงอันมหาศาลขององค์ชายน้อย ไข่จึงปลิวไปยังบ่อน้ำสวรรค์ที่เป็นทางเชื่อมระหว่างแดนมนุษย์และสวรรค์ ไข่ของเสี่ยวจู้กระทบกับขอบบ่อน้ำจนแตกออกครึ่งหนึ่ง เสี่ยวจู้ตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก หมูน้อยตัวนี้เพิ่งจะออกจากไข่จึงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เสี่ยวจู้กับเปลือกไข่อีกส่วนที่ยังติดอยู่ร่วงลงไปในบ่อน้ำตามแรงดึงดูด เสี่ยวจู้พยายามทบทวนความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากองค์หญิงมังกรจนรู้ว่าตอนนี้ตนเองตกลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าเสียแล้วด้วยความกลัวระหว่างที่ตกลงมา เสี่ยวจู้หมูน้อยสีชมพูได้แต่หลับตาปี๋อย่างไม่อยากจะดูว่าตนเองนั้นจะตกลงไปยังที่ใด อย่างน้อยเสี่ยวจู้ก็มีพลังเทพที่องค์หญิงมังกรส่งให้มาตลอดสามร้อยปี เสี่ยวจู้จึงคิดว่าตนเองไม่น่าจะมีอันตรายมากมายนักกว่าที่เสี่ยวจู้และเปลือกไข่อีกส่วนจะตกลงไปยังพื้นก็ใช้เวลาไม่นานนักจากแรงโน้มถ่วง เหล่าสัตว์อสูรในป่าอสูรต่างตกใจที่จู่ ๆ กลับมีพลังแปลกประหลาดตกลงมาใจกลางป่าอย่างรุนแรง พวกมันที่ไม่มีสติปัญญามากนักได้แต่แอบมองอยู่ห่าง ๆ ว่าเป็นสิ่งใดที่ตกลงมาในป่าแห่งนี้กันแน่เหล่าสัตว์อสูรฟ้าที่เป็นเจ้าแห่งป่านี้รับรู้ได้ถึงพลังของสัตว์เทพ พวกมันรีบออกจากพื้นที่ตนเองแล้วไปยังตำแหน่งที่สัมผัสถึงพลังสัตว์เทพในทันที เมื่อทุกตัวมาถึงยังตำแหน่งที่สัมผัสถึงพลังได้ พวกมันต่างหันไปสนทนากันอย่างสงสัย“เจ้าคิดว่าพลังเทพนี้มาจากที่ใด?” เสือขาวกล่าวถามจิ้งจอกอสูรฟ้า
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ปกติสัตว์เทพไม่น่าจะมาอยู่ในโลกมนุษย์เช่นนี้”
“เฮ้ เจ้าว่าถ้าพวกเราดูดพลังเทพนี้เข้าไป เราจะผ่านขั้นอสูรฟ้าไปโดยง่ายไหม?” หมีดำขั้นอสูรฟ้าถามเพื่อนอย่างละโมบ
“ฮึ เจ้านี่มันไม่กลัวตายจริง ๆ นะเจ้าหมีดำ เจ้าคิดว่าพลังสัตว์เทพรุนแรงเช่นนี้ สัตว์เทพที่มาจะอ่อนด้อยแล้วปล่อยให้เจ้าดูดพลังไปง่าย ๆ หรืออย่างไร?” นกอินทรีฟ้าเอ่ยอย่างเหยียดหยามหมีดำที่ไม่ดูระดับขั้นของตน
“เพ้ย! แค่พวกเราร่วมมือกัน มีหรือที่สัตว์เทพตัวหนึ่งจะสู้ได้” หมีดำยังไม่ยินยอม
“เจ้าอยากตายก็ตายไปตัวเดียว อย่ามาชวนพวกข้าให้ตายไปกับเจ้าด้วย” จิ้งจอกขาวรีบปฏิเสธหมีดำจอมละโมบ
