ตำหนักพระมเหสีรองเหมย
"ถวายพระพรพระมเหสีรองเพคะ"
เหมยฮวาชิงย่อกายทำความเคารพมเหสีรองเหมยท่านอาของนาง พระมเหสีรองเหมยพระองค์นี้เข้าวังมาได้ห้าปีแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรสและพระธิดาแม้สักพระองค์เดียว เพราะสุขภาพของนางค่อนข้างไม่สู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะราชสำนักยังต้องพึ่งพากำลังทางทหารของจวนโหวตระกูลเหมย มเหสีรองเหมยแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยน ไม่มีปากมีเสียงกับใคร แต่ลึกๆ ภายในใจของนางซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ไม่น้อย
นางริษยาจ้าวฮวงโหวกับพระสนมเอกยิ่งนัก ทั้งที่พวกนางไม่ใช่คนโปรดของฮ่องเต้สักเท่าใด แต่วาสนากลับทำให้พวกนางมีพระโอรส แล้วนางเล่า นางเป็นที่โปรดปราน แต่สวรรค์กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน
"รีบลุกขึ้นเถิดหลาน เจ้าไม่ต้องมากพิธีการ"
"ขอบพระทัยเพคะพระมเหสีรอง"
พระมเหสีรองเหมยโบกมือเป็นการไล่บ่าวรับใช้นางกำนัลออกไปจากตำหนักให้หมด เหลือเพียงแม่นมคนสนิทของนางกับเหมยฮวาชิงและชิงฮุ่ย
"ท่านอารู้ข่าวของตระกูลเจินรึยังเพคะ"
เหมยฮวาชิงเป็นคนเริ่มบทสนทนาเรื่องของเจินเซียงกับพระมเหสีรองเหมยก่อน พระมเหสีรองเหมยยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย พลางหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
"ข่าวน่าอับอายเช่นนี้ ข้าจะไม่รู้ได้เช่นไรเล่า"
"ท่านอามีแผนการอันใดต่อไปเจ้าคะ"
พระมเหสีรองเหมยเหลือบมองเหมยฮวาชิงหลานสาวสุดที่รักของตนอย่างอารมณ์ดี
เพราะนางไม่มีบุตรนางจึงรักหลานชายหลานสาวสองคนนี้ยิ่งนัก เหมยไป๋อวี้ก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้าองครักษ์ ส่วนเหมยฮวาชิงนั้นนางหมายมั่นให้นางขึ้นไปยังจุดสูงสุดเพื่อผลประโยชน์ที่งดงามของนางในวันข้างหน้า
"ข้าจะหาทางตัดปีกอำนาจของตระกูลเจินด้วยเรื่องของเจินเซียง รอให้นางเข้าพิธีเสกสมรสแล้วเราจะจัดการเรื่องนี้ทันที หึ พี่ชายของเจ้าทำให้ข้าภูมิใจไม่น้อยที่สามารถล่วงรู้ความลับที่โสมมนี้ของบุตรสาวตระกูลเจิน"
"แต่จ้าวฮวงโหวไม่ยอมให้เราทำสำเร็จแน่เพคะ"
"หึ ช่างนางปะไร ถ้าหากเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงฝ่าบาท ตำแหน่งจ้าวฮวงโหวของนางคงสั่นสะเทือนไม่น้อย แต่ก่อนที่จะทำให้นางร่วงลงมาจากบัลลังก์ ข้าจะต้องทำให้เจ้าได้ตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชทายาทให้ได้เสียก่อน"
เหมยฮวาชิงก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย พระมเหสีรองเหมยมองดูหลานสาวด้วยความรักความเอ็นดู
เมื่อใดที่หลานสาวของนางได้เป็นพระชายาเอก นางจะเปิดโปงเรื่องนี้ต่อพระพักตร์ของฝ่าบาท นางจะต้องทำให้จ้าวฮวงโหวกระเด็นออกไปจากตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดของวังหลังเสียก่อน แล้วนางจะขึ้นไปยืนอยู่บนตำแหน่งนั้นแทน จากนั้นนางก็จะส่งต่อตำแหน่งจ้าวฮวงโหวให้เหมยฮวาชิงหลานรักของนาง เมื่อเหมยฮวาชิงมีบุตรเป็นพระโอรสนั่นก็เท่ากับอำนาจของจวนโหวตระกูลเหมยของนางก็จะมั่นคงไม่มีใครเทียมได้ ส่วนองค์รัชทายาทนั้นหรือ ยังไงก็อยู่ในกำมือนางอยู่วันยังค่ำ
"เจ้าวางตัวให้ดี ระมัดระวังตัวให้มากหน่อย รอฟังข่าวดีจากข้า"
"เพคะท่านอา"
หลังจากที่เดินออกมาจากตำหนักของพระมเหสีรองเหมยแล้ว เหมยฮวาชิงกำลังจะเดินกลับไปที่รถม้าของจวนโหว ระหว่างทางนางพบกับหลิวลี่เซียนและเจินเซียงเข้าโดยบังเอิญ
สำหรับเจินเซียงนั้นนางคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่แล้ว แต่หญิงสาวอีกคนนั้น ใบหน้าดูงดงามชวนหลงใหล นางไม่คุ้นหน้าเท่าใด ดูแล้วน่าจะเป็นสหายร่วมเรียนขององค์หญิงจ้าวเฟยหยางเช่นเดียวกับเจินเซียง นางไม่ค่อยได้ออกจวนไปไหน ทำให้นางไม่ค่อยได้ผูกสัมพันธ์ไมตรีกับคุณหนูจวนอื่นเท่าใดนัก
เหมยฮวาชิงแสร้งยิ้มอย่างร่าเริง ก่อนจะเดินตรงไปหาหลิวลี่เซียนกับเจินเซียง
"ว่าที่พระชายาเอก หม่อมฉันถวายพระพรเพคะ"
เหมยฮวาชิงโค้งกายย่อคำนับเจินเซียงด้วยความเคารพ เจินเซียงทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย นางยังไม่ทันได้แต่งงานกับเสด็จพี่เลยด้วยซ้ำ เหมยฮวาชิงทำเช่นนี้เหล่านางกำนัลจะไม่เอาไปพูดต่อรึว่านางวางอำนาจในวังหลวง
"ไม่ต้องทำความเคารพข้าหรอก ว่าแต่เจ้ามาเข้าเฝ้าพระมเหสีรองเหมยหรือ"
"ใช่เพคะ หม่อมฉันมาถวายพระพรเสด็จอา"
"อืม"
หลิวลี่เซียนมองบทสนทนาระหว่างเจินเซียงเพื่อนรักของนางกับเหมยฮวาชิงคุณหนูน้อยนางนี้ ก่อนจะหรี่ตาลงมองเหมยฮวาชิง
เพียงแค่นางมองแวบแรกก็สัมผัสได้ถึงความไม่จริงใจของเหมยฮวาชิง แววตาริษยาจนแทบจะเป็นไฟลุกนั่น รวมทั้งกิริยาท่าทางที่พยายามทำให้เจินเซียงดูเป็นคนวางอำนาจอยู่ในสายตาของนางตลอดเวลา หลิวลี่เซียนลอบส่งเสียงเฮอะในลำคออย่างดูแคลน
ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอนัก!
"ไม่ทราบว่าคุณหนูท่านนี้เป็นสหายร่วมเรียนของพระชายากับองค์หญิงจ้าวเฟยหยางหรือเพคะ"
"ใช่ นางชื่อหลิวลี่เซียน เป็นบุตรสาวท่านเสนาบดีหลิวเทียนเฉิง ตระกูลหลิวน่ะ ลี่เซียน นี่เหมยฮวาชิง บุตรสาวจวนโหว ตระกูลเหมยหลานสาวพระมเหสีรองเหมยน่ะ"
หลิวลี่เซียนหันไปส่งยิ้มให้เหมยฮวาชิงเล็กน้อย เหมยฮวาชิงยิ้มรับโดยไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก อย่างน้อยหลิวลี่เซียนก็ไม่ใช่ศัตรูของนาง จะใส่ใจให้เสียเวลาไปทำไมกัน
นางหันไปมองเจินเซียงที่วันนี้มีสีหน้าซีดเซียวเหมือนคนไม่สบายมาหลายวัน หึ เจ้าคงกำลังร้อนใจกับเรื่องโสมมของเจ้าอยู่สินะ รอข้าอีกสักหน่อย เจ้าใกล้ถึงเวลาที่จะได้ตายทั้งเป็นอีกไม่นานนี้เป็นแน่เจินเซียง
"ทำไมวันนี้พระชายาดูไม่ค่อยสดใส ประชวรตรงไหนหรือเพคะ"
เหมยฮวาชิงเอ่ยถามเจินเซียงด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย
"พอดีช่วงนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับน่ะ"
"จริงเหรอเพคะ ตายจริง! พระชายาน่าจะทรงดีพระทัยเรื่องพิธีเสกสมรสเป็นแน่เพคะ"
"ไม่หรอก"
"ว่าแต่พระชายาเพคะ ทรงทราบเรื่องที่เขาเล่าลือกันนอกวังหลวงรึยังเพคะ"
"เรื่องอันใดหรือ"
เหมยฮวาชิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะหันไปมองเจินเซียงเล็กน้อย
"เรื่องที่มีคนเล่าลือกันว่าพบหญิงสาวสูงศักดิ์พลอดรักกับชายหนุ่มบัณฑิต ทั้งที่ตนเองนั้นกำลังจะแต่งงานเพคะ"
ใบหน้าเจินเซียงซีดเผือด มือเรียวยาวที่จับมือของหลิวลี่เซียนเอาไว้เย็นเฉียบ สร้างความพึงพอใจให้กับเหมยฮวาชิงไม่น้อย
หลิวลี่เซียนหรี่ตามองเหมยฮวาชิงอย่างเย็นชา สตรีนางนี้ต้องมีนัยแอบแฝงอะไรเป็นแน่ หรือว่านางจะรู้เรื่องของเจินเซียงเข้า ไม่สิ! เป็นไปไม่ได้ วันนั้นมีแค่นางที่พบเจอเจินเซียง ไม่ได้การแล้ว นางต้องถามเจินเซียงให้ละเอียดเกี่ยวกับเหมยฮวาชิง
"พระชายาเป็นอันใดเจ้าคะ"
เหมยฮวาชิงแสร้งทำเป็นห่วงเป็นใยเจินเซียง แต่ทว่าหลิวลี่เซียนที่ยืนดูอยู่นานหันไปมองหน้านางเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา
"เรื่องนอกวังหลวงของผู้อื่นเช่นนั้นเป็นการไม่สมควรที่จะทูลเล่าให้ว่าที่พระชายาฟัง ไม่ทราบว่าคุณหนูเหมยไม่รู้ถึงมรรยาทข้อนี้หรือ"
เหมยฮวาชิงหน้าเปลี่ยนสี นางรู้สึกเหมือนถูกหลิวลี่เซียนหลอกด่าว่าไม่มีมรรยาทอย่างไรอย่างนั้น
"โอ๊ะ ข้าลืมไปเลย ขอประทานอภัยเพคะพระชายา"
"ช่างเถิด เจินเซียง ข้าว่าเจ้ารีบกลับจวนเถอะ ข้าเองก็เหนื่อยมากแล้วเช่นกัน"
หลิวลี่เซียนพยักหน้า พร้อมกับบอกเจินเซียงว่าไม่ต้องไปส่งนาง ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับไป๋หลาง ก่อนจากกันเจินเซียงยังกระซิบบอกนางว่า เหมยฮวาชิงเป็นบุตรสาวของจวนโหวตระกูลเหมย บิดานางเป็นผู้บัญชาการทางทหารสูงสุด ส่วนพี่ชายเป็นหัวหน้าองครักษ์ที่ทรงโปรดปราน มิน่าเล่า นางถึงพูดจาไร้มรรยาทเช่นนี้ต่อหน้าเจินเซียง
"เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ คุณหนูหลิว"
หลิวลี่เซียนที่กำลังเดินมาจนถึงรถม้า หันหลังกลับไปมองก่อนจะพบว่าคนที่ตามนางมาคือเหมยฮวาชิง
น่าเบื่อชะมัด! ไม่มีเรื่องกับใคร ก็มีคนนำเรื่องมาให้จนได้
"มีอะไรเหรอ"
หลิวลี่เซียนหันไปมองเหมยฮวาชิงด้วยใบหน้าเรียบเฉย เหมยฮวาชิงก้าวเข้ามาหานางพร้อมกับยิ้มตาหยี
"ข้ารู้สึกถูกชะตากับคุณหนูหลิวยิ่งนัก ไว้ข้าจะส่งเทียบเชิญให้ท่านไปวันเกิดของข้าอีกสองวันข้างหน้าดีหรือไม่"
หลิวลี่เซียนลอบกลอกตาไปมา หล่อนจะมาไม้ไหนจ๊ะ จุ๊ๆๆๆ ฉันไม่ใช่คนตามหล่อนไม่ทันเหมือนเจินเซียงหรอกนะ หล่อนคิดจะเชือดฉันรึ ฝันไปเถอะ ฉันผ่านโลกมาถึงสองโลกแล้ว ไม่หลงกลหล่อนหรอกย่ะ
"ขอบคุณคุณหนูเหมยเช่นกันที่มีน้ำใจชวนข้า แต่ช่วงนี้ที่จวนข้าวุ่นวายนัก ตัวข้าเองก็ไม่ค่อยสบายกินอะไรไม่ค่อยได้ กลัวว่าไปที่จวนโหวของท่านจะสร้างความลำบากให้ท่านต้องมาดูแลข้าอีก"
"ไม่เป็นไรเลย ข้ายินดี"
"ไม่รบกวนคุณหนูเหมยจะดีกว่า ไว้ข้าจะส่งของขวัญไปให้ท่านที่จวนนะ"
"ก็ได้ งั้นข้าขอตัวก่อน"
เหมยฮวาชิงรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สามารถพานางไปที่จวนโหวของนางได้ แต่ช่างปะไร เจ้าคิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูไม่รับไมตรีของข้า เจ้าก็จงระวังตัวไว้เถอะ
หลิวลี่เซียนถอนหายใจพร้อมกับบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน นางเริ่มหิวแล้วสิ
"เจ้าน่ะหรือกินอะไรไม่ได้ หมั่นโถวร้อยลูกของข้าทำให้เจ้าอิ่มไม่พอหรือแม่นาง"
หลิวลี่เซียนหันไปมองก่อนจะกลอกตาไปมาอีกรอบ วันนี้มันวันอะไรเจอหายนะตัวใหญ่เลย
หลิวลี่เซียนหันไปทำความเคารพองค์ชายรองตามมรรยาท
"ไม่เจอกันตั้งนานนะคุณหนูหลิว ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก"
หลิวลี่เซียนบิดเบ้มุมปาก องค์ชายอะไรช่างน่าไม่อายยิ่งนัก
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ"
"เดี๋ยว"
หลิวลี่เซียนจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด เจอกันทีไรหมอนี่มันจะทำให้นางโมโหจนตายเลยรึไงกันนะ
"วันนี้ที่ตำหนักข้ามีคนส่งไก่ตุ๋นยาจีนมาให้"
"หม่อมฉันไม่มีเวลามากพอไปที่ตำหนักพระองค์หรอกเพคะ"
หลิวลี่เซียนตัดบทอย่างดื้อๆ จ้าวเฟยหรงมองค้อนนางเล็กน้อย น่าโบยสักสิบไม้ โทษฐานรู้ทันองค์ชาย
เขายกยิ้มมุมปากก่อนจะยื่นกล่องใส่อาหารอย่างดีมาตรงหน้านาง
"อะไรเพคะ"
"ข้าแบ่งให้เจ้า ไก่ตุ๋นยาจีน"
หลิวลี่เซียนมองหน้าจ้าวเฟยหรงด้วยสายตาระแวดระวัง หมอนี่คิดจะใส่ยาพิษให้นางกินรึเปล่าก็ไม่รู้
จ้าวเฟยหรงส่งเสียงหึในลำคออย่างรู้ทัน ก่อนจะเปิดกล่องอาหารออกและให้ขันทีใช้ช้อนเงินตักอาหารขึ้นมาชิม
"เจ้าวางใจแล้วใช่หรือไม่"
หลิวลี่เซียนยังคงมองหน้าจ้าวเฟยหรงด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย น่ารำคาญยิ่งนัก เขาเห็นนางเป็นคนเห็นแก่กินงั้นรึ
"ข้าไม่วางยาพิษเจ้าหรอก ถ้าเป็นยาที่ทำให้เจ้าหลงรักข้าจนหัวปักหัวปำก็ว่าไปอย่าง"
หลิวลี่เซียนบิดเบ้มุมปากเล็กน้อย พูดจาชวนอ้วกเช่นนี้กับผู้หญิงทุกคนสิท่า
"หม่อมฉันอิ่มแล้วเพคะ"
หลิวลี่เซียนไม่สนใจกล่องอาหารตรงหน้านางแม้แต่น้อย
"ไก่นุ่มไม่เหนียว น้ำซุปลื่นคอหอมหวาน"
โครกครากกกก
"เอ๊ะ!!! เสียงอะไรน่ะ เสียงท้องใครร้องรึ"
จ้าวเฟยหรง ข้าเกลียดท่านยิ่งนัก ข้าจะลงโทษท่านด้วยการกินไก่นี่จนหมดตัวคอยดูเถอะ
หลังจากครบกำหนดที่เจินเซียงกลับมาจากวัดต้าฝู นางได้เดินทางกลับจวนเจ้ากรมกลาโหมเพื่อเตรียมตัวอภิเษกกับจ้าวจิ้งเทียน หนึ่งเดือนต่อมาเมื่อเข้าสู่สายลมแห่งฤดูหนาว ขบวนเจ้าสาวจากตระกูลเจินเจ้ากรมกลาโหมพร้อมสินสอดที่ยาวนับพันลี้ก็ได้เคลื่อนขบวนเข้าสู่วังหลวงหลิวลี่เซียนได้เข้าวังหลวงไปพร้อมกับจวิ้นอ๋องและพระชายาในฐานะพระญาติ ส่วนหลิวลี่ซือไปในฐานะว่าที่คู่หมั้นของจ้าวเฟยหรงองค์ชายรองพิธีอภิเษกสมรสเป็นไปด้วยความราบรื่น จนกระทั่งส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ หลิวลี่เซียนนำของขวัญเป็นปิ่นปักผมทองและเวชสำอางที่นางทำขึ้นเองมอบให้แก่เจินเซียงที่ตอนนี้ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อเฟย' ตำแหน่งองค์หญิงพระชายา พระชายาเอกในองค์รัชทายาท ด้านจ้าวจิ้งเทียนเมื่อเข้าพิธีอภิเษกแล้วเขาก็ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อ' องค์รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างชอบธรรม"ยินดีด้วยเพคะหวงไท่จื่อเฟย ขอให้พระองค์ทรงเกษมสำราญเพคะ""ขอบใจเจ้ายิ่งนักลี่เซียน"หวงไท่จื่อเฟยจากตระกูลเจินยิ้มจนตาหยี นางมีความสุขยิ่งนัก นางตั้งใจว่านับตั้งแต่วันนี้นางจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุขหลังจากดื่มสุรามงคลและได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว เหล่าพระญ
หลังจากที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เสนาบดีหลิวที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นจวิ้นอ๋องก็ได้ย้ายครอบครัวตระกูลหลิวของตนมาพำนักที่จวนอ๋องพระราชทาน ซึ่งเป็นจวนอ๋องที่ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยตั้งใจสร้างเอาไว้เผื่อพระนัดดาทั้งหลายในอนาคตพระชายาจวิ้นอ๋องหลิวลี่หยางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับที่อยู่ใหม่มากนัก นางค่อนข้างคิดถึงบ้านเก่าไม่น้อย บางวันจึงกลับไปพักผ่อนที่จวนตระกูลหลิวและรับสั่งให้บ่าวไพร่ดูแลจวนให้ดีจวิ้นอ๋องค่อนข้างปลื้มใจกับบุตรสาวของเขาไม่น้อย เขาได้สอบถามเรื่องราวแต่แรกเริ่มว่าเป็นมาเช่นไร หลิวลี่เซียนสามารถรักษาพระพักตร์องค์รัชทายาทได้อย่างไร หลิวลี่เซียนเองก็เต็มใจเล่าให้ผู้เป็นบิดามารดาฟัง และนางยังได้รู้อีกด้วยว่า แท้จริงแล้วจวนตระกูลหลิวของบิดาเป็นพระญาติใกล้ชิดกับฮ่องเต้มิน่าเล่าทั้งฮ่องเต้และจ้าวฮวงโหวต่างมีใบหน้าเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของนาง ที่แท้ก็เป็นบรรพบุรุษของนางนี่เองหลิวลี่ซือลอบเบ้ปากเล็กน้อย นางขี้เกียจจะฟังเรื่องราวพวกนี้ อีกอย่างตอนนี้ตระกูลนางก็ไม่ใช่ขุนนางธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่จะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกขั้นไม่นานนักข่าวเรื่องอ
หลิวลี่เซียนมองฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยด้วยแววตาที่ตกใจไม่น้อย แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นสายตานี้ของนางก็หายไป เหลือเพียงความเคารพที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเท่านั้นภพปัจจุบันเขาอาจจะเป็นพ่อของนาง แต่ในภพนี้เขาเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่ง นางต้องให้ความเคารพเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยมองหลิวลี่เซียนด้วยแววตาล้ำลึกครั้งหนึ่งบุตรสาวของเสนาบดีหลิวนางทำไมช่างดูคุ้นตา เหมือนกับว่าเขาเคยพบเจอนางที่ใดมาก่อน"ไปเชิญเสนาบดีหลิวเทียนเฉิงมาพบข้าที่ตำหนัก"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยเอ่ยพลางสะบัดชายเสื้อมังกรให้ขันทีไปตามเสนาบดีหลิว ก่อนจะหันมามองหลิวลี่เซียนเสนาบดีหลิวรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษีรายได้ของแผ่นดิน เบิกจ่ายงบประมาณของราชสำนัก เป็นขุนนางตงฉินผู้ซื่อสัตย์น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเสนาบดีหลิวผู้นี้เป็นพระญาติฝั่งมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟย เขาเป็นบุตรชายคนโตของน้องสาวไทเฮาองค์ปัจจุบัน นั่นก็คือมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยนั่นเองไทเฮาตระกูลหลิวพระองค์นี้ทรงอภิเษกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน และได้รับการสถาปนาให้ขึ้นเป็นจ้าวฮวงโหว ก่อนจะมีพระประสูติการพระโอรสนามว่าจ้าวชิงเฟยแล
หลังจากที่จับตัวหนิงซานกับหวาเยียนเข้าคุกหลวงเรียบร้อยแล้ว จ้าวจิ้งเทียนได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องราวต่อจ้าวฮวงโหว นางรู้สึกเหมือนดั่งมรสุมใหญ่ได้ลอยหายไปในพริบตา พลันยกยิ้มมุมปาก มเหสีรองเหมย เจ้าไม่มีทางมีชัยชนะเหนือข้าได้หรอกฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยที่กำลังว่าราชการในท้องพระโรงเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น กำลังเดินทางกลับตำหนักมังกร พลันสายตาของเขาได้หันไปพบกับจ้าวจิ้งเทียน พระราชโอรสองค์โตของเขาที่มายืนรออยู่ที่หน้าตำหนัก"ถวายบังคมเสด็จพ่อ"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยหันไปมองด้านหลังของจ้าวจิ้งเทียน จึงพบเข้ากับเจินเซียงและหญิงสาวอีกหนึ่งคน ดูจากการแต่งกายแล้วคงจะเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางเป็นแน่ หลิวลี่เซียนที่ก้มหน้าตลอดเวลาไม่ได้เงยหน้าไปมอง แต่ก็รับรู้ได้ว่าฮ่องเต้กำลังมองมาที่นางอยู่"เจ้ามีเรื่องอันใดถึงมาพบข้าที่นี่?""ลูกมีเรื่องกราบทูลเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ"จ้าวชิงเฟยพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในตำหนัก ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยทรงให้เหล่านางกำนัลขันทีออกไปให้หมดเหลือเพียงราชเลขาคนสนิทเพียงคนเดียว ตอนนี้ภายในตำหนักจึงเหลือคนไม่มาก จ้าวจิ้งเทียนเงยหน้าขึ้นมองเสด็จพ่อของเขาเล็กน้อย"ลูกขอให้เสด็จพ่อทรงเชิญเสด็จแ
"ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไปจิ้นหมิง"หลิวลี่เซียนหันไปเอ่ยถามจ้าวจิ้งเทียน ก่อนจะโยนองุ่นที่นางแอบหยิบมาจากหอโคมแดงตอนที่เดินออกมาจากประตูโยนขึ้นและอ้าปากงับมาเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี จ้าวจิ้งเทียนมองหลิวลี่เซียนด้วยสายตาที่เอ็นดูนางไม่น้อย เด็กน้อยผู้นี้ของเขาช่างดูสดใสนัก เขาที่ใช้ชีวิตมาจนอายุสิบแปดปีไม่เคยพบเจอหญิงในใต้หล้าใดที่น่ารักน่าชังเท่านาง"พรุ่งนี้ข้าคงต้องให้เจ้าไปพบเจินเซียงที่จวนเจ้ากรมกลาโหม เจ้าต้องพานางออกมาให้ได้ ข้าต้องการให้เจินเซียงได้พบกับหวาเยียน หลังจากนั้นข้าจะให้นางไปสารภาพผิดกับเสด็จพ่อ แล้วข้าจะเป็นผู้ทวงคืนความยุติธรรมให้น้องสาวของข้าด้วยตนเอง"หลิวลี่เซียนพยักหน้าเล็กน้อย พ่อหนุ่มคนนี้ช่างรอบคอบจริงๆ"เจ้าพักผ่อนเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่ไปกับข้าในวันนี้""เป็นพระกรุณาเพคะองค์รัชทายาท"หลิวลี่เซียนโค้งกายคารวะ ก่อนจะปิดประตูหน้าต่างใส่หน้าจ้าวจิ้งเทียน เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางคิด นี่นางเคารพเขาจริงๆ งั้นหรือ?จวนเจ้ากรมกลาโหมหลังจากที่แต่งกายเรียบร้อย หลิวลี่เซียนก็ออกจากจวนแต่เช้าเพื่อไปที่จวนเจ้ากรมกลาโหม"ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งเจ้าก่อนว่าข้าจะมา""ไม่เป็นไร รีบ
รุ่งเช้าหลิวลี่เซียนไปที่เรือนของฮูหยินลี่หยางเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่เรือนของมารดา ฮูหยินลี่หยางเอ่ยปากชมว่าหม่าล่าที่นางนำมาให้กินนั้นแปลกตาและอร่อยยิ่ง ส่วนหลิวลี่ซือที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยนั้นลอบบิดเบ้มุมปากตนด้วยความริษยาตั้งแต่ที่พี่สาวนางตกน้ำครานั้นก็ดูเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางช่างอ่อนแอและขี้โรคนัก โดนลมเพียงนิดก็ไม่สบายต้องนอนรักษาตัวอยู่ในจวนเป็นนานแรมเดือน แต่ตอนนี้นางดูแข็งแรงไม่เจ็บป่วยไข้เหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังดูงดงามสดใสยิ่งน่าถลกหนังหน้านางให้มันพังพินาศไปเสียหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว หลิวลี่ซือก็เดินออกมาจากเรือนฮูหยินลี่หยาง ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกนอกจวนไปที่หอเป่าชิงเพื่อหาซื้อเครื่องประดับหลิวลี่ซือเป็นคนรักสวยรักงามยิ่ง นางชอบสะสมเครื่องประดับอัญมณีที่งดงามหลากหลายเมื่อเลือกเครื่องประดับได้ตามที่ต้องการแล้ว หลิวลี่ซือเตรียมให้อวี้จู้สาวรับใช้คนสนิทจ่ายค่าเครื่องประดับของนาง แต่ทว่ามีมือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมาก่อน"แม่นาง ค่าเครื่องประดับนี้นายของข้าจะเป็นคนจ่ายให้ท่านเอง"หลิวลี่ซือหันไปมองก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาแต่งกายคล้ายองครักษ์ในวังหลวง"นายของเจ
จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ชายารองงั้นหรือ หญิงสาวเช่นชิงชิงไม่ใช่คนที่จะพาเข้าวังหลวงมาเป็นภรรยาได้ง่ายดายเช่นนั้น"เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกเชื่อว่าด้วยนิสัยของนางไม่มีทางยอมรับตำแหน่งที่ท่านแม่ทรงมอบให้แน่นอน ตั้งแต่ที่ลูกรู้จักนางมา นางเป็นหญิงสาวที่รักอิสระยิ่งพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าจึงถูกตาต้องใจนาง?"จ้าวจิ้งเทียนหมดคำจะพูด เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อหลิวลี่เซียน เขากลัวว่านางจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกันกับเขา จ้าวฮวงโหวย่อมต้องอ่านความคิดของจ้าวจิ้งเทียนออก นางยิ้มออกมาเล็กน้อยคล้ายไม่ได้ติดใจอันใดมากนัก"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แม่เป็นคนไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องที่เจ้ารักษาใบหน้าจนหายดีแล้วนั้น ต้องกราบทูลต่อเสด็จพ่อเจ้าเสีย""พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ความลับที่เขาตั้งใจจะไม่ยอมเปิดเผยก็จำต้องยอมเสียแล้วหลังจากที่กลับจากวังหลวงหลิวลี่เซียนก็เข้าไปพูดคุยเล่นกับเสนาบดีหลิวและฮูหยินลี่หยางเกี่ยวกับเรื่องที่เข้าวังหลวงวันนี้เพียงเล็กน้อย หลิวลี่ซือก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน นางพยายามที่จะถามหลิวลี่เซียนว่าเข้าวังหลวงไปด้วยเหตุใด
ตำหนักจ้าวฮวงโหวจ้าวจิ้งเทียนคิดไตร่ตรองเรื่องของเจินเซียงมาสักพักก่อนจะเข้าไปขอพบกับจ้าวฮวงโหวเสด็จแม่ของเขา"ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ""ลุกขึ้นเถิด มานั่งข้างแม่เร็วเข้า จิ้นหมิง"จ้าวจิ้งเทียนลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างพระวรกายของจ้าวฮวงโหว เขามองพระพักตร์ของเสด็จแม่ตนเองอย่างลำบากใจเรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าเขาจะแก้ไขเองจริงๆ"ว่าอย่างไรจิ้นหมิง""ที่ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่วันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญสองเรื่องอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ""ไหนเจ้าว่ามาสิ"จ้าวจิ้งเทียนหันไปมองเหล่านางกำนัลเป็นเชิงให้ออกไปให้หมด ก่อนจะยกมือขึ้นไปปลดผ้าคลุมใบหน้าของเขาออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนของเขา รอยแผลบนใบหน้าจางหายไปจนหมดสิ้นแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดเหลือไว้ ราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลน่ารังเกียจนั่นอยู่บนใบหน้าของเขามาก่อน"จิ้นหมิง!!! ลูกแม่ นี่เจ้า หมอเทวดารักษาเจ้าจนหายดีแล้วหรือ สวรรค์ช่างเมตตายิ่งนัก!!!"จ้าวฮวงโหวยื่นมือมาจับที่ใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนอย่างดีใจปนตกใจ น้ำตาของนางเอ่อคลออย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จ้าวจิ้งเทียนกุมมือของพระมารดาเอาไว้ด้วยความรักใคร่ ก่อนจะยิ้มให้จ้าวฮวงโห
ตำหนักพระมเหสีรองเหมย"ถวายพระพรพระมเหสีรองเพคะ"เหมยฮวาชิงย่อกายทำความเคารพมเหสีรองเหมยท่านอาของนาง พระมเหสีรองเหมยพระองค์นี้เข้าวังมาได้ห้าปีแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรสและพระธิดาแม้สักพระองค์เดียว เพราะสุขภาพของนางค่อนข้างไม่สู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะราชสำนักยังต้องพึ่งพากำลังทางทหารของจวนโหวตระกูลเหมย มเหสีรองเหมยแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยน ไม่มีปากมีเสียงกับใคร แต่ลึกๆ ภายในใจของนางซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ไม่น้อยนางริษยาจ้าวฮวงโหวกับพระสนมเอกยิ่งนัก ทั้งที่พวกนางไม่ใช่คนโปรดของฮ่องเต้สักเท่าใด แต่วาสนากลับทำให้พวกนางมีพระโอรส แล้วนางเล่า นางเป็นที่โปรดปราน แต่สวรรค์กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน"รีบลุกขึ้นเถิดหลาน เจ้าไม่ต้องมากพิธีการ""ขอบพระทัยเพคะพระมเหสีรอง"พระมเหสีรองเหมยโบกมือเป็นการไล่บ่าวรับใช้นางกำนัลออกไปจากตำหนักให้หมด เหลือเพียงแม่นมคนสนิทของนางกับเหมยฮวาชิงและชิงฮุ่ย"ท่านอารู้ข่าวของตระกูลเจินรึยังเพคะ"เหมยฮวาชิงเป็นคนเริ่มบทสนทนาเรื่องของเจินเซียงกับพระมเหสีรองเหมยก่อน พระมเหสีรองเหมยยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย พลางหัวเราะออกมาอย่างอารมณ