ตะวันคล้อยทุกคนกลับถึงบ้านหลังจากทำหน้าที่ของตนจนเสร็จ หลังจากนั้นก็ล้างเนื้อล้างตัว และกินข้าวปลากันก่อนจะแยกย้ายกันเข้าหลับนอน
ตอนกลางวันได้ทั้งปลา หน่อไม้ รวมทั้งหอยโข่งตัวอวบอ้วนที่พี่ใหญ่กับท่านแม่งมกลับมา แล้วต้มหั่นไว้รอจนเสร็จสรรพให้อย่างดิบดี หลี่หลิวเองก็คิดไว้แล้วว่าจะทอดปลาทั้งตัวไปขายเพิ่มอีกหนึ่งเมนู แล้วใช้ใบบัวที่นางเก็บมาใส่เป็นภาชนะแทนกระบอก เพราะกระบอกไม้ไผ่มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักมันจึงไม่สามารถใส่ปลาที่มีขนาดครึ่งโลลงไปได้ วันนี้ท่านแม่โชคดีมากเลยทีเดียว นางตกปลาครั้งแรกก็ได้ปลามามากกว่าสามสิบตัว หลี่หลิวได้นำปลามาปล่อยลงสระที่นางเอารากบัวมาปลูกไว้ แถมนางยังใส่น้ำในมิติลงไปมากกว่าครึ่งถัง หลังจากที่ใส่น้ำในมิติลงไปได้ไม่นานปรากฏว่าต้นบัวก็เริ่มออกยอดแตกกิ่งโผล่ใบมามากมาย แถมน้ำยังใสสะอาดไม่ขุ่นมัวเหมือนก่อนหน้านี้ พอนำปลาตัวเล็กที่ตกได้มาหกเจ็ดตัวเทลงไปในน้ำ พวกมันก็ว่ายวนไปมาสำรวจที่อยู่อาศัยใหม่ราวกับว่ามันชอบที่นี่เป็นอย่างมาก ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวของพวกมันทำให้หลี่หลิวภูมิใจไม่น้อย "ดูท่าพวกเจ้าจะรอดแล้วล่ะนะ อย่าลืมออกลูกหลานให้ข้าเยอะ ๆ หน่อยล่ะ" หลี่หลิวนั่งมองมันอยู่ครู่หนึ่งอย่างสบายใจ น้ำใสลมคล้อยตะวันเคลิ้ม แลดูแล้วช่างสบายตายิ่งนัก ปลาที่เหลือจากการทำอาหารมื้อเย็นที่ค่อนข้างตัวใหญ่อีกสิบกว่าตัวนางจะทำปลาทอดเกลือขายในวันรุ่งขึ้น นางจึงแอบหยอดน้ำในมิติลงไปในตุ่มปลาเพื่อกันพวกปลาใจเสาะแล้วตายก่อนที่จะถึงเวลาเช้า "พี่ใหญ่" หลี่หลิวสะกิดพี่ชายที่นอนข้าง ๆ นาง เมื่อเห็นว่าน้องเล็กหลับสนิทดีแล้ว พี่ใหญ่พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วลุกขึ้นยืน สองพี่น้องเข้ามิติไปแล้วลงมือทำแปลง ผักหลี่หลิวตักน้ำใส่ตุ่มไปเรื่อย ๆ จนได้ถึงครึ่งตุ่มจึงพักสักหน่อย ก่อนจะเอาน้ำใส่ถังครึ่งถังยกมาวางข้างแปลงผักแล้วเดินราดน้ำให้ผักต่าง ๆ อย่างสบายอารมณ์ "เมื่อไหร่เจ้าถึงจะบอกท่านพ่อเรื่องนี้กัน" หลี่จงถามน้องสาวว่าทำไมต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แถมยังไม่ให้บอกท่านพ่อท่านแม่อีกด้วย เขาจับจอบด้วยมือเรียวสาก ๆ สองข้างขุดแปลงผักอย่างทะมัดทะแมงพร้อมกับเอ่ยถามผู้เป็นน้อง "ท่านคิดว่า ท่านพ่อของเราจะมิเปิดปากหลุดพูดออกไปรึ! ท่านดูสิเจ้าคะ ขนาดความลับที่ท่านปู่แอบเก็บเล็กผสมน้อยท่านยังรักษาไว้มิได้เลย หากข้าบอกไปแล้วมีคนรู้เข้า วันหนึ่งข้าจะไม่ถูกคนลักพาตัวไปทำฟาร์มให้กับพวกเขาหรอกหรือ ข้าสบายใจที่จะแอบทำมันลับ ๆ แบบนี้มากกว่า" เมื่อได้ฟังเช่นนั้นหลี่จงก็คิดตามที่นางว่า หากมีคนรู้ความลับของน้องรองแล้วนางถูกขโมยไปจริง ๆ เขา และครอบครัวต้องเสียใจไปจนวันตายเป็นแน่ เขาจึงตั้งมั่นในใจว่าจะไม่มีทางเอ่ยปากบอกเรื่องนี้กับใคร "หากเจ้าคิดเช่นนั้น ข้าก็เคารพในการตัดสินใจของเจ้า" "นี่พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าคิดหน่อยสิเจ้าคะ ข้าจะทำเช่นไรดีถึงจะเอาฟักทอง แตงโม พวกนี้ออกไปขายได้" หลี่จงมองไปที่ฟักทองกับแตงโมที่โตข้ามวันข้ามคืน แต่ข้ากับน้องเล็กก็ดื่มน้ำนี่เข้าไปไม่เห็นจะโตเสียที จึงทำให้เขาเกิดความสงสัย หรือน้ำนี่ทำให้ผักโตได้แต่ใช้กับคนไม่ได้คงเป็นเช่นนั้นกระมัง "ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ตอนเช้าไปตลาดเจ้าสามารถเอาออกมาขายได้ แต่หากท่านพ่อถามเจ้าก็สามารถตอบกลับไปได้ว่ามันเป็นความลับได้ ท่านพ่อเชื่อใจเจ้ามากที่สุดท่านคงไม่ถามต่อเป็นแน่" ก็จริงอย่างที่พี่สามว่า อันที่จริงข้าแค่ตีเนียนแอบเอาออกมาขายก็ได้แล้ว เรื่องทำอาหารตอนนี้ท่านแม่ก็คุ้นชินกับอาหารที่ข้าพาทำไปมากแล้ว แถมรสชาติก็ไม่ต่างจากฝีมือของข้านัก หากใช้โอกาสที่ทุกคนกำลังยุ่งแอบไปกับพี่ใหญ่แล้วค่อยยกเข้ามาที่ร้านแค่นี้ก็น่าจะได้แล้ว แต่ก่อนอื่นขอข้าชิมหน่อยเถอะว่ามันอร่อยแค่ไหนกันเชียว ว่าแล้วหลี่หลิวก็เอามือน้อย ๆ เคาะ ๆ ดูว่าลูกไหนเสียงใช้ได้แล้วถึงจะเด็ดออกมา ทว่านางก็ต้องแปลกใจที่มันสุกแล้วแทบทุกลูกเลย "พี่ใหญ่เอาลูกนี้แหละเจ้าค่ะ ผ่าเลย" หลี่หลิวกึ่งกลิ้งกึ่งยกมันมาทางพี่ชายที่ตักน้ำจากบ่อใส่ตุ่มอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่พรวนดินทำแปลงผัก และช่วยน้องรองปลูกต้นไม้เขาก็มาตักน้ำใส่ตุ่มไว้ตามที่น้องรองบอก "แล้วมันผ่าเช่นไรรึ" เขาโตมาได้เกือบสิบปีแต่ทว่ายังไม่เคยกินแตงโมมาก่อนเลย เขาจึงไม่รู้ว่าจะผ่ามันเช่นไรดี จึงเอามือหมุนซ้ายทีขวาทีเพื่อหาตำแหน่งที่จะผ่า "ง่ายมากเจ้าค่ะ แบบนี้เลย" หลี่หลิวจับมีดขึ้นมาแล้ววางทาบตามแนวยาวของมันแล้วให้พี่ชายลงมีดผ่าลงตามแนวยาวของแตงโมที่สดใหม่นั่น มันกรอบมากจนเกิดรอยแตกเล็ก ๆ หลี่หลิวบอกให้ท่านพี่ลงมีดตามทางยาวผ่าออกแบ่งครึ่ง เมื่อผ่าเสร็จครึ่งนึงก็แบ่งออกมาอีกห้าอัน พอแบ่งเสร็จนางไม่รอช้าจับแตงโมด้วยสองมือแล้วค่อย ๆ กัดกิน กรอบ~ กรอบ~ เสียงกรอบสดใหม่หวานฉ่ำจนน้ำของแตงโมทะลักหยดลงมาตามรอยที่นางกัด แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ สดชื่น มีหรือพี่ชายของนางจะทนรอให้นางเรียกกิน เขาหยิบมันขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วกัดกินเช่นน้องสาว รสชาติมันช่างหวาน กรอบ หอมเย็น ๆ เป็นอะไรที่ลงตัวเอามาก ๆ น้ำแตงโมชุ่มฉ่ำไหลออกมาทุกครั้งที่เขากัดมันลงไป เขาอยากจะกินอีกชิ้นเมื่อกินชิ้นแรกหมด แต่น้องสาวบอกว่าหากกินเยอะเดี๋ยวจะเป็นร้อนในเอา เขาจึงหยุดลงแล้วไปล้างมือล้างปาก หลี่หลิวบอกว่าพรุ่งนี้ต้องเตรียมจานไปเผื่ออีกหน่อย เพราะแตงโมที่เหลืออยู่ของลูกนี้นางจะเอาไปให้ลูกค้าได้ชิมก่อนค่อยตัดสินใจซื้อ แตงโมลูกใหญ่หนักกว่าหนึ่งกิโลพอผ่าแล้วเนื้อข้างในสีแดงสดหอมหวานเย้ายวนใจ ยิ่งได้กลิ่นยิ่งอยากลิ้มลองคาดว่าแตงโมมากกว่าห้าสิบลูกนี้คงขายหมดภายในไม่ช้า และยังมีดอกเล็ก ๆ ของมันที่กำลังจะผลิดอกออกผลมาอีกมากมาย น้องรองของเราจะต้องได้กำไรมากโขอีกเป็นแน่ แต่จะว่าไปเงินถุงเงินถังคงตกไปอยู่ในมือของท่านพ่ออีกตามเคย "พี่ใหญ่ข้าว่าเงินค่าแตงโมกับฟักทองนี่ข้าจะเก็บเอาไว้เอง หากอยู่กับท่านพ่อท่านคงให้ท่านย่าไปเสียหมดแน่ ๆ ข้าจะเอามาเก็บไว้ในมิติกำแพงน้ำนี่รับรองได้เลยว่ามันจะปลอดภัยหายห่วง" หลี่หลิวขยิบตาข้างขวาให้พี่ชายไปทีนึง เขาหัวเราะให้ความทะเล้นของนางก่อนจะบอกว่าเห็นด้วยกับนาง จะมีที่ไหนที่จะปลอดภัยมากกว่าในนี้ได้อีกล่ะ "ข้าจะขายในราคาชิ้นล่ะสิบอีแปะ" "แพงขนาดนั้นเชียว แค่ชิ้นเดียวนี่หน่ะหรือ" "ก็ใช่สิเจ้าคะ ถ้าคนทั่วไปปลูกท่านว่าจะได้แบบนี้ไหมล่ะมันคงขาวซีดเนื้อไม่แดง และไม่หวานแถมยังลูกเล็กกว่านี้อีกหลายเท่าเป็นแน่ นี่ข้าก็ขายถูกสุด ๆ แล้วนะ" หลี่หลิวเบะปากมองบนอย่างขัดใจ ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ขายยี่สิบอีแปะต่อชิ้น กว่าจะโตขนาดนี้นางต้องใช้เวลาตั้งสามสี่วันเชียวนะ ข้ารดน้ำถอนหญ้าให้พวกมันทุกวันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว "หากราคาขนาดนี้เจ้าว่าจะมีคนซื้อมันหรือ ไม่มีใครมีเงินมากขนาดนั้นหรอกนะ" "เหอะ! ใครว่าข้าจะขายให้พวกชาวบ้านธรรมดากันล่ะข้าจะขายให้กับกลุ่มเถ้าแก่ที่ขายเมล็ดพันธุ์นี้ให้กับข้านี่ต่างหาก เขารู้วิธีปลูก และราคาเขาต้องเคยกินมันอย่างแน่นอน" "แล้วพวกเขาจะไม่สงสัยรึ ว่าทำไมแตงโมของเจ้ามันโตไวขนาดนี้" พอพี่ชายพูดออกมานางถึงกับชะงักไป ก็จริงแตงโมที่ไหนมันจะโตได้ไวขนาดนี้กัน หรือข้าจะบอกว่าไปรับมาจากที่อื่นแต่ว่าแถวนี้คงไม่มีใครเขาปลูกกัน เอายังไงดีละทีนี้ ดูเหมือนว่าแตงโมนี่จะขายที่นี่ไม่ได้เสียแล้ว "งั้นข้าก็จะยังไม่ขาย ข้าจะเก็บเอาไว้ไปขายในเมืองหลวง" หลี่หลิวคอตกทันทีพอรู้ว่าหากขายไปอาจจะเกิดข้อกังขาได้ และหากจะขายในเมืองหลวงจริง ๆ ก็ต้องมีแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือได้ เห็นทีการค้าผักผลไม้พวกนี้ต้องลงทุนซื้อที่สักแปลง ดีนะที่ข้าอยากได้ที่ดินนอกเมืองหลวงมิเช่นนั้นคงไม่มีที่ให้ปลูกอะไรได้อีกแล้ว "ผักผลไม้พวกนี้เมื่อมันโตเต็มที่แล้วก็ไม่เหี่ยวเฉาเลย ถือว่าเจ้าโชคดีเป็นอย่างมากที่ได้รับมิตินี้มา น้ำในบ่อนี้ก็ผุดออกมาเพิ่มทุกครั้งที่ถูกตักออกไป หากมีภัยแล้งหรือข้าวยากหมากแพงที่แห่งนี้คือที่ที่จะทำให้เจ้ารอดจากทุกข์ภัยได้" "ท่านว่าจะมีใครที่ยอมเจ็บตัวเจียนตายเพื่อที่จะได้รับมิติมาหรือไม่ล่ะ ข้าเพียงฟลุ๊คได้มันมาเพียงเท่านั้น" "ฟลุ๊ค?" พี่ใหญ่มองหน้าน้องรองอย่างสงสัย ถึงพักหลังๆ มานี้นางชอบใช้คำแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับฟังไม่รู้เรื่องว่านางจะสื่ออะไรเช่นคำนี้เลย "ข้าจะบอกท่านอย่างไรดีล่ะ ก็แบบว่าได้มันมาแบบไม่ได้ตั้งใจล่ะมั้ง" "เจ้านี่นับวันยิ่งไม่รู้ความหัดพูดให้เหมือนคนปกติเสียบ้างเขาจะได้ไม่มองว่าเจ้าแปลกประหลาด" "ก็ข้าไม่เหมือนคนทั่วไปหนิเจ้าคะ ข้าน่ะหายตัวได้กลางอากาศเชียวนะ" "ใช่แล้ว เจ้าดีที่สุด"ดวงตาดำสนิทคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายเจิดจรัสจ้องมองน้องสาวอย่างรักใคร่ "แน่นอน ก็ข้าน่ะเป็นน้องสาวของท่านก็ต้องดีที่สุดอยู่แล้ว" ใบหน้าเล็ก ๆ ของหลี่หลิวเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองพี่น้องช่วยกันรดน้ำผักรวมทั้งผลไม้ที่ปลูกใหม่จนเสร็จ ก่อนจะดื่มน้ำคลายความเมื่อยล้า และพากันออกมาจากมิติ หลังจากนั้นจึงนอนหลับพักผ่อนกันอย่างสบายใจ ฮี่ ฮี่ ฮี่!! กลางดึกคืนนั้นอยู่ดี ๆ ม้าสองตัวก็ร้องไม่หยุดจนทำให้คนในบ้านแตกตื่น ท่านพ่อกับท่านแม่ลุกไปดูก็ไม่พบอันใด แต่มันยังคงร้องด้วยเสียงร้อนรนอยู่แบบนั้น หลี่หลิวจึงเดินไปลูบหัวพวกมันแล้วปล่อยเชือกที่มัดไว้ เจ้าเสี่ยวเฮยร้องฮี่ ๆ ก่อนจะวิ่งออกไปหน้าประตูบ้าน และใช้หน้าของมันดันประตูไม้ไผ่เหมือนมันพยายามจะเปิดประตูออก หลี่หลิวที่เดินตามมันมาทีหลังพร้อมกับท่านพ่อที่ถือคบเพลิงเห็นเช่นนั้น จึงชะเง้อมองด้านนอกทว่าไม่พบอันใด แต่เสี่ยวเฮยยังคงพยายามจะออกไปให้ได้ ในที่สุดหลี่หลิวก็เริ่มอยากรู้จึงบอกให้ท่านพ่อเปิดประตูให้เจ้าดำได้ออกไป เมื่อประตูถูกเปิดออกเสี่ยวเฮยวิ่งไปตามทางที่มืดมิดพักนึง ก่อนจะหยุดลง และร้องเรียกหลี่หลิวอยู่เช่นนั้น ท่านพ่อจึงเดินถือคบเพลิงไปเป็นเพื่อนหี่หลิวแล้วบอกนางหวังและหลี่จงคอยเฝ้าประตูรั้วบ้านให้ดี ๆ จากนั้นจึงเดินจูงมือหลี่หลิวไปตามถนนที่ม้าร้องเรียกอยู่ ด้วยความที่ว่าแถวนี้อยู่ในท้องนา บ้านผู้คนก็ห่างไกลออกไปอีกหลายกิโลเท่านั้น ท่านพ่อจึงระแวดระวังตัวเป็นอย่างมากถึงกับถือมีดพร้าพกติดตัวออกไปด้วย ฮี่ ฮี่ ฮี่!! เสียงเสียวเฮยยังคงร้องมาเป็นพัก ๆ หากมีไฟฉายในยามแบบนี้คงจะดีไม่น้อย คบเพลิงนี่ก็มองเห็นได้แค่ใกล้ ๆ เพียงเท่านั้นจึงทำให้หลี่หลิวรู้สึกหงุดหงิดอยู่เช่นกัน พวกข้าราชการควรทำไฟฟ้าพลังงานน้ำไว้ใช้ได้แล้วนะ จะได้ส่องแสงสว่างไปตามท้องถนนได้ในยามค่ำคืน คงไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้มันมืดมิดเช่นนี้ไปตลอดหรอกมั้ง "นั่นไงท่านพ่อ เสี่ยวเฮยอยู่นั่นเจ้าค่ะ" หลี่หลิวสลัดมือออกจากมือผู้เป็นบิดาแล้วรีบวิ่งไปตรงที่เจ้าเสี่ยวเฮยซึ่งกำลังดม ๆ เขี่ย ๆ อยู่ นางมองเห็นเงาดำ ๆ เหมือนมีคนนอนหมดสติอยู่ตรงนั้น แต่พอเริ่มเข้าใกล้ก็ได้กลิ่นเลือดจางๆ ลอยมา "หลี่หลิวรอพ่อก่อน" หลี่หงรีบวิ่งตามบุตรสาวไป เมื่อไปถึงก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าหายใจโรยรินอยู่จึงให้หลี่หลิวช่วยถือคบเพลิงและเอามีดเหน็บไว้ข้างเอวตนเองอย่างเทอะทะ จึงค่อย ๆ พยุงชายหนุ่มโดยเอาแขนเขามาพาดบ่าตนแล้วใช้มือจับไว้ให้แน่น ส่วนอีกมือช่วยพยุงตัวเขาให้เดินไปตามทางกว่าจะถึงบ้านก็ทุลักทุเลไม่น้อย "ท่านพี่นี่ท่านพาใครมาหรือเจ้าคะ" หวังลู่เห็นสามีหามปีกชายหนุ่มที่หน้าตามอมแมมกลับมาจึงถามไถ่ ส่วนเจ้าเสี่ยวเฮยทำหน้าที่ช่วยคนเสร็จก็กลับไปนอนหลังบ้านเช่นเดิมอย่างรู้งาน "หวังลู่เจ้าไปปิดประตูรั้วเสีย เดี๋ยวข้าจะพาเขาไปที่ห้องโถงในบ้านเสียก่อน" หลี่หงหันไปบอกภรรยาก่อนที่จะพาคนแปลกหน้าเข้าบ้านไป "ท่านพ่อข้าว่าท่านถอดรองเท้า และเสื้อผ้าให้เขาก่อนเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปเตรียมผ้า และน้ำอุ่นมาให้นะเจ้าคะ" หลี่หลิวเห็นท่านพ่อดูลนลานจึงแนะนำเขาไป หลี่หงจึงตอบรับ และถอดเสื้อผ้ารองเท้าเขาออกก่อนจะพบว่าบริเวณช่วงท้องของเขามีบาดแผลน่าจะเกิดการโดนแทงมา หลี่หงมองดูเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ต้องมีราคาระดับหนึ่งเป็นแน่ ถึงตอนนี้มันจะเปรอะเปื้อนแต่เขาก็มองมันออกในคราแรกที่พบเห็น "ทำเช่นไรดี เขาจะมาตายที่นี่หรือไม่ขอรับ" หลี่จงมองท่านพ่อที่เงอะงะทำอันใดไม่ถูกอย่างร้อนรน แค่นี้เรื่องในครอบครัวเราก็ย่ำแย่มากพอแล้ว ยังต้องมาเจอคนแปลกหน้าที่กำลังใกล้จะตายนี่อีก "เฮ้อ พวกท่านหลบไปก่อนเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจัดการเอง" แค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็น่าจะพอแล้วแหละ จากรอยแผลนี่เขาคงหลีกเลี่ยงจุดสำคัญจากการปะทะกันมาได้อย่างหวุดหวิด หลี่หลิวมองหน้าท่านพ่อท่านแม่อยู่ครู่หนึ่งและนางเข้าใจได้ทันทีว่าพวกเขาไม่รู้วิธีปฐมพยาบาลเลยแม้แต่คนเดียว หลี่หลิวบอกท่านแม่มาช่วยเช็ดล้างเนื้อตัวเขา ถึงแม้จะบอกท่านพ่อถอดชุดเขาออกไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือกางเกงขายาวสีดำสวมใส่ไว้อยู่จึงไม่ได้ดูน่าเกลียดนัก หลี่หงรีบแย่งผ้าเช็ดตัวจากมือหลี่หลิว และอาสาช่วยเช็ดเนื้อตัวจนเขาสะอาดเองใครจะยอมให้บุตรสาวกับภรรยาเช็ดตัวชายแปลกหน้ากันล่ะ หลี่จงต้มน้ำผสมน้ำอุ่นรอตามที่หลี่หลิวบอก และยกไปให้นาง นางขอผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ที่สะอาดสะอ้าน หวังลู่จึงนำมาให้แต่โดยดีการช่วยคนถือเป็นเรื่องใหญ่ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่บุตรสาวของเรามีความเป็นผู้นำมากขนาดนี้ได้ "ลูกพ่อนั่นเจ้าจะทำอันใดหรือ" หลี่หงเห็นบุตรสาวจัดการกับแผลอย่างคล่องมือ นางเอาน้ำอุ่นล้างฆ่าเชื้อ ก่อนหน้านี้นางแอบตักน้ำออกมาจากมิติขันนึง แล้วราดลงแผลของเขาก่อนจับเขาอ้าปากเทน้ำลงไปอย่างเบามือ เขาค่อย ๆ กลืนน้ำลงไปด้วยความหิวกระหายหลี่หลิวจึงเรียกท่านพ่อมาพันแผลให้เขาหลังจากที่นางป้อนน้ำให้เขาเสร็จแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะเช็ดตัวเขาให้แห้งก่อน ผ้าพันแผลถูกพันบริเวณหน้าท้องอย่างแน่นหนาตามที่บุตรสาวบอก "ไปนอนเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้ากับพี่ใหญ่จะคอยเฝ้าเขาไว้เอง พรุ่งนี้ยังต้องไปหาเงินอีแปะไว้คืนท่านย่าอีกนะเจ้าคะ" หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จหลี่หลิวบอกว่าตนกับพี่ชายจะอาสาเฝ้าคนป่วย แล้วให้ท่านพ่อท่านแม่ไปพักผ่อน หลี่จงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเมื่อท่านพ่อท่านแม่ไปพักแล้วหลี่จงกระซิบถามนางว่าเหตุใดเราต้องมาเฝ้าชายหนุ่มคนนี้ด้วย แต่เขากลับได้รับคำตอบที่น่าตกใจจากน้องสาว "ท่านดูไม่ออกรึ นั่นไงล่ะชุดที่เขาสวมใส่นั้นค่อนข้างมีราคาเขาต้องเป็นผู้รากมากดีคนหนึ่ง และถ้าเราใช้โอกาสนี้ช่วยชีวิตเขาไว้วันข้างหน้าเขาก็จะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้กับเราอย่างแน่นอน" หลี่หงที่กำลังจะเข้านอนได้ยินคำพูดของบุตรสาวเขาถึงกับยิ้มอ่อน มีเพียงบุตรสาววัยหกปีเท่านั้นที่มองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาช่างมีวาสนานักที่ได้ลูกสาวที่มีความรู้ความสามารถมากมายเช่นนี้ หลี่หงได้แต่คิดในใจด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะนอนหลับไปด้วยความปลื้มปีติ คบเพลิงยังคงจุดไฟส่องสว่างไปทั้งห้องโถงขนาดเล็ก พี่ใหญ่ทนความง่วงไม่ไหวจึงพล็อยหลับไปก่อน ส่วนหลี่หลิวนั่งมองชายหนุ่มลึกลับตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์แต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ดุจมารร้าย ถึงใบหน้าจะดูซีดเซียวไปบ้างจากการเสียเลือดเป็นเวลานาน แต่กระนั้นเขาก็ยังดูดี คิ้วดกเข้ม จมูกโด่งคมเป็นสัน ถึงแม้จะมีร่องรอยของการขาดน้ำอยู่แต่ใบหน้าคมคายสันกรามเด่นชัด ขนตายาวเป็นแพอีกทั้งผมดำยาวถึงกลางหลัง รูปร่างสูงโปร่งทว่าดูกำยำไม่น้อย ผิวของเขาขาวเนียนผ่องซึ่งดูรวม ๆ แล้วช่างสมบูรณ์แบบ หากเขาเป็นคนในยุคของเธอคงจะเป็นดาราหรือไอดอลได้ไม่ยากนัก "ท่านเป็นเช่นไรบ้าง" หลี่หลิวนั่งอยู่ข้างกายของเขา เห็นเขาเริ่มขยับตัวจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่ง่วงเต็มที่แล้ว "นี่ข้าอยู่ที่ไหนกัน" ชายรูปงามผู้นี้ที่พึ่งลืมตาก็พยายามจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าหลี่หลิวก็ผลักเขาให้นอนลงด้วยมือน้อย ๆ ของนาง แต่เขากลับล้มลงด้วยความรู้สึกเจ็บบริเวณช่วงท้องจนใบหน้าเหยเก ใช่แล้วข้าถูกปล้นแล้วหนีรอดมาได้ ชายหนุ่มจึงนอนลงอย่างว่าง่ายเมื่อเขาเริ่มนึกออกว่าเกิดอันใดขึ้น "ท่านนอนลงไปเลย กว่าข้าจะพันแผลให้เจ้าได้ก็กินเวลาไปมากโข แถมข้ายังต้องมานั่งเฝ้าท่านอยู่เช่นนี้อีก ข้าง่วงจะแย่อยู่แล้ว ท่านช่วยทำตัวให้ดี ๆ หน่อยจะได้หายไว ๆ"หลี่หลิวหาวหวอด ๆ แทบน้ำตาเล็ด แล้วชี้มือไปที่แผลของเขาภายใต้ผ้าห่มนั่นเพื่อเตือนให้เขาอยู่นิ่ง ๆ เข้าไว้ ชายหนุ่มที่เริ่มเจริญพันธุ์มองดูสาวน้อยที่ผลักเขาลงนอนด้วยสายตาขอบคุณ และกล่าวขอโทษออกไป "ข้าทำให้แม่นางต้องเสียเวลาแล้ว" เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมามีพลัง และอำนาจ ถึงแม้ว่าเขาจะบาดเจ็บอยู่ก็ตาม หลี่หลิวรับรู้ได้ทันทีเขาต้องเป็นพวกตระกูลใหญ่สักแห่งในเมืองหลวงเป็นแน่ "ท่านรู้ก็ดีหนิ แล้วท่านจะตอบแทนข้าเช่นไรดีล่ะ" ชายรูปงามมองเด็กน้อยที่เชิงไม่สบอารมณ์ด้วยใบหน้าคลี่ยิ้มนางค่อนข้างเป็นคนตรงไปตรงมาถูกใจข้ายิ่งนัก เด็กคนนี้น่าสนใจมากแถมนางยังช่วยชีวิตข้าไว้อีก หากจะหาคำกล่าวที่ว่าทดแทนทั้งชีวิต ชีวิตนี้เขาคงไม่สามารถทดแทนได้จนหมดเป็นแน่ จะว่าไปกลุ่มโจรพวกนั้นมาจากไหนถึงกล้าที่จะมาปล้นสะดมรถม้าของร้านยาสือคงได้ช่างองอาจมากเสียจริง กลับไปข้าต้องไปสืบสาวราวเรื่องเสียหน่อยแล้ว "เจ้ายังไม่ตอบข้าอีกงั้นรึ!" หลี่หลิวกอดอกอย่างเคือง ๆ ที่แท้ชายคนนี้ก็มีดีแค่หน้าตา ไม่ได้หวังจะทดแทนคุณใด ๆ เลย "ข้าจะรับผิดชอบเจ้าทั้งชีวิตของข้าเจ้าว่าดีหรือไม่"เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง บนใบหน้าของเขามีแสงทอประกาย ซึ่งมีคนไม่มากนักที่จะชอบช่วยเหลือคนอื่นในยามวิกาลเช่นนี้ แถมยังไม่รู้ที่มาที่ไปแบบข้านางยังจะกล้าต่อปากต่อคำอีกอย่างอาจหาญ "ท่านเป็นใครมาจากไหนข้าก็ไม่รู้ แล้วเหตุใดข้าต้องเอาชีวิตไปฝากไว้กับท่านด้วยล่ะ" ชายรูปงามยิ้มมุมปาก ผู้หญิงมากมายวิ่งเข้ามาจ้องจะจับเขาแต่เขากับไม่สนใจ พอเจอแม่นางน้อยที่พูดจาตรงไปตรงมาเขากลับรู้สึกชอบพออย่างบอกไม่ถูก แต่ว่านางยังเล็กนักข้าก็อายุได้สิบหกปีแล้วนี่ข้าคิดไม่ดีกับแม่นางน้อยผู้นี้งั้นหรือ "ข้าเป็นพ่อค้าคนหนึ่งในเมืองหลวง บ้านข้าค้าขายสมุนไพรทุกชนิด ข้าสามารถดูแลเจ้าไปทั้งชีวิตข้าเลยล่ะ"ชายหนุ่มตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ "ท่านจะบอกว่าท่านมั่งมีสินะ แล้วท่านจะให้อะไรข้าที่สามารถเป็นหลักประกันได้ล่ะว่าท่านจะไม่คืนคำ" พอรู้ว่าชายหนุ่มมาจากเมืองหลวงหลี่หลิวก็รีบหาโอกาสคว้ามันไว้ ถึงจะไม่ไว้ใจเขาก็ตามแต่ "ข้าจะหมั้นหมายกับเจ้าเป็นเช่นไร หากเป็นแบบนี้เจ้าก็จะสบายใจได้ว่า ข้าจะคอยทดแทนบุญคุณเจ้าไปตลอด" ชายหนุ่มหันมองหน้าน้อยๆ รูปไข่ของนางอย่างเอ็นดู เด็กคนนี้ตอนเด็กก็ว่าน่ารักน่าชัง หากโตมาแล้วคงจะเป็นสาวงามคนหนึ่งเป็นแน่ แถมนางยังมีวาจาที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันจนน่าเหลือเชื่อ หากนางรับคำข้าคิดว่าในอนาคตนางคงเป็นผู้ดูแลร้านที่ดีได้อย่างแน่นอน นี่ข้าพูดแบบนี้กับแม่นางน้อยไปได้เช่นไรกัน ข้าไม่เคยพูดเช่นนี้กับใครมาก่อนเลยนะ "ข้ามีสิ่งที่ข้าต้องการ ไม่รู้ว่าเศรษฐีเช่นท่านจะให้ข้าได้หรือไม่" "เจ้าไม่ต้องการหมั้นหมายกับข้างั้นรึ" ข้าเสนอความประสงค์ออกไปทว่านางกลับไม่ยอมรับเสียอย่างนั้น หรือนี่จะเป็นกรรมตามสนองที่ข้าชอบปฏิเสธสาวน้อยใหญ่พวกนั้นงั้นรึ "ท่านเอาส่วนไหนคิดหรือเจ้าคะ ข้าพึ่งหกขวบเท่านั้นจะหมั้นหมายไปเพื่ออะไรกัน" หลี่หลิวมองไม่ออกว่าเขามีความคิดกับคนแปลกหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร ถึงเขาจะรูปงามดวงตาคมคายแต่ก็มิใช่ว่าจะพูดพร่ำเพรื่อไปเรื่อยเช่นนี้ หรือสมองเขาจะกระทบกระเทือนกันนะ หลี่หลิวรีบคลานไปที่บริเวณหัวของเขาและหาดูว่ามีบาดแผลที่ไหนหรือไม่ "แม่นางเจ้าทำอันใดหรือคอข้าแทบเคล็ดแล้ว" เขามองแม่นางน้อยที่จับหัวของเขาส่ายไปมาด้วยความสงสัย "ข้าจะดูว่าตอนท่านล้มลงหัวของท่านได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่" นี่นางคิดว่าข้าเลอะเลือนงั้นหรือ จะว่าไปข้ารุกเร้านางมากเกินไป ทั้งที่ข้าไม่เคยเป็นเช่นนี้กับใครมาก่อน หรือข้าจะเป็นโคแก่ ๆ ที่ริอาจอยากจะกินหญ้าอ่อนที่เพิ่งจะโผล่ไม่พ้นดินหรือนี่ เขาเอามือกุมขมับตนเอง และสมเพชกับความคิดวิปริตเช่นนี้ "ท่านปวดหัวรึ" หลี่หลิวเห็นเขาเอามือกุมหัวจึงถามขึ้น หรือเขาได้รับการกระทบกระเทือนมาจริง ๆ "ข้าเปล่า" "งั้นท่านเอามือกุมขมับทำไมล่ะ" "ข้าแค่คิดว่าเจ้าไม่เหมือนคนทั่วไป" "คนทั่วไปเขาทำเช่นไรล่ะ" "เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าบอกว่ามีสิ่งที่เจ้าอยากได้ งั้นเจ้าก็ลองว่ามา" "ข้าอยากมีที่ทางติดกับเมืองหลวงเป็นเขตรอบเมืองจะดีมากและขอที่กว้าง ๆ ข้าจะปลูกผักขายของ ข้าขอไม่มากหรอกแค่เพียงหนึ่งไร่ก็เพียงพอ" หลี่หลิวบอกความต้องการของนางไป พอเขารู้ว่านางอยากไปอยู่เมืองหลวงเขาก็ยิ้มกว้างอย่างพอใจ ก่อนหน้านี้มีที่แปลงหนึ่งที่ยังไม่ได้จัดการพอดี หากให้นางไปคงไม่น่าเกลียดมากนัก "ได้ ข้ารับปากเจ้า แต่มีข้อแม้เจ้าต้องเอาผักที่ปลูกมาส่งให้ข้าทุกวันจะมากหรือน้อยก็ไม่เป็นไร แต่จำไว้เจ้าต้องมาส่งด้วยตัวเจ้าเอง" "อืม ก็ได้ แต่ข้ายังมีอีกข้อ" "เจ้าว่ามาหากไม่เหลือบ่ากว่าแรงมากข้าจะทำให้" "ข้าต้องการห้าตำลึงเงิน" ชายหนุ่มเกือบหลุดขำออกมา แต่ล่ะสิ่งที่นางต้องการนั้นไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก ที่ทางที่นางต้องการก็แค่หนึ่งไร่ ส่วนเงินนางต้องการแค่ห้าตำลึงเงินเพียงเท่านั้น หากเป็นคนอื่นคงขอให้เลี้ยงดูไปตลอดชีวิต และขอเงินตราอีกมากมายเป็นแน่ นางแตกต่างจากคนเห็นแก่ตัวพวกนั้นจริงๆ "ได้ ข้าตกลง เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการที่เพียงหนึ่งไร่ กับเงินอีกห้าตำลึงเงินเพียงเท่านั้น" ชายหนุ่มถามขึ้นอีกเพื่อความแน่ใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าคำพูดของนางอาจจะเชื่อถือไม่ได้ เพราะข้าจำได้ราง ๆ ว่ามีชายผู้หนึ่งหามข้ากลับมา "คำพูดของข้าเชื่อถือได้ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรท่านมากนัก หากท่านมีน้ำใจอยากตอบแทนก็ให้ตามที่เราตกลงกันก็พอแล้ว" นางช่างคิดน้อยเสียจริง ข้าจะรอถามพ่อแม่ของนางอีกทีแล้วกันว่าพวกเขาคิดเห็นเช่นไร เอ้ะ! แล้วเหตุอันใดข้าต้องวุ่นวายด้วย ในใจข้ากลับคิดว่านางควรได้รับมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ เหตุใดข้าต้องเป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อยแปลกหน้าผู้นี้ด้วยกันล่ะ "ตกลงตามนั้น" เขารับคำนางไป นางจึงบอกให้เขาพักผ่อนส่วนนางขอตัวเข้านอนก่อน พอนางจากไปเขาก็เหลือบไปพบสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากเด็กหนุ่มซึ่งกำลังจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย