Share

บทที่ 9

“ผู้ใหญ่บ้าน! หัวหน้าหน่วย! พวกคุณมาทำอะไรที่บ้านของฉัน” เสียงของนางหวังดังขึ้นทางด้านหลังในสภาพตัวเปียก “สหายหวัง คุณไปทำอะไรมาทำไม..” เซี่ยฉางอันชี้นิ้วของตนถามขึ้นอย่างสังสัย

ส่วนหม่าหาวหวังกับซ่งจือเทียนต่างกำลังยกนิ้วบีบจมูกของตน “กลิ่นเหม็นนี่มันอะไรกัน แล้วมาจากไหน” น้ำเสียงของซ่งจือเทียนดังขึ้นอย่างอู้อี้

“เรื่องของฉันเถอะ ว่าแต่พวกคุณมาทำไม” นางหวังรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและยิ่งเมื่อหล่อนเห็นสีหน้าเย้ยหยันของนางเมิ่งหล่อนก็ไม่สบอารมณ์

“โกว่ซุนไปลักขโมยของบ้านสหายเมิ่งดังนั้นพวกเราก็เลยพากันมาที่นี่” คำตอบจากปากเซี่ยฉางอันทำให้ใบหน้าของนางหวังราวกับนักแสดงงิ้วนางเต้นผ่าง

“นางเมิ่ง! มันจะมากไปแล้วนะ ข้อหาขโมยร้ายแรงถึงขั้นยิงเป้าได้เลย แกอย่ามาใส่ร้ายลูกของฉันแบบนี้” นางหวังชี้นิ้วมาทางนางเมิ่งตอบโต้ด้วยความโกรธ

“สหายหวัง หากว่าลูกชายของคุณไม่ได้ทำผิดคุณจะกลัวไปทำไม ผู้ใหญ่บ้านผมว่ารีบเข้าไปในบ้านเถอะอยู่ตรงนี้นานผมชักจะทนไม่ไหวอยู่แล้วกลิ่นอะไรแรงเหลือเกิน” เมื่อเซี่ยฉางอันได้ยินหม่าหาวหมิงพูดออกมาแบบนี้ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้แต่ต้องทำตาม แม้ว่าเจ้าของบ้านจะไม่ให้ความร่วมมือก็ตาม

“ไม่ได้นะครับ จะเข้ามาไม่ได้” โก่วซุนพยายามเอาตัวขวางสุดชีวิต

“ถอยไป ไม่อย่างนั้นฉันจะให้คนไปตามทหารแดง” คำพูดนี้ดูเหมือนจะได้ผลเพราะได้หยุดการกระทำของโก่วซุนได้อย่างดี ภายในบ้านปูนผสมอิฐเป็นแบบเปิดโล่งไร้ซึ่งห้องกั้นไม่ว่าจะครัวหรือที่นอนต่างรวมอยู่พื้นที่เดียว

“ที่นอนพวกนั้นเป็นของบ้านฉัน” เมิ่งหลิงรีบพูดขึ้นทันทีพลางสาวเท้าเดินไปยังที่นอนเนื้อดีรวมถึงหมอนมุ้งใหม่เอี่ยมที่วางทิ้งขว้างบนเตียงคั่ง

“ของพวกนี้เป็นของบ้านเรา” นางหวังโพล่งขึ้นอีกทั้งยังรีบเดินมายืนบังสายตาของคนทั้งสี่อีกด้วย

“สหายหวัง คุณได้มายังไง” น้ำเสียงของหม่าหาวหมิงเย็นเยียบ นางหวังถึงกับตัวสั่นเทา

“ฉะ...ฉัน” นางคุกเข่าก่อนจะปล่อยโฮอย่างไม่อาย

“ของ ๆ ฉันจะได้มายังไงทำไมต้องบอกด้วย” หล่อนตีโพยตีพายดิ้นเร่าลงกับพื้นบ้านที่เป็นดินราวกับว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม

“สหายหวัง! คุณเลิกร้องไห้และดิ้นพล่านเป็นไส้เดือนถูกน้ำร้อนได้แล้ว หากคุณบริสุทธิ์ก็แค่บอกถึงที่มาของมันแค่นั้นก็พอ” เซี่ยฉางอันรู้สึกปวดหูกับเสียงร้องไห้ของหล่อนตะเบ็งอย่างเหลืออด

“ฉันไม่บอก ว่าแต่ทำไมพวกคุณถึงไม่ถามกับนางเมิ่งดูล่ะว่าถ้าหากของพวกนี้เป็นของหล่อนจริงเธอได้มาจากไหน” นางหวังคิดอย่างเจ้าเล่ห์

หากเธอไม่ยอมรับสักอย่างใครจะทำไมหล่อนจึงได้โยนเผือกร้อนของตัวเองไปให้กับเมิ่งหลิง

“ฉันตอบได้” ทว่าคำพูดของนางเมิ่งกลับทำให้หล่อนรู้สึกผิดคาด

‘เจ้านาย ป้าคนนั้นตลกมากเลย’ น้ำเสียงของระบบเต็มไปด้วยความขบขันยามเมื่อเห็นท่าทางของนางหวังที่กำลังอ้าปากมองนางเมิ่งอย่างไม่อยากเชื่อ

“คุณพูด”

“เป็นคนที่ทิ้งอ้ายอ้ายมอบให้ ของเหล่านี้วางอยู่ข้างกายเธออีกทั้งยังมีจดหมายด้วย” สิ่งที่เมิ่งหลิงพูดออกมารวมถึงจดหมายล้วนแต่เป็นหรูจื่อปั้นแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น

‘พ่อฉลาดมาก’ หรูฟู่ซิงกล่าวชมเนื่องจากเธอไม่คิดว่าจดหมายที่หรูจื่อใช้มือข้างที่ไม่ถนัดเขียนจะมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง

“เหอะ! หล่อนบอกว่าเป็นของหล่อนรวมถึงมีจดหมายมาอ้างที่นอนเหล่านี้ก็ต้องเป็นของหล่อนเหรอ นี่ไม่น่าขำเกินไปหรือยังไง” นางหวังเองก็หาใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยทั้งที่ภายในอกของนางกำลังสั่นรัว

ส่วนโก่วซุนในตอนนี้เจ้าตัวเองก็ไม่ได้มีอาการแตกต่างไปจากคนเป็นแม่มากนัก

“ที่..” “โก่วซุน แกออกมาเดี๋ยวนี้” นางเมิ่งกำลังจะพูดต่อทว่าด้านนอกก็ได้มีคนมาส่งเสียงน่ารำคาญขึ้นเสียก่อน

ฉับพลันใบหน้าของโก่วซุนยิ่งซีดราวกับไก่ต้มคูณสอง ขาของเขาสั่นพั่บ ๆ ด้วยความกลัวต่อเจ้าของเสียงเป็นอย่างมาก “หากแกยังไม่ออกมาอีก ฉันจะเข้าไปลากแกเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงนั้นยังคงแสดงความข่มขู่

ในขณะที่พวกคนด้านนอกกำลังบุกเข้ามา คนด้านในนำโดยหม่าหาวหมิงก็เดินออกมากันเสียก่อน

เมื่อนักเลงเหล่านี้มองกลุ่มของหม่าหาวหมิงพวกเขาก็รู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของพวกเขา

“สหายเป็นใคร” คนพูดพ่นก้านดอกหญ้าในปากทิ้งถามขึ้นอย่างระมัดระวังตัว

“หัวหน้าหน่วยแปด หมู่บ้านชิงสุ่ย สหายล่ะเป็นใครมาโหวกเหวกโวยวายอะไรที่นี่”

กลุ่มอันธพาลเริ่มเห็นท่าไม่ดีดังนั้นพวกมันจึงได้แต่ต้องยอมล่าถอยก่อนชั่วคราว

“โกว่ซุนวันนี้แกไม่สะดวกออกมาไม่เป็นไร ยังไงซะแกก็หนีไม่รอดหรอก” มันพูดก่อนจะโบกมือให้ลูกน้องของตน

คนทั้งสามขี่จักรยานออกไปด้วยความเร็ว โดยไม่นำพาถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อในหมู่บ้าน

หลังจากจบเรื่องนี้ หม่าหาวหมิงจึงได้มาสอบสวนเรื่องของนางเมิ่งต่อ และสิ่งที่เมิ่งหลิงพูดออกมาก็ตรงกับสิ่งของเหล่านั้นคราวนี้ทั้งแม่และลูกชายไม่อาจหนีพ้นจากหลักฐานตรงหน้า

‘พี่ชาย การเป็นขโมยนั้นไม่ดีห้ามคุณเอาเป็นแบบอย่างเข้าใจไหม’ น้ำเสียงเล็ก ๆ ของคนเป็นน้องส่งตรงถึงเสี่ยวเฉินที่กำลังมองหนึ่งชายหนุ่มกับหนึ่งหญิงวัยกลางคนร่ำไห้ต่อย่าตน

“อืม” เขารับคำในลำคอ

“ผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าหน่วย อย่าเอาเรื่องลูกชายฉันเลยนะ” นางหวังร้องไห้ปานจะขาดใจ

“เรื่องนี้เราตัดสินใจเองไม่ได้” เซี่ยฉางอันตอบตามจริงแม้ว่าเขาจะไม่อยากให้เรื่องนี้อื้อฉาวก็ตาม ทว่าทั้งหมดก็ต้องอยู่ที่การตัดสินใจของเมิ่งหลิงด้วย

“นางเมิ่ง ฉันขอร้องละ หล่อนจะให้ฉันคุกเข่าโขกหัวคำนับก็ได้” คำพูดของนางหวังทำให้ทุกคนในที่นั้นตัวชา

“นางหวังแกพูดแบบนี้อยากให้ทหารแดงมาจับฉันหรือยังไง” เมิ่งหลิงตะคอกเสียงดัง

ครั้นแล้วนางหวังจึงได้รู้สึกตัวว่าตนได้ทำสิ่งใดผิด เพราะการคุกเข่าโขกหัวคำนับล้วนมีความเกี่ยวข้องกับสี่เก่านั่นเอง

“ถุย ๆ ฉันผิดไปแล้ว” นางหวังรีบตบปากพลางพ่นน้ำลายทิ้ง ในตอนนี้ความกดดันล้วนอยู่ที่เมิ่งหลิงแม้ว่าเธอจะจับขโมยได้แต่ทว่าหล่อนก็ไม่สามารถทำอะไรได้จึงได้แต่ต้องกล้ำกลืนเก็บความอดสูในครั้งนี้เอาไว้

“ฉันขอเป็นเงินชดเชยได้ไหม” หล่อนตัดสินใจพูดออกมา

“เรื่องนี้นับว่าไม่เลว สหายหวังคุณว่ายังไงจะจ่ายเงินหรือจะให้ส่งสหายโก่วไปสำนักงานความปลอดภัย” หม่าหาวหมิงรีบเอ่ยปากทันที

“จ่ายเงิน ฉันยอมจ่ายเงิน” นางหวังรีบตอบด้วยความลนลาน

“สหายเมิ่งต้องการเท่าไหร่ แต่ก็อย่าให้มากเกินไปนักนะ” แม้จะดูเหมือนว่าหม่าหาวหมิงเข้าข้างหล่อนแต่ทว่าหากฟังดูให้ดีจะรู้ว่าเขาแฝงแววข่มขู่

‘ตาลุงคนนี้นิสัยไม่ดี’ หรูฟู่ซิงบ่นกับระบบ

‘ใช่ครับ แต่ผมว่าหมู่บ้านนี้ไม่มีใครดีสักคนเลยก็ว่าได้ยกเว้นบ้านของเจ้านาย’ เป๋าเอ๋อร์แสดงความคิดเห็น

‘ข้อนี้ฉันเห็นด้วยกับนาย แต่จะว่าไปคนพวกนี้แต่เดิมก็ไม่เป็นมิตรกับบ้านเราเพราะเรื่องของคุณปู่อยู่ก่อนแล้วทนเอาหน่อยเถอะอีกไม่กี่ปีพวกเราก็สามารถไปจากที่นี่ได้’

‘เจ้านายหมายถึงรอให้การปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดหรือครับ’ เป๋าเอ๋อร์ย่อมรู้เรื่องนี้ถามออกมาอย่างกังขา

‘ใช่! รออีกแค่หกปีเท่านั้นยังไม่นับว่าสายเกินไป’

“หนึ่งร้อยหยวน หากไม่ได้ฉันจะให้อาจื่อเดินทางเข้าเมืองเพื่อร้องเรียนเรื่องนี้” คำพูดของเมิ่งหลิงทำให้คนที่ได้ยินต่างพากันสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ

ต้องรู้ว่าเงินหนึ่งร้อยหยวนในตอนนี้นั้นมีมูลค่ามากเพียงใด เงินจำนวนนี้เทียบเท่ากับผู้ที่ทำงานในตำแหน่งระดับสูงได้เลยทีเดียว

“แกจะขูดเลือดปูเหรอ ฉันไม่มีหรอกทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีสิบหยวน” นางหวังโวยวาย

“นางหวังแกหลอกใครกัน ฉันรู้นะว่าลูกชายของแกมีเพราะสามคนนั้นคงจะมาทวงเงินใช่ไหมล่ะ” คำพูดของนางเมิ่งที่ฉายแววรู้ทันทำให้โก่วซุนขบกรามแน่น

“คุณรอก่อน” เขาลุกขึ้นก่อนจะนำเงินจำนวนหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้ใต้หมอนออกมา

“เอาไป”

นางเมิ่งรับเงินมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยหากไม่ใช่เพราะอ้ายอ้ายบอกว่าให้เลือกเงินไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่ทำแบบนี้

‘ย่าจ๋า คนทั้งสามเราไม่อาจเป็นศัตรูได้ดังนั้นจงเลือกเอาเงินจากคนบ้านนี้แทน ส่วนที่นอนก็เอากลับมาด้วยหนูจะเอามาเปลี่ยนเป็นของใหม่กับเป๋าเอ๋อร์’

“ในเมื่อสหายเมิ่งรับเงินไปแล้ว เรื่องวันนี้ก็ถือให้ยุติลงที่นี่นะห้ามให้ใครแพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาด” น้ำเสียงของหม่าหาวหมิงเต็มไปด้วยความดุดันเฉียบขาด

ทุกคนรับคำก่อนที่นางเมิ่งจะไปหอบเครื่องนอนของตนหมุนกายออกจากบ้านหลังนี้โดยมีเสี่ยวเฉินอุ้มอ้ายอ้ายเดินตาม ท่าทางของเด็กวัยสามขวบที่อุ้มห่อผ้าของน้องสาวเต็มไปด้วยความระมัดระวังเพราะหากไม่ทำเช่นนี้ก็คงไม่มีใครช่วยเหลือพวกเธอนั่นเอง

‘ย่าจ๋า ทนอีกไม่นานพวกเราจะไปจากที่นี่’ น้ำเสียงของหลานสาวปลุกปลอบให้กำลังใจ

‘ตัวย่านั้นไม่เท่าไหร่หรอกแต่ย่าไม่อยากทำให้หลานรวมถึงพ่อแม่รู้สึกไม่ดี’ น้ำเสียงของนางเมิ่งเต็มไปด้วยความเสียใจ
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ฉันเกิดใหม่เป็นเด็กถูกทอดทิ้งยุค 70    บทที่ 177

    เพียงไม่นานหลังจากนั้นซุนชิงก็จากไปอย่างสงบ ท่ามกลางครอบครัวที่รักเธอและเธอเองก็รักทุกคนมากที่สุด ซึ่งในตอนนี้ผู้อาวุโสที่สุดทั้งบ้านเหลือเพียงเมิ่งหลิงคนเดียวหญิงชราผมขาวโพลนดวงตาเริ่มขุ่นมัวตามวัยแต่กระนั้นใบหน้าของเธอก็ยังคงสดใสอิ่มเอิบ เมิ่งหลิงเป็นคนโชคดีมากเธอไม่ได้มีโรคประจำตัวเฉกเช่นคนวัยเด

  • ฉันเกิดใหม่เป็นเด็กถูกทอดทิ้งยุค 70    บทที่ 176

    เสียงหัวเราะของทารกตัวน้อยยังคงดังก้องไปทั่วบ้านตระกูลจ้าว ความสดใสของชีวิตใหม่ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความหวัง แต่ในขณะเดียวกันบรรยากาศในบ้านกลับแฝงด้วยความเศร้าจากการที่หยูเทียนเจี๋ยชายชราผู้ได้รับการยกย่องอย่างสูงในตระกูลหรู กำลังเผชิญกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตหยูเทียนเจี๋ยเจ็บออด ๆ แอด ๆ มาหลายเดือน

  • ฉันเกิดใหม่เป็นเด็กถูกทอดทิ้งยุค 70    บทที่ 175

    “ย่ารู้อะไรเกี่ยวกับพี่ทุกอย่างนั่นแหละค่ะ” อ้ายอ้ายหัวเราะในช่วงเวลานั้นเหมียวเหมี่ยวที่ต้องเข้ามาวัดไข้ของเขาเธอชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องราวของย่า ครอบครัวนี้ช่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก ต่างจากชีวิตเธอที่ต้องย้ายมาอยู่ในที่ใหม่และไม่มีใครให้ปรึกษาสายตาของเธอเหลือบมองไปยังต้าโถวที่พูดถึงย

  • ฉันเกิดใหม่เป็นเด็กถูกทอดทิ้งยุค 70    บทที่ 174

    เสียงฝีเท้าดังสะท้อนในโถงทางเดินขาวสะอาดในโรงพยาบาลของกองทัพ ต้าโถวนั่งพิงหมอนบนเตียงผู้ป่วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย แม้บาดแผลตามร่างกายจะยังสร้างความเจ็บปวดแต่แววตาคมของเขาก็ไม่ได้แสดงอาการอ่อนแอออกมาเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างของเหมียวเหมี่ยว พยาบาลสาวหน้าใหม่ที่เดินเข้ามา ท่าทีของเธอรีบร้อนเ

  • ฉันเกิดใหม่เป็นเด็กถูกทอดทิ้งยุค 70    บทที่ 173

    หลังจากการแต่งงานของอ้ายอ้ายและหลานฉีผ่านไปได้ครบหนึ่งปี ชีวิตคู่ของทั้งสองเต็มไปด้วยความสุขและความรักที่มั่นคง อ้ายอ้ายตัดสินใจวางแผนการเดินทางพิเศษครั้งนี้เพื่อตอบแทนครอบครัวเธอต้องการให้ปู่กับย่า รวมถึงสมาชิกทุกคนได้พักผ่อนและสัมผัสกับความสงบสุขของทะเลในประเทศไทย อีกทั้งยังถือโอกาสนี้เป็นการฮันน

  • ฉันเกิดใหม่เป็นเด็กถูกทอดทิ้งยุค 70    บทที่ 172

    หลานฉีที่ยืนอยู่ตรงหน้าใช้เวลาชั่วครู่ประเมินสถานการณ์ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“พวกเรายังต้องค้นหาต่อ แม้มันจะเสี่ยงแต่ผมเชื่อว่าเธอยังรอพวกเราอยู่”ต้าโถวที่ยืนอยู่ข้างเขาพยักหน้าเห็นด้วย “ฉันไม่มีวันทิ้งน้องสาวไว้แน่นอน ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม”หลังจากพูดคุยกับผู้รอดชีวิต ทีมของหลานฉีได้

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status