เกิดอะไรขึ้นกับรุ่ยอ๋องกันแน่ เหตุใดตอนนั้นเขาจึงได้พลัดตกเขาตาย
เมิ่งหว่านชิงที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในเรือนหลักขมวดคิ้วคิดพิจารณาถึงเหตุการณ์ในอดีตอย่างละเอียด หากแต่ตัวนางเป็นเพียงสตรีในห้องหอที่ถูกส่งไปอยู่ในเรือนหลังจวน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบันก็รู้เรื่องราวของอ๋องรุ่ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ผู้ใดหมายตาชีวิตอันดับค่าของเขา
ทว่าเห็นแก่ที่วันนี้เขายอมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนางและท่านแม่ วันหน้านางจะต้องหาทางช่วยเหลือเขาเป็ยการตอบแทนอย่างแน่นอน
เพียงแต่วันนี้นางต้องตอบแทนท่านป้าสะใภ้ของนางเสียก่อน
“มีใครอยู่ข้างนอก ไปแจ้งที่เรือนรองบอกกับท่านลุงและท่านป้าสะใภ้ว่า ท่านแม่ของข้าต้องการพบ”
เสวี่ยชิงเยี่ยนได้ยินคำพูดของบุตรสาวก็ขมวดคิ้วส่งสายตาเป็นกังวล
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าเรียกท่านป้าสะใภ้มาทำไมกัน”
“ไม่เคารพผู้อาวุโส ตามกฎบ้านไม่ใช่ว่าต้องลงโทษหรือเจ้าคะ”
“ลงโทษ! แม่ว่าพวกเราต่างคนต่างอยู่อย่างสงบเถิดนะ”
จะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นภรรยาของพี่ชายเพียงคนเดียวของนาง เสวี่ยชิงเยี่ยนแม้มีใจขุ่นเคืองกับการกระทำของจ้าวซูซิน แต่ก็ไม่ถึงกับคับแค้นจนไม่อาจปล่อยวาง
“กับคนพาล ไม่อาจใช้คำว่าอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้เจ้าคะ”
ชาติที่แล้วหลังจากที่หลอกเอาสมบัติของมารดาไปจนหมดแล้ว จ้าวซูซินก็ไล่นางกับมารดาไปอยู่ในเรือนเล็กด้านหลังจวน ทุกวันให้กินอาหารได้หนึ่งมื้อ อีกทั้งยังต้องช่วยทำงานหนักในเรือน ทั้งหมดนี้หากนางไม่เอาคืนย่อมผิดต่อสวรรค์ที่ส่งนางหวนกลับมา
"เมิ่งหว่านชิง อย่าให้มันมากไปนักอย่างไรนางก็คือป้าสะใภ้ใหญ่ นับเป็นผู้อาวุโสของเจ้า ทำเช่นนี้คิดจะอกตัญญู กลายเป็นสตรีขาดคุณธรรมอย่างนั้นเหรอ"
เสวี่ยเกาเยี่ยนได้ยินข้อเรียกร้องให้ลงโทษภรรยาของตนเองก็รู้สึกเดือดดาลจนไม่อาจเก็บสีหน้าและคำพูดของตนเองเอาไว้ได้อีก หากแต่เมิ่งหว่านชิงกลับไม่ได้แสดงท่าทางหวาดกลัวต่ออารมณ์เกรี้ยวกราดของเขาเลยสักนิด
"ท่านอ๋องรุ่ยกล่าวว่า ท่านแม่ของข้าคือผู้อาวุโสที่สุดในจวนแห่งนี้ เช่นนั้นก่อนหน้านี้ท่านป้าสั่งลงโทษท่านแม่ ก็นับว่าเป็นการกระทำที่อกตัญญู ถือเป็นสตรีขาดคุณธรรมใช่หรือไม่เจ้าคะ"
ได้ยินเด็กหญิงย้อนคำพูดกลับมา จ้าวซูซินก็แค้นใจจนแทบอยากจะถลกหนังหน้ายียวนของอีกฝ่ายออกมา เพียงแต่ก่อนหน้านี้ผู้เป็นสามีได้เล่าเรื่องราวในศาลาให้นางฟังแล้ว ตอนนี้ให้นางโมโหจนทะลุผืนฟ้า เจ้าเด็กหน้าเหม็นแซ่เมิ่งผู้นี้ก็ยังไม่อาจแตะต้องได้
"จะเหมือนกันได้อย่างไร แต่เอาเถอะเรื่องราวเหล่านี้ซับซ้อนเจ้ายังเด็กไม่เข้าใจก็ไม่แปลก เช่นนั้นเรื่องในวันนี้ก็ให้จบแต่เพียงเท่านี้เถอะ"
เมิ่งหว่านชิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าท่านลุงของนางผู้นี้ไม่อาจดูแคลนจริงๆ เพียงแต่ตัวนางเองก็ไม่ใช่สตรีไร้หลักหนุนหลัง ในเมื่อมีขาทองคำอย่างอ๋องรุ่ยมาให้เกาะนางย่อมจะต้องใช้ให้คุ้มค่า
"เป็นเช่นที่ท่านลุงกล่าวไม่ผิด เรื่องราวเหล่านี้ซับซ้อนตัวข้านั้นยังเด็กจึงไม่ค่อยเข้าใจ เอาไว้วันพรุ่งนี้ข้าแวะไปเมียพี่ชายท่านอ๋อง ค่อยให้เขาช่วยชี้แนะอีกที"
แม้จะรู้ว่านี่เป็นสถานการณ์ตีฆ้องฟ้องนายของเด็กหญิง แต่เสวี่ยเกาเยี่ยนก็ไม่อาจเสี่ยงกับอารมณ์และความคิดที่อยากจะคาดเดาของอ๋องรุ่ย
"ท่านอ๋องมีราชกิจมากมายให้จัดการ เจ้าจะไปรบกวนพระองค์ด้วยเรื่องเล็กน้อยในบ้านได้อย่างไร เอาเถอะในเมื่อท่านป้าของเจ้าเป็นฝ่ายเข้าใจผิดก็ลงโทษนางให้เสมอกันกับแม่ของเจ้าเป็นเช่นนี้ดีหรือไม่"
"ท่านลุงช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก"
สุดท้ายแม้จะไม่ยินยอมแต่ว่าจ้าวซูซินก็ไม่อาจคัดค้าน จำใจรับโทษคุกเข่าที่ศาลบรรพชน
เมื่อเสวี่ยซูเหวินบุตรชายคนโตของเสวี่ยเกาเยี่ยนกลับเข้าจวนมากลางดึกแล้วได้ยินว่า มารดาของตนถูกสองแม่ลูกจากตระกูลเมิ่งไล่ออกจากเรือนเดิม อีกทั้งยังลงโทษให้ไปคุกเข่าในโถงบรรพชนถึงสามวัน โดยให้กินอาหารเพียงวันละหนึ่งมื้อเท่านั้นก็โมโหจนใบหน้าเขียวคล้ำ รีบตรงมาที่เรือนใหญ่ในทันที
“ท่านอาหญิง ท่านทำเช่นนี้ออกจะเกินไปหรือไม่”
เมิ่งหว่านชิงมองดูบุรุษตัวโตที่วิ่งพุ่งเข้ามาในเรือนพักของนางและมารดาด้วยสายตาคับแค้นใจ เสวี่ยซูเหวินผู้นี้คือบุตรชายคนโตของเสวี่ยเกาเยี่ยน ในชาติภพก่อนทุกครั้งที่จ้าวซูซินต้องการหาเรื่องรังแกนางก็มักจะเป่าหูยืมมือคนผู้นี้ หลอกให้เขาลงมือทำร้ายตนอยู่เสมอ
เพื่อที่ในยามตัดสินโทษจะได้ใช้ข้ออ้างว่าเป็นการหยอกเย้า ล้อเล่นกัน ของเด็กสองคนเท่านั้น
และนี่ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งที่เสวี่ยชิงเยี่ยนตัดสินใจยอมแต่งไปเป็นอนุของคุณชายใหญ่ตระกูลกู้ กลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตที่ไม่อาจแก้ไข
"ชิงชิงแม่จะปกป้องเจ้า แม่จะพาเจ้าไปจากสถานที่แห่งนี้"
ในตอนนั้นคำพูดประโยคนี้ ล้วนเต็มไปด้วยความหวัง เพียงแต่สิ่งที่มารดาไม่คาดคิดก็คือพวกนางหนีจากรังงูพิษนี้สำเร็จ แต่กลับถูกล่อลวงให้ไปอยู่ในดงหมาป่าแทน
“พี่ชายเหตุใดจึงพูดกับท่านแม่ของข้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ความจริงแล้วเรื่องนี้...”
“มารดาเจ้ารังแกมารดาข้าโดยไร้เหตุผล ทำไมข้าจะพูดไม่ได้”
.................................................
“ข้าอยากให้ท่านลุงซ่งช่วยตรวจสอบผงกำยานนี้ที ว่าทำจากสิ่งใดบ้าง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”ซ่งเว่ยหรานเปิดผ้าเช็ดหน้าในมือออก ทว่าเพียงได้กลิ่นบางๆ คิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันแน่น เดิมทีคิดว่าอาการของเด็กสาวเป็นเพียงการกลั่นแกล้งกันเล็กน้อยของสตรีหลังบ้าน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นการวางแผนฆ่าอย่างร้ายกาจและแยบยล“นี่เป็นพิษสามราตรีปลิดวิญญาณ ผู้ที่ถูกพิษหากรักษาไม่ทัน ในสามราตรีก็จะหมดลมหายใจลง ทั้งยังไร้กลิ่น ไร้อาการ จึงยากจะตรวจสอบเจอ คุณหนูคนที่ลงมือช่างโหดเหี้ยมนัก ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ท่านเพิ่ม”หลังจากได้ฟังคำอธิบายถึงสิ่งที่ผสมอยู่ในกำยาน เมิ่งหว่านชิงก็ขบกราม กำมือแน่น ด้วยความคับแค้นใจ ไม่คิดว่าชาตินี้จ้าวซูซินจะใช้วิธีการที่โหดร้ายมากกว่าเดิม หรือเพราะนางไม่ใช่ลูกพลับนิ่มเหมือนในอดีต อีกฝ่ายจึงใช้ยาแรงหมายเอาชีวิตในคราเดียวเช่นนี้“ครั้งนี้นับว่าโชคดีที่ท่านหาต
ใช้เวลาเพียงสองเค่อมู่ชิงก็กระตุกบังเหียนบังคับรถม้าให้หยุดลง เสวี่ยชิงเยี่ยนค่อยๆ ก้าวลงด้วยความระมัดระวัง แต่เพราะรถม้าของรุ่ยอ๋องซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์มีความสูงกว่ารถม้าปกติของชนชั้นสามัญ จึงทำให้เวลาที่นางก้าวขาลงเพื่อเหยียบพื้นเกิดเสียการทรงตัว โชคดีที่มู่ชิงเป็นองครักษ์มือเท้าว่องไวจึงเข้ารับคนได้ทัน ทำให้เสวี่ยชิงเยี่ยนไม่ล้มลงกับพื้นจนเสียกิริยากลายเป็นที่ขบขันของผู้อื่นเพียงแต่ความใกล้ชิดอันบริสุทธิ์นี้กลับกลายเป็นเรื่องให้ผู้คนรอบตัวติฉินนินทาพวกเขาแทน"ขอบคุณท่านมู่""ข้าน้อยเสียมารยาท ขอฮูหยินโปรดอภัย""ท่านช่วยท่านแม่ของข้า จะเป็นการเสียมารยาทได้เช่นไร อีกอย่างท่านเป็นคนของวังรุ่ยอ๋อง หากมีใครกล้าตำหนินินทาว่าท่านไร้มารยาท นั่นก็เท่ากับตำหนิรุ่ยอ๋องด้วย"เพราะเห็นสายตาของผู้คนรอบข้างมองมาที่มารดาและองครักษ์มู่ชิงด้วยแววตาเย้ยหยันดูแคลน บางคนยังถึงขั้นซุบซิบนินทากันซึ่งหน้า เมิ่งหว่านชิงจึงจงใจเอ่ยเสียงดัง ราวกับกำลังประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่า หากมีผู้ใดกล้าพูดเรื่องนี้ก็เท่ากับกำลังลบหลู่รุ่ยอ๋อง อำนาจของขาทองคำนี้หากนางไม่นำมาใช้ก็จะสูญเปล่ากล่าวจบเมิ่งหว่านชิงก็กวาดสายตามอ
บทที่ 5.1โต้กลับแผนร้ายหยางเทียนอี้มองกล่องไม้ตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วหนาด้วยความสงสัย เมื่อครู่ซางชุนคนสนิทของเขาบอกว่าสิ่งนี้เป็นของที่เด็กสาวตระกูลเมิ่งส่งมาให้ แน่นอนว่าหญิงสาวนางเดียวที่กล้าส่งของให้เขาโดยตรงเช่นนี้ย่อมเป็นเมิ่งหว่านชิง ดังนั้นในใจของเขาจึงมีความอยากรู้เป็นพิเศษ โดยไม่มีความหวาดระแวงเลยแม้แต่น้อยก็รีบเปิดกล่องไม้ออกดู"นี่คือรากบัวแดง!! ท่านอ๋องเช่นนี้พิษเหมันต์ของพระองค์ก็จะรักษาได้แล้ว เพียงแต่เหตุใดคุณหนูเมิ่งถึงได้ส่งรากบัวแดงมาให้ หรือว่านางจะรู้เรื่องที่พระองค์ถูกพิษ"รุ่ยอ๋องนึกถึงเมื่อคราวที่เขาถูกวางแผนลอบสังหารที่เขาหนิงซาน ในตอนนั้นซ่งเว่ยหรานเป็นคนรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ด้วยฝีมือการแพทย์ของอีกฝ่ายแน่นอนว่าต้องตรวจพบพิษที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา เพียงแต่ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือเมิ่งหว่านชิงจะใส่ใจถึงขนาดตามหารากบัวแดงนี้มาให้เขา "พวกเราใช้เวลาตามหารากบัวแดงนี้มา สามปีก็ไม่พบแม้แต่เบาะแสเพียงเล็กน้อย ไม่คิดว่านางจะใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็ตามหาได้ ช่างเป็นสตรีที่ไม่อาจดูแคลนจริงๆ"หยางเทียนอี้เอ่ยชมเชยความสามารถของเด็กสาวพรางยกมุมปากขึ้
“ใครมันบังอาจมาก่อกวนที่ร้านผ้าซือโฉว เด็กๆ ไปจับตัวมา หากไม่ยินยอมมาดีๆ ก็ลากมา!”เสียงของชายวัยกลางคนที่เดินออกมาจากร้านผ้าซือโฉวตะโกนสั่งการ พริบตาชายฉกรรจ์ร่วมสิบคนก็กรูกันเข้ามาล้อมเมิ่งหว่านชิง ริมฝีปากบางยกขึ้น ความจริงแล้วด้วยกำลังคนเพียงเท่านี้นางสามารถจัดการได้ไม่ยากเย็น แต่ในเวลานี้ตัวนางเป็นเพียงเด็กหญิงยังไม่ได้ปักปิ่น ทำตัวโดดเด่นเกินไปคงไม่ดีนัก ดังนั้นจึงใช้ไม้ตายหยิบป้ายประจำตัวของรุ่ยอ๋องออกมา“ใครกล้าแตะต้องข้าก็ลองดู!!”ผู้ดูแลเห็นป้ายในมือเด็กหญิงก็ย่อตัวลงคุกเข่า ท่าทางเปลี่ยนจากดำเป็นขาวในทันที“เป็นพวกข้าน้อยมีตาแต่ไร้แวว ล่วงเกินคุณหนูกับนายหญิงแล้ว”เมิ่งหว่านชิงมองดูแล้วเหยียดยิ้มดูแคลน ยามมีอำนาจทุกสิ่งก็คล้ายง่ายดายไปหมด ชนิดที่ไม่ต้องเปลืองแรงเป่าฝุ่นกันเลยทีเดียว“วันนี้คนของท่านทำให้ข้ากับท่านแม่แล้วก็คนติดตามของพวกเราตกใจมาก ตอนนี้จะเลือกผ้าสักคนละชิ้นสองชิ้นก็ยังยากจะตัดสินใจ”“คุณหนูไม่ต้องกังวล ข้าจะให้คนคัดเลือกผ้าที่ดีที่สุดมาให้พวกท่านดู ถูกใจผืนไหนก็รับไปได้เลย ไม่ต้องจ่านเงินสักอีแปะเดียวขอรับ”“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากพี่ชายรุ่ยอ๋องรู้เข้าคง
ทางด้านจ้าวซูซินหลังจากเชิญหมอมาแล้วรู้ว่าเสวี่ยซูเหวินถูกพิษชนิดเดียวกับที่ตนเองใส่ในขนมของเมิ่งหว่านชิงก็ขบกรามแน่น ทว่าจะไปกล่าวโทษคนถึงเรือนก็ไม่อาจจะทำได้“ชัดเจนว่าเป็นท่านอากับน้องสาวที่วางยาข้า ทำไมท่านแม่กับท่านพ่อยังไม่จัดการพวกมันให้ข้า”“หุบปาก!”จ้าวซูซินหันไปตวาดลูกชายที่โวยวายทั้งที่ร่างกายยังอิดโรย ก่อนจะขบกรามเอ่ยด้วยสีหน้าคับแค้นใจ“หากไม่เพราะท่านรองพิธีการกู้แจ้งชัดเจนว่าต้องการเสวี่ยชิงเยี่ยนไปเป็นอนุภรรยาข้ามีหรือจะยอมทนมาหลายเดือนเช่นนี้”“แต่ข้าไม่ทน! หากครั้งนี้ท่านไม่จัดการแก้แค้นน้องสาวปีศาจนั่นให้ข้า ข้าไปจัดการเอง”จ้าวซูซินเห็นท่าทางอาละวาดไม่ยอมถอยของลูกชายก็ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด สุดท้ายก็แสร้งจำใจรับปากเพื่อให้อีกฝ่ายสงบ ไม่มาสร้างเรื่องจนแผนของนางพัง
"หากเป็นเช่นที่ท่านป้าสะใภ้บอกอย่างนั้นข้าก็ต้องเป็นหลานยายของท่านป้าใช่หรือไม่"จ้าวซูซินถูกเด็กสาวยอกย้อนกลับก็โมโหจนเกือบเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่ แต่เมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้จากตระกูลกู้และผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับสองแม่ลูกคู่นี้ ใบหน้าที่บึ้งตึงก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างสดใสและอ่อนโยน"ชิงเอ๋อร์เป็นเด็กช่างเจรจายิ่งนัก แต่เอาเถิดวันนี้ข้ามาหาเจ้า ก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะมาแจ้ง"พูดจบจ้าวซูซินก็ยื่นเทียบเชิญไปร่วมงานปักปิ่นของคุณหนูตระกูลกู้ให้แก่เสวี่ยชิงเยี่ยน หัวใจของเมิ่งหว่านชิงพลันสั่นสะท้านนึกย้อนไปถึงวันวานในอดีตหลังจากที่เสวี่ยเกาเยี่ยนและจ้าวซูซินหลอกเอาสมบัติเดิมของเสวี่ยชิงเยี่ยนไปจนหมดแล้ว ก็มอบเทียบเชิญกล่าวชวนมารดาของนางไปงานปักปิ่นของคุณหนูตระกูลกู้ ในตอนนั้นเมิ่งหว่านชิงอยู่ดีๆ ก็ล้มป่วยจนไม่สามารถติดตามมารดาไปร่วมงานได้ ไม่คาดคิดว่าในวันต่อมาก็ได้รับข่าวว่ามารดาจะแต่งไปเป็นอนุของกู้เฉินโม่