Share

ตอนที่6 คำทำนายของนักพรตเฒ่า

“ท่านแม่เจ้าคะ ในเมื่อท่านแม่บอกข้าว่าคนพวกนี้จะมีอาหารให้กินมีที่นอนอุ่นแล้วใยท่านจึงไม่ส่งน้องสาวไปเล่าเจ้าคะ” ฉินเซียวกล่าวออกมาอย่างไร้เดียงสา

“เจ้าหุบปากเรื่องของผู้ใหญ่ใครให้เด็กอย่างเจ้ามาวุ่นวายจะไปตายที่ไหนก็ไปนางตัวซวย” นางจางตวาดใส่เด็กหญิงพลางสีหน้าแสดงความกังวลเนื่องจากกลัวคนพวกนี้  เปลี่ยนใจ

ด้านในบ้านฉินตอนนี้ฉินจวนนั่งกอดตัวเองแน่นโดยมีพี่ชายที่อายุสิบขวบมองนางอยู่ด้วยความสมเพช ฉินตาอีไม่ได้มีความรู้สึกรักน้องสาวคนนี้เลยเพราะนางเป็นเด็กเอาแต่ใจ

บ้านอื่นมีแต่จะเชิดชูลูกชายมีเพียงเขาที่แม้จะไม่โดนตีหรือถูกต่อว่าแต่ถ้าเมื่อไหร่มีเรื่องเกี่ยวกับนางเด็กคนนี้เขามักจะโดนผู้เป็นแม่ดุด่าอยู่เสมอ

และสิ่งที่เขามักจะกระทำก็คือการไปกลั่นแกล้งน้องสาวต่างสายเลือดผู้อ่อนแอไม่กล้าสู้คนผู้นั้น

“เจ้าจะหวาดกลัวอะไร แม่ไม่มีทางขายเจ้าหรอกเจ้าน่าจะรู้ดี” เด็กชายผู้พี่เปิดปากของตน

“ก็ข้ากลัวพี่จะมายุ่งทำไม” คนเป็นน้องเถียง

นางจางเมื่อได้ยินเสียงของสองพี่น้องในขณะที่กำลังมาหยิบเงินที่ตัวเองแอบซ่อนเอาไว้ก็เกิดบันดาลโทสะ

“พวกเจ้าเป็นอะไรกัน บ้านร้อนเป็นไฟถึงเพียงนี้ยังจะมาทะเลาะกันอีก ช่วยสงบปากคำของพวกเจ้าบ้างเถอะ” นางตวาดใส่ลูกในอกเสียงดัง

เมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองเงียบเสียงลงแล้ว นางก็รีบนำเงินที่เก็บออมไว้นำไปให้หัวหน้าคนคุมบ่อนด้านนอก ฉินเซียวไม่ได้อยู่รอดูความหายนะของผู้อื่นเนื่องด้วยตั้งแต่นางถูกแม่ใจมารไล่เธอก็ได้ร้องไห้หนีออกมาอยู่ภายในห้องเก็บฟืนที่เป็นสถานที่หลับนอนของตนด้วยความอ่อนเพลียอันเกินกว่าร่างกายเล็ก ๆ ของตนจะรับได้

ทำให้เด็กหญิงผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย โป๊ยข่วยที่ มองเห็นสภาพของเด็กผู้นี้ก็เกิดความสงสาร เจ้ากระจกใบน้อยจึงได้นำผ้าห่มผืนบางออกมาคลุมร่างเล็กจ้อยด้วยความเป็นห่วง

ก่อนที่เจ้าตัวจะปิดกั้นเสียงดังโดยรอบทั้งหมด อีกทั้งยังป้องกันประตูหน้าต่างของห้องเก็บฟืนชนิดที่ว่าแมลงตัวไหนก็อย่าหวังจะเล็ดรอดเข้ามารบกวนการนอนของทาสในความคุ้มครองของตนได้อย่างเด็ดขาด

ภายนอกหลังจากที่นางจางส่งมอบเงินให้กับชายฉกรรจ์พวกนั้นไปแล้วพวกมันก็จากไป แต่ก็ยังไม่วายทิ้งข้อความข่มขู่ฉินหย่งเอาไว้

“อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าที่บ่อนอีกไม่อย่างนั้นเจ้าตายแน่”

“ขอรับข้าไม่กล้าแล้ว” ฉินหย่งรับคำอย่างนอบน้อมแต่ในใจนะหรือข้าไปบ่อนอื่นก็ได้โว้ย

“หม่านซิงไปเอาเงินที่เหลือมาให้ข้าหาไม่อย่าหาว่าข้าใจร้าย” ฉินหย่งหันมาตวาดใส่คนเป็นเมีย

“ข้าไม่มีแล้วท่านพี่ เงินที่ข้าให้พวกนั้นไปเป็นเงินทั้งหมดที่ข้ามี” จางหม่านซิงกล่าวออกมาน้ำตาริน

“ข้าไม่เชื่อสมบัติพ่อแม่ข้าก่อนตายทิ้งไว้ให้ข้าตั้งเยอะ     หากเจ้าไม่ให้ข้า ข้าจะเอาที่ดินไปขาย” ชายวัยกลางคนกล่าวฮึดฮัดออกมา

“ท่านจำไม่ได้หรือปีก่อนท่านเพิ่งจะขายไปห้าสิบหมู่แล้วตอนนี้เราก็เหลือแค่ที่นาห้าสิบหมู่ หากท่านขายไปอีกพวกเราคงจะได้อดตาย” นางจางโต้เถียง

เพี๊ยะ! “เจ้ากล้าดียังไงมาเถียงข้าคนเป็นภรรยาเป็นสมบัติของสามีเจ้ามีสิทธิ์อะไรกล้ามาตีฝีปากกับข้าห๊ะ” ฉินหย่งกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล จางหม่านซิงเอามือกุมแก้มที่โดนตบน้ำตาไหลได้แต่กัดฟันข่มความเจ็บปวดเอาไว้ด้วยความแค้นใจ

ฉินหย่งที่รู้ตัวว่าลงมือหนักไปหน่อยแต่ด้วยทิฐิเขาจึงได้แต่สะบัดชายเสื้อเดินจากไปทิ้งให้นางจางมองตามด้วยความ แค้นเคือง

จนกระทั่งบุตรสาวอันเป็นที่รักของนางได้ก้าวเท้าเดินมาหาผู้เป็นแม่ก็เห็นน้ำตาของนางจางไหลอาบสองแก้มที่ใบหน้าอีกซีกเริ่มบวมแดง

“ท่านแม่เจ้าคะท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบถามมารดาอย่างขลาดกลัวเมื่อเห็นใบหน้าบวมแดงทำให้นางไม่กล้าเข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่อีก

“แม่ไม่เป็นไรเจ้าไปนอนเถอะ” นางจางกล่าวกับลูกน้อยน้ำเสียงไม่ชัดเจนนักเนื่องจากความเจ็บปวดที่ได้รับ

“เจ้าค่ะ” ฉินจวนรีบรับคำก่อนจะสาวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

‘สักวันเถอะฉินหย่งสักวันข้าจะคืนรอยฝ่ามือนี้ให้เจ้า’ นางกัดฟันกล่าวอย่างไร้เสียง

เช้าวันต่อมาแสงสว่างของพระอาทิตย์เริ่มจะสาดส่องไป รอบด้าน ภายในห้องเก็บฟืนอันเล็กแคบเด็กตัวน้อยเริ่มรู้สึกตัว นางเหยียดแขนเพื่อคลายความเมื่อยขบให้แก่ตนเองแล้วผ้าห่มผืนใหม่ก็ร่นลง

“ผ้าห่มของใครกัน” ฉินเซียวเปรยออกมาด้วยความสงสัย

“ของข้านะสิเจ้าเด็กอัปลักษณ์คราวนี้เจ้าช่างดูน่าเกลียดไปแล้วจริง ๆ” กระจกวิเศษพูดพร้อมกับเก็บผ้าห่มเข้ามิติของตน ฉินเซียวที่ได้ยินถ้อยคำของกระจกน้อยจนชาชินก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเพราะความอัปลักษณ์นี่แหละทำให้เธอยังอยู่รอดปลอดภัย

“ข้าขอบใจเจ้ามากนะโป๊ยข่วยที่ให้ข้ารอดจากเหตุการณ์เลว ร้ายมาได้ หากไม่มีเจ้าข้าคงตายทั้งเป็นไปแล้ว” เด็กหญิงยิ้มหวานส่งให้กระจกที่ตอนนี้เริ่มทำตัวไม่ถูก

“จะ...เจ้าช่างแปลกคนข้าว่าเจ้านะเจ้าต้องโกรธสิ ชิข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วรีบออกไปเถอะก่อนที่นางผู้นั้นจะมาอาละวาด” กระจกน้อยผู้ทำอะไรไม่ถูกหายวับไปแต่ก็ยังไม่วายอดพูดเตือนเด็กหญิงออกมา

ฉินเซียวเมื่อได้ยินคำเตือนนางก็มองดูที่มือและตามแขนก็ยังเห็นว่าแผลผุพองยังอยู่จึงได้ลองเอามือลูบตามใบหน้าและลำคอนางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ในขณะที่นางกำลังเอามือน้อยของตนกำลังผลักประตูห้องเก็บฟืนออกนางจางได้กลายเป็นผู้เปิดประตูออกพอดีเช่นกัน

“นังตัวซวยแกออกมานี่เลย” หม่านซิงกระชากแขนอันผอมบางของเด็กหญิงลากมาทางหน้าบ้าน ก่อนที่นางจะนำเศษผ้ามาผูกแขนของเด็กตัวเล็กผู้น่าสงสาร

“จนถึงเช้าพรุ่งนี้ข้าจะผูกแกเอาไว้โทษฐานที่แกทำให้เงินของข้าต้องสูญเสียนางเด็กเลว” นางจางกล่าวผรุสวาทอย่างรุนแรงตามที่นางนึกออก

“ท่านแม่ข้าเจ็บ ได้โปรดปล่อยข้าได้โปรดฮือ ๆ” เด็กวัยแปดหนาววิงวอนน้ำตาคลออย่างน่าสงสารแต่ก็หาได้นำพาซึ่งความเห็นใจมาให้นางจางไม่

ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงร้องไห้ก็พากันมามุงดูแต่ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือมาช่วยเหลือ เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัวของใครของมันแม้กระทั่งผู้ใหญ่บ้านแห่งนี้ก็ทำเป็นปิดหูปิดตาตนเช่นกัน

“แกไม่ต้องร้องคร่ำครวญนางเด็กผีหากใบหน้าแกไม่เป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องสูญเงินไปถึงหนึ่งตำลึงเงิน แกช่างเป็นตัวซวยโดยแท้” นางจางเมื่อได้ยินคำอ้อนวอนเธอก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาลมากขึ้น

ท่ามกลางอากาศร้อนจัดของฤดูต้าสู่ ฉินเซียวผู้ถูกลงทัณฑ์ให้ยืนตากแดดโดยการถูกมัดติดกับเสาไม้กลางลานบ้านก็เกือบจะเป็นลมอยู่หลายครั้ง

‘ท่านเทพชะตาเจ้าคะ ใยการเกิดใหม่ครั้งนี้ของข้าช่างโหดร้ายกว่าเดิมนัก ท่านจะให้ข้าตายอีกหนหรืออย่างไร’ วิญญาณหญิงสาวคร่ำครวญหากเธอรู้ก่อนก็คงจะหนีไปแล้ว แต่ลืมตาปุ๊บถูกจับปั๊บจะหนีก็ไม่ทันการด้วยกำลังตัวเองนั้นหาสู้แรงผู้ใหญ่ได้ง่ายไม่

“เจ้าไม่ตายหรอก ครั้งนี้เป็นชะตาของเจ้าที่ต้องได้รับแทนการถูกขายเมื่อคืนนี้ หากเจ้าร้อนก็หลับตาเสียข้าจะนำจิตวิญญาณของเจ้าเข้ามาภายในมิติ” กระจกวิเศษอดสงสารเด็กหญิงไม่ได้พูด

ฉินเซียวจึงได้หลับตาลง ภาพภายนอกที่บุคคลอื่นเห็นคงจะคิดว่าเด็กน้อยคงอ่อนล้าจนหลับไปเพียงเท่านั้น ภายในมิติของโป๊ยข่วยฉินเซียวกำลังรู้สึกสำราญกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า เธอกินด้วยความหิวเนื่องจากเมื่อวานก็มีเพียงปลาย่างครึ่งตัวที่ตกถึงท้อง ตื่นมาน้ำยังไม่ทันได้ดื่มก็ถูกนางจางจับมาผูกติดกับเสา ช่างเป็นการทรมานร่างกายอันแสนสาหัสเกินทานทน

“เจ้าค่อย ๆ กินก็ได้อาหารมันไม่หนีไปไหนหรอก ส่วนนี่เป็นน้ำทิพย์ข้าเจือจางให้แล้วเจ้าจะได้มีร่างกายแข็งแรงทนถึกไม่เจ็บป่วยง่าย” กระจกน้อยกล่าวพลางผลักจอกน้ำไปทางเด็กหญิง

ฉินเซียวรีบยกน้ำในจอกขึ้นดื่มอย่างไม่ลังเล เมื่อได้น้ำทิพย์เข้าสู่ร่างกายเธอก็มีความรู้สึกเบาสบายมากขึ้นความเมื่อยล้าจากการทำงานหนักได้หายไป

“นี่มันวิเศษมากเลยท่านโป๊ยข่วยผู้ยิ่งใหญ่น้ำทิพย์นี้สามารถช่วยรักษาอาการป่วยของมารดาผู้ให้กำเนิดข้าได้หรือไม่” เด็กหญิงวัยแปดหนาวถามด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง

“ได้แต่ต้องควบคู่กับการรักษาโรคทางใจ น้ำทิพย์ช่วยเยียว ยาได้ก็จริงแต่มารดาเจ้านางเป็นโรคใจดังนั้นเจ้าจึงเป็นตัวยาที่สำคัญ” กระจกใบน้อยตอบอย่างตรงไปตรงมา

ฉินเซียวเมื่อได้ยินคำตอบก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เรื่องพวกนี้เมื่อตอนที่เธอเริ่มเรียนเรื่องยากับครอบครัวของชาย  ผู้นั้นก็มีกล่าวเอาไว้

“ข้าเข้าใจแล้ว” เด็กหญิงตอบ

ฉินเซียวผู้ซึ่งกำลังอยู่อย่างสงบแต่แล้วความสุขของเธอก็ได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของเด็กชายวัยสิบหนาว

“แค่ก...แค่ก พะ...พี่ชายท่านทำอะไร” ฉินเซียวรู้สึกโกรธที่เด็กคนนี้เอาน้ำมาสาดใส่เธอทำให้นางสำลักอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ฮ่า ๆ หน้าของเจ้าช่างเหมือนปีศาจเสียจริง ข้าเป็นห่วงเจ้าเยี่ยงไรล่ะกลัวว่าเจ้าจะร้อนข้าก็เลยนำน้ำมาสาดเพื่อช่วยดับร้อนให้” ฉินตาอีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งยามเห็นสภาพอันเปียกปอนของน้องสาวคนละสายเลือด

“เจ้าหิวหรือไม่เล่าข้าอุตส่าห์แอบเอาแป้งทอดมาให้เจ้าด้วยนะอยากกินไหม” เด็กชายผู้มีอายุมากกว่าสองหนาวกล่าวพร้อมกับกินสิ่งที่นำออกมาต่อหน้าเด็กหญิง

ฉินเซียวแม้จะไม่รู้สึกหิวแต่จำใจต้องแสดงงิ้วเพื่อหลอกเด็กคนนี้ เธอจึงได้กลืนน้ำลายลงคอเพื่อบ่งบอกถึงความอยากกิน

“ว้าแย่จัง ข้าเผลอกินจนหมดแล้ว เอาไว้มื้อเย็นก็แล้วกันนะข้าไปละ” ฉินตาอีกล่าวก่อนจะหัวเราะร่าเดินจากไป

ฉินเซียวได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็กของเด็กชายไปด้วยความโมโหแล้วก็ก่นด่าตัวเองถึงเรื่องในอดีตที่เธอช่างโง่แสนโง่ช่วยเหลือผู้เป็นพี่ไว้ตั้งมากต่อไปอย่าได้หวังเธอคิด

ค่ำคืนของหน้าร้อนตกกลางคืนก็มีเสียงจั๊กจั่นร้องกันให้ระงมทำให้เด็กหญิงตัวน้อยไม่รู้สึกเงียบเหงาวังเวงจนเกินไปอีกทั้งยังมีคู่หูวิเศษที่ลอยไปมาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังอย่างเพลิดเพลิน

เช้าวันต่อมาภายในหมู่บ้านที่บัดนี้ผู้คนกำลังต่างจับเครื่อง มือการทำนาของตนเพื่อไปลงแปลงนาก็ได้เห็นนักพรตเครายาวสีเงินยวงเกล้าผมสีเดียวกันขึ้นอย่างเรียบร้อยเดินมาอย่างสุภาพ

“คารวะท่านนักพรต ไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้ใดกำลังจะไปที่ไหนหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านของสถานที่ถามออกมาอย่างสุภาพใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ข้าเป็นผู้ผ่านทางมาและได้เห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกแห่งความโชคร้าย ข้าผู้ทรงศีลจึงได้แวะ   เข้ามาดู” นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเมตตา

“ที่ท่านกล่าวออกมาเป็นเรื่องจริงหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านรีบถามออกมาด้วยความตกใจ

“ข้าเป็นผู้ทรงศีลย่อมไม่มุสาอามิตาพุทธ” นั่งพรตเฒ่าเอามือจับประคำกล่าวออกมาด้วยท่าทางอันสงบ ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อให้กับผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งชาวบ้านที่มุงดูมากขึ้น ในฝูงชนก็ได้มีคนผู้หนึ่งได้ตะโกนออกมา

“ผู้ใหญ่บางทีสิ่งที่ท่านนักพรตกล่าวอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้เพราะหมู่บ้านเราก็เพิ่งจะเกิดเรื่องกับบ้านของอาฉินยังไงล่ะ แล้วนางจางยังจับลูกสาวมัดกับเสาอีก” ชาวบ้านชายคนหนึ่งกล่าวออกมาเสียงดัง

“ท่านนักพรตพอจะแจ้งได้หรือไม่ว่าความโชคร้ายมาจากทางใด” ผู้ใหญ่บ้านรีบถามผู้ทรงศีลโดยยังไม่ปักใจเชื่อ

“อยู่เกือบติดชายป่าเป็นบ้านดินสามห้องนอนเลี้ยงหมูมีเด็กสามคนนั่นคือนิมิตที่ข้าเห็น” นักบวชผู้ทรงศีลหลับตาลงชั่วครู่เมื่อเปิดเปลือกตาของตนจึงได้กล่าวออกมา

“นั่นมันบ้านของฉินหย่งไม่ใช่หรือผู้ใหญ่ พวกเรารีบเชิญนักพรตไปที่นั่นกันเถอะ” ชายอายุมากรีบกล่าวออกมาอย่างหวาดกลัว

“ใช่ ๆ พวกเราเห็นด้วย” คราวนี้ก็เกิดเสียงสนับสนุนขึ้นอย่างมากมาย

“ข้าผู้นี้ยินดีจะไปดูให้พวกประสกนำทางเถอะ” นักพรตผู้ชรากล่าวใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่น

“เรื่องนี้ข้าต้องขอรบกวนท่านผู้ทรงศีลแล้วเชิญขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวก่อนที่จะเดินอยู่เบื้องหลังของนักพรตผู้นี้โดยมีชาวบ้านนับสิบเดินนำหน้า เมื่อถึงบ้านที่เป็นเป้าหมายของนักพรตผู้นี้สายตาของเขาก็กวาดมองไปยังรั้วไม้ที่ถูกนำมากั้นขึ้นอย่างลวก ๆ

เขาก็มองเห็นเด็กหญิงตัวเล็กผูกติดอยู่กับเสา ภายในใจก็คิดว่าคงจะเป็นเด็กคนนี้ที่ตนจะต้องเป็นคนมาช่วยอย่างแน่นอนช่างน่าสงสารเสียจริง ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะคงจะไม่มีแม่คนไหนจับลูกในอกมาผูกกับเสากลางบ้านเพื่อทรมานอย่างโหดร้ายเป็นแน่

คราแรกเขาก็ไม่อยากรับงานนี้แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่หนิงลี่เล่าเขาก็น้ำตาไหลด้วยความเห็นใจเด็กหญิงตัวน้อย และยิ่งมาเห็นกับตาความมุ่งมั่นที่จะช่วยยิ่งมีมากขึ้นไปอีก

“ประสกบ้านหลังนี้เป็นบ้านของใครหรือ สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเงาดำปกคลุมจนน่ากลัวทีเดียว” นักพรตชราเปล่งเสียงพูดอย่างชัดเจน

“แล้วควรจะทำอย่างไรหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านรีบถามออกมาด้วยความร้อนรน

“จำเป็นต้องขับไล่สิ่งอัปมงคลออกไปจากหมู่บ้านประสกรีบเรียกคนในบ้านออกมาเถอะ” นักพรตผู้ชรากล่าว

“ได้ขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านรีบรับปากทันที ชาวบ้านที่มาด้วยกันไม่ต้องรอให้ผู้ใหญ่บ้านบอกซ้ำเขารีบร้องตะโกนเรียกคนในบ้านครอบครัวฉินเสียงดัง

“ฉินหย่ง นางจางเปิดประตู”

คนภายในบ้านฉินที่กำลังกินข้าวเช้ากันอยู่ ยกเว้นก็แต่ฉินเซียวที่ได้ยินเสียงของคนด้านนอก เธอจึงคิดว่าคงจะมีนักพรตมาแล้วเป็นแน่

“ใครมาส่งเสียงตาอีลูกออกไปดูที” นางจางใช้บุตรชายคนโต

ฉินตาอีจำใจต้องลุกออกจากเก้าอี้ของตนเพื่อทำตามคำสั่งและในระหว่างที่เขาเดินมาด้านนอกก็เห็นผู้คนมากมายนอกรั้วเด็กชายจึงได้กลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

“แม่ผู้ใหญ่บ้านพาคนมาเต็มหน้าบ้านเลย” ตาอีกล่าวออก มาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

“เกิดอะไรขึ้นพวกเราลุกไปดูกันให้หมดนี่แหละหรือเป็นเพราะเด็กนั่น” ฉินหย่งตัดสินใจ

ดังนั้นคนในครอบครัวจึงพากันลุกเดินออกมานอกบ้านและเมื่อเปิดประตูพวกเขาก็มองเห็นนักพรตแปลกหน้าอยู่ในกลุ่ม

“มีเรื่องอะไรหรือผู้ใหญ่บ้านท่านพาคนมาทำไมเยอะแยะ” ฉินหย่งถามเข้าประเด็น

“นักพรตท่านนี้ได้บอกว่าที่บ้านเจ้ามีหมอกชั่วร้ายปกคลุมมันจะนำพาเรื่องเลวร้ายมาสู่บ้านของเจ้ารวมทั้งภายในหมู่บ้าน ข้าก็เลยต้องเรียกพวกเจ้าออกมา” ชายสูงวัยผู้นำหมู่บ้านกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม

“มันจะเป็นไปได้ยังไงแล้วต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายคืออะไรท่านรู้หรือไม่” นางจางถามอย่างไม่เชื่อถือเท่าใดนัก

“คือเด็กคนนั้น” นักพรตผู้ชราชี้นิ้วไปยังฉินเซียวผู้ถูกมัดอยู่กับเสาอย่างไม่ลังเล

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   ตอนที่73 เจ้าสิ่งนี้คือผักอะไร

    “ลูกรัก แล้วพวกเราจะเอาไปทำอาหารอะไรกันดีมันมีเยอะอยู่นะ” หนิงเซียนรีบเอ่ยถามบุตรสาวเพราะนางไม่เคยเห็นผักชนิดนี้มาก่อน“ข้าจะนำมาผัดเต้าหู้ก้อนที่ท่านแม่ทำไว้อย่างไรล่ะเจ้าคะ อีกทั้งถั่วงอกยังทำอาหารได้หลากหลายอีกด้วย ข้าจะแสดงฝีมือให้พวกท่านชิมเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตอบมารดาด้วยรอยยิ้มดวงตาเป็นประกาย“แต่ว่าคงจะต้องเป็นช่วงเย็นแล้ว เพราะตอนนี้ข้าได้เวลาจะต้องไปเรียนฝังเข็มแล้วเจ้าค่ะ” ฉินเซียวกล่าวเสียงอ่อย“เจ้าอย่าได้เหนื่อยถึงเพียงนั้น เจ้าบอกแม่มาว่ามันทำอย่างไร แม่จะทำออกมาให้เจ้ากินเอง” หนิงเซียนเอามือลูบผมบุตรสาวกล่าวอย่างเป็นห่วงบุตรีตัวน้อย“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอธิบายวิธีการทำถั่วงอกผัดเต้าหูก่อนนะเจ้าคะ แล้วก็ทำซุปถั่วงอกใส่ผักดอง ท่านแม่วันนี้ท่านก็ทำผัดเปรี้ยวหวานเส้นถู่โต้วด้วยเลยเจ้าค่ะ ข้ามีลางว่าเราจะทำเงินจากพวกมันได้” ผู้เป็นลูกกอดเอวมารดากล่าวอย่างออดอ้อน“ได้ แม่ตามใจเจ้า” หนิงเซียนกระฉับอ้อมแขนของตนโอบกอดบุตรอย่างรักใคร่ทำให้พี่ชายอีกสองคนต่างเดินเข้ามากอดผู้เป็นน้องสาวกับแม่ของตนด้วย โดยคนเป็นพ่อได้แต่ยืนมองภาพด้านหน้าด้วยความสุขที่เข

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   ตอนที่72 เชื่ออย่างหมดใจ

    แม้ว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ จนเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นเองกับตา ในระหว่างที่เด็กทั้งหมดขึ้นไปนั่งบนหลังเสือฉินเต๋อก็ได้บังคับรถม้ามาเห็นภาพดังกล่าว“ไป๋หู่ ข้าฝากเด็ก ๆ ด้วยนะ” ฉินเต๋อหยุดรถม้าบอกกล่าวสหายของบุตรสาวตัวโต ไป๋หู่ทำเพียงชำเรืองมองเขาอย่างเกียจคร้านก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาแผ่วเบา“เสือ ฝูหมิงน้องรีบพาทุกคนหนีออกมาเร็ว” ช่างหลิวเมื่อได้ยินเสียงของไป๋หู่เด็กหนุ่มจึงได้ลืมตามองออกไปด้านนอก จากนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดส่งเสียงดังด้วยความตกใจ“เจ้าช่วยควบคุมอารมณ์ด้วย แล้วมองให้ดีสิ” ซินฉีกล่าวกับเด็กหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจ“เจ้าเฒ่าเหตุใดเสือพวกนั้นถึงยอมให้เด็กพวกนั้นขึ้นไปขี่หลังของมันได้ง่ายดายขนาดนั้น” หลวนคุนแม้ว่าคราแรกเขาจะตกใจเช่นเดียวกับช่างหลิว แต่เมื่อเห็นภาพที่เสือสองตัวใหญ่ยอมหมอบตัวลงให้เด็กทั้งแปดขึ้นหลังเขาจึงได้รู้สึกแปลกใจแทน“ครอบครัวเสือเป็นสหายของลูกศิษย์ข้าเอง นางบอกข้าแบบนั้น” ซินฉีเอามือลูบเคราแพะของตนตอบเสียงเรียบ“สหายอย่างนั้นหรือ” หลวนคุนทวนคำด้วยความแปลกใจ“คนเป็นเพื่อนกับพยัคฆ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   ตอนที่75 ช่วยเหลือคนคุ้นเคย

    ไม่รู้จักเจ้าค่ะ” ฉินเซียวปฏิเสธ“อ้าว แต่เจ้ารู้จักชื่อของนางหรือว่าท่านเทพจะให้เจ้าช่วยเหลือนางใช่หรือไม่” หนิงเซียนกระซิบข้างหูบุตรีถามเสียงเบา“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่างท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลยข้าในตอนนี้ไม่ได้เป็นอันใดแล้วจริง ๆ” ฉินเซียวกล่าวกับมารดาเสียงเบายกยิ้มยืนยันให้คนเป็นแม่“เจ้าไม่เป็นอันใดก็ดี คราวหลังเจ้าอย่าได้ร้องไห้เช่นนั้นอีกเลยหัวใจแม่เจ็บปวดนัก” หนิงเซียนเอามือลูบผมของลูกสาวอย่างอ่อนโยน ซึ่งการกระทำของนางก็อยู่ภายใต้สายตาของเยว่เสี่ยง ทำให้นางมองความอบอุ่นตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิจฉาที่นางไม่มีมารดาเหมือนผู้อื่น“พี่สาวเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดหรือไม่” ฉินเซียวเมื่อเห็นใบ หน้าอันผิดแปลกไปของหญิงแรกรุ่นนางนี้เธอจึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสาร ด้วยนางรู้ชะตาของนางร้ายคนนี้เป็นอย่างดี“เจ้าอัปลักษณ์เจ้าเปลี่ยนชะตาของนางได้นะ” โป๊ยข่วยเอ่ยออกมาเมื่อรับรู้ความคิดของคู่หู“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนเพราะนางเป็นคนดี” ฉินเซียวสื่อสารกับกระจกเทพอย่างยินดี แล้วการสนทนาของกระจกเทพกับเด็กหญิงตัวน้อยก็หยุดลง“ขะ...ข้าไม่เป็นอันใดหร

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   ตอนที่71 แลกเปลี่ยนระหว่างกัน

    “เจ้าไม่ต้องสุภาพนักหรอก เจ้ารีบกินมันเข้าไปตอนยังร้อนเถอะ” หลวนคุนรีบเอ่ยแย้ง“ขอรับ” ช่างหลิวจึงได้นำช้อนที่ซินฉีส่งให้ตักซุปไก่เข้าปากทันทีก่อนที่เขาจะเบิกตากว้าง“รสชาติเป็นอย่างไรหากว่ามันไม่อะ…” ซินฉียังพูดไม่ทันจบเสียงของเด็กหนุ่มก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาก่อน“อร่อยขอรับ มันอร่อยมากเลยข้าไม่คิดว่าอาหารยาจะอร่อยถึงเพียงนี้” ช่างหลิวยกยิ้มอย่างพอใจ“อ๋อเป็นเช่นนั้นถ้ามันอร่อยก็ดี แล้วถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กินให้หมดถ้วยเถอะหากยังไม่พอก็ยังมีในหม้ออีก” หลวนคุนเอ่ยอย่างโล่งอก“ขอรับ ข้าต้องขอบพระคุณท่านหมอมาก” ช่างหลิวยกยิ้มมองหมอทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ“จุ๊ ๆ เจ้าอัปลักษณ์อาจารย์ของเจ้ากับเจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันเลย ช่างสมกับเป็นศิษย์อาจารย์กันเสียจริง” กระจกเทพที่รับรู้เรื่องราวของอีกห้องได้ลอยตัวมาบอกกับสหาย“นะ...นั่นเจ้ากำลังจะลงเข็มผิดแล้ว มีสมาธิหน่อยสิ” แต่กระจกเทพก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาด้วยความตกใจ“ก็ข้ามัวแต่ฟังเจ้าอยู่นี่นา ฮู่ว์! เกือบไป” ฉินเซียวถอนหายใจอย่างโล่งอกแม้จะเป็นการฝึกก็ตาม“แม้สิ่งนี้จะเป็นเพียงหุ่

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   ตอนที่74 โชคชะตาที่ต้องเจอ

    ในระหว่างการขายผลลี่จื่อนั้นฉินเซียวก็ได้บอกกับลูกค้าว่าร้านของนางน่าจะขายได้พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายเพราะผลสุกของมันนั้นหมดแล้ว“หมดแล้วอย่างนั้นหรือ ต่อไปข้าจะไปซื้อกินที่ไหนได้” ชายวัยกลางคนลูกค้าประจำกล่าวอย่างเสียดาย“เอาไว้ปีหน้านะเจ้าคะ” ฉินเซียวแย้มยิ้มบอกชายวัยกลาง คนผู้นั้น นางเองก็รู้สึกเสียดายเงินเหมือนกันต่อให้ปลูกต้นลี่จื่อเพิ่มก็ยังช้าอยู่ดี อีกอย่างในครึ่งเดือนข้างหน้านางกับพี่ ๆ ก็จะต้องไปเรียนกันด้วย“แม่หนู ที่เจ้าพูดนั้นเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ แล้วอย่างนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะกินอะไรได้กันล่ะ” พ่อบ้านผิงกล่าวอย่างเศร้าหมอง“ข้าคิดว่าลองให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินผักสดดีหรือไม่ น่าจะดีกว่ากินผลลี่จื่อกับผักดองอย่างเช่นทุกวันนี้” ฉินเซียวเอ่ยแนะพ่อบ้านชรา“ผักสดอย่างนั้นหรือ อากาศเย็นขนาดนี้อีกทั้งใกล้ปีใหม่หิมะก็จะตกที่ไหนจะมีผักสดขายกัน” ชายชรายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหดหู่หากมีผักสดเขาคงจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก“หากข้ามีท่านจะซื้อหรือไม่ แต่ข้ามีไม่เยอะนะเจ้าคะ อันที่จริงที่ข้าบอกท่านนั้นก็เป็นเพราะข้าเห็นใจคนชราเจ้าค่ะ” ฉินเซียวกระซิบเส

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   ตอนที่70 อาหารยา

    “เป็นเจ้า” หลวนคุนเอ่ยเสียงดัง“เจ้าเฒ่าสบายดีหรือไม่” ซินฉีทักสหายรักด้วยรอยยิ้ม“สหายน่าชังอย่างเจ้ายังมีหน้ามาถามว่าข้าสบายดีอยู่อีกหรือ เล่นทิ้งงานไว้ให้ข้าเพียงผู้เดียว” หลวนคุนได้ทีกล่าวประชดประชันคนหน้าตายผู้นี้ แม้ว่าเขาจะไปหายาถอนพิษก็ตามแต่แม้จดหมายก็ไม่ส่งข่าวมันก็เกินไป“เอาน่าเจ้าอย่าได้โมโหนัก ตอนนี้ข้าก็กลับมาแล้ว เอาไว้ข้าสั่งสอนศิษย์จนทั้งสองเข้าสำนักศึกษาได้ข้าจะกลับไปช่วยเจ้าก็แล้วกัน” ซินฉีเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“เจ้ายังรู้สำนึกแต่อีกสองเดือนเลยนะ ว่าแต่เรื่องพิษของเจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้างข้าได้ตัวยาสำคัญมาแล้วนะ แต่จะว่าไปหากนางเป็นศิษย์ของเจ้าเรื่องยาก็คงไม่ต้องห่วงแล้วสิ” หลวนคุนรีบถามสหาย แต่พอเขาฉุกคิดได้ว่าผู้ใดเป็นคนนำสมุนไพรหายากชนิดนั้นมาขายให้ตนชายชราก็นิ่งเงียบไป“หายดีแล้วละ เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ศิษย์เอกตัวน้อยของข้า” ซินฉียกยิ้มตอบด้วยความภูมิใจ“ข้าดีใจด้วยเจ้าจะได้หยุดออกเร่ร่อนเสียทีและมาช่วยข้าทำงานได้แล้ว ว่าแต่ศิษย์ของเจ้าอีกคนเป็นใคร” หลวนคุนอดเอ่ยถามสหายไม่ได้เพราะเขาเคยได้ยินว่าสหายจะรับศิษย์เพียงคนเ

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status