สองแม่ลูกจูงมือกันรีบเดินไปทางชายหนุ่มสวมเสื้อแขนยาวสีเขียวขี้ม้าที่กำลังเก็บฟืนอยู่ห่างออกไป
“สามี ฉันกับลูกต้องการให้คุณเดินไปกับพวกเราค่ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานของคนเป็นภรรยาทำให้หรูจื่อหันมามองเธอด้วยสีหน้าสงสัย
“ไปไหนหรือครับ” เขาถามพลางเก็บฟืนใส่ลงในกระบุงของตน
“พ่อฮับ ผมได้ยินเสียงร้องมาจากทางป่าไผ่” เด็กชายชี้นิ้วไปทางป่าไผ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากที่พวกเขายืนอยู่
“ป่าไผ่ เสียงร้อง เสียงนั้นดังแบบไหนเหรอ”
“ฉันลองตั้งใจฟังดูแล้วคล้ายกับเสียงร้องของเด็กทารกเลยค่ะ” คำตอบของภรรยาได้เรียกความตกใจให้กับอดีตทหารหนุ่มไม่น้อย
“ยังมีคนกล้าเอาเด็กมาทิ้งอีกอย่างนั้นเหรอ ไปเถอะ พวกเรารีบไปดูกันหากชักช้าเด็กอาจจะไม่รอด” แม้ว่าการก้าวเดินของเขาจะค่อนข้างลำบากกระนั้นเจ้าตัวก็ยังเดินโขยกเขยกได้ไวกว่าลูกเมีย
‘เจ้านายกำลังมีคนมา’ ระบบส่งเสียงเตือนเจ้านายตัวน้อยที่กำลังพยายามหันซ้ายหันขวา
‘เขามาดีหรือมาร้าย’ หรูฟู่ซิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาครามคร
‘เป็นครอบครัวหรูที่ผมเคยเล่าให้เจ้านายฟังครับ’ คำตอบของระบบนำพาความโล่งใจมาให้หญิงสาวในรูปลักษณ์ของเด็กทารกเป็นอย่างมาก
‘ฮูว์! ค่อยยังชั่วหน่อยฉันนึกว่าจะเป็นคนไม่ดีซะอีก ระบบว่าแต่เรื่องยานายมีไหม’
หรูฟู่ซิงระบายลมหายใจออกมาพลางถามถึงเรื่องก่อนหน้า ‘มีครับ แต่ว่าเจ้านาย คือว่าเอ่อ สินค้าในระบบค่อนข้างมีราคาดังนั้นเกรงว่าในตอนนี้เจ้านายยังไม่อาจซื้อได้’ ระบบกล่าวเสียงอ่อย
“แอ๊!” (อะไรนะ) หรูฟู่ซิงส่งเสียงดังออกมาอย่างลืมตัว
สามพ่อแม่ลูกเมื่อได้ยินเสียงร้องนี้พวกเขาต่างก็เร่งฝีเท้าของตน “ไม่ผิดแน่ เป็นเสียงร้องของเด็กจริง ๆ” หรูจื่อพูดขึ้นในขณะเดียวกันเจ้าตัวก็ใช้ไม้ค้ำรีบเดินไปตามเสียงที่ได้ยินโดยมีลูกชายและภรรยาเดินตามหา
“สามี คุณเดินช้าลงหน่อยหากหกล้มขึ้นมาจะลำบากนะคะ” เสียงของภรรยาสาวหาได้หยุดการก้าวเท้าของชายหนุ่มแต่อย่างใด
“ผมไม่เป็นไร แต่คุณกับเสี่ยวเฉินช้าลงหน่อย ลูกชายของเรายังเล็ก” คนเป็นสามีตอบกลับเมื่อหันมาเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของบุตรชายแดงก่ำ
“ฉันจะแบกเขาขึ้นหลังค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับนั่งยองหันหลังให้บุตรชาย “แม่จะหนัก” เขาลังเล
“ไม่หนักจ้ะ ลูกแม่ตัวเล็กนิดเดียวผอมบางขนาดนี้จะหนักได้ยังไง” เมื่อคนเป็นแม่ยืนยันเช่นนี้เจ้าตัวเล็กจึงได้ยอมแนบหน้าอกของตนลงกับแผ่นหลังของมารดา
ทางด้านหนึ่งเด็กกับระบบ
‘เจ้านายใจเย็น’
‘เหอะ! เย็นได้เหรอ ฉันตัวแค่นี้ต้องรอเมื่อไหร่กันถึงจะหาเงินได้’ หรูฟู่ซิงอยากจะร้องไห้
(ไหนล่ะมิติ ในล่ะของในระบบที่สามารถซื้อหาได้ ทำไมการย้อนยุคของฉันต้องซวยขนาดนี้ด้วย) เจ้าตัวคิดด้วยความคับแค้นจึงทำให้ร่างกายของเธอหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบงัน
‘เจ้านาย สินค้าที่ทางศูนย์ใหญ่ของผมต้องการนั้นคนในยุคนี้กลับมองว่าไร้ค่านะครับ’ คำพูดของระบบได้เข้าหูของเด็กน้อยทันที
‘หมายความว่าของที่เกี่ยวข้องกับสี่เก่าใช่ไหม’ หรูฟู่ซิง ถามขึ้นอย่างมีความหวัง
เพราะเท่าที่เธอรู้มาในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมนั้นมีการเผาทำลายสิ่งของรวมถึงตำราที่สื่อถึงการเกี่ยวข้องกับสี่เก่า[1]เป็นจำนวนมากมายอีกทั้งมีจำนวนไม่น้อยที่ถูกทิ้งราวขยะ
‘เจ้านายเข้าใจได้ถูกต้องแล้วครับ ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะชำรุดมากแค่ไหนก็ตามก็สามารถขายได้ทั้งหมดหรือว่าจะแลกเปลี่ยนเป็นของกินของใช้ก็ได้อีกเหมือนกัน’ ข้อเสนอของระบบฟังดูเย้ายวนใจไม่น้อย
‘เฮ้อ! ถึงจะเป็นอย่างที่เธอว่ามาก็เถอะแต่ตอนนี้ฉันเป็นเด็กทารกนะ ฉันจะไปเอาของเหล่านั้นมาได้จากไหนกัน’ หรูฟู่ซิง กล่าวเสียงเศร้า
‘เจ้านายทำไม่ได้ แต่ว่าครอบครัวของเจ้านายทำได้นี่ครับ’
‘ครอบครัว ระบบเธอลืมไปหรือเปล่าว่าตอนนี้ฉันเป็นเพียงเด็กถูกทอดทิ้งนะ จะไปมีครอบครัวได้ยังไง’ เมื่อถูกระบบจี้ใจดำหรูฟู่ซิงก็ได้แผดเสียงร้องไห้ของตนดังลั่นไปทั้งป่าไผ่แห่งนี้
สามคนพ่อแม่ลูกเพิ่งจะเดินมาถึง พวกเขาก็มองไปยังห่อผ้าสีขาวหม่นที่อยู่ภายใต้กอไผ่พร้อมกัน
“ตรงนั้นฮับ” นิ้วเล็ก ๆ ของบุตรชายชี้ไปยังสิ่งที่เห็นทันที
หรูจื่อเดินโดยใช้ไม้ค้ำไปทางห่อผ้านั้นด้วยความร้อนใจ (หวังว่าเด็กยังคงปลอดภัย) เจ้าตัวภาวนาเช่นเดียวกับภรรยาสาวที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยก็ตาม
ใบหน้าอันหล่อเหลาของหรูจื่อชะโงกมองเด็กหญิงตัวน้อยผิวขาวในห่อผ้าด้วยความอยากรู้ก่อนที่จ้าวเหยาผู้วางบุตรชายยืนบนพื้นจะเข้ามาดูเด็กน้อยด้วย
“พ่อ แม่ น้องน่ารักมากเลย” เสียงเล็ก ๆ ของบุตรชายได้เอ่ยทำลายความเงียบออกมา
หรูฟู่ซิงรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นท่าทางของคนทั้งสามดังนั้นหล่อนจึงได้เผยรอยยิ้มออกมาทั้งปากและตาซึ่งการกระทำเช่นนี้ของเธอได้ทำให้หัวใจของทั้งสามรู้สึกละลาย
“น่ารักเหลือเกิน” คนทั้งสามต่างพูดออกมาเหมือนกัน
“แอ๊!” เสียงท้องของเด็กทารกดังขึ้นจึงทำให้หรูฟู่ซิงอับอายหล่อนจึงได้เผลอร้องออกมา
“ภรรยาผมว่าคุณอุ้มเขาขึ้นมาเถอะ ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นหญิงหรือชาย แต่หากให้ผมเดาคิดว่าเด็กคงเป็นหญิงไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกทิ้งเข้ามาลึกถึงเพียงนี้”
จ้าวเหยาไม่รอช้าเธอรีบเปิดห่อผ้าของเด็กน้อยออกทันที และการกระทำเช่นนี้ของเธอจึงได้ทำให้หรูฟู่ซิงตกใจเจ้าตัวจึงส่งเสียงร้องออกมาอีก
“โอ๋ ๆ ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ต่อไปนี้ฉันจะเป็นแม่ให้หนูเอง” หญิงสาวอุ้มเด็กหญิงขึ้นแนบอกแห่กล่อมเธอดั่งเช่นที่เคยกล่อมบุตรชาย
“พ่อฮับ ต่อไปผมจะมีน้องแล้วใช่ไหม” ดวงตาใสบริสุทธิ์ของบุตรชายยังคงไม่ละไปจากใบหน้ากลมเกลี้ยงของเด็กหญิงที่อยู่ในอ้อมแขนแม่ของตน
“ใช่ครับ ต่อไปนี้เสี่ยวเฉินจะได้เป็นพี่ชายแล้ว ภรรยาครับเด็กเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” มือใหญ่ของคนเป็นพ่อลูบหัวเล็ก ๆ ของเขาพลางถามภรรยา
“คุณเดาถูกค่ะ เด็กคนนี้เป็นหญิง” น้ำเสียงของจ้าวเหยาค่อนข้างเศร้า ชะตากรรมของผู้หญิงในยุคนี้หาใช่จะอยู่สุขสบาย
“เป็นผู้หญิงก็ดีนี่ครับ ไม่ใช่ว่าคุณกับผมอยากได้ลูกสาวมาให้เสี่ยวเฉินตลอดหรอกเหรอ ในเมื่อฟ้าประทานเด็กคนนี้มาให้แล้วพวกเราก็เลี้ยงเขาเถอะ”
“พ่อ แม่ ผมมีน้องสาวแล้วใช่ไหมฮับดีจังเลย น้องสาวพี่จะรักและดีกับเธอให้มาก ๆ เลยนะ” คำพูดอันไร้เดียงสาของเด็กน้อยนำพาความตื้นตันมาให้หรูฟู่ซิงเป็นอย่างมากเธอจึงส่งเสียงอ้อแอ้เป็นการตอบรับ
“คุณคะ ฉันรู้สึกว่าเด็กคนนี้ฉลาดมาก คุณดูสิมีเด็กทารกปกติที่ไหนหิวแล้วไม่ร้องไห้งอแงบ้าง ทว่าเด็กคนนี้ท้องร้องเสียงดังขนาดนี้หล่อนยังส่งเสียงทักทายพวกเราและยิ้มให้อีก”
“ผมเห็นด้วยกับคุณนะ ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อแม่ของหล่อนช่างใจร้ายทิ้งลูกน่ารัก ๆ ได้ลงคอ” หรูจื่อพูดไปพลางเอานิ้วของตนเขี่ยแก้มกลมอวบอิ่มของเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของภรรยา
มือน้อย ๆ ของหรูฟู่ซิงได้เอื้อมมาจับนิ้วหยาบของเขาก่อนจะส่งยิ้มออกมาอีก “เด็กดี ต่อจากนี้ฉันจะเป็นพ่อให้หนูนะ”
“น้องสาว เรียกว่าพี่ชายนะ” คำพูดของเสี่ยวเฉินได้เรียกเสียงหัวเราะจากพ่อแม่
“น้องยังเล็กลูก น้องยังพูดไม่ได้” จ้าวเหยากล่าวให้บุตรชายฟังแต่หารู้หรือไม่ว่าเด็กทั้งสองกลับสื่อสารกันได้อย่างประหลาด
‘พี่ชาย ต่อไปนี้ห้ามบอกใครนะว่าพี่ฟังฉันรู้เรื่องจนกว่าฉันจะอนุญาตตกลงไหม’
“อืม” เสี่ยวเฉินขานรับในลำคอ
“สามี แล้วคุณจะให้เธอชื่อว่าอะไรคะ”
“เรื่องนี้เอาไว้กลับถึงบ้านค่อยคิดดีไหมครับ ผมว่ารีบพาเธอออกจากป่าเถอะจากนั้นก็ต้องไปซื้อนมเอามาให้หล่อนกิน”
‘เจ้านายผมยินดีด้วยคุณได้ครอบครัวแล้ว’ เสียงเล็ก ๆ ของระบบเต็มไปด้วยความสดใส
‘อืม แต่ฉันอยากช่วยครอบครัวจังเลย จะทำยังไงดี’ เจ้าตัวเล็กทำปากขมุบขมิบมือน้อยบีบเข้าหากัน
‘เจ้านาย! เจ้านาย! เรื่องดี ๆ กำลังมาหาคุณแล้วผมเห็นสมุนไพรล้ำค่า ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีสิ่งนี้ ฮ่า ฮ่า’
‘รีบพูด’ หรูฟู่ซิงเร่ง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1]ในช่วง ปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) ของจีน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี 1966-1976 ภายใต้การนำของประธานเหมา เจ๋อตง (Mao Zedong) หนึ่งในแคมเปญสำคัญคือการทำลายสิ่งที่เรียกว่า "สี่เก่า" (Four Olds) หรือ "ซื่อจิ่ว" (四旧) ซึ่งประกอบไปด้วย:
ความคิดเก่า (Old Ideas): แนวคิดและปรัชญาเก่าที่สะท้อนถึงระบบสังคมก่อนการปฏิวัติ เช่น ค่านิยมทางศาสนา คำสอนขงจื๊อ หรือความเชื่อดั้งเดิม
วัฒนธรรมเก่า (Old Culture): วัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมที่ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสังคมใหม่ เช่น ศิลปะ วรรณกรรม และการแสดงที่สะท้อนวัฒนธรรมเก่า
ประเพณีเก่า (Old Customs): ประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติที่ถูกมองว่าไม่สอดคล้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ เช่น พิธีการทางศาสนา งานเทศกาล หรือการแต่งกายตามแบบเก่า
นิสัยเก่า (Old Habits): พฤติกรรมและวิถีชีวิตที่ถูกมองว่าขัดขวางการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น การใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย การดำเนินชีวิตตามแบบชนชั้นสูง หรือวิธีการค้าขายแบบเก่า
การรณรงค์ทำลาย "สี่เก่า" นี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการปฏิวัติทางวัฒนธรรมและสังคม โดยมีการกระตุ้นให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน "เรดการ์ด" (Red Guards) ทำลายวัตถุโบราณ เผาตำรา และโจมตีบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของสี่เก่า เช่น ครู นักวิชาการ นักเขียน และนักศิลปะที่ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเก่า ผลกระทบของการรณรงค์นี้ทำให้มรดกทางวัฒนธรรมจำนวนมากถูกทำลายไป และเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางสังคมในประวัติศาสตร์ของจีน
คล้อยหลังจากรถยนต์คันหรูจากไป เมิ่งหลิงก็หันมาหาคนที่ไปบอกพวกตนที่บ้านว่าหรูจื่อไปทำให้คนขุ่นเคืองทันที“สหายคนนั้นหยุดเดี๋ยวนี้” เสียงของเมิ่งหลิงตะโกนอย่างดุดันชายร่างผอมสวมเสื้อผ้าหยาบเหมือนกับชาวบ้านทั่วไปสะดุ้งจนตัวโยน“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เขาแย้งอย่างร้อนตัว“ไม่ผิด! คุณไปบอกพวกเราว่าหรูจื่อถูกจับเพราะไปทำให้คนใหญ่คนโตขุ่นเคืองเขาถึงได้ตามมาเอาเรื่องไม่ใช่เหรอ อย่างนี้จะเรียกว่าไม่ผิดได้ยังไง” เมิ่งหลิงไม่ปล่อยผ่าน“หวังเค่อ คุณไปพูดอย่างนั้นได้ยังไงครับ การที่คุณทำให้คนอื่นเสียหายเช่นนี้ ห็นทีว่าผมคงจะต้องส่งคุณไปให้ผู้กำกับสวีปรับทัศนคติ” คำพูดของเจิ้งฟู่ฉีทำให้เข่าของเจ้าของชื่อพลันอ่อนยวบ“หัวหน้าหน่วยเจิ้ง ผมอาสาไปส่งเขาเอง” ฉางซูเหิงกล่าวออกมาเสียงดังโดยมีซ่งเจียหาวพยักหน้าสนับสนุน“ผมไม่ไป ผมขอโทษ ปล่อยผมไปเถอะ ต่อไปนี้ผมรับรองว่าจะไม่พูดจาเหลวไหลแบบนี้อีกแล้ว” ชายคนนั้นเอ่ยขอร้องทั้งน้ำตา หว่างขาของเขามีน้ำไม่พึงประสงค์ไหลออกมาจนเปียกชุ่ม“เหม็นชะมัด! พวกเราแยกย้าย” ชาวบ้านจำนวนมากที่หวังชมเรื่องสนุกพากันถ
นายทหารคนนี้พาชายหนุ่มทั้งคู่เดินมายังห้องทำงานของเจ้าของบ้านที่กำลังมีใบหน้าเคร่งเครียดเสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่เขากำลังลูบแหวนหยกที่สวมติดนิ้วโป้งข้างขวาในยามมีเรื่องไม่สบายใจ“เข้ามา” น้ำเสียงดุดันดังขึ้นก่อนประตูจะเปิดออกจากคนด้านนอก“สหายเจียง คุณมาแล้ว” เจ้าของห้องลุกขึ้นยืนอย่างมีความหวังเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร“สวัสดีครับท่าน” เจียงหย่งเฉียงถอดหมวกค้อมเอวลงกล่าวทักทายอย่างสุภาพ“ไม่ต้องมากพิธี ว่าแต่นี่ใครอย่างนั้นเหรอ” ชายวัยกลางคนที่อยู่ในห้องเดินเข้ามาหาเขาอย่างสนิทสนมพร้อมกับส่งสายตาเป็นสัญญาณให้นายทหารคนนั้นออกไปเสียงประตูปิดลง เจียงหย่งเฉียงจึงได้แนะนำหรูจื่อออกมาด้วยรอยยิ้ม “น้องชายของผมเองครับ” น้ำเสียงของเขาฉายแววภาคภูมิใจอยู่ในที“น้องชาย! ใช่คนที่สหายเล่าให้ฟังเมื่อครั้งก่อนหรือเปล่า อืมดูหน่วยก้านไม่เลวแต่ว่าทำไมถึง” คำพูดของเขาหยุดลงเมื่อสังเกตเห็นการเดินของหรูจื่อ“สวัสดีครับ ผมหรูจื่อและนี่ลูกสาวของผมอ้ายอ้าย” หรูจื่อหาได้รู้สึกถึงปมด้อยของตนถอดหมวกค้อมเอวลงทักทายเขาและแนะนำเจ้าตัวเล็กในกระเป๋
เสียงหวูดรถไฟดังกังวานไปทั่วสถานีเพื่อเตือนผู้คนให้เตรียมตัว “รถไฟมาแล้ว” เจียงหย่งเฉียงพูดขึ้นพลางกระชับกระเป๋าถือทำจากหนังสีน้ำตาลอ่อนในมือและเมื่อขบวนรถไฟสีเขียวเข้มที่มีเส้นคาดสีเหลืองจอดนิ่งอยู่บนราง ผู้โดยสารที่สวมเสื้อผ้าล้วนแล้วแต่เป็นสีเข้มแบบเรียบง่าย หรือไม่ก็เป็นชุดทหารตามความนิยมก็เริ่มทยอยกันเดินออกจากตู้ด้วยท่าทางไม่รีบไม่ร้อนเจ้าตัวเล็กในกระเป๋าเป้สะพายด้านหน้าของคนเป็นพ่อมองผู้คนในยุคนี้ที่หลายคนแบกกระสอบผ้าป่านขึ้นบ่าหรือไม่บางคนก็ถือกล่องไม้มัดด้วยเชือกป่านอย่างสนใจจนกระทั่งเธอได้เข้ามาด้านในขบวนรถไฟ ดวงตาของเด็กหญิงก็ไม่วายมองสำรวจทางนั้นทีทางนี้ทีด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกคำรบตัวม้านั่งโดยสารเป็นไม้แข็งเรียงกันสองฝั่ง บางส่วนมีเบาะหนังแบบเก่าซึ่งเริ่มลอกออกเนื่องจากผ่านการใช้งานหนักมาอย่างยาวนานพื้นที่ตรงกลางทางเดินค่อนข้างคับแคบจากการที่มีสิ่งของรวมถึงสัมภาระล้นออกจากการถูกวางกองไว้ใต้ที่นั่งหรือบนชั้นวางเหล็กเหนือหัว จึงทำให้ทุกสิ่งดูระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ เสียงพูดคุยของผู้คนที่มาอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมากดังจอแจแล
เป๋าเอ๋อร์ นายช่วยดูหน่อยสิว่าพ่ออยู่ที่ไหน ทำไมเย็นป่านนี้แล้วเขาถึงยังไม่กลับมาอีก เจ้าตัวเล็กที่กำลังชะเง้อคอยาวคล้ายยีราฟเข้าไปทุกทีอดเป็นกังวลไม่ได้จึงได้สื่อสารกับระบบคู่หูอย่างกังวลได้เลยครับ สิ้นคำของระบบเจ้าตัวพลันรับรู้ได้ทันทีว่าบิดาของเจ้านายอยู่ตรงไหนและกำลังทำอะไร‘พ่อ! คุณกำลังทำอะไรอยู่ครับ ทำไมถึงยังไม่กลับบ้านอีก’ หรูจื่อค่อนข้างตกใจในเสียงที่ได้ยิน‘ท่านเทพเหรอ พอดีว่าผมกำลังดูเจ้าพืชต้นนี้อยู่เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนว่ามันคืออะไร แต่สหายจิงบอกว่ามันคือโสม แต่หล่อนก็ไม่มั่นใจพวกเราจึงได้แต่รั้ง ๆ รอ ๆ ว่าจะเอายังไงดี’‘มันคือโสมและอายุของมันไม่น้อยกว่าห้าสิบปีดังนั้นพ่อสามารถขุดมันขึ้นมาได้เลย แต่จะต้องระวังรากของมันหน่อยหากว่ารากมีความสมบูรณ์มากราคาเองก็จะดีตามมาด้วยเช่นกัน’เมื่อหรูจื่อได้ยินคำพูดยืนยันเช่นนี้ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่รอช้าเขาจึงนั่งยองและใช้มีดสั้นที่เหน็บเอวเอาไว้เริ่มทำการขุดดิน รอบ ๆ ต้นพืชชนิดนี้อย่างระมัดระวัง“พี่ชาย คุณทำอะไร” ฉางซูเหิงถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้“สหายจ
“เงินนี่มันจะไม่มากเกินไปหรือครับ” หรูจื่อมองธนบัตรที่วางเป็นปึก ๆ ตรงหน้าถามออกมาด้วยความกังวล“ไม่มากหรอก น้องหรูรับไปเถอะอย่าได้เกรงใจ แต่ผมขอแนะนำให้สหายนำเงินไปฝากกับธนาคารของรัฐจะดีกว่าเงินมากแบบนี้พกไปไหนมาไหนด้วยย่อมไม่ปลอดภัย เอาอย่างนี้ก็แล้วกันผมจะให้เจียงเทาพาไป” เถากวางโถวพูดเองเออเองเสร็จสรรพ“ถ้าอย่างนั้น ผมต้องขอรบกวนท่านแล้ว” หรูจื่อเองก็เห็นด้วยแม้ว่าท่านเทพจะสามารถช่วยรักษาเงินจำนวนนี้เอาไว้ได้ก็จริง แต่ว่าต่อหน้าคนที่ไม่รู้การที่เขาจะรับน้ำใจแบบนี้ไว้ย่อมไม่เสียหายในขณะที่ผู้ใหญ่กำลังเจรจา เจ้าตัวเล็กอ้ายอ้ายที่ถูกคุณนายของบ้านอุ้มออกมายังอีกห้อง ในตอนนี้เธอกำลังกลายเป็นตุ๊กตาตัวน้อยโดยการที่คุณนายกับลูกสาวจับแต่งตัวกำลังอ้าปากหาวด้วยความเบื่อหน่าย“แม่คะ เจ้าตัวเล็กคงจะง่วง” เถาเหลียนฮวาพูดขึ้นหลังจากเธอได้รับการตรวจร่างกายและมาเล่นกับเด็กหญิง“นั่นสิ จะว่าไปเด็กคนนี้ไม่งอแงเหมือนเด็กคนอื่นเลยน่ารักเลี้ยงง่ายและบางครั้งก็ดูเหมือนว่าจะฟังพวกเรารู้เรื่องด้วย” หลินหงพูดขึ้นพลางอุ้มเจ้าตัวน้อยมากล่อมนอนหรูจื่อที่เดินตามเจ้
“หากคุณได้รับยาต่อเนื่องอาการคงไม่ร้ายแรงเท่านี้ แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่ไม่สายจนเกินไป” หมอผู้อยู่ในชุดกราวน์สีขาวสวมหน้ากากอนามัยพูดขึ้นต้วนฉีเหวินไม่ได้ถูกจัดให้นอนในโรงพยาบาลเนื่องจากเตียงผู้ป่วยไม่เพียงพอ ดังนั้นหลังจากรับยาเขาจึงต้องกลับมาพักที่บ้านซึ่งเรื่องนี้ย่อมนำพาความยินดีมาให้สองสามีภรรยาไม่น้อยเป๋าเอ๋อร์ นายไม่มียารักษาเหรอ เจ้าตัวเล็กหรูฟู่ซิงถามขึ้นในระหว่างที่พวกเธอกำลังนั่งรถลากกลับบ้านต้วนมีครับ แต่ที่ให้เขามาหาหมอก็เพื่อที่ผมจะได้นำยาออกมาใส่ให้เขากินได้สะดวก เป็นยังไงความคิดของผมฉลาดมากเลยใช่ไหมล่ะ หากเจ้าตัวมีหางหรูฟู่ซิงคาดว่าหล่อนคงจะได้เห็นหางเล็ก ๆ ของเขากระดิกไปมานายยอดเยี่ยมที่สุดในสามโลกเลยสหาย หรูฟู่ซิงไม่ทำให้เขาผิดหวังเธอกล่าวชมออกมาอย่างจริงใจเสียงหัวเราะอันเบิกบานของคนตัวเล็กทำให้นางเมิ่งกับหรูเฉินพลันเกิดความรู้สึกอารมณ์ดีตามรถลากทั้งสามคันกำลังเลี้ยวเข้าไปทางตรอกในทิศใต้ โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าได้มีคนจับตามองด้วยแววตาวาววับ “รีบไปบอกหัวหน้า” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นคล้อยหล