วันเทศกาลจงชิวเจี๋ยเวียนมาบรรจบ ทั่วทั้งจวนแม่ทัพประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน บรรยากาศคึกคักอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งการเฉลิมฉลอง ทว่าในเรือนอวี้ฮั่นความวุ่นวายกลับมีน้อยกว่าที่เคยเป็น
เหออวี้หลันนั่งนิ่งอยู่หน้าคันฉ่องทองเหลือง ปล่อยให้ชุนเถาบรรจงเกล้าผมมวยสูง ประดับด้วยปิ่นหยกขาวสลักลายเมฆาอันเรียบง่ายแต่ประณีต นางสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปักลายดิ้นเงินเป็นรูปเมฆามงคลแลดูสง่างามสมฐานะ แต่ก็มิได้โอ้อวดหรือฉูดฉาดจนเกินงาม ต่างจากอดีตลิบลับที่นางจะต้องวุ่นวายเลือกเฟ้นอาภรณ์ที่หรูหราที่สุด เครื่องประดับที่แวววาวที่สุด เพื่อประชันขันแข่งกับสตรีอื่นในงานเลี้ยง
ใบหน้าของนางยามนี้สงบนิ่ง แววตาแน่วแน่มั่นคง แม้จะมีความกังวลซ่อนอยู่ลึกๆ แต่ก็ถูกเก็บงำไว้ภายใต้ท่าทีอันสุขุม
ก่อนจะออกจากเรือนเพื่อไปยังรถม้า นางกลับก้าวเท้าเดินไปยังทิศทางของเรือนจื่อเถิงเสียก่อน เมื่อไปถึงก็พบว่าจางมามากำลังช่วยเด็กทั้งสองผูกโคมกระต่ายน้อยน่ารักอยู่ใต้ซุ้มต้นจื่อเถิง ขนมไหว้พระจันทร์หลากหลายไส้ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะเล็กๆอย่างสวยงาม
"ท่านแม่!" จวินเสวี่ยอันเป็นคนแรกที่เห็นนาง เด็กน้อยอุทานเสียงเบา หลบไปอยู่ข้างหลังจางมามาเล็กน้อยตามความเคยชิน แต่แววตาไม่ได้หวาดกลัวเท่าเดิมแล้ว
เหออวี้หลันส่งยิ้มบางๆให้ "คืนนี้ข้ากับท่านพ่อต้องเข้าวัง พวกเจ้าอยู่ที่นี่ฉลองกับจางมามานะ" นางยื่นกล่องไม้สลักลายงดงามส่งให้ "นี่ขนมไหว้พระจันทร์ ข้าให้ห้องครัวลองทำไส้เม็ดบัวไข่เค็มกับไส้ถั่วแดงที่พวกเจ้าน่าจะชอบ ลองชิมดูนะ"
จวินเสวี่ยอันมองกล่องขนมสลับกับมองหน้านางอย่างลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆยื่นมือออกมารับอย่างแผ่วเบา "ขอบ... คุณ... ท่านแม่" เสียงขอบคุณนั้นยังคงเบา แต่ก็ชัดเจนและไม่ติดขัดเหมือนครั้งก่อน
จวินซิงเฉินยืนมองอยู่เงียบๆ สายตาจับจ้องการกระทำของนางโดยไม่กะพริบ เขาเห็นความอ่อนโยนที่ไม่ได้เสแสร้งในแววตาขณะที่นางมองน้องสาว เห็นขนมไหว้พระจันทร์ที่คงจะใส่ใจเลือกไส้มาเป็นพิเศษ... ความรู้สึกขัดแย้งในใจยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
"ขอบพระคุณฮูหยินสำหรับความเมตตาเจ้าค่ะ" จางมามากล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
"ดูแลพวกเขาให้ดี" เหออวี้หลันกล่าวสั้นๆ ส่งยิ้มให้เด็กทั้งสองอีกครั้ง แล้วจึงหมุนกายจากไปโดยมิได้โอ้เอ้
นางก้าวขึ้นรถม้าคันใหญ่ที่ประดับตราประจำตระกูลจวินอย่างสง่างาม พบว่าจวินเหยียนซีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขากำลังก้มหน้าอ่านม้วนรายงานการทหาร แสงเทียนในรถม้าสาดส่องใบหน้าด้านข้างอันคมคาย ทำให้เงาของเขาดูเคร่งขรึมและห่างเหินยิ่งนัก
บรรยากาศภายในรถม้าเงียบสงัด มีเพียงเสียงล้อบดถนนและเสียงม้าร้องเบาๆ เหออวี้หลันนั่งตัวตรงอยู่ฝั่งตรงข้าม รักษาท่วงท่าอันเหมาะสม ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยสิ่งใด ราวกับมีม่านโปร่งแสงบางๆกั้นกลางระหว่างคนทั้งสอง
"ท่านพี่เจ้าคะ" ในที่สