ยังไม่ทันที่ปลากริมจะได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธข้อเสนอของสหายต่างภพ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางตัวบ้าน ทำให้บทสนทนาในความคิดของเธอต้องหยุดชะงักลง
พ่อเจ้ามาแล้ว...ข้าไปก่อนนะ แล้วค่อยคุยกันใหม่
เสียงของแม่นางตานีทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนที่ร่างโปร่งแสงในชุดสีเขียวตองจะค่อย ๆ จางหายไปกับสายลมและ ร่มเงาของดงกล้วยอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ปลากริมยืนอยู่ตามลำพัง
"ปลากริม...ลูกเป็นยังไงบ้าง" เสียงทุ้มต่ำที่แฝงความเหนื่อยล้าแต่ก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของพ่อดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ของเขาเดินตรงมาหาเด็กหญิงโดยมือใหญ่อีกข้างจับจูงลูกชายตัวน้อยมาด้วยกัน
"แม่เขาเล่าให้พ่อฟังหมดแล้ว...ว่าลูกเห็นอะไรแปลก ๆ จริงหรือ" สิงห์ทรุดตัวลงนั่งยองให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับลูกสาวคนโต มือที่หยาบกร้านจากการฝึกมวยเอื้อมมาลูบหัวเธออย่างแผ่วเบา
ปลากริมใจหายวาบ เธอจะบอกพ่อยังไงดีว่าเมื่อสักครู่ เธอเพิ่งจะเจรจาทางธุรกิจแลกเปลี่ยนกล้วยกับใบตองกับผีนางตานีอยู่! จะมีคนที่ไหนเขาทำกัน!
"เอ่อ...คือ...หนู...หนูเห็นแมวจ้ะพ่อ" น้ำเสียงอ้อมแอ้มของปลากริมดังขึ้นพร้อมกับชี้มือไปทางดงกล้วย "มันตัวใหญ่มาก แต่ตอนนี้มันวิ่งหายไปแล้วหนูก็เลยตกใจกลัว ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะหิวด้วยมั้งจ๊ะ ก็เลยทำให้ตาฝาด"
สิงห์หรี่ตามองไปยังทิศที่ลูกสาวชี้ เขาไม่เห็นอะไรนอกจากกอกล้วยที่ขึ้นรกชัฏและเงาไม้ที่เริ่มทอดยาวในยามเย็น เขารู้ว่าลูกสาวอาจจะไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด แต่เมื่อเห็นแววตาของเธอที่สบมา ชายหนุ่มก็ไม่อยากจะคาดคั้นให้ลูกกลัวไปมากกว่านี้
"งั้นรึ...ช่างมันเถอะ" เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ปะ...เราเข้าไปรอแม่ในบ้านกันดีกว่า ตอนนี้แม่เขาหาบขนมออกไปเดินเร่ขายตามบ้านคนแล้ว กว่าจะกลับก็คงค่ำ หากลูกหิวพ่อจะรีบทำปลาจากนั้นพ่อจะทอดให้กิน"
สิงห์พูดพลางยื่นมือข้างหนึ่งมาจูงปลากริม ส่วนแขนอีกข้างก็ช้อนร่างเล็ก ๆ ของปั้นขลิบขึ้นอุ้มไว้แนบอก
ปลากริมยอมให้พ่อจูงมือเดินกลับเข้าบ้านแต่โดยดี ดวงใจดวงน้อยของเธอยังคงเต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนจะเหลียวกลับไปมองดงกล้วยที่ตอนนี้ดูเงียบสงบอย่างน่าประหลาด
วันนี้ทั้งวันเกิดเรื่องราวเหลือเชื่อขึ้นกับเธอมากมายเหลือเกิน...ทั้งตกเครื่องบิน ทั้งจมน้ำ ทั้งทะลุมิติ และยังค้นพบมิติส่วนตัว แต่สถานการณ์ล่าสุดนี่สิ ช่างน่าพรั่นพรึงมากกว่าทุกเรื่อง นั่นก็คือการผูกมิตรกับผีนางตานีช่างจ้อนั่นเอง
ดูท่าว่าชีวิตใหม่ในฐานะตัวร้ายในนิยายของเธอจะต้องพัวพันกับเรื่องลี้ลับน่าปวดหัว...แต่ก็น่าตื่นเต้นไปพร้อม ๆ กันเสียแล้ว
"นั่งรอกันอยู่ตรงนี้นะลูก เดี๋ยวพ่อไปทำปลาก่อน จากนั้นจะทอดให้กิน"
คำพูดของพ่อดึงสติของปลากริมให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ท้องของเธอเริ่มส่งเสียงประท้วง ความหิวโหยหลังจากเผชิญเรื่องราวมาทั้งวันเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
แต่ทว่า...ในสมองของเชฟสาวธารามลกลับประมวลผลอย่างรวดเร็ว ปลาช่อนตัวเขื่องขนาดนี้ถ้าทอดกินกันในครอบครัวก็คงจะอิ่มอร่อยได้แค่มื้อเดียว แต่ถ้ามันจะสามารถต่อยอดไปเป็นอย่างอื่นได้ล่ะ?
แม้จะท้องร้องแต่เธอคิดว่าปลาที่พ่อหามา แทนที่จะเป็นอาหารมื้อแรกให้กับเธอและครอบครัว มันยังสามารถเป็นทุน แรกเริ่มในการหารายได้เข้าบ้านด้วยก็น่าจะดีไม่น้อย
ไวเท่าความคิด ดวงตากลมโตของปลากริมก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
"พ่อจ๋า พวกเราทำห่อหมกปลาช่อนขายกันดีไหมจ๊ะ"
เสียงเล็กใสที่เอ่ยออกมาทำให้สิงห์ที่กำลังจะเดินเข้าครัวซึ่งอยู่ข้างบ้านต้องชะงักฝีเท้า เขาหันกลับมามองลูกสาวตัวน้อยด้วยความประหลาดใจ
"ห่อหมกเหรอลูก?" สิงห์แปลกใจในความคิดของลูก "แล้วใครจะทำล่ะ พ่อทำกับข้าวไม่เป็นหรอกนะ ได้แต่ ทอด ๆ ย่าง ๆ ง่าย ๆ เท่านั้นแหละ" เขาตอบตามจริงพลางเกาหัวอย่างรู้สึกกระดากอาย
ปลากริมฉีกยิ้มกว้างอย่างน่ารักน่าเอ็นดูจนเห็นเหงือกสีชมพู "หนูทำได้จ้ะพ่อ! หนูเคยเห็นแม่ทำ" เธอรีบเสนอตัวทันทีโดยแอบไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง พลางคิดว่าควรจะหาข้ออ้างอะไรมาบอกความจริงพ่อกับแม่ดี เพราะเธอจะต้องสร้างฐานะให้ครอบครัวอย่างน้อยก็มีกินมีใช้ไม่อด
"หนูจำได้ว่าต้องทำยังไงจ้ะ มันไม่ยากเลยนะจ๊ะ เรามีปลาแล้ว เครื่องแกงกับกะทิเดี๋ยวหนูจะไปซื้อจากร้านป้าชื่น ส่วนใบยอก็ไปขอเก็บเอาหลังวัดได้นี่จ๊ะ ส่วนใบตองก็ตรงนั้นไงจ้ะพ่อ มีเป็นดงเลย"
เด็กหญิงตัวน้อยอธิบายฉอด ๆ อย่างคล่องแคล่ว จนคนเป็นพ่อได้แต่อ้าปากค้างมองลูกสาวราวกับเห็นเป็นครั้งแรก
ถึงแม้ในชาติก่อ เราจะถนัดของหวานมากกว่า แต่เรื่องของคาว...โดยเฉพาะอาหารไทยตำรับโบราณน่ะ เชฟอย่างธารามลก็ไม่เป็นสองรองใครหรอกนะ เธอคิดอย่างภาคภูมิใจ
สิงห์มองดวงตาที่มุ่งมั่นและเป็นประกายของลูกสาว เขายังคงสับสนว่าเหตุใดปลากริมที่เคยเอาแต่ใจและไม่เคยสนใจเรื่องการทำมาหากิน จู่ ๆ ถึงได้มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินวัยได้ขนาดนี้ หรือว่าการจมน้ำครั้งนี้จะทำให้ลูกสาวของเขาเปลี่ยนแปลงไปหรือว่าจะมีอะไรมากกว่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม...แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความกระตือรือร้นของลูกสาวก็เหมือนแสงสว่างแม้จะยังน้อยนิด กระนั้นมันก็คือแสงที่ส่องเข้ามาในหัวใจอันมืดมนและท้อแท้ของเขา
"ถ้า...ถ้าลูกว่าอย่างนั้น...ก็ลองดูสักตั้งก็ได้" สิงห์ตอบเสียงเบา ด้วยไม่อยากทำลายความตั้งใจของลูกสาวตัวน้อย
นั่นคือคำอนุญาตแรก...และเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติครัวเล็ก ๆ หลังบ้านของปลากริมตัวร้ายที่ต่อไปก็จะร้ายและยังนักเลงด้วย แต่ว่าจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องดูกันต่อไป
เมื่อได้รับไฟเขียวจากผู้เป็นพ่อ เด็กหญิงก็ไม่รอช้า เธอกลับเข้าสู่โหมดเชฟธารามลในทันที ดวงตากลมโตที่เคยฉายแววตื่นตระหนกบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและสมาธิอันแน่วแน่
"พ่อจ๋า ขอเงินสักสองสามบาทได้ไหมจ๊ะ หนูจะไปร้านป้าชื่น"
สิงห์มองลูกสาวอย่างงุนงง แต่ก็ยอมล้วงเงินเหรียญจากกระเป๋ากางเกงส่งให้แต่โดยดี เขาเห็นปลากริมจูงมือน้องชายปั้นขลิบเดินดุ๊กดิ๊กออกจากบ้านไปด้วยความกระฉับกระเฉงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ไม่นานนักสองพี่น้องก็กลับมาพร้อมกับห่อเครื่องพริกแกงและมะพร้าวขูดฝอย ในมือปลากริมยังมีใบยอที่ไปขอเก็บจากหลังวัดติดมาด้วย เธอบอกให้น้องชายไปนั่งรอเงียบ ๆ ก่อนจะเริ่มบัญชาการในครัวทันทีโดยมีพ่อเป็นลูกมือ
"พ่อจ๋า ช่วยขอดเกล็ดปลาแล้วก็แล่เอาแต่เนื้อให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ แล่ชิ้นพอดีคำนะ"
สิงห์ผู้ไม่เคยทำอะไรในครัวนอกจากต้มน้ำและทอดไข่ได้แต่ทำตามที่ลูกสาวบอกอย่างงง ๆ เขาใช้มีดเล่มเก่าค่อย ๆ แล่เนื้อปลาช่อนตามคำสั่งของผู้กำกับตัวน้อยอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
ส่วนปลากริมนั้นแม้จะอยู่ในร่างเล็กแต่ท่าทีกลับคล่องแคล่วเกินวัย เธอจัดการนำมะพร้าวมาคั้นกับน้ำอุ่น แยกหัวกะทิและหางกะทิอย่างชำนาญ
ก่อนจะนำเนื้อปลาที่พ่อแล่เสร็จแล้วลงไปขยำกับเครื่องพริกแกงจนเข้าเนื้อ ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บเล็กน้อยที่พอจะมีติดครัวอยู่ จากนั้นจึงค่อย ๆ เติมหัวกะทิลงไปคนให้เข้ากันจนข้นเหนียว
หืม...ขาดไข่ไก่ไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร พอแก้ขัดได้ เธอคิดในใจพลางชิมรสชาติที่ปลายนิ้วแล้วพยักหน้ากับตัวเองอย่างพอใจ
ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมกระทง เธอเดินไปที่ดงกล้วยหลังบ้านที่แม่นางตานีสถิตอยู่ ก่อนจะยกมือไหว้แล้วกระซิบเสียงเบา
"พี่สาวจ๋า...หนูขอใบตองงาม ๆ หน่อยนะจ๊ะ"
จบคำของเด็กหญิง จากนั้นก็มีลมพัดมาแผ่วเบาทำให้ใบตองกล้วยใบใหญ่ที่ดูสมบูรณ์ที่สุดสั่นไหวเป็นคำตอบ ปลากริมฉีกยิ้มก่อนจะลงมือเลือกตัดใบตองอย่างรู้งาน
เมื่อกลับมาถึงครัว เธอก็ฉีกใบตองเป็นแผ่นทำความสะอาดอย่างชำนาญ ก่อนจะนำมาทำกระทงซึ่งเธอรู้สึกประหลาดใจที่ใบตองไม่แตกเลยแม้แต่น้อย กระนั้นเด็กหญิงก็ปล่อยผ่าน ยกให้เป็นอภินิหารของแม่ตานีไป
เมื่อปลากริมทำทุกอย่างได้ตามที่ตั้งใจ เจ้าตัวน้อยก็วางใบยอรองที่ก้นกระทงตักเนื้อปลาที่ผสมเครื่องแกงแล้วตามลงไป ก่อนหยอดหน้าด้วยหัวกะทิข้น ๆ เพื่อให้พ่อนำไปนึ่งบนเตาถ่านที่ไฟลุกแดง
ไม่นานนัก...กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของห่อหมกก็เริ่มลอยฟุ้งออกจากครัวเล็กข้างบ้าน เป็นกลิ่นหอมของเครื่องแกงที่ผสานกับความมันของกะทิ ความสดของเนื้อปลา และกลิ่น อ่อน ๆ ของใบยอและใบตองที่โดนความร้อน กลิ่นนั้นช่างหอมยั่วน้ำลายเสียจนปั้นขลิบที่นั่งเล่นอยู่ต้องรีบวิ่งมาเกาะขอบประตูครัวทันที
กลิ่นหอมนั้นไม่ได้อบอวลอยู่แค่ในรั้วบ้าน แต่มันยังลอยข้ามรั้วสังกะสีผุพังไปไกลจนถึงบ้านข้างเคียง ป้าชื่นเจ้าของร้านโชห่วยที่กำลังกวาดพื้นอยู่หน้าบ้านถึงกับต้องหยุดชะงัก หันมาสูดจมูกฟุดฟิดไปทางบ้านของครูสิงห์
"เอ...บ้านครูสิงห์ ทำอะไรกินกันวันนี้ หอมมาถึงนี่เชียว"
ป้าชื่นบ่นพึมพำกับตัวเอง และเพราะทนความหอมยั่วน้ำลายไม่ไหว สุดท้ายจึงตะโกนข้ามรั้ว
"สิงห์เอ๊ย! ทำห่อหมกกินเหรอ? โอ๊ยยย...กลิ่นหอมโขมงโฉงเฉงไปทั่วซอยแล้วนะพ่อคุณ!"
สิงห์ที่นั่งมองลูกสาวทำกับข้าวด้วยความทึ่งอยู่ พอได้ยินเสียงข้างบ้านร้องทักก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจระคนประหลาดใจ เขามองไปยังร่างเล็ก ๆ ของปลากริมที่กำลังยืนเฝ้าซึ้งนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ... นี่น่ะหรือ...ลูกสาวของเขา? เด็กหญิงปลากริมที่เขาไม่เคยคิดว่าจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน...
ดูเหมือนว่าแสงสว่างที่เขาเห็นในแววตาของลูกสาวเมื่อครู่...กำลังจะกลายเป็นแสงแห่งความหวังที่แท้จริงของครอบครัวเสียแล้ว ปลากริมนั้นไม่รู้เลยว่าการเปิดครัวครั้งแรกได้เรียกไฟที่มอดไหม้ของคนเป็นพ่อให้กลับมาอีกครั้ง
หลายปีต่อมา...ในคืนวันศุกร์ที่แสนคึกคักใจกลางย่านพระอาทิตย์...แสงไฟนีออนสีน้ำเงินนวลสาดส่องลงบนป้ายชื่อร้านที่ออกแบบอย่างมีรสนิยม... "พระอาทิตย์ บลูส์" (Phra Athit Blues) นี่คือไพรเวทแจ๊สคลับที่หรูหราและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในพระนคร และเจ้าของคลับแห่งนี้ก็คือสองหนุ่มโสดที่เนื้อหอมมากที่สุด...ข้าวเหนียวและปั้นขลิบ บรรยากาศภายในคลับอบอวลไปด้วยเสียงดนตรีแจ๊สสด ๆ ที่บรรเลงอย่างนุ่มนวลกลิ่นหอมของซิการ์ชั้นดีและเสียงพูดคุยของเหล่าแขกผู้มีระดับ...ทั้งนักธุรกิจ ทูตานุทูตและศิลปินชื่อดัง ข้าวเหนียวในชุดสูทสั่งตัดอย่างดีกำลังยืนพูดคุยกับกลุ่มนักธุรกิจชาวต่างชาติด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว...ส่วนปั้นขลิบก็กำลังโปรยเสน่ห์ให้กับกลุ่มคุณหนูไฮโซที่โต๊ะข้างเวที...ซึ่งทั้งสองคนได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ ที่โต๊ะVIP ที่ดี
หลังจากที่สองสหายคู่ซี้อย่างข้าวเหนียวและปั้นขลิบ...ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋...ได้เดินทางกลับมาถึงพระนครหลังจากไปทำหน้าที่อาสา พวกเขาก็ได้รับวันหยุดพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเมื่อสองหนุ่มโสด...โปรไฟล์ดี...ผู้มีพลังงานล้นเหลือได้กลับคืนสู่เมืองหลวง...ค่ำคืนแห่งความสนุกสนานก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง... และเบื้องหลังรอยยิ้มที่มีเสน่ห์นั้น...พวกเขาก็บังเกิดความคิดที่จะสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมาบ้างนอกจากจะช่วยดูแลกิจการของครอบครัว ดังนั้นในเย็นวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ที่เลานจ์หรูของร้านเลอ บัว เบลอ หลังจากที่ช่วยปลากริมดูแลความเรียบร้อยของร้านแล้ว ปั้นขลิบก็ได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ "พี่ข้าวเหนียว...พอผมเห็นพี่ปลากริ
หลังจากเรื่องราวภายในครอบครัวผ่านพ้นมาได้ด้วยดีครอบครัวใหญ่แห่งบ้านสิงหราชก็ได้เติบโตและงอกงามขึ้นอย่างมีความสุข มะตูมและนีรนาถมีทายาทชายคนแรกเป็นโซ่ทองคล้องใจ ส่วนปลากริมและเทวากรก็มีลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าชัง... ค่ำคืนหนึ่งบนโต๊ะอาหารที่แสนอบอุ่นและคึกคักของบ้านสิงหราช เพชรในยศร้อยตรีกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงวันหยุด เขาได้เห็นภาพความสุขของทุกคนในครอบครัว...และมันก็ทำให้เขาตัดสินใจในเรื่องสำคัญในชีวิตออกมาได้ คืนเดียวกันนั้นหลังจากที่สมาชิกภายในครอบครัวได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจเข้าไปคุยกับสิงห์และบัวผู้ที่เปรียบเหมือนพ่อแม่เป็นการส่วนตัว... "พ่อครูครับ...แม่บัวครับ..." เขาเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงความหนักแน่น "ผมได้อาสาสมัครไปประจ
ท่ามกลางการเติบโตของทุกคน กาลเวลาเองก็ได้เปลี่ยนเด็กชายขี้อายที่ชื่อดิน...ให้กลายเป็นชายหนุ่มผู้สุขุมและน่าเกรงขามในวงการมวยไทย บัดนี้เขาคือโปรโมเตอร์ดิน สิงหราช ผู้ก่อตั้งสิงหราชโปรโมชั่นและเป็นหนึ่งในโปรโมเตอร์หนุ่มที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของเวทีราชดำเนิน สำนักงานของเขาที่เช่าไว้มุมหนึ่งของสนามมวยไม่ได้ใหญ่โตหรูหรา แต่มันคือศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว ผนังห้องเต็มไปด้วยโปสเตอร์รายการมวยที่เขาเคยจัด รูปถ่ายขาวดำของนักมวยในค่ายที่คว้าชัยชนะและกระดานดำขนาดใหญ่ที่ขีดเขียนตารางการซ้อมและรายชื่อคู่มวยไว้จนเต็ม เสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานของเขาดังขึ้นแทบจะตลอดทั้งวัน..."ครับพี่...เรื่องน้ำหนักของเจ้าสมิงขาวไม่น่ามีปัญหาครับ...เดี๋ยวผมจะคุมด้วยตัวเอง" เขาพูดสายหนึ่ง ก่อนจะวางหูแล้วรับอีกสาย&nbs
หนึ่งปีผ่านไป...หลังจากที่ทุกคนได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านสิงหราช... บ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์วันหนึ่ง บรรยากาศในบ้านดูจะคึกคักและมีพิรุธมากเป็นพิเศษ...โดยที่ทุกคนในครอบครัวสิงหราชต่างก็รู้ดีว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น...ยกเว้นเพียงคนเดียว...คือปลากริมที่หารู้เรื่องรู้ราวใด ๆ เทวากรที่ตอนนี้กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มเต็มตัว กำลังยืนอยู่หน้ากระจกด้วยท่าทีที่ประหม่ามากที่สุดในชีวิต ในมือของเขาคือกล่องกำมะหยี่ขนาดเล็กที่บรรจุแหวนหมั้นวงงาม...ซึ่งเขาได้ซักซ้อมแผนการของตนเองกับเหล่าพี่ชายของหญิงสาวในดวงใจเป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าคนทั้งคู่จะเป็นคู่หมายกัน...ทว่าสำหรับเทวากรแล้วเขาอยากจะทำให้ทุกช่วงเวลาของเขากับปลากริมเต็มไปด้วยความหมาย "ผมจะรอจังหวะที่น้องซ้อ
สามปีผ่านไป... กาลเวลาได้นำพาเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวแห่งบ้านสิงหราชและบ้านเมธาวินเติบโตขึ้นสู่เส้นทางแห่งเกียรติยศและความสำเร็จ มะตูมกับเพชรหลังจากเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย...พวกเขาก็ได้บรรจุเข้ารับราชการเป็นนายตำรวจและนายทหารหนุ่มอนาคตไกล ด้วยผลงานการชกมวยที่สร้างชื่อให้กับประเทศชาติในนามทีมชาติสมัครเล่น จึงทำให้พวกเขาได้รับราชการอยู่ในเขตพระนครทำให้คนทั้งคู่สามารถกลับมาดูแลค่ายมวยและครอบครัวได้เสมอ ส่วนปลากริม...หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัย เธอก็ได้เข้ามาดูแลและพัฒนาสูตรอาหารและขนมให้กับกิจการทั้งหมดของครอบครัว ทั้งร้านเลอ บัว เบลอและโรงแรมเมธาวินแกรนด์...ในฐานะคู่หมายอย่างเป็นทางการของเทวากร...