ผู้ชายคนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็ฉวยโอกาสหน้าม่อใส่น้องสาวข้า เขาช่างกล้าพูดหลอกล่อน้องสาวของข้า คงคิดว่าจะไม่มีใครได้ยินคำพูดเสเพลของเขาหรือเช่นไร หลี่จงอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นกล้าที่จะขอหมั้นหมายกับน้องของเขา ทั้งที่พึ่งเจอกันครั้งแรกแท้ ๆ ยังมีคนหน้าไม่อายเช่นนี้อยู่อีกหรือ น้องข้าพึ่งจะหกขวบเศษ ๆ แต่เขากล้าที่จะคิดกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าต้องคอยจับตาดูเขาไว้ให้ดีเสียแล้ว
"เจ้าคือ?" สือไท่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ร่างผอมบางอย่างสงสัยทว่าหลี่จงกลับไม่ตอบเขาแม้แต่คำเดียว เขาลุกขึ้นด้วยใบหน้าขึงขัง คางน้อย ๆ ขบกรามเกร็งแน่น ดวงตาคมกริบปรากฏแววดุดัน เขาเดินเข้าห้องพักของตนไปโดยไม่พูดจากับข้าเลยสักคำ สือไท่รับรู้ถึงความรู้สึกกดดันจากเด็กหนุ่มที่มันทะลักออกมาจนเขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เด็กคนนี้แววตาน่ากลัวเสียจริง คราวหน้าข้าต้องมองให้ดีก่อนที่จะพูดคุยกับแม่นางน้อยคนนั้นเสียแล้ว "เจ้าอย่าได้ไว้ใจชายหนุ่มจากเมืองหลวงเชียวนะ" หลี่จงใบหน้าบึ้งตึงเดินเข้าห้องมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก "ท่านหมายถึงชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บนั่นน่ะหรือ" หลี่หลิวมองแวบเดียวก็รู้ว่าท่านพี่โกรธเคืองกับคำพูดที่ชายหนุ่มพยายามหยอกเย้านางเมื่อก่อนหน้านั้น "ข้าไม่ถือสาคนที่ไม่รู้จักหรอกเจ้าค่ะ หากข้ามัวแต่ถือสาคำพูดของคนอื่น อีกไม่นานพอข้าโตขึ้นข้าก็ต้องเก็บคำพูดของคนเหล่านั้นมาใส่ใจอีกมากเท่าใดกัน ท่านก็เช่นกัน ตอนนี้สิ่งที่เราควรทำคือดูแลเขาให้หายดีจะได้มีเงินไปคืนท่านย่า และจะได้ไปอยู่เมืองหลวงเสียที" "เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากเลยรึ" "ก็แน่น่ะสิเจ้าคะ หากไปอยู่เมืองหลวงท่านก็จะได้เล่าเรียนในสถาบันที่ดี น้องเล็กเองก็เช่นกัน อีกไม่กี่ปีก็สมควรเข้าเรียนได้แล้ว ข้าฝากอนาคตไว้กับพวกท่านเลยนะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังเชียวล่ะ" ที่แท้นางก็กำลังทำเพื่อข้ากับน้องเล็กอยู่ ข้าก็นึกว่านางอยากไปอยู่ใกล้ ๆ กับชายผู้นั้นเสียอีก นี่ข้าทำไมต้องคิดเรื่องพวกนี้กับน้องสาวที่พึ่งอายุได้เพียงหกขวบกันนะ หลี่จงนอนลงห่มผ้าแล้วตอบกลับไปว่าข้าจะทำให้ดีที่สุด เมื่อเสียงในห้องเงียบลง สือไท่ที่นอนฟังอยู่ก็มีรอยยิ้มที่ร้ายกาจประดับตรงมุมปากของเขา เด็กสองคนนี้เป็นพี่น้องกันสินะงั้นข้าก็ถือว่ายังมีโอกาสอยู่ เพียงแค่ต้องเปลี่ยนวิธีการสักหน่อย ข้าควรแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ แผนนี้น่าจะใช้ได้ดีกับนาง ยังดีที่นางกับพ่อหนุ่มนั้นไม่ใช่คู่หมายกัน สือไท่รู้สึกเบิกบานใจเป็นที่สุด ก่อนจะเขาหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า ตลอดทางเขาเร่งรีบหนีมาจนอาชาของเขาหมดแรงล้มลงเขาจึงใช้ไม้พยุงเดินมาด้วยความเร่งรีบ ในใจคิดเพียงแค่ว่าต้องไปให้ถึงเมืองหลวงให้เร็วที่สุด แต่ท้ายที่สุดเขาเสียเลือดมากเกินไปจึงได้หมดสติลงก่อนที่จะถึงหมู่บ้านเป่ยหนาน ฟ้ายังเมตตาที่ยังส่งคนมาช่วยเหลือข้า แถมยังเป็นแม่นางน้อยที่หน้าตาจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตเสมือนกับดาวนับล้านดวงส่องแสงอยู่ในดวงตาคู่นั้น ปากนิดจมูกหน่อย แก้มน้อย ๆ ช่างดูน่ารักน่าชังนัก ข้าก็เคยพบเห็นโคแก่กินหญ้าอ่อนมามากแต่กลับไม่คิดมาก่อนว่าตนก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ช่างน่าละอายเสียจริง ในคืนนั้นยามราตรีล่วงเลยผู้คนนอนหลับอย่างสนิท มีการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ บริเวณหน้าท้องของสือไท่ แผลที่เขาถูกแทงมาค่อย ๆ ผสานกันอย่างช้า ๆ ทำให้เขารู้สึกคันยุบยิบบริเวณช่วงท้อง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตนมีแผลอยู่จึงไม่กล้าที่จะเกามัน บางทีการทำแผลนี่อาจจะไม่สะอาดนัก เช่นนั้นพรุ่งนี้เขาต้องรีบหาทางกลับเมืองหลวงก่อนที่แผลจะลุกลามไปมากกว่านี้ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่!!! เสียงม้าร้องขึ้นปลุกคนที่นอนหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ที่อื่นเขามีไก่ขันแต่บ้านข้ากลับมีม้าที่ร้องปลุกตั้งแต่ก่อนไก่โห่เสียอีก ท่านพ่อท่านแม่ลุกขึ้นจุดคบเพลิงที่ดับลงเพื่อให้เปลวเพลิงส่องสว่างอีกครั้ง ก่อนจะไปเตรียมข้าวของขนขึ้นรถลาก หลี่หลิวหลี่จง และหลี่เฉินเดินออกจากห้องมาแล้วกำลังจะไปล้างหน้า น้องเล็กเดินตามหลัง และไปสะดุดล้มหน้าคะมำร้องไห้โวยวายจนสือไท่ตื่นขึ้น "เจ็บ ข้าเจ็บ" หลี่เฉินเอามือกุมหน้าน้อย ๆ ของตนที่ล้มฟาดลงพื้นไม้อย่างไม่ได้ตั้งใจ บัดนี้อาการงัวเงียของเขาได้หายไปทว่ากับได้รับความเจ็บปวดมาแทน "ทีหลังเจ้าดูให้ดี ๆ หน่อย" หลี่จงปลอบน้องเล็กที่น้ำตาไหลพราก และบอกให้เขารู้จักสังเกตให้ดี ๆ จะได้ไม่พลาดท่าเหมือนเช่นครั้งนี้อีก "ใครจะรู้กันล่ะว่าจะมีคนมานอนอยู่ตรงนี้ ปกติข้าก็เดินมาไม่เคยล้มเลยสักครั้ง" หลี่เฉินลุกขึ้นยืน และเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อของตน ก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่ผู้เป็นพี่ ถึงจะยังรู้สึกเจ็บอยู่แต่เราเป็นลูกผู้ชายจะต้องเข้มแข็งและอดทนเข้าไว้ "ข้าผิดเองที่ลืมบอกเจ้า ว่ามีคนบาดเจ็บมานอนพักที่บ้านของเรา" หลี่หลิวก้มลงขอโทษน้องเล็กที่ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้ นางเห็นหน้าผากน้องเล็กแดง ๆ จึงรีบบอกให้พี่ใหญ่พาน้องเล็กไปล้างหน้าล้างตา ส่วนตนขอดูแผลของชายแปลกหน้าเสียก่อน "ท่านเป็นเช่นไร แผลดีขึ้นบ้างหรือไม่" หลี่หลิวนั่งลงข้าง ๆ เขา ก่อนจะเอาหลังมืออิงหน้าผากว่ามีไข้หรือไม่ แต่ชายแปลกหน้าคนนี้กลับไม่มีไข้ ปกติคนได้รับบาดเจ็บอาจจะมีไข้ขึ้นสูงได้เพราะพิษของบาดแผล แต่ชายผู้คนนี้จะแข็งแรงเกินไปไหม "ข้าขอดูแผลของท่านหน่อยได้หรือไม่" ชายแปลกหน้าได้แต่พยักหน้ารับ สงสัยว่าเมื่อคืนที่เขาพูดจาแปลก ๆ เพ้อเจ้อ อาจจะเป็นเพราะพิษจากบาดแผลก็เป็นไปได้ หลี่หลิวดึงผ้าห่มลงมาถึงช่วงเอวโชว์ให้เห็นผิวพรรณขาวผ่องของชายหนุ่ม ทว่านางก็ไม่ได้เขินอายอันใด หากเป็นหญิงอื่นอาจจะขวยเขิน หรือนางยังเด็กเล็กอยู่จนแยกแยะชายหญิงยังไม่ได้กันนะ หลี่หลิวพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่งเพื่อที่จะเอาผ้าสะอาดที่พันรอบช่วงเอวของเขาออกสือไท่ไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย เมื่อนางเอาผ้าที่พันรอบเอวของเขาออกปรากฏว่าแผลของเขาสมานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนดวงตาของเขาจะเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ แผลขนาดนี้ต้องใช้เวลาเป็นเดือนถึงจะหายดี แต่มันหายไปในชั่วข้ามคืนโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้เช่นไรกัน "แผลของท่านหายดีแล้วรึ?" หลี่หลิวมองหน้าเขาก่อนจะก้มลงเอามือจิ้ม ๆ ที่บริเวณหน้าท้องของเขาอย่างสงสัย เมื่อวานแผลของเขายังมีเลือดไหลซึม และเหมือนมันจะอักเสบอยู่เลย แต่มาวันนี้แผลที่หน้าท้องของเขากลับหายไปชั่วข้ามคืน หรือว่า... ต้องใช่แน่ ๆ ไว้ข้ามีโอกาสจะต้องลองดูสักครั้ง "ท่านหายดีแล้วนะเจ้าคะ" หลี่หลิวยิ้มหวานให้กับชายแปลกหน้า งั้นอีกไม่นานนางก็คงจะมีเงินคืนให้ท่านย่า และจะได้เข้าไปอยู่ในเมืองหลวงเสียที "ข้าว่า น่าจะใช่นะ" สือไท่จับหน้าท้องของตนแล้วลูบ ๆ คลำ ๆ อย่างสงสัย แผลมันหายไปได้เช่นไรกัน ข้าถูกแทงจริง ๆ ใช่หรือไม่ หรือข้าเหนื่อยจนหลอนไป มิใช่สินางยังถามข้าอยู่เลยว่าข้าเจ็บแผลไหม "เจ้าไปล้างหน้าล้างตาเถอะ เดี๋ยวข้าดูเขาต่อให้เอง" หลี่จงเดินเข้ามาพร้อมกับบอกให้น้องสาวลงไปล้างหน้าล้างตา แต่นางกลับหันกลับมาแล้วยิ้มแป้นใส่เขาเสียอย่างนั้น เขาไม่อยากให้น้องสาวอันเป็นที่รักต้องใกล้ชิดกับชายแปลกหน้ามากเกินไปนัก จึงได้แต่คอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด "ท่านพี่มาดูนี่สิเจ้าคะ" หลี่หลิวกวักมือเรียกพี่ชายแล้วชี้ไปที่แผลของชายหนุ่มด้วยใบหน้าระรื่น ถึงมันจะมีร่องรอยของเลือดอยู่บ้างแต่แผลของชายผู้นั้นหายไปแล้ว หายไปแบบไม่มีร่องรอยอะไรเลย "เป็นไปได้เช่นไรกันแผลของเขาค่อนข้างสาหัสมากทีเดียวเลยนะ อย่าบอกนะว่า..." ไม่ทันที่หลี่จงจะพูดต่อเขาจึงปิดปากลง และไม่กล้าที่เอ่ยออกมา "เขาหายแล้วเจ้าค่ะ ร่างกายของเขาฟื้นตัวได้เร็วมากเลยนะเจ้าคะ ข้าประหลาดใจมาก ๆ เลยล่ะเจ้าค่ะ ชายผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ท่านมีอะไรที่วิเศษอยู่ใช่หรือไม่"หลี่หลิวยิ้มกว้างถามชายที่นั่งอยู่บ้านตนด้วยรอยยิ้มเชิงอยากรู้ "ข้าเปล่านะ" สือไท่ยกมือขึ้นห้ามปรามอย่างลุกลี้ลุกลนแล้วตอบไป หากว่าพวกเขาไม่ได้ทำอันใดงั้นร่างกายของข้าข้าก็แปลกประหลาดงั้นรึ ไม่สิ..หากแผลข้าสมานกันได้เอง แล้วเหตุใดข้าถึงต้องทนเจ็บมาตลอดทางด้วยล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสัย พอชายหนุ่มบอกปัดไปหลี่หลิวก็ทำหน้าตาเศร้าสร้อยอย่างจริงจัง เหมือนนางจะคว้าของสำคัญได้ทว่ามันกลับหลุดมือไป "ในเมื่อเจ้าหายดีแล้ว ก็สมควรจะกลับบ้านได้แล้วกระมัง" หลี่หงที่จะเดินมาดูพวกเด็ก ๆ เห็นเข้าจึงรีบเอ่ยปากไล่เขาอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อคืนนี้เขาได้ยินคำที่ชายผู้นี้พูดกับบุตรสาวของตนจึงอยากให้เขารีบไปให้เร็วหน่อย หากเขาอยู่ที่นี่นานไปบุตรสาวของเขาอาจเสียรู้เขาเข้าสักวัน "ข้าขอขอบคุณท่าน และครอบครัวที่ช่วยชีวิตข้าไว้ขอรับ" สือไท่ลุกขึ้นยืนสองมือผสานก้มหัวลงคำนับชายร่างสูงใหญ่ผิวขาวเหลืองอย่างจริงใจ ถึงเขาจะแต่งตัวไม่สุภาพนักทว่าการขอบคุณผู้ช่วยชีวิตไว้นั้นสำคัญมากกว่า "ข้ามีนามว่าสื่อไท่ เป็นพ่อค้าสมุนไพรในเมือง" "ข้าได้ยินที่เจ้าพูดคุยกันเมื่อคืนแล้ว เอาล่ะเจ้าก็เตรียมตัวเสียหลังจากกลับมาจากตลาดเช้าข้าจะไปส่งเจ้าที่ตัวเมือง จากนั้นเจ้าคงหาทางไปต่อเองได้ใช่หรือไม่" สื่อไท่ได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ที่แท้เขาได้ยินข้าพูดจาฉอเลาะกับแม่นางน้อยจึงทำให้เขาเคืองโกรธ "ข้าต้องขออภัยท่านด้วย ข้าเพียงแค่อยากตอบแทนนางที่ช่วยชีวิตจึงยื่นข้อเสนอนั้นไปเพื่อที่จะได้ทดแทนบุญคุณ หากแต่ว่านางกับข้าก็ได้ตกลงกันไว้แล้วว่านางต้องการเพียงที่ดินหนึ่งไร่กับห้าตำลึงเงิน ข้าคิดว่าจะให้ที่ดินเพิ่มอีกสองไร่ ท่านคิดเห็นว่าเช่นไร" สือไท่เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ว่ามีหนี้สินที่ต้องจ่าย และต้องการที่นาเพื่อทำกิน อีกทั้งยังต้องส่งเสียบุตรชายทั้งสองอีก จึงถามไถ่บิดาของนางอย่างนอบน้อม "ข้าเห็นด้วยกับที่เจ้าว่า ที่เพียงหนึ่งไร่มันไม่เพียงพอให้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของครัวเรือนข้าได้" สือไท่มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาเล็กน้อย และเขาก็ต้องรีบเก็บมันคืนไปเมื่อได้ยินประโยคถัดไป "แต่ข้าจะมิรับมาอย่างเปล่า ๆ หรอกนะ ข้าจะขอเช่าในราคาที่เป็นธรรม ส่วนเงินหากเจ้าอยากให้ข้าจะรับไว้ ภายภาคหน้าหากข้ามีเงินตราพอแล้วข้าจะหาส่งคืนให้เจ้าอย่างแน่นอน" หลี่หงไม่อยากติดค้างชายที่จะมาชุบมือเปิบเช่นเขา ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ามาวอแวกับบุตรสาวคนเดียวของข้าได้ง่าย ๆ หรอกนะ "ตามที่ท่านต้องการเลยขอรับ แต่ข้าต้องกลับไปที่เมืองหลวงก่อน หากท่านยินดีสามารถไปพร้อมกับข้าได้เลยนะขอรับ ส่วนตำลึงเงินข้าพอมีติดตัวอยู่บ้างท่านสามารถรับมันไปก่อนได้เลย" สือไท่เดินไปที่กองเสื้อผ้าของเขา ก่อนจะนั่งลงแล้วก้มหยิบถุงเงินที่ซุกซ่อนไว้ออกมา ในนั้นมีเงินอยู่เกือบสิบตำลึงเงิน เขาหยิบออกมาให้หลี่หงห้าตำลึงเงินตามที่แม่นางน้อยเรียกไว้ หลี่หงเผลอคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ถึงจะเป็นเพียงการหยิบยืมแต่การได้จับเงินเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขายิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ "น้องชายเรากำลังจะไปตลาดเช้าเพื่อขายของ น้องชายเจ้าอยากไปเปิดหูเปิดตาหรือไม่" เมื่อได้รับเงินมาชายที่เคร่งขรึมก่อนหน้าก็มลายหายไปในทันที แถมยังพาสือไท่ไปเปลี่ยนชุดซึ่งก็เป็นเสื้อผ้าของเขาเมื่อตอนยังหนุ่ม และสือไท่ก็ใส่มันได้อย่างพอดี ถึงเขาจะอายุได้เพียงสิบหกปีทว่ารูปร่างโดยรวมก็ไม่แตกต่างจากผู้ใหญ่คนหนึ่งนัก ความสูงของสื่อไท่ก็ราวร้อยแปดสิบได้ ซึ่งมีความสูงพอ ๆ กันกับท่านพ่อของหลี่หลิว หลี่จง และหลี่หลิวหันไปสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย เหตุใดท่านพ่อถึงพลิกฝ่ามือได้เร็วถึงเพียงนี้กันนะ เมื่อถึงตลาดเช้าครอบครัวของหลี่หลิวกับสื่อไท่ก็จัดเตรียมข้าวของ หลี่หลิวนำปลาที่ท่านแม่ขอดเกล็ดล้างพุงแล้วมาทาเกลือ และตั้งกระทะเทน้ำมันลงไปมากหน่อยจนเกินครึ่ง พอกระทะร้อนได้ที่นางใส่ปลาทั้งตัวลงไปทอดจนเหลืองแล้วค่อยเอาขึ้นให้มันสะเด็ดน้ำมัน นางทอดครั้งล่ะสามตัวเพราะกระทะค่อนข้างใหญ่จึงทำให้ประหยัดเวลาได้มากขึ้น หลี่หลิวทำให้ท่านแม่ดูครั้งสองครั้งจากนั้นหวังลู่ก็รับหน้าที่ทอดปลาไป วันนี้หลี่หลิวให้ท่านพ่อยกเตามาอีกอัน พร้อมกับเอากระทะขนาดกลางมาด้วย ท่านพ่อก่อไฟรอเป็นที่เรียบร้อยนางจึงลงมือผัดเนื้อใส่หน่อไม้โดยการที่นางไปสั่งเนื้อมาจากร้านลุงชวีฝั่งตรงข้าม ท่านพ่อ และสือไท่รับหน้าที่หั่นเนื้อวัว ถึงแม้สือไท่จะไม่คล่องแคล่วนักแต่เขาก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ พอเห็นการทำงานของครอบครัวนี้เขาก็ยิ่งชอบใจมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า แม่นางน้อยที่ชื่อหลี่หลิวทำอาหารเก่ง และอร่อยมาก นี่คือสิ่งที่ข้าได้ฟังจากเจ้าตัวเล็กที่พูดจ้อไม่หยุด เมื่อหั่นเนื้อเสร็จเขาก็มาช่วยหลี่จงตักอาหารเหมือนกับว่าตอนนี้เขาเริ่มแทรกแซงเข้ามาในครอบครัวนี้ได้บ้างแล้ว "เมื่อวานข้ามารอพวกเจ้าอยู่นานที่แท้ก็ไปซื้อม้ามานี่เอง กับข้าววันนี้ข้าเอาอย่างล่ะสองกระบอกแล้วก็ปลาทอดอีกหนึ่งตัว" แม่นางร่างท้วมที่มาซื้ออยู่บ่อยครั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อเห็นพ่อค้าหนุ่มคนใหม่มาตักอาหารให้นาง ด้วยใบหน้างดงามดั่งภาพวาดของสือไท่ แค่ได้เห็นก็ทำให้คนใจชื้นได้แล้วจริง ๆ "ขอบคุณขอรับ ไว้คราวหน้าท่านมาอุดหนุนใหม่นะขอรับ" หลี่จงที่รู้ความยังคงยิ้มแย้มรับแขกต่อไปโดยมีสื่อไท่คอยช่วยอยู่ใกล้ ๆ พอดูดี ๆ แล้วสือไท่ก็ไม่ได้แย่นะ หรือจะเป็นอย่างน้องรองว่าเพราะเขาได้รับพิษจากบาดแผลเลยพูดจาเพ้อเจ้อไปเช่นนั้น "ขอบคุณขอรับ" ทุกครั้งที่หลี่จงกล่าวขอบคุณลูกค้า สือไท่ก็จะกล่าวขอบคุณตามจนแม่นางน้อยใหญ่ที่มาตลาดพากันเคลิบเคลิ้ม นอกจากหน้าตาแล้วน้ำเสียงที่ทรงพลังแต่ว่าอ่อนน้อม ทำให้แม่นางทั้งสาวอ่อนสาวแก่ใจละลายกันเป็นแถว หลี่หงมองดูสื่อไท่แล้วชวนให้คิดหากเขาชอบบุตรสาวตนจริง ๆ และยังคงมีแม่นางคอยลุมล้อมอยู่เช่นนี้ บุตรสาวข้าคงทุกข์ใจมิวายเว้น ข้ายกธงขาวยอมแพ้ และควรหาคนที่เหมาะสมกว่านี้ให้บุตรสาวในภายหลังจะดีกว่า ชายผู้นี้จะเป็นได้เพียงแค่พี่ชายของนางเพียงเท่านั้น หลี่หงยิ้มอย่างสุขใจเขารับเงินจนนับไม่ทัน วันนี้หลี่หลิวลงมือผัดเองเพราะหวังลู่ทอดปลา และกลัวน้ำมันร้อน ๆ จะกระเด็นใส่บุตรสาวนางจึงรีบทำหน้าที่ทอดปลาจนเสร็จ แล้วรับหน้าที่ผัดเนื้อ และผัดหอยโข่งต่อ "วันนี้คนเยอะใช้ได้เลยนะเจ้าคะ หากครอบครัวน้องรองมาขายอาหารคงจะขายดีมากแน่ ๆ ข้าเคยได้ยินคนบอกว่าร้านน้องรองทำอาหารได้อร่อยมากเลยทีเดียว" "หึ! ถ้าพวกเขาขายได้มากเราก็จะได้เงินคืนกลับมาเร็ว ๆ แล้วพวกเขาจะได้รีบย้ายกันกลับมาช่วยงานข้าเสียที ข้าต้องควักเงินให้ครอบครัวหวังทุกวันจนข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว" หลี่ไช่หัวมาเดินตลาดยามเช้ากับสะใภ้ใหญ่ นางก็ได้แต่คาดหวังว่าจะมาเจอบุตรชายคนรองที่คิดใหญ่ใฝ่โต ว่าพวกเขาจะขายดิบขายดีมากแค่ไหนกันเชียว "ตรงนั้นคนมุงอันใดกัน เจ้าไปดูซิ" "เจ้าค่ะท่านแม่" หลี่ไช่หัวเห็นคนยืนมุงดูร้านอะไรสักอย่างจึงอยากรู้ และบอกให้สะใภ้ใหญ่เดินไปสอดส่องดูให้นาง "ท่านแม่ร้านน้องรองเจ้าค่ะ คนต่อแถวกันยาวเลยเจ้าค่ะ พวกเราจะเข้าไปกันไหมเจ้าคะ" "เข้าไปสิ ทำไมจะไม่เข้าไปล่ะ" "หลีกทางหน่อย ๆ ข้าจะเข้าไปข้างหน้าช่วยหลีกทางหน่อยได้หรือไม่" สะใภ้ใหญ่พยายามจะเบียดเข้าไปแต่กลับถูกทุกคนมองหน้าแถมยังขึงตาใส่นาง ก่อนที่จะพาพูดกันว่าให้ไปต่อคิวด้านหลัง เพราะพวกเขาก็ยืนรอกันพักนึงแล้วเหมือนกัน อย่าได้คิดที่จะแย่งชิงแทรกแซงแถวของพวกเราเชียว"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย