เมื่อองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จประทับ ณ พระที่นั่งกลางท้องพระโรง เสียงดนตรีบรรเลงขับขาน งานเลี้ยงฉลองเทศกาลจงชิวเจี๋ยก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่างถวายพระพรตามลำดับยศ อาหารเลิศรสและสุรานานาชนิดถูกลำเลียงออกมาไม่ขาดสาย นางรำในอาภรณ์งดงามอ่อนช้อยร่ายรำอยู่กลางท้องพระโรง สร้างบรรยากาศครึกครื้นทว่าแฝงไว้ด้วยระเบียบแบบแผนอันเคร่งครัด
เหออวี้หลันนั่งอยู่เคียงข้างจวินเหยียนซี นางรักษากิริยามารยาททุกกระเบียดนิ้ว ทานอาหารเพียงเล็กน้อย จิบสุราเพียงพอเป็นพิธี สายตาจับจ้องการแสดงเบื้องหน้า แต่ในใจกลับตื่นตัวและระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา นางรู้ดีว่าภายใต้บรรยากาศอันรื่นเริงนี้ มีสายตาและการประเมินค่าซ่อนเร้นอยู่ทุกหนแห่ง
ช่วงเวลาที่การแสดงชุดหนึ่งจบลง และกำลังจะเริ่มการแสดงชุดต่อไป ในจังหวะที่เสียงพูดคุยจอแจดังขึ้นเล็กน้อยนั้นเอง เงาร่างของสตรีกลุ่มหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาหยุดอยู่ที่โต๊ะของจวนแม่ทัพ ผู้นำกลุ่มคือ หลี่ฮูหยิน ภรรยาเอกของเสนาบดีกรมพิธีการ นางขึ้นชื่อเรื่องฝีปากกล้าและมักชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น ในอดีตนางเคยพยายามตีสนิทเหออวี้หลัน แต่ก็ถูกความเย่อหยิ่งของนางปฏิเสธไปอย่างไม่ไยดี
"คารวะท่านแม่ทัพคารวะจวินฮูหยิน" หลี่ฮูหยินย่อกายลงอย่างงดงาม แต่รอยยิ้มนั้นดูเสแสร้งจนเห็นได้ชัด
จวินเหยียนซีเพียงแค่พยักหน้ารับน้อยๆตามมารยาท
เหออวี้หลันยิ้มตอบบางๆ "หลี่ฮูหยินตามสบายเถิดเจ้าค่ะ"
หลังจากทักทายจวินเหยียนซีสองสามประโยคตามธรรมเนียมแล้ว หลี่ฮูหยินก็หันมาสนใจเหออวี้หลันเป็นพิเศษ ดวงตาเป็นประกายวับวาบด้วยความอยากรู้ "จวินฮูหยิน ได้ยินว่าระยะนี้ท่านทุ่มเทดูแลคุณชายน้อยและคุณหนูน้อยอย่างเต็มที่ มิทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่เจ้าคะ? ช่างน่าชื่นชมในน้ำใจของท่านยิ่งนัก คงจะเหน็ดเหนื่อยน่าดูนะเจ้าคะ" นางกล่าวพลางป้องปากหัวเราะเบาๆ "เด็กๆ หลังจากขาดมารดาผู้ให้กำเนิดไป คงจะปรับตัวยากอยู่บ้างกระมังเพคะ? ท่านคงต้องใช้ความอดทนมากทีเดียว"
วาจานั้นราวกับเข็มแหลมที่ทิ่มแทงเข้ามาในใจของเหออวี้หลัน! การเอ่ยถึงมารดาผู้ให้กำเนิดเป็นการตอกย้ำสถานะแม่เลี้ยงของนาง และประโยคที่ตามมาก็เสียดแทงถึงความล้มเหลวและความโหดร้ายของนางในอดีตอย่างเลือดเย็น ความรู้สึกผิดและความโกรธแค้นต่อตนเองในอดีตพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่นางก็กัดฟันข่มมันไว้สุดกำลัง ใจเย็นไว้เหออวี้หลัน อย่าตกหลุมพราง... อย่าทำลายสิ่งที่เจ้าพยายามสร้างมา
นางสูดหายใจลึก เงยหน้าสบตาหลี่ฮูหยินอย่างตรงไปตรงมา ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มสุภาพ แต่แววตากลับสงบนิ่งและมั่นคง "หลี่ฮูหยินกล่าวชมเกินไปแล้ว การดูแลเอาใจใส่บุตรธิดา ถือเป็นทั้งหน้าที่และความสุขของมารดาทุกคนอยู่แล้ว" นางตอบอย่างราบรื่น เว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่ชัดเจนพอให้ผู้ที่อยู่ใกล้เคียงได้ยิน "ซิงเฉินและเสวี่ยอันเป็นเด็กดี ฉลาด และว่านอนสอนง่าย ความผูกพันระหว่างแม่ลูกนั้นต้องอาศัยทั้งเวลาและความจริงใจในการค่อยๆถักทอขึ้นมา ข้าเพียงพยายามทำหน้าที่ของตนในปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้นเจ้าค่ะ" นางหยุด แล้วกล่าวเสริมอย่างมีความหมาย "ส่วนเรื่องในอดีต... ข้าเชื่อว่าคนเราทุกคนล้วนมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้และก้าวผ่าน ข้าเองก็เช่นกัน"
คำตอบของนางทำให้หลี่ฮูหยินและสตรีที่ติดตามมาถึงกับชะงักงันไป มันเป็นการตอบที่เหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง! นางยอมรับในหน้าที่ กล่าวชมเด็กทั้งสองอย่างจริงใจ เอ่ยถึงเวลาและความจริงใจซึ่งเท่ากับยอมรับกลายๆว่าในอดีตนางอาจบกพร่องไป และที่สำคัญที่สุดคือการยอมรับอย่างสง่างามว่าตนเองก็มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้และก้าวผ่าน โดยไม่ได้แก้ตัวหรือแสดงความขุ่นเคืองใดๆเลยแม้แต่น้อย!
หลี่ฮูหยินอับจนคำพูดไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าจะหาช่องทางใดมาเสียดสีหรือซักไซ้ต่อได้อีก นางทำได้เพียงฝืนยิ้มแห้งๆ "จวินฮูหยินช่าง... ช่างคิดได้ลึกซึ้งยิ่งนัก"
เหออวี้หลันเพียงแต่ยิ้มรับบางๆ ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ
จวินเหยียนซีซึ่งนั่งนิ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ใบหูไม่ได้ดับตามไปด้วยนั้น ได้ยินทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน เขาลอบชายตามองภรรยาข้างกาย เห็นนางยังคงนั่งตัวตรง สงบนิ่ง ใบหน้าประดับรอยยิ้มสุภาพ แต่แววตากลับฉายประกายบางอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ความมั่นคง ความอดทน และปัญญา
แววตาของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม แต่ภายในใจนั้นคล้ายมีระลอกคลื่นเล็กๆก่อตัวขึ้น เขาไม่ได้เอ่ยปากแทรกแซง ปล่อยให้นางรับมือสถานการณ์ด้วยตนเอง แต่การที่เขานั่งฟังอย่างตั้งใจ ก็ถือเป็นการจับตามองอย่างใกล้ชิดแล้ว
บนพระที่นั่งสูง ฮองเฮาผู้ทรงพระปรีชา ทอดพระเนตรเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความสนพระทัย มุมพระโอษฐ์แย้มขึ้นเล็กน้อยอย่างแทบไม่สังเกตเห็นได้ ก่อนจะหันไปสนทนาเรื่องอื่นกับองค์ฮ่องเต้ต่อไป
เมื่อเห็นว่าไม่อาจทำให้นางเสียหน้าหรือหลุดแสดงท่าทีไม่เหมาะสมออกมาได้ หลี่ฮูหยินและพรรคพวกจึงจำต้องล่าถอยไปอย่างเสียไม่ได้ หลังจากพวกนางไปแล้ว เหออวี้หลันจึงยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อนั้นเย็นเฉียบ แต่ถ้วยชาในมือกลับมั่นคงไม่สั่นไหว
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป เสียงดนตรี การแสดง การพูดคุยยังคงดังเคล้าคลอ แต่สำหรับผู้ที่สังเกตการณ์อยู่ บรรยากาศรอบโต๊ะของจวนแม่ทัพดูจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหออวี้หลันได้แสดงให้เห็นแล้วว่านางมิใช่สตรีอารมณ์ร้าย เอาแต่ใจ และโง่เขลาเช่นที่หลายคนเคยปรามาสไว้ในอดีต นางมีความสุขุม ความอดทน และปัญญาที่จะรับมือกับสถานการณ์อันท้าทายได้อย่างสง่างาม
จวินเหยียนซียังคงนั่งเงียบขรึมอยู่ข้างกายนาง แต่ความเงียบนั้นดูเหมือนจะมีความหมายที่ต่างออกไป บางทีอาจมีความลังเล ความประหลาดใจ หรือแม้กระทั่งความสนใจใคร่รู้เจือปนอยู่ภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉยนั้นแล้วก็เป็นได้
เหออวี้หลันรู้ดีว่านี่เป็นเพียงบททดสอบบทหนึ่งเท่านั้น ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน และหนทางข้างหน้าก็ยังคงเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่การรับมือกับหลี่ฮูหยินได้สำเร็จก็ทำให้นางมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าอะไรจะรออยู่เบื้องหน้า นางก็จะเผชิญหน้ากับมันด้วยสติและความตั้งใจจริง
เมื่อเหมันต์อันยาวนานและเยือกเย็นได้โบกมืออำลาไปอย่างแท้จริง วสันตฤดูอันแสนสดใสก็หวนกลับมาเยือนจวนแม่ทัพจวินอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพียงธรรมชาติภายนอกที่ผลิบาน แต่หัวใจของผู้อยู่อาศัยภายในจวนแห่งนี้ก็คล้ายจะเบ่งบานไปด้วยไอรักและความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนการดูแลเอาใจใส่ของจวินเหยียนซีในช่วงที่เหออวี้หลันล้มป่วยลงนั้น เปรียบเสมือนหยาดน้ำทิพย์สุดท้ายที่หลอมละลายกำแพงน้ำแข็งในใจของคนทั้งสองจนหมดสิ้น ความเคลือบแคลงสงสัย ความไม่เข้าใจ และความห่างเหินที่เคยมี บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความรู้สึกผูกพันอันลึกซึ้งอย่างแท้จริงกิจวัตรประจำวันของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด การร่วมโต๊ะเสวยกลายเป็นเรื่องปกติที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและรอยยิ้ม การดื่มชายามค่ำคืนในศาลากลางสวนกลายเป็นช่วงเวลาของการแบ่งปันความคิดและความรู้สึกอย่างเปิดอกมากขึ้น พวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา และรับฟังซึ่งกันและกันด้วยหัวใจที่เปิดกว้างจวินเหยียนซีดูจะผ่อนคลายและแสดงความรู้สึกออกมามากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มจางๆที่เคยหาได้ยากยิ่ง บัดนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้
ภายหลังจากค่ำคืนในการเผชิญหน้าอันตึงเครียดในโรงเก็บฟืนเก่า บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพจวินก็คล้ายจะถูกแช่แข็งไว้ด้วยความเงียบงันอันน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม แม้จวินเหยียนซีจะมิได้เอ่ยปากขับไล่ หรือแสดงท่าทีรังเกียจนางอย่างเปิดเผย แต่ความห่างเหินและสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและคำถามที่ไร้คำตอบของเขานั้น ก็เป็นดั่งกำแพงที่มองไม่เห็น แต่กลับสูงตระหง่านและเย็นเยียบยิ่งกว่าครั้งไหนๆเหออวี้หลันเข้าใจดีว่านางกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง และครั้งนี้หนักหนากว่าเดิมหลายเท่านัก ความไว้วางใจที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น บัดนี้ได้พังทลายลงไปแล้วด้วยความลับและการปิดบังของนางเอง คำพูดของเขาที่ว่า "ข้าจะตัดสินเจ้าจากการกระทำของเจ้าในปัจจุบันและอนาคต" คือโอกาสสุดท้ายที่นางได้รับ โอกาสสุดท้ายที่นางต้องรักษาไว้ให้จงได้นางทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการทำหน้าที่ของตนเองยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา นางตื่นแต่เช้าตรู่ เข้านอนดึกดื่น ตรวจตราดูแลทุกซอกทุกมุมของจวนด้วยความใส่ใจและความละเอียดลออที่ไม่เคยมีใครเทียบได้ ตั้งแต่การจัดสรรเสบียงในคลัง การดูแลความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่ การบริหารจัดการงบประมาณ ไปจนถึง
เหมันต์ยังคงทอดเงาทาบทับจวนแม่ทัพจวิน อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจแต่กลับมิอาจเทียบเท่าความหนาวเหน็บที่เกาะกุมจิตใจของเหออวี้หลันได้เลยนับตั้งแต่การปรากฏตัวของชิวเยว่ในอดีตชาติ แม้นางจะพยายามรักษาความสงบ ทำหน้าที่ฮูหยินและมารดาเลี้ยงอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง แต่ความหวาดระแวงและความกลัวก็กัดกินใจนางอยู่ทุกขณะลมหายใจนางเฝ้าสังเกตการณ์ชิวเยว่ผู้นั้นอย่างลับๆมาตลอด แต่สตรีผู้นั้นก็ยังคงทำงานของตนไปอย่างเงียบๆ ขยันขันแข็ง ไม่แสดงพิรุธใดๆออกมา ความสงบเสงี่ยมนั้นเองที่ยิ่งทำให้นางหวาดผวา มันเหมือนความเงียบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ หรือเหมือนอสรพิษที่ซ่อนตัวนิ่งรอจังหวะที่จะฉกกัดความอดทนของเหออวี้หลันใกล้จะถึงขีดสุด นางไม่อาจทนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวเช่นนี้ได้อีกต่อไป นางต้องรู้ให้แน่ชัด... ว่าชิวเยว่ต้องการสิ่งใดกันแน่!จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่นางกำลังตรวจดูผ้าปูที่นอนที่เพิ่งซักเสร็จใหม่ๆในห้องเก็บผ้าใกล้โรงซักล้าง สายตาของนางก็พลันสะดุดเข้ากับบางสิ่ง ปมเชือกสีแดงเส้นเล็กๆที่ถูกผูกซ่อนไว้ในเนื้อผ้าอย่างแนบเนียน เป็นปมแบบเดียวกันกับที่นางเคยใช้ผูกของเล่นชิ้นโปรดของเสวี่ยอัน แล้วโยนทิ้งไปด้วยคว
เหมันตฤดูยังคงดำเนินไปอย่างเนิบนาบ วันคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าภายใต้ท้องฟ้าสีเทาหม่น เหออวี้หลันพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและความเป็นปกติสุขภายในจวนแม่ทัพไว้ให้มั่นคงที่สุด แต่นางก็รู้ดีว่าภายใต้ความสงบนั้นมีพายุร้ายกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ... พายุที่มาจากอดีตของนางเองชิวเยว่ในชาติก่อนยังคงทำงานอยู่ในส่วนซักล้างและงานจิปาถะอื่นๆ อย่างขยันขันแข็งและดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยใดๆ นางพูดน้อย ยิ้มยาก และมักจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตนไปเงียบๆไม่สุงสิงกับผู้ใดเป็นพิเศษ แต่ยิ่งนางดูสงบเสงี่ยมมากเท่าใด เหออวี้หลันก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นเท่านั้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนอยู่ภายในว่าสตรีผู้นี้มิได้มาที่นี่โดยบังเอิญอย่างแน่นอนความหวาดระแวงนั้นได้รับการยืนยันในเวลาต่อมา...วันหนึ่งหลี่มามา บ่าวอาวุโสผู้รับใช้ตระกูลจวินมานานได้เข้ามาพบเหออวี้หลันเป็นการส่วนตัวด้วยสีหน้าที่ดูครุ่นคิดเล็กน้อย "เรียนฮูหยินเจ้าคะ บ่าวมีเรื่องประหลาดใจเล็กน้อยจะเรียนให้ทราบ""เรื่องอันใดหรือหลี่มามา?" เหออวี้หลันถาม พยายามควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นแรงจนผิดสังเกต"คือ... ชิวเยว่ คนงานใหม่ในโรงซักล้างน่ะเจ้า
เหมันตฤดูแผ่ปกคลุมจวนแม่ทัพจวินด้วยไอเย็นยะเยือก หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งคราว แต่งแต้มให้หลังคาและกิ่งก้านของต้นไม้กลายเป็นสีขาวโพลน ชีวิตภายในจวนดำเนินไปอย่างอบอุ่นและสงบสุขภายใต้การดูแลของเหออวี้หลันและจวินเหยียนซี ความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับ ความรักและความเข้าใจค่อยๆถักทอสายใยอันมั่นคงขึ้นมาแทนที่ความเย็นชาในอดีต เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นอย่างร่าเริงและมั่นคงภายใต้ร่มเงาแห่งความรักของครอบครัวทว่าความสงบสุขที่ดูเหมือนจะยั่งยืนนี้ กลับมีอันต้องสั่นคลอน... เมื่ออดีตที่ไม่คาดฝันได้หวนกลับมาทวงถามเนื่องด้วยขนาดของจวนที่กว้างขวางและจำนวนบ่าวไพร่ที่มีอยู่เดิมเริ่มไม่เพียงพอ ประกอบกับมีบ่าวบางส่วนลาออกหรือถึงวัยเกษียณ พ่อบ้านเฉียนจึงได้นำเสนอเรื่องการว่าจ้างบ่าวรับใช้ระดับล่างเพิ่มเติมสองสามตำแหน่ง เช่น คนงานในโรงซักล้าง หรือคนสวนชั้นผู้น้อย เขาได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นเหมาะสมมาหลายคน และนำรายชื่อพร้อมประวัติย่อมาให้เหออวี้หลันในฐานะฮูหยินเป็นผู้พิจารณาอนุมัติขั้นสุดท้าย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการบริหารจัดการจวนเหออวี้หลันรับรายชื่อมาตรวจดูอย่างละเอียดตามปกติ นาง
ค่ำคืนงานเลี้ยงรับรองมาถึง จวนแม่ทัพจวินสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมไฟนับร้อยดวง บรรยากาศโอ่อ่าสง่างามสมเกียรติ แขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติ ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ นายทหารระดับสูง และฮูหยินต่างทยอยเดินทางมาถึงด้วยรถม้าคันหรูจวินเหยียนซีและเหออวี้หลันยืนรอต้อนรับแขกอยู่ที่โถงทางเข้าหลัก เคียงข้างกันอย่างสง่างาม เขาสวมชุดขุนนางเต็มยศสีน้ำเงินเข้มดูน่าเกรงขาม ส่วนนางอยู่ในชุดสีทองอ่อนอันงดงาม ขับเน้นความงามอันสุขุมและสูงศักดิ์ ทั้งสองเป็นดั่งหยกคู่งามที่เปล่งประกาย สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนตั้งแต่แรกเห็นเหออวี้หลันทำหน้าที่เจ้าบ้านได้อย่างไร้ที่ติ นางกล่าวต้อนรับแขกแต่ละคนด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและเป็นมิตร สามารถจดจำชื่อและตำแหน่งของทุกคนได้อย่างแม่นยำ สนทนาด้วยถ้อยคำที่เหมาะสมและแสดงความใส่ใจทำให้นางได้รับคำชื่นชมในความอ่อนน้อมและความเฉลียวฉลาดจากเหล่าแขกเหรื่อ โดยเฉพาะบรรดาฮูหยินทั้งหลายที่เคยมีอคติต่อนางมาก่อนส่วนจวินเหยียนซีนั้นเขารับหน้าที่ดูแลต้อนรับแขกฝ่ายชาย สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเหล่าขุนนางและนายทหารด้วยท่าทีที่สุขุมและน่าเชื่อถือ เขาสังเกตการณ์ปฏิกิริยาและท่าทีของแขกแต่ละคนอย่