“ผู้ใหญ่บ้าน! หัวหน้าหน่วย! พวกคุณมาทำอะไรที่บ้านของฉัน” เสียงของนางหวังดังขึ้นทางด้านหลังในสภาพตัวเปียก “สหายหวัง คุณไปทำอะไรมาทำไม..” เซี่ยฉางอันชี้นิ้วของตนถามขึ้นอย่างสังสัย
ส่วนหม่าหาวหวังกับซ่งจือเทียนต่างกำลังยกนิ้วบีบจมูกของตน “กลิ่นเหม็นนี่มันอะไรกัน แล้วมาจากไหน” น้ำเสียงของซ่งจือเทียนดังขึ้นอย่างอู้อี้
“เรื่องของฉันเถอะ ว่าแต่พวกคุณมาทำไม” นางหวังรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและยิ่งเมื่อหล่อนเห็นสีหน้าเย้ยหยันของนางเมิ่งหล่อนก็ไม่สบอารมณ์
“โกว่ซุนไปลักขโมยของบ้านสหายเมิ่งดังนั้นพวกเราก็เลยพากันมาที่นี่” คำตอบจากปากเซี่ยฉางอันทำให้ใบหน้าของนางหวังราวกับนักแสดงงิ้วนางเต้นผ่าง
“นางเมิ่ง! มันจะมากไปแล้วนะ ข้อหาขโมยร้ายแรงถึงขั้นยิงเป้าได้เลย แกอย่ามาใส่ร้ายลูกของฉันแบบนี้” นางหวังชี้นิ้วมาทางนางเมิ่งตอบโต้ด้วยความโกรธ
“สหายหวัง หากว่าลูกชายของคุณไม่ได้ทำผิดคุณจะกลัวไปทำไม ผู้ใหญ่บ้านผมว่ารีบเข้าไปในบ้านเถอะอยู่ตรงนี้นานผมชักจะทนไม่ไหวอยู่แล้วกลิ่นอะไรแรงเหลือเกิน” เมื่อเซี่ยฉางอันได้ยินหม่าหาวหมิงพูดออกมาแบบนี้ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้แต่ต้องทำตาม แม้ว่าเจ้าของบ้านจะไม่ให้ความร่วมมือก็ตาม
“ไม่ได้นะครับ จะเข้ามาไม่ได้” โก่วซุนพยายามเอาตัวขวางสุดชีวิต
“ถอยไป ไม่อย่างนั้นฉันจะให้คนไปตามทหารแดง” คำพูดนี้ดูเหมือนจะได้ผลเพราะได้หยุดการกระทำของโก่วซุนได้อย่างดี ภายในบ้านปูนผสมอิฐเป็นแบบเปิดโล่งไร้ซึ่งห้องกั้นไม่ว่าจะครัวหรือที่นอนต่างรวมอยู่พื้นที่เดียว
“ที่นอนพวกนั้นเป็นของบ้านฉัน” เมิ่งหลิงรีบพูดขึ้นทันทีพลางสาวเท้าเดินไปยังที่นอนเนื้อดีรวมถึงหมอนมุ้งใหม่เอี่ยมที่วางทิ้งขว้างบนเตียงคั่ง
“ของพวกนี้เป็นของบ้านเรา” นางหวังโพล่งขึ้นอีกทั้งยังรีบเดินมายืนบังสายตาของคนทั้งสี่อีกด้วย
“สหายหวัง คุณได้มายังไง” น้ำเสียงของหม่าหาวหมิงเย็นเยียบ นางหวังถึงกับตัวสั่นเทา
“ฉะ...ฉัน” นางคุกเข่าก่อนจะปล่อยโฮอย่างไม่อาย
“ของ ๆ ฉันจะได้มายังไงทำไมต้องบอกด้วย” หล่อนตีโพยตีพายดิ้นเร่าลงกับพื้นบ้านที่เป็นดินราวกับว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม
“สหายหวัง! คุณเลิกร้องไห้และดิ้นพล่านเป็นไส้เดือนถูกน้ำร้อนได้แล้ว หากคุณบริสุทธิ์ก็แค่บอกถึงที่มาของมันแค่นั้นก็พอ” เซี่ยฉางอันรู้สึกปวดหูกับเสียงร้องไห้ของหล่อนตะเบ็งอย่างเหลืออด
“ฉันไม่บอก ว่าแต่ทำไมพวกคุณถึงไม่ถามกับนางเมิ่งดูล่ะว่าถ้าหากของพวกนี้เป็นของหล่อนจริงเธอได้มาจากไหน” นางหวังคิดอย่างเจ้าเล่ห์
หากเธอไม่ยอมรับสักอย่างใครจะทำไมหล่อนจึงได้โยนเผือกร้อนของตัวเองไปให้กับเมิ่งหลิง
“ฉันตอบได้” ทว่าคำพูดของนางเมิ่งกลับทำให้หล่อนรู้สึกผิดคาด
‘เจ้านาย ป้าคนนั้นตลกมากเลย’ น้ำเสียงของระบบเต็มไปด้วยความขบขันยามเมื่อเห็นท่าทางของนางหวังที่กำลังอ้าปากมองนางเมิ่งอย่างไม่อยากเชื่อ
“คุณพูด”
“เป็นคนที่ทิ้งอ้ายอ้ายมอบให้ ของเหล่านี้วางอยู่ข้างกายเธออีกทั้งยังมีจดหมายด้วย” สิ่งที่เมิ่งหลิงพูดออกมารวมถึงจดหมายล้วนแต่เป็นหรูจื่อปั้นแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น
‘พ่อฉลาดมาก’ หรูฟู่ซิงกล่าวชมเนื่องจากเธอไม่คิดว่าจดหมายที่หรูจื่อใช้มือข้างที่ไม่ถนัดเขียนจะมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
“เหอะ! หล่อนบอกว่าเป็นของหล่อนรวมถึงมีจดหมายมาอ้างที่นอนเหล่านี้ก็ต้องเป็นของหล่อนเหรอ นี่ไม่น่าขำเกินไปหรือยังไง” นางหวังเองก็หาใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยทั้งที่ภายในอกของนางกำลังสั่นรัว
ส่วนโก่วซุนในตอนนี้เจ้าตัวเองก็ไม่ได้มีอาการแตกต่างไปจากคนเป็นแม่มากนัก
“ที่..” “โก่วซุน แกออกมาเดี๋ยวนี้” นางเมิ่งกำลังจะพูดต่อทว่าด้านนอกก็ได้มีคนมาส่งเสียงน่ารำคาญขึ้นเสียก่อน
ฉับพลันใบหน้าของโก่วซุนยิ่งซีดราวกับไก่ต้มคูณสอง ขาของเขาสั่นพั่บ ๆ ด้วยความกลัวต่อเจ้าของเสียงเป็นอย่างมาก “หากแกยังไม่ออกมาอีก ฉันจะเข้าไปลากแกเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงนั้นยังคงแสดงความข่มขู่
ในขณะที่พวกคนด้านนอกกำลังบุกเข้ามา คนด้านในนำโดยหม่าหาวหมิงก็เดินออกมากันเสียก่อน
เมื่อนักเลงเหล่านี้มองกลุ่มของหม่าหาวหมิงพวกเขาก็รู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของพวกเขา
“สหายเป็นใคร” คนพูดพ่นก้านดอกหญ้าในปากทิ้งถามขึ้นอย่างระมัดระวังตัว
“หัวหน้าหน่วยแปด หมู่บ้านชิงสุ่ย สหายล่ะเป็นใครมาโหวกเหวกโวยวายอะไรที่นี่”
กลุ่มอันธพาลเริ่มเห็นท่าไม่ดีดังนั้นพวกมันจึงได้แต่ต้องยอมล่าถอยก่อนชั่วคราว
“โกว่ซุนวันนี้แกไม่สะดวกออกมาไม่เป็นไร ยังไงซะแกก็หนีไม่รอดหรอก” มันพูดก่อนจะโบกมือให้ลูกน้องของตน
คนทั้งสามขี่จักรยานออกไปด้วยความเร็ว โดยไม่นำพาถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อในหมู่บ้าน
หลังจากจบเรื่องนี้ หม่าหาวหมิงจึงได้มาสอบสวนเรื่องของนางเมิ่งต่อ และสิ่งที่เมิ่งหลิงพูดออกมาก็ตรงกับสิ่งของเหล่านั้นคราวนี้ทั้งแม่และลูกชายไม่อาจหนีพ้นจากหลักฐานตรงหน้า
‘พี่ชาย การเป็นขโมยนั้นไม่ดีห้ามคุณเอาเป็นแบบอย่างเข้าใจไหม’ น้ำเสียงเล็ก ๆ ของคนเป็นน้องส่งตรงถึงเสี่ยวเฉินที่กำลังมองหนึ่งชายหนุ่มกับหนึ่งหญิงวัยกลางคนร่ำไห้ต่อย่าตน
“อืม” เขารับคำในลำคอ
“ผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าหน่วย อย่าเอาเรื่องลูกชายฉันเลยนะ” นางหวังร้องไห้ปานจะขาดใจ
“เรื่องนี้เราตัดสินใจเองไม่ได้” เซี่ยฉางอันตอบตามจริงแม้ว่าเขาจะไม่อยากให้เรื่องนี้อื้อฉาวก็ตาม ทว่าทั้งหมดก็ต้องอยู่ที่การตัดสินใจของเมิ่งหลิงด้วย
“นางเมิ่ง ฉันขอร้องละ หล่อนจะให้ฉันคุกเข่าโขกหัวคำนับก็ได้” คำพูดของนางหวังทำให้ทุกคนในที่นั้นตัวชา
“นางหวังแกพูดแบบนี้อยากให้ทหารแดงมาจับฉันหรือยังไง” เมิ่งหลิงตะคอกเสียงดัง
ครั้นแล้วนางหวังจึงได้รู้สึกตัวว่าตนได้ทำสิ่งใดผิด เพราะการคุกเข่าโขกหัวคำนับล้วนมีความเกี่ยวข้องกับสี่เก่านั่นเอง
“ถุย ๆ ฉันผิดไปแล้ว” นางหวังรีบตบปากพลางพ่นน้ำลายทิ้ง ในตอนนี้ความกดดันล้วนอยู่ที่เมิ่งหลิงแม้ว่าเธอจะจับขโมยได้แต่ทว่าหล่อนก็ไม่สามารถทำอะไรได้จึงได้แต่ต้องกล้ำกลืนเก็บความอดสูในครั้งนี้เอาไว้
“ฉันขอเป็นเงินชดเชยได้ไหม” หล่อนตัดสินใจพูดออกมา
“เรื่องนี้นับว่าไม่เลว สหายหวังคุณว่ายังไงจะจ่ายเงินหรือจะให้ส่งสหายโก่วไปสำนักงานความปลอดภัย” หม่าหาวหมิงรีบเอ่ยปากทันที
“จ่ายเงิน ฉันยอมจ่ายเงิน” นางหวังรีบตอบด้วยความลนลาน
“สหายเมิ่งต้องการเท่าไหร่ แต่ก็อย่าให้มากเกินไปนักนะ” แม้จะดูเหมือนว่าหม่าหาวหมิงเข้าข้างหล่อนแต่ทว่าหากฟังดูให้ดีจะรู้ว่าเขาแฝงแววข่มขู่
‘ตาลุงคนนี้นิสัยไม่ดี’ หรูฟู่ซิงบ่นกับระบบ
‘ใช่ครับ แต่ผมว่าหมู่บ้านนี้ไม่มีใครดีสักคนเลยก็ว่าได้ยกเว้นบ้านของเจ้านาย’ เป๋าเอ๋อร์แสดงความคิดเห็น
‘ข้อนี้ฉันเห็นด้วยกับนาย แต่จะว่าไปคนพวกนี้แต่เดิมก็ไม่เป็นมิตรกับบ้านเราเพราะเรื่องของคุณปู่อยู่ก่อนแล้วทนเอาหน่อยเถอะอีกไม่กี่ปีพวกเราก็สามารถไปจากที่นี่ได้’
‘เจ้านายหมายถึงรอให้การปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดหรือครับ’ เป๋าเอ๋อร์ย่อมรู้เรื่องนี้ถามออกมาอย่างกังขา
‘ใช่! รออีกแค่หกปีเท่านั้นยังไม่นับว่าสายเกินไป’
“หนึ่งร้อยหยวน หากไม่ได้ฉันจะให้อาจื่อเดินทางเข้าเมืองเพื่อร้องเรียนเรื่องนี้” คำพูดของเมิ่งหลิงทำให้คนที่ได้ยินต่างพากันสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ
ต้องรู้ว่าเงินหนึ่งร้อยหยวนในตอนนี้นั้นมีมูลค่ามากเพียงใด เงินจำนวนนี้เทียบเท่ากับผู้ที่ทำงานในตำแหน่งระดับสูงได้เลยทีเดียว
“แกจะขูดเลือดปูเหรอ ฉันไม่มีหรอกทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีสิบหยวน” นางหวังโวยวาย
“นางหวังแกหลอกใครกัน ฉันรู้นะว่าลูกชายของแกมีเพราะสามคนนั้นคงจะมาทวงเงินใช่ไหมล่ะ” คำพูดของนางเมิ่งที่ฉายแววรู้ทันทำให้โก่วซุนขบกรามแน่น
“คุณรอก่อน” เขาลุกขึ้นก่อนจะนำเงินจำนวนหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้ใต้หมอนออกมา
“เอาไป”
นางเมิ่งรับเงินมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยหากไม่ใช่เพราะอ้ายอ้ายบอกว่าให้เลือกเงินไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่ทำแบบนี้
‘ย่าจ๋า คนทั้งสามเราไม่อาจเป็นศัตรูได้ดังนั้นจงเลือกเอาเงินจากคนบ้านนี้แทน ส่วนที่นอนก็เอากลับมาด้วยหนูจะเอามาเปลี่ยนเป็นของใหม่กับเป๋าเอ๋อร์’
“ในเมื่อสหายเมิ่งรับเงินไปแล้ว เรื่องวันนี้ก็ถือให้ยุติลงที่นี่นะห้ามให้ใครแพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาด” น้ำเสียงของหม่าหาวหมิงเต็มไปด้วยความดุดันเฉียบขาด
ทุกคนรับคำก่อนที่นางเมิ่งจะไปหอบเครื่องนอนของตนหมุนกายออกจากบ้านหลังนี้โดยมีเสี่ยวเฉินอุ้มอ้ายอ้ายเดินตาม ท่าทางของเด็กวัยสามขวบที่อุ้มห่อผ้าของน้องสาวเต็มไปด้วยความระมัดระวังเพราะหากไม่ทำเช่นนี้ก็คงไม่มีใครช่วยเหลือพวกเธอนั่นเอง
‘ย่าจ๋า ทนอีกไม่นานพวกเราจะไปจากที่นี่’ น้ำเสียงของหลานสาวปลุกปลอบให้กำลังใจ
‘ตัวย่านั้นไม่เท่าไหร่หรอกแต่ย่าไม่อยากทำให้หลานรวมถึงพ่อแม่รู้สึกไม่ดี’ น้ำเสียงของนางเมิ่งเต็มไปด้วยความเสียใจ