เมื่อครู่ท่านอ๋องกำลังยิ้มหรือ... เป็นไปได้อย่างไร
“อ่อ... ที่แท้ก็เป็นการลงโทษตามกฎบ้านตระกูลเสวี่ยนี่เอง”
“เจ้าค่ะ ท่านลุงบอกว่าท่านแม่ไม่เคารพผู้อาวุโส ลบหลู่ท่านป้าสะใภ้”
“ผู้อาวุโส? หากลำดับดูแล้วมารดาของนางเป็นบุตรีในภรรยาเอกของท่านอาจารย์ ส่วนฮูหยินของท่านเป็นสะใภ้ของบุตรชายจากภรรยารอง ท่านเสวี่ยดูเหมือนท่านจะลำดับความอาวุโสผิดไปหน่อยนะ”
“เป็นกระหม่อมที่เลอะเลือน ขอท่านอ๋องโปรดอภัย”
“พี่ชายกล่าวผิดแล้ว หากท่านแม่เป็นผู้อาวุโสของจวนทำไมท่านป้าสะใภ้ถึงได้จัดเรือนเล็กด้านหลังให้พวกเราพัก ไม่ใช่เรือนหลักด้านหน้าเล่าเจ้าคะ”
“โอ้ว! ยังให้อยู่ที่เรือนเล็กด้านหลังด้วย กฎบ้านท่านเสวี่ยช่างเยี่ยมยอดจริงๆ”
“ข้าเองก็คิดเหมือนพี่ชาย กฎบ้านเสวี่ยยอดเยี่ยมมากจริงๆ บางเรื่องก็ชวนให้ข้ารู้สึกสับสน”
“รู้สึกสับสนอย่างนั้นหรือ”
รุ่ยอ๋องเอ่ยถามเสียงสูง พลางหันมามองเด็กหญิงตรงหน้าในใจนึกอยากรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีละครฉากใดที่ต้องการแสดงให้เขาดูอีก
“เจ้าค่ะ ตอนที่ข้ากับท่านแม่มาถึงท่านลุงใหญ่ถามถึงสินเดิมและสมบัติของตระกูลเมิ่งบอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แต่พอข้าบอกว่าตระกูลเมิ่งไม่มีทรัพย์มีเพียงหนี้สินท่านป้าสะใภ้ก็บอกว่าไม่นับเป็นครอบครัวอีก”
“เจ้าหมายถึงพวกเขาปรารถนาทรัพย์สินเดิมของมารดาเจ้าแต่ไม่ต้องการร่วมชดใช้หนี้สินเก่า”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงกฎของบ้านเสวี่ยเจ้าค่ะ”
“หึ! ดูเหมือนพรุ่งนี้ตอนว่าราชการในท้องพระโรง ข้าจะต้องเอากฏบ้านเสวี่ยเป็นตัวอย่างเล่าให้เหล่าขุนนางฟังเสียหน่อย”
เสวี่ยเกาเยี่ยนได้ยินคำของรุ่ยอ๋องก็รีบทรุดตัวคุกเข่า โค้มศีรษะประสานมือพูดเสียงสั่น
“ท่านอ๋องโปรดเมตตา เรื่องนี้เป็น... เป็นภรรยาของกระหม่อมจัดการไม่ดี กระหม่อมจะรีบแก้ไขในทันที”
เสวี่ยชิงเยี่ยน ไม่เพียงเป็นบุตรีในภรรยาเอกของอดีตราชครูที่บรรดาขุนนางฝ่านบุ๋นยกย่องเคารพ นางยังเป็นฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของแม่ทัพเมิ่งชิงหยวนที่ขุนนางฝ่ายบู๊นับถือ หากเรื่องที่นางถูกรังแกในจวนเสวี่ยถูกเล่าลือออกไปเขาที่เป็นเพียงขุนนางขั้นห้าจะยังมีที่ยืนอยู่ได้อย่างไร
“ท่านอ๋อง! พี่ชายนี่ท่านคือท่านอ๋องหรือ ชิงเอ๋อร์ เอ่อ... หม่อมฉันมีตาหามีแวว แสดงกิริยาไม่เหมาะสมต่อหน้าพระพักตร์ขอท่านอ๋องโปรดอภัย”
เห็นท่าทางแสร้งทำหน้าตกใจ รีบขยับตัวคุกเข่าก้มหัวของเด็กหญิงรุ่ยอ๋องก็อดที่จะยกยิ้มกว้างไม่ได้
ยังเล่นละครต่อเช่นนี้ ดูแล้วนางคงไม่ได้ต้องการเพียงให้เขาช่วยให้มารดาพ้นโทษเท่านั้น
ร่างสูงย่อตัวลงจับไหล่เล็ก แล้วกล่าวเสียงอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรข้าไม่ถือ อีกทั้งยังชอบที่เจ้าแทนตัวเองว่าชิงเอ๋อร์ และเรียกข้าว่าพี่ชาย”
เมิ่งหว่านชิงเห็นขาทองคำอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่านางต้องรีบเกาะเอาไว้ รีบเงยหน้ายิ้มกว้างขานรับในทันที
“เช่นนั้นต่อไป ชิงเอ๋อร์จะเรียกท่านว่าพี่ชาย วันหน้าต้องไปเยี่ยมคาระวะแสดงความกตัญญูต่อพี่ชายที่วังอ๋องแน่นอนเพคะ”
รุ่ยอ๋องได้ฟังคนช่างเจรจาก็ขบขันในลำคอ ก่อนจะปลดป้ายห้อยประจำตัวของตนเองวางลงบนฝ่ามือเล็ก
“เช่นนั้นก็เก็บป้ายห้อยนี้เอาไว้ จะได้เข้าออกวังของข้าได้อย่างสะดวก”
“เจ้าค่ะ”
ป้ายประจำตัวของเชื้อพระวงศ์ ไม่เพียงมีไว้แสดงฐานะ แต่ยังเป็นเสมือนสิ่งแทนตัว เห็นป้ายดั่งเห็นคน เช่นนี้แล้วภายหน้าไม่เพียงแต่
เสวี่ยเกาเยี่ยน แม้แต่ตระกูลกู้ นางก็ไม่ต้องหวั่นเกรงอีกแล้ว“ได้รับเมตตาจากพี่ชายรุ่ยอ๋อง ช่างเป็นวาสนาของชิงเอ๋อร์ยิ่งนักเพคะ”
รุ่ยอ๋องพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยขอตัวกลับ โดยไม่ลืมเน้นย้ำให้เสวี่ยเกาเยี่ยนจัดการเรื่องภายในเรือนให้ดี
...........................................
ยามที่เดินพ้นขอบประตูจวนเสวี่ยร่างสูงโปร่งหันกลับไปมองยังทิศทางในสวนอีกครั้ง ภาพใบหน้าเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากช่างเจรจาของเด็กหญิงพลันผุดขึ้นในความคิด จนอดที่จะยิ้มอีกรอบไม่ได้
สาวน้อยข้าจะคอยดูว่า เจ้าจะจัดการหมาป่าบ้านเสวี่ยพวกนี้ได้อย่างไร
“ซางชุน ส่งคนมาคอยจับตามองคุณหนูเมิ่งอย่างลับๆ หากมีเรื่องอะไรผิดปกติให้รายงานข้าทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
................................................
เพล้ง! จ้าวซูซินปัดชุดชาตรงหน้าตกแตกกระจายด้วยโทสะ มองดูเรือนหลังเล็กด้วยความคับแค้นใจ สิบห้าปีก่อนนางแต่งเข้าจวนตระกูลเสวี่ยในฐานะสะใภ้ใหญ่ แต่เพราะเสวี่ยเกาเยี่ยนเป็นบุตรชายจากฮูหยินรอง ดังนั้นนางจึงต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวง ทุกวันต้องสังเกตสีหน้าคนในจวน
ใช้เวลาถึงห้าปีจึงสามารถหาเหตุผลทำให้เสวี่ยชิงเยี่ยนแต่งออกไปได้ อีกทั้งยังต้องวางแผนมากมายอยู่อีกเกือบสิบปีจึงจัดการบรรดาผู้อาวุโสในจวนจนหมด ทำให้เสวี่ยเกาเยี่ยนกลายเป็นผู้นำของตระกูลเสวี่ยเช่นทุกวันนี้
ไม่คิดว่าเพียงไม่กี่ประโยคของเมิ่งหว่านชิงกลับทำให้ทุกอย่างที่นางลงมือไปหลายปีพังลงในชั่วพริบตา
“ข้าจะไม่ยอมแพ้นาง เสวี่ยชิงเยี่ยนข้าจะต้องให้เจ้าและนางเด็กสารเลวต้องชดใช้ความอับอายนี้ของข้า!”
................................................
ในขณะที่จ้าวซูซินกำลังอาละวาดในเรือนรอง เมิ่งหว่านชิงก็ประคองมารดาที่ร่างกายอ่อนเพลียเข้ามายังเรือนหลัก เสวี่ยชิงเยี่ยนกวาดตามองเรือนที่ตนเองเคยอาศัยมาสิบแปดปีด้วยดวงตาแดงก่ำ ภาพในวันวานหวนกลับคืนมาในห้วงความคิด ในทุกมุม ทุกจุด ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นไอความรักของมารดาและบิดา
“ฮูหยิน อาหารและน้ำอุ่นพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งหว่านชิงหันไปมองสาวใช้สี่นางที่ถูกส่งมารับใช้แล้วยกยิ้มพอใจ เพราะการกระทำของรุ่ยอ๋องในวันนี้ทำให้เสวี่ยเกาเยี่ยนไม่กล้าคิดละเลยนางและมารดาอีก เพียงแต่ขาทองคำนี้ของนางหากจำไม่ผิดเขาจะมีอายุอยู่ได้อีกแค่สองเดือนเท่านั้น
เกิดอะไรขึ้นกับรุ่ยอ๋องกันแน่ เหตุใดตอนนั้นเขาจึงได้พลัดตกเขาตาย
................................................
ขาใหญ่ขนาดนี้ ชิงชิงกอดไว้ให้แน่นเลยนะลูก
เมื่อกู้อิงโม่อุ้มเสวี่ยชิงเยี่ยนกลับเข้าเรือนไปแล้ว เมิ่งหว่านชิงก็เชิญหยางเทียนอี้ไปที่ศาลาด้านข้าง เพียงแต่เดินมาได้ไม่ไกลร่างเล็กก็ถูกโอบอุ้มจนตัวลอยจากพื้น “ฝ่าบาทจะทรงทำอะไรเพคะ” “ข้าเองก็หวาดกลัว อยากกลับเข้าห้องให้เจ้าปลอบโยนเช่นกัน” ได้ยินคนสูงศักดิ์ใช้อุบายเดียวกับบิดาเลี้ยงเมิ่งหว่านชิงก็อดที่จะขบขันไม่ได้ ก่อนจะสบตาเอ่ยถามสีหน้าจริงจัง “พระองค์ทำเช่นนี้คุ้มแล้วหรือเพคะ” “หากเจ้าหมายถึงเรื่องสละบัลลังก์ ตั้งแต่ต้นข้าก็ไม่เคยต้องการ” “เช่นนั้นพระองค์ต้องการอะไรกันพคะ” “ต้องการเป็นสวามีเพียงคนเดียวของเจ้า” ริมฝีปากบางยกยิ้มขบขันในทันทีที่ได้ยินความต้องการของคนตัวโต หากแต่หยางเทียนอี้กลับขมวดคิ้วแน่นด้วยท่าทีไม่ยินยอม “ชิงชิง ข้าไม่ยอมเป็นอนุหรอกนะ” คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางบอกว่าจะให้เขาเป็นอนุชาย แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ความสงสัยก็คลายออกในทันที “ท่านแม่ของข้าเพียงแค่เอาคืนความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของท่านอารองกู้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจให้เขาเป็นอนุจริงๆ” “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยินดี ชีวิตนี้ข้าจะมีเพียงเจ้าเป็นภรรยา และก็ไม่ยินยอม
หลังจากเดินออกจากท้องพระโรงหยางเทียนอี้ก็กลับไปที่ตำหนักส่วนพระองค์ บรรดาขุนนางต่างเดือดดาลและคิดว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องกลับมาขอร้องและยอมรับข้อเสนอของพวกตน จะมีบุรุษใดไม่รักอำนาจ ไม่ปรารถนาเป็นผู้นั่งบนบัลลังก์มังกร ดังนั้นพวกเขาแค่อดทนรออีกไม่กี่วันก็จะสามารถควบคุมหยางเทียนอี้เอาไว้ในฝ่ามือได้ เพียงแต่สิ่งที่เหล่าขุนนางคิดไม่ถึงก็คือ ตะวันไม่ทันตกดินหยางเทียนอี้ก็นำกำลังส่วนตัวควบม้าออกจากประตูเมืองตะวันออก"เกิดอะไรขึ้น นั่นไม่ใช่ฝ่าบาทของพวกเราหรือ เหตุใดพระองค์จึงออกจากเมืองอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า""เจ้าไม่รู้หรือไร เมื่อเช้านี้พวกขุนนางบีบบังคับให้ฝ่าบาทแต่งตั้งบุตรสาวของตนเองเป็นฮองเฮาและนางสนม พระองค์ไม่ยินยอมเป็นเครื่องมืออำนาจให้คนพวกนั้นจึงได้สละราชบัลลังก์แล้ว""สละราชบัลลังก์! เช่นนี้ต้าเซี่ยของพวกเราจะทำอย่างไร"เพียงสามวันข่าวลือเรื่องขุนนางบีบบังคับฮ่องเต้จนต้องสละราชบัลลังก์ลี้ภัยออกจากเมืองก็ถูกเล่าลือไปทั่วต้าเซี่ย ชาวเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ถึงกระทั่งบางคนยังไปรวมกลุ่มกันที่หน้าประตูจวนของขุนนางเพื่อตะโกนด่าทอและสาบแช่ง ทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่ยวายเกิดจลาจลกล
องค์ฮ่องเต้หยางเทียนจงได้ยินว่ารุ่ยอ๋องกลับเข้าเมืองมาช่วยเมิ่งหว่านชิงก็หัวเราะเสียงดังก้องอย่างพึงพอใจ น้องชายของเขาผู้นี้เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ แต่กลับเป็นเพียงบุรุษอ่อนแอ ปล่อยให้สตรีนางหนึ่งควบคุมจิตใจ หนีออกไปได้แล้วอย่างไร เขาแค่ใช้แผนการเล็กๆ น้อยๆ ล่อสตรีแซ่เมิ่งผู้นั้นเข้ามา น้องชายผู้โง่เขลาก็วิ่งกลับมาติดกับเช่นเดิม "บัลลังก์นี้เป็นของข้า ใครก็ไม่สามารถมาแย่งชิงไปได้" กล่าวจบหยางเทียนจงก็เดินผ่านประตูข้างตรงไปยังท้องพระโรง มองเก้าอี้บัลลังก์มังกรด้วยสายตาแดงก่ำ ทั้งยินดี แล้วเศร้าหมองไปพร้อมๆ กัน ภาพในวันวานสะท้อนกลับมาในความทรงจำ ครั้งหนึ่งเบื้องหน้าบนเก้าอี้มังกรตัวนี้เคยมีบิดานั่งอย่างสง่า เก้าอี้หงส์ด้านข้างก็มีมารดาผู้งดงามนั่งเคียงข้าง ทอดสายตารักใคร่อ่อนโยนมองดูเขาและหยางเทียนอี้วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างอ่อนโยนมองไปที่พื้นกลางห้องโถง "เสด็จพี่อุ้มๆ ข้าเจ็บ" เสียงของหยางเทียนอี้ในวัยเยาว์ยามหกล้มร้องขอให้เขาโอบอุ้มยังคงชัดเจนในความทรงจำ เพียงแต่เมื่อหลับตาลงและลืมขึ้นอีกครั้งทุกอย่างก็ล้วนจางหายเหลือเพียงห้องโถงที่ว่างเปล่าโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวแล้ว
"นี่ไม่ใช่รุ่ยอ๋อง!"ทหารที่วิ่งนำทางเข้ามาในคุกหลวงร้องบอก เมิ่งหว่านชิงขมวดคิ้วแน่นไม่คิดว่านางวางแผนการอย่างรัดกุมถึงเพียงนี้กลับยังพลาดท่าให้กับฮ่องเต้ทรราช ดังนั้นจึงรีบสั่งให้คนของตนรีบถอยออกในทันที เพียงแต่ให้นางดำเนินการรวดเร็วมากมายเพียงใด ก็ยังคงช้ากว่าคนวางแผนการ ยามเมื่อออกพ้นประตูคุกหลวงมาก็พบว่าเบื้องหน้าถูกล้อมด้วยทหารจำนวนมาก อีกทั้งคนที่นำทหารมาจับกุมตนยังเป็น..."เกาอู๋ฮั่น!!"มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ในชาติก่อนหลังสงครามเมืองประจิมเสร็จสิ้น นางกลับเมืองหลวงก็ถูกเขาลอบวางแผนจับตัวและสังหารอย่างโหดเหี้ยม ไม่คิดว่าในชาตินี้เหตุการณ์ก็ยังคงวนมาให้นางถูกเขาจับกุมอีกเช่นเคย"ฮูหยินคนเก่งของข้า สามีมารับกลับจวนแล้ว""ผู้ใดเป็นฮูหยินของเจ้ากัน!!"เมิ่งหว่านชิงโต้กลับเสียงแข็งกร้าวดุดัน ยิ่งคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อน สายตาคมเรียวก็มองชายตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ"เมิ่งหว่านชิง เจ้าใช้สถานะฮูหยินของข้าทูลขอตรานำทัพจากฝ่าบาท เท็จทูลเอาความดีความชอบใส่ตน กล่าวหาว่าข้าเป็นคนไร้ความรับผิดชอบหนีทัพ หากไม่เพราะฮ่องเต้ทรงปรีชาและเชื่อใจตระกูลเกาตอนนี้ตระกูลเกาของข้าถูกประหารทั้งตระกูล
เหตุการณ์รุ่ยอ๋องสังหารเหอไทเฮาแพร่กระจายไปทั่วทั้งแคว้นต้าเซี่ย เมิ่งหว่านชิงที่ได้รับข่าวขบกรามแน่น ตั้งแต่ต้นตัวนางก็ไม่ไว้ใจองค์ฮ่องเต้อยู่แล้ว หากแต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้แผนการใส่ความร้ายแรงเช่นนี้ "ท่านแม่ทัพไม่ทราบว่าท่านเรียกประชุมด่วนเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือขอรับ"รองแม่ทัพฉาง ที่ตอนนี้ยอมรับในตัวเมิ่งหว่านชิงแล้วเอ่ยถามด้วยความเคารพ หญิงสาวจึงหยิบป้ายบัญชาการทหารออกมาวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้า สร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่งคืนป้ายบัญชาการ นี่ไม่เท่ากับนางกำลังถอนตัวจากกองทัพหรือ"ท่านแม่ทัพ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร"รองแม่ทัพตงเอ่ยถามด้วยความร้อนรน ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่าดูแคลนที่นางเป็นสตรี แต่หลังจากได้ร่วมทัพแม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ กลับทำให้เขานับถือนางจากใจจริง“ข้ามีบางเรื่องต้องจัดการ ตำแหน่งแม่ทัพนี้จึงไม่อาจรับผิดชอบได้อีก"เพราะตัดสินใจที่จะเข้าเมืองไปช่วยหยางเทียนอี้ ดังนั้นเมิ่งหว่านชิงจึงไม่อาจครองตำแหน่งแม่ทัพนี้เอาไว้ได้ ดวงตาเรียวหันไปทางเซี่ยหลิงซางก่อนจะมอบจี้หยกประจำตระกูลเมิ่งและป้ายบัญชาการกองทัพบูรพาให้กับเขา"พี่ชายหลิงซาง ต่อจากนี้ขอฝากกองกำลั
“ไทเฮาเสด็จ!”เสียงรายงานดังมาจากด้านหน้าตำหนักรับรอง หยางอี้เทียนขมวดคิ้วหนา แน่นอนว่าเขาในฐานะอดีตองค์ชายการพบปะกับไทเฮานั้นเป็นเรื่องปกติ ทว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคนสั่งการลงทัณฑ์สังหารต้วนอ๋อง พระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของเหอไทเฮา แน่นอนว่าด้วยเหตุและผลการพบปะครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายในภายหลัง รุ่ยอ๋องจึงให้คนออกไปปฏิเสธการเข้าพบของเหอไทเฮา“ไปทูลไทเฮาว่าข้าไม่สะดวกพบพระองค์”สายตาคมมองบรรดาขันทีนางกำนัลที่ถูกส่งมายืนนิ่งไม่ไหวติง ก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่านี่ต้องเป็นแผนการยืมมือฆ่าคนแน่ๆ และเป็นเช่นที่เขาคาดการณ์ เมื่อประตูตำหนักรับรองถูกเปิดออก ร่างของสตรีในชุดสูงศักดิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า“ไทเฮามีเรื่องต้องการสนทนากับรุ่ยอ๋องตามลำพัง พวกกระหม่อมไม่ขออยู่รบกวน ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบคนทั้งหมดก็ออกไปยืนที่ด้านนอกตำหนัก ปากบอกว่าไม่ต้องการรบกวน แต่การกระทำชัดเจนว่าเป็นการควบคุมให้คนทั้งสองอยู่ร่วมกันในตำหนัก“ถวายพระพรไทเฮา”“เจ้าสังหารลูกของข้ายังต้องมาเสแสร้งต่อหน้าข้าอีกทำไมกัน”เหอไทเฮากัดฟันเอ่ยเสียงสั่น สองแก้มอาบไปด้วยหยาดน้ำ สองตาแ