เสี่ยวจู้ที่ยังคงอยู่ในหลุมลึกหลังจากตกลงมาอย่างแรง เมื่อตั้งสติได้และฟังสิ่งที่สัตว์อสูรเหล่านั้นพูดคุยกันก็ได้แต่รีบทบทวนความทรงจำต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากองค์หญิงมังกรเพื่อปกป้องตนเอง เสี่ยวจู้จำได้ว่าเปลือกไข่ของนางยังมีพลังเทพสะสมอยู่ไม่น้อย นางจึงใช้วิชาที่องค์หญิงมังกรถ่ายทอดมาดูดซึมพลังเทพเข้าไปอย่างรวดเร็วจนเปลือกไข่นั้นหายวับไปในเวลาต่อมาเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายยังคงสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่มีปฏิกิริยาจากพลังสัตว์เทพในหลุมใด ๆ ใช่ว่าพวกมันจะไม่หวาดกลัวว่าจะถูกสัตว์เทพดูดกลืนพลังของตนเข้าไป เพียงแต่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้พวกมันไม่อยากจากไปจนกว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ตกลงมานั้นเป็นสัตว์เทพชนิดใด หากว่าเป็นสัตว์เทพที่น่ากลัว พวกมันจะได้รีบหนีให้ห่างจากสัตว์เทพตัวนี้เสียบนสวรรค์ชั้นฟ้าเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน เมื่อองค์หญิงมังกรเห็นว่าไข่สัตว์เทพของตนหายไป ยิ่งรู้ว่าหลานชายตัวป่วนเขวี้ยงไข่ของนางทิ้งไปก็ยิ่งเป็นห่วงว่าสัตว์เทพตัวน้อยของนางจะได้รับอันตรายจึงส่งองครักษ์มังกรออกตามหากว่าที่นางจะรู้ว่าตอนนี้สัตว์เทพของตนร่วงหล่นลงไปยังแดนมนุษย์ก็สายเกินกว่าที่นางจะทำสิ่งใดได้ นางได้แต่โทษว่าตัวเองและรับเอาเปลือกไข่ที่เหลืออยู่กลับมาเก็บไว้ในตำหนักเท่านั้น ส่วนหลานชายของนางถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาในตำหนักของนางอีกจนกว่าเขาจะสำนึกได้ถึงสิ่งที่ทำลงไปการลงโทษครั้งนี้ทำให้องค์ชายน้อยเสียใจมากจนคิดว่าอาหญิงไม่รักเขาแล้ว ผู้เป็นแม่ต้องปลอบโยนและอธิบายอยู่นานกว่าที่เด็กน้อยจะเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นการทำร้ายผู้อื่นอย่างไร“ฮึก..เสด็จแม่ ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกขอรับ ข้าอยากขอโทษอาหญิง ฮือ…”
“เจ้าอย่าเพิ่งไปพบนางเลย ตอนนี้นางเองก็กำลังเสียใจและเป็นห่วงสัตว์เทพของนางอยู่เช่นเดียวกัน เจ้าก็ขยันร่ำเรียนวิชาที่พ่อของเจ้าให้อาจารย์มาสอนดี ๆ เสียก่อน”
“พะย่ะค่ะเสด็จแม่ ลูกจะตั้งใจเรียน เสด็จแม่ต้องบอกอาหญิงแทนลูกด้วยนะว่าลูกไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
“แม่รู้ ๆ เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องนี้รออีกสักพักเราค่อยไปขอโทษเสด็จอาเจ้าด้วยกันทีหลังนะ”
“ฮึก..พะย่ะค่ะเสด็จแม่”
กว่าที่พระชายาจะกล่อมบุตรชายนอนได้ก็เสียเวลาไปไม่น้อย นางเองก็เสียใจที่ลูกชายผู้ร่าเริงและซุกซนกลายเป็นคนขี้แยเสียได้ แต่ในเมื่อนี่เป็นความผิดของบุตรชายนาง นางก็ไม่ได้คิดที่จะเข้าข้างเขาแต่อย่างใด นางถือว่าเรื่องนี้เป็นบทเรียนครั้งใหญ่ไม่ให้ลูกชายของนางซุกซนอีกต่อไปองค์หญิงหลงเอ้อหลิงได้แต่นำเปลือกไข่ที่เหลืออยู่มาบดเป็นผงเพื่อทำส่วนผสมในการปรุงยาแทน ตอนนี้นางไม่มีความคิดที่จะสร้างสัตว์เทพของตนอีกต่อไป นางได้แต่หวังว่าสัตว์เทพของนางจะหาวิธีกลับมาหานางที่นี่ได้เท่านั้น หลังจากนี้นางจะสั่งองครักษ์มังกรไปหาสมุนไพรแทนและฝึกฝนวิชาของตนต่อไป ส่วนเรื่องหลานชายของนางนั้น นางไม่ได้โกรธเคืองเขา เพียงแค่ต้องการสั่งสอนเขาเท่านั้นณ ป่าสัตว์อสูร โลกมนุษย์
เสี่ยวจู้ที่ใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม กว่าที่จะรวบรวมความรู้และดูดซึมพลังจากเปลือกไข่จนหมดสิ้นค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา นางมองไปรอบ ๆ ก็เห็นแต่ความมืดมิดในหลุมลึกแห่งนี้ เสี่ยวจู้ผู้รักสะอาดรีบใช้วิชาที่มีทำความสะอาดร่างกายของตนก่อนที่จะใช้พลังสัตว์เทพลอยขึ้นไปจากก้นหลุมแห่งนี้เพื่อสำรวจดูว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหนเหล่าสัตว์ในป่าอสูรจำนวนมากที่ยังคงล้อมวงอยู่ห่างจากหลุมหลายจั้ง เมื่อพบว่าพลังเทพกำลังรุนแรงขึ้นทุกทีแล้ว พวกมันจึงขยับตัวออกห่างจากหลุมมากขึ้นไปอีกเพื่อป้องกันตนเอง จนกระทั่งทุกตัวมองเห็นหมูตัวน้อยสีชมพูเปล่งแสงแห่งสัตว์เทพลอยขึ้นมาจากหลุม สัตว์อสูรทั้งหมดต่างอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าสัตว์เทพที่มีพลังรุนแรงนี้เป็นเพียงแค่หมูน้อยน่ารักตัวหนึ่งเสี่ยวจู้ส่งรอยยิ้มน่ารักไปให้กับสัตว์อสูรจำนวนมากที่นางเห็น ก่อนจะลอยลงไปยืนนิ่งอยู่บนพื้นแล้วเอียงหัวไปมาด้วยความสงสัยว่าเหตุใดสัตว์อสูรเหล่านี้จึงต่างอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลงอย่างตกตะลึง นางก้มมองตนเองก็ไม่พบเห็นว่ามีสิ่งใดที่ผิดปกติ เสี่ยวจู้จึงเอ่ยปากด้วยเสียงน้อย ๆ ของสัตว์เทพที่เพิ่งออกจากไข่เพื่อสอบถามสิ่งที่นางสงสัย“พวกเจ้าเป็นอะไร? ข้าดูแปลกมากหรือ?”
เสือขาวที่ได้สติเป็นตัวแรกหลังจากได้ยินเสียงน้อย ๆ ของลูกหมูสีชมพูตรงหน้ารีบค้อมตัวลงคำนับเสี่ยวจู้อย่างนอบน้อม ถึงแม้มันจะเห็นว่านี่เป็นเพียงสัตว์เทพเกิดใหม่ก็ตามที แต่พลังที่เปล่งออกมานั้นช่างสูงส่งนัก มันจึงไม่กล้าพอที่จะท้าทายสัตว์เทพตัวนั้น“ข้าขอน้อมเคารพท่านสัตว์เทพ พวกเราเพียงแต่ตกตะลึงในพลังอันสูงส่งของท่านเท่านั้นขอรับ ข้าไม่มีความคิดอื่นใด” เสือขาวรีบกล่าว
“อ่า ใช่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าเองก็เช่นกัน ท่านสัตว์เทพช่างน่ารักนักเจ้าค่ะ” จิ้งจอกขาวกล่าว
สัตว์ตัวอื่น ๆ เห็นผู้นำสัตว์อสูรทั้งสองกล่าวเช่นนี้ พวกมันมีหรือจะกล้าพูดอย่างอื่นออกมา เสียงพูดคุยเยินยอเสี่ยวจู้จึงดังเซ็งแซ่ขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมาย ส่วนหมีดำที่ตอนแรกมีความคิดละโมบในพลังของเสี่ยวจู้เองก็ไม่ต่างจากสัตว์ตัวอื่น มันยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังอันสูงส่งตรงหน้าแล้ว มีหรือที่จะกล้ามีความคิดอื่นอีก“เอาล่ะ ๆ พวกเจ้าเลิกยอข้าได้แล้ว ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้ข้าอยู่ที่ใด” เสี่ยวจู้เอ่ย
“ที่นี่คือป่าสัตว์อสูรในแคว้นหนานขอรับ” เสือขาวตอบ
“อืม… เช่นนั้นหรือ? แล้วแบบนี้ข้าจะไปหาเจ้านายใหม่ที่ใดดี ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่สามารถกลับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นฟ้าได้น่ะสิ” เสี่ยวจู้หน้ามุ่ย
“เหตุใดท่านที่เป็นถึงสัตว์เทพจึงต้องการเจ้านายเล่าขอรับ ท่านไม่ต้องการอยู่ที่นี่อย่างอิสระหรือ?” หมีดำถามอย่างสงสัยใจ
“ข้าเป็นสัตว์เทพของสวรรค์ชั้นฟ้า ถ้าไม่มีเจ้านายที่เป็นเทพเซียนในโลกมนุษย์ ข้าจะกลับขึ้นไปบนสวรรค์ได้อย่างไรเล่า ข้าเพียงเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยจึงได้ตกลงมาที่นี่เท่านั้น ข้าต้องการกลับไปหาเจ้านายที่ให้กำเนิดข้า” เสี่ยวจู้อธิบาย
“อ่า… เป็นเช่นนั้นเอง ที่ป่าแห่งนี้มักจะมีเหล่าศิษย์ในสำนักต่าง ๆ มาหาสัตว์อสูรประจำตัวอยู่ทุกปี ข้าคิดว่าอีกไม่นานน่าจะถึงกำหนดการที่พวกเขาจะเข้ามาหาสัตว์อสูรประจำตัวแล้วล่ะขอรับ” เสือขาวรีบตอบ
“อืม.. งั้นข้ารอให้พวกเขามาจะดีกว่า แล้วค่อยเลือกว่าจะให้ใครเป็นนายในแดนมนุษย์นี่ พวกเจ้าไม่ต้องการมีเจ้านายจริงหรือ? พวกเจ้าไม่อยากขึ้นสู่แดนสวรรค์หรือ?” เสี่ยวจู้เอ่ยถามเหล่าสัตว์อสูร
“พวกเรายังไม่พบผู้ที่มีวาสนาเช่นนั้นขอรับ เราจึงยังคงอยู่ที่นี่อย่างสงบ” เสือขาวตอบกลับเสี่ยวจู้ ทั้งที่ความจริงมันไม่คิดจะผูกมัดกับใคร แต่พอได้ฟังสิ่งที่สัตว์เทพตัวน้อยเอ่ยเช่นนี้ มันก็เห็นโอกาสที่จะได้ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้าบ้างแล้ว
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นช่วงนี้ข้าคงต้องรบกวนพวกเจ้าที่นี่สักพักนะ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะทำร้ายพวกเจ้า หากพวกเจ้าต้องการยาเพิ่มพลัง พวกเจ้าแค่ไปหาสมุนไพรมาให้ข้า แล้วข้าจะหลอมยาให้พวกเจ้าเอง” เสี่ยวจู้ตัวน้อยหวังดีกับสัตว์อสูรเหล่านี้ นางจึงอยากใช้ความสามารถช่วยเพิ่มพลังให้พวกเขาบ้าง
“ท่านพูดจริงหรือขอรับ?” เสือขาวรีบถามอย่างตื่นเต้น
“จริงสิ ข้าหลอมยาได้ พวกเจ้าจำสมุนไพรต่าง ๆ ที่ข้าจะบอกให้ดี แล้วไปหามาก็พอ ข้าจะหลอมยาให้กับพวกเจ้าเพื่อตอบแทนที่พวกเจ้าตอบคำถามของข้า”
“ขอรับ ๆ ท่านสัตว์เทพรีบเอ่ยบอกมาเลย พวกเราจะช่วยกันจดจำและตามหามาให้ท่านโดยเร็วที่สุดขอรับ” หมีดำรีบเอ่ยอย่างตื่นเต้นเช่นกัน
เสี่ยวจู้เอ่ยอธิบายชื่อและลักษณะของสมุนไพรแต่ละระดับให้กับเหล่าสัตว์ตรงหน้าฟังอย่างช้า ๆ นางกลัวว่าพวกเขาจะเสาะหาสมุนไพรมาผิดจนไม่สามารถหลอมยาได้โดยเร็ว ถึงอย่างไรการหลอมยาในตอนนี้ก็เป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่งของเสี่ยวจู้เท่านั้น หากนางได้รับใช้เจ้านายในโลกมนุษย์นี้ เพื่อให้เจ้านายของนางก้าวหน้าในขั้นพลังโดยเร็ว เสี่ยวจู้จะต้องช่วยหลอมยาอย่างแน่นอน นางจึงอยากรีบใช้เวลาก่อนที่จะพบเจ้านายใหม่ฝึกฝนเอาไว้เสียก่อนหลังจากเจิ้งหลินทำความสะอาดเสี่ยวจู้ดีแล้ว นางก็หันมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย เจิ้งหลินไม่รู้ว่าตัวเองเดินลึกเข้ามามากแค่ไหนแถมตอนนี้นางยังมีหมูน้อยหนึ่งตัวให้ดูแลอยู่“อืม.. ทำอย่างไรดีนะ หากปล่อยให้เจ้าอยู่ในป่าที่อันตรายเช่นนี้ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะถูกสัตว์ป่าตัวอื่นทำร้าย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ในเมื่อข้าไม่พบสัตว์อสูรตัวอื่นที่พอจะทำพันธะสัญญาได้ เจ้าก็มาเป็นสัตว์ในพันธะสัญญาของข้าดีหรือไม่”
สองวันต่อมา อาจารย์แต่ละตำหนักแบ่งกลุ่มศิษย์ของตนออกไปแล้วแยกกันไปคนละทางเพื่อไม่ให้การตามหาสัตว์อสูรไปกระจุกตัวอยู่บริเวณเดียวกัน อาจารย์ทั้งสามคนของแต่ละตำหนักมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของศิษย์ที่อาจจะพลัดหลงเข้าไปในป่าชั้นใน ศิษย์ทุกคนได้รับคำสั่งให้ตามหาสัตว์อสูรขั้นปฐพีและนภาเท่านั้น เพราะฝีมือของพวกเขาคงไม่สามารถกำหราบสัตว์อสูรขั้นฟ้ากระจ่างได้ เพื่อความปลอดภัยเหล่าอาจารย์จึงกำชับให้พวกเขาตามหาสัตว์อสูรเพียงรอบนอกของป่าสัตว์อสูร หากมีศิษย์คนใดขัดคำสั่งและบาดเจ็บขึ้นมา ศิษย์เหล่านั้นจะถูกลงโทษหลังกลับไปถึงสำนัก กลุ่มของเจิ้งหลินพอได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ประจำตำหนัก พวกนางจึงแยกย้ายกันไปตามทิศทางที่ตนเองต้องการ ถึงอย่างไรศิษย์จากตำหนักสัตว์อสูรก็มีความได้เปรียบเรื่องการจับสัตว์อสูรมากกว่าศิษย์จากตำหนักอื่น อีกทั้งพวกเขายังมีฝีมือไม่ธรรมดากันสักคน เพียงแต่ทุกคนในตำหนักต่างเก็บงำฝีมือเอาไว้โดยไม่ให้ตำหนักอื่นระแคะระคายได้แม้แต่น้อย นี่เป็นการสั่งสอนของเจ้าตำหนักที่ไม่อยากให้เด็ก ๆ ในตำหนักโอ้อวดความเก่งกาจจนมีภัยมาถึงตนใจกลางป่าสัตว์อสูร“ท่านเสี่ยวจู้ขอรับ คนจากสำนักพรตหนานหนิงมากั
หนึ่งเดือนผ่านไป เสี่ยวจู้ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้นำของเหล่าสัตว์อสูรหลอมยาจำนวนมากให้กับสัตว์อสูรจนพวกมันบางตัวก็สามารถเลื่อนระดับขั้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้สัตว์อสูรทุกตัวต่างยอมรับนับถือหมูน้อยสีชมพูตัวนี้มากขึ้นไปอีก พวกมันไม่อยากให้นางจากไปเลย หากนางยังคงอยู่ที่นี่แล้วล่ะก็ พวกมันคงสามารถพัฒนาระดับขั้นขึ้นมาได้อีกมากเป็นแน่ แต่อย่างไรพวกมันก็ไม่สามารถห้ามนางได้เช่นกัน พวกมันคงทำได้เพียงใช้เวลาที่นางยังไม่พบเจ้านายคนใหม่ หาสมุนไพรมาให้นางช่วยหลอมให้ได้มากที่สุดเท่านั้น เสี่ยวจู้ในระหว่างที่อยู่กับเหล่าสัตว์อสูรในป่าแห่งนี้มีความสุขมากเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวจู้ซึ่งเพิ่งออกจากไข่มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลาย พวกเขาทำให้เสี่ยวจู้รู้ว่าการมีเพื่อนมาก ๆ แบบนี้ไม่เหงาเหมือนตอนอยู่ในไข่เลยสักนิด ในโลกมนุษย์ไม่ได้แย่อย่างที่เสี่ยวจู้คิดกลัวในตอนแรกเลย ตอนนี้เสี่ยวจู้สามารถปกปิดพลังสัตว์เทพเอาไว้ได้แล้ว หลังจากที่ฝึกฝนมาตลอดตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา ทำให้เสี่ยวจู้ดูเหมือนหมูน้อยน่ารักสีชมพูตัวหนึ่งเท่านั้น ยกเว้นพวกสัตว์อสูรทั้งหมดในป่าแห่งนี้ที่รู้ว่าเสี่ยวจู้ไม่ใช่หม
ณ วังมังกร แดนสวรรค์ องค์หญิงหลงเอ้อหลิงใช้เวลาในการสร้างไข่สัตว์เทพเพื่อให้ช่วยเก็บสมุนไพรและปรุงยาให้นางมาเกือบสามร้อยปี โดยตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าในไข่นั้นจะเป็นสัตว์เทพชนิดใด แต่ด้วยพลังเทพมังกรซึ่งเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง นางมั่นใจว่าไข่สัตว์เทพของนางจะต้องมีพลังและความสามารถมากมายจากที่นางมอบความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรรวมถึงการปรุงยาให้กับสัตว์เทพในไข่ ไม่เว้นแม้กระทั่งพลังการต่อสู้ที่นางมอบให้เพื่อป้องกันการถูกรังแกจากสัตว์ตัวอื่นระหว่างการหาสมุนไพร นางเฝ้าฟูมฟักจนไข่ใกล้จะฟักออกมาในอีกไม่นานนี้แล้ว ก่อนที่ไข่จะฟักออกมา องค์หญิงเห็นว่าสมุนไพรของนางลดลงไปมากจึงออกไปที่ป่าสวรรค์ชั้นในและคิดจะรีบกลับมาเพื่อรอไข่ฟัก ระหว่างที่นางไม่อยู่ในตำหนัก หลานชายตัวน้อยที่อายุเพียงไม่กี่ร้อยปีกลับไม่รู้ว่าอาหญิงไม่อยู่ เขาชอบมาเล่นที่นี่กับอาหญิงบ่อย ๆ พอเห็นไข่กลม ๆ วางอยู่ในตำหนัก เขาจึงคิดว่าเป็นของเล่นที่อาหญิงน่าจะเตรียมเอาไว้ให้ องค์ชายน้อยที่มีพลังมังกรมาตั้งแต่เกิดหยิบไข่ขึ้นมาแล้วนำออกไปเล่นที่ลานกลางวังมังกรอย่างสนุกสนาน กระทั่งเขานึกเบื่อจึงเขวี้ยงไข่ออกไปจนสุดแรงโดยไม่สนใจทิศทาง เขาคิด
Comments