“ย่าจ๋า เอาข้าวไปให้พ่อกับแม่กันเถอะ“ ปากเล็ก ๆ ของเด็กน้อยในห่อผ้าขมุบขมิบ
“ย่าเข้าใจแล้วลูก” เมิ่งหลิงที่ยังคงคิดไม่ตกกับสิ่งที่เพิ่งเจอตอบรับหลานสาวเสียงแผ่ว
เจ้านาย ผมรู้สึกว่าย่าดูอารมณ์ไม่ดีนะ
อืม ฉันเองก็รู้ แต่เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เธอค่อย ๆ คิด
ผมอยากสั่งสอนหัวหน้าหมู่บ้านคนนั้นเหลือเกิน เป๋าเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
นายมีวิธี หรูฟู่ซิงรู้สึกสนใจขึ้นครามครัน
ผมจะส่งคลื่นเข้าไปในสมองของเขา และทำให้เขาฝันร้ายดีไหม
ดี แต่ฉันคิดว่านายควรเล่นงานหัวหน้าหมู่บ้าน และสองแม่ลูกมหาภัยนั่นด้วย หรูฟู่ซิงไม่อยากพลาดจึงได้เสนอออกมาแบบนี้
ไม่ต้องรอให้เจ้านายบอก ผมก็ต้องการทำอย่างนั้นอยู่แล้ว หึหึ! เสียงหัวเราะของเป๋าเอ๋อร์ทำให้หรูฟู่ซิงรู้สึกขนลุกอย่างไรชอบกล
ในระหว่างที่นางเมิ่งกำลังเตรียมอาหารให้ลูกชายลูกสะใภ้ เจ้าตัวก็ไม่ลืมหลานสาวหลานชาย
“เสี่ยวเฉินหิวไหมลูก อ้ายอ้ายล่ะหิวหรือเปล่า”
“หิว/แอ๊” สองพี่น้องตอบออกมาพร้อมกัน
ดังนั้นนางเมิ่งจึงได้เดินไปต้มน้ำเพื่อชงนมให้หลานสาวก่อน และในขณะรอน้ำเดือดหล่อนก็มาทำแผ่นแป้งทอดให้หลานชาย
‘ย่าไม่หุงข้าวเหรอคะ’ หรูฟู่ซิงที่ได้ยินว่าพี่ชายกินแป้งทอดกับผักป่าเธอจึงได้ถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ย่าก็อยากหุงข้าวหรอกลูก แต่ข้าวราคาแพงอีกทั้งหากเรากินกันบ่อย ๆ คนในหมู่บ้านจะคิดว่าพวกเรามีเงิน”
คำตอบของหญิงวัยกลางคนทำให้หรูฟู่ซิงเข้าใจได้ในทันทีเพราะข้าวเป็นของควบคุมเนื่องจากหากจะซื้อไม่เพียงแต่มีเงินจะต้องมีคูปองด้วย
‘ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรหุงกินกันตอนเย็นดีไหมคะ ไม่อย่างนั้นข้าวที่หนูเอาออกมาน่าเสียดายแย่’ เจ้าตัวเล็กลองเสนอออกไปก่อนที่เธอจะส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
“ได้สิลูก หนูเป็นอะไรฉี่หรือว่าปวดหนัก” เมิ่งหลิงตอบพลางเดินเข้ามาหาคนตัวเล็กในห่อผ้าและเมื่อเห็นว่าสีหน้าของหลานสาวบัดเดี๋ยวดำบัดเดี๋ยวแดงหล่อนก็เข้าใจ
“ถ่ายให้สุดนะลูก เดี๋ยวย่าจะเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าให้” นางเมิ่งพูดขึ้นอย่างเอ็นดูซึ่งผิดกับคนฟังที่เธออยากจะเอาหน้ามุดดินให้รู้แล้วรู้รอด
เป๋าเอ๋อร์เมื่อไหร่ฉันจะโต อย่างน้อยให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก็ยังดี
ตามธรรมชาติของเด็กทารกกว่าเจ้านายจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ผมว่าอย่างน้อยก็น่าจะสิบแปดถึงยี่สิบสี่เดือนแต่ทว่าเจ้านายค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่นรออีกหน่อยเถอะนะครับ
ไม่ใช่ว่าหรูฟู่ซิงจะไม่เข้าใจ เพียงแต่หล่อนแค่อยากไปทำธุระส่วนตัวด้วยตนเองก็เท่านั้น
เจ้านาย ผมมีเรื่องจะบอกคุณอีกเรื่องละ นอกจากเรื่องบ้านที่อยู่ตอนนี้แล้วก็มีเรื่องห้องสุขานี่แหละ
ห้องน้ำทำไมเหรอ เด็กหญิงถามขึ้นหลังจากเธอได้ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่
ในหมู่บ้านแห่งนี้ต้องไปใช้ห้องสุขารวมกลางหมู่บ้านครับ อีกทั้งน้ำยังต้องหาบเอาจากแม่น้ำด้วย ดังนั้นผู้คนจึงไม่ค่อยนิยมอาบน้ำ โชคดีที่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ทางเหนือไม่เช่นนั้นเห็นทีว่าเจ้านายคงจะได้กลิ่นแปลก ๆ ไปนานแล้ว
คำกล่าวของระบบทำให้หรูฟู่ชิงไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ “แง ๆ (เอาชีวิตเก่าของฉันคืนมา)” เธอระบายออกมาอย่างอัดอั้น
“น้องสาว! อย่าร้องนะ! ย่า!” ถ้อยคำไม่ประติดประต่อของหลานชายทำให้เมิ่งหลิงที่กำลังตากผ้าของหลานสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาดู
“อ้ายอ้าย เป็นอะไร หลานร้องไห้ทำไม” หญิงวัยกลางคนพูดไปพลางยกห่อผ้าที่เปลี่ยนใหม่ให้หลานขึ้นมาอุ้ม
หรูฟู่ซิงรู้สึกผิดยามเมื่อมองเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของคนที่อุ้มตนโยกไปมา
‘ย่าจ๋า หนูขอโทษ หนูจะไม่ร้องไห้โดยไร้เหตุผลแบบนี้อีกแล้ว’ คำพูดเจือเสียงสะอื้นของเธอกอปรกับจมูกแดง ๆ ทำให้เมิ่งหลิงรู้สึกสงสารจับใจ
“ไม่ต้องขอโทษ แค่หลานไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนจนทำให้เด็กหญิงอดจะน้ำตาซึมออกมาไม่ได้
‘ย่าจ๋า หนูรักย่าที่สุดเลย’ เจ้าตัวจู่ ๆ ก็เอ่ยคำหวานนี้ออกมา เมิ่งหลิงที่ถูกบอกรักอย่างไม่ทันตั้งตัวพลันหัวใจอุ่นวาบขึ้นในอก
“เด็กดีของย่า ย่าก็รักหนูนะลูก รักเสี่ยวเฉินด้วย”
เจ้าของชื่อยิ้มจนตาหยีแม้จะยังไม่เข้าใจคำนี้ก็ตามแต่เมื่อเจ้าตัวเห็นว่าย่ามีความสุขน้องน้อยมีความสุขเจ้าตัวก็มีความสุข ความคิดของเด็กมักเรียบง่ายไม่ซับซ้อน
บริเวณคอกเลี้ยงสัตว์กลิ่นค่อนข้างแรงแต่ก็นับว่าน้อยมากหากเทียบกับที่อื่นทั้งนี้เพราะการเอาใจใส่อย่างดีของหรูจื่อและจ้าวเหยา
“พวกเธอมากินข้าวกันก่อนเถอะ” นางเมิ่งเอ่ยเรียกลูกชายลูกสะใภ้โดยมีเจ้าตัวเล็กอ้ายอ้ายอยู่ในอ้อมแขน
“แม่! ทำไมไม่ให้เด็ก ๆ อยู่บ้านกันล่ะครับ ที่นี่กลิ่นแรงอีกทั้งยังสกปรก” หยูจื่อเดินโขยกเขยกมาทางมารดาเอ่ย
“แม่ไม่วางใจ” คำตอบของหล่อนทำให้ทั้งบุตรชายและลูกสะใภ้เกิดความสงสัย
“มีอะไรหรือครับ เกิดอะไรขึ้น” หรูจื่อรีบถาม
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้” เมิ่งหลิงจึงได้เล่าเรื่องของเช้าวันนี้ออกมาตามตรง
“พวกเราควรทำยังไงดีคะ” จ้าวเหยาเกิดความหวาดวิตก เธอรู้ดีว่าคนในหมู่บ้านแห่งนี้ปฏิบัติต่อครอบครัวตนเช่นไร
“มันคงไม่กล้าแล้วละ อีกอย่างพวกเราก็แค่ต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก แม่จะบอกความลับอีกอย่างหนึ่งให้พวกลูกรู้” นางเมิ่งแลซ้ายแลขวาแม้ว่าคอกสัตว์แห่งนี้จะมีแต่พวกเธอก็ตาม
“จริงหรือครับ ถ้าเป็นอย่างที่อ้ายอ้ายบอกก็เยี่ยมเลย ภรรยาคุณมีทางจะตามหาครอบครัวแล้ว” หรูจื่อพูดขึ้นด้วยความดีใจก่อนจะนำมือของหญิงสาวข้างกายมาจับ
“เรื่องครอบครัวของฉันยังจะมีความหวังอยู่อีกหรือคะ หากว่าบัตรประจำตัวของฉันไม่ถูกซ่อนเอาไว้ป่านนี้ฉันก็คงไม่รู้ว่าตัวเองแซ่อะไร” หญิงสาวระบายลมหายใจออกมากล่าวเสียงหม่น
เป๋าเอ๋อร์ ทำไมแม่ของฉันถึงจำอะไรไม่ได้ นายรู้ไหม
ผมคิดว่าน่าจะเป็นผลทางจิตใจ โรคนี้คงต้องอาศัยเวลาครับ แต่เรื่องการตามหาครอบครัวของแม่ผมมีทางช่วยได้นะ เพียงแต่ตอนนี้พวกเรายังทำอะไรได้ไม่สะดวก
ฉันรู้ ไม่เป็นไร ระหว่างนี้พวกเราก็ช่วยกันหาของล้ำค่ามาแลกเพื่อรวบรวมเงินทองเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน เวลาหกปีจะนับว่าช้าก็ไม่เชิงเร็วก็ไม่ใช่ ดังนั้นต้องรีบเตรียมพร้อมเอาไว้ดีที่สุด
ผมฟังเจ้านาย เป๋าเอ๋อร์เงียบเสียงไปชั่วครู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดคลื่นสัมผัสอย่างไม่คาดหวังแต่แล้ว…
เจ้านาย!! น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นจนทำให้อ้ายอ้ายที่กำลังตาปรือพลันตกใจ
“แอ๊! (อะไร)”
“ลูกสาวแม่เป็นอะไรหรือจ๊ะ” จ้าวเหยามองใบหน้ากลมขาวราวกับซาลาเปาของเด็กหญิงถามขึ้นเสียงหวาน
“แอ๊ แอ๊ (ไม่เป็นอะไรค่ะ)” เสี่ยวเฉินที่ได้ยินจึงได้บอกแม่ของตนตามนี้
ส่วนระบบหลังรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป เจ้าตัวก็เอ่ยเสียงอ่อย เจ้านาย ผมไม่ได้ตั้งใจเพียงแต่ผมไม่คิดว่าจะพบของล้ำค่าที่นี่
ห๊ะ! นายว่าอะไรนะ คอกหมู คอกวัวจะมีอะไรล้ำค่าได้ หรือว่านายต้องการมูลของมันเพราะฉันเคยได้ยินมาว่ามูลสัตว์ในยุคนี้ล้ำค่ามากเลยนะ นำไปขายได้ด้วย หากว่าไม่มีคนกลัวถูกจับฉันคิดว่ามูลพวกนี้คงไม่เหลือทำเป็นปุ๋ย
หรูฟู่ซิงพูดไปเรื่อยโดยที่ไม่มีช่องว่างให้เป๋าเอ๋อร์แทรกได้เลย เจ้านายหยุดก่อน ที่ผมพูดไม่ใช่มูลพวกนี้แต่เป็นชามต่างหาก
ชาม! ชามอะไร หล่อนทวนสีหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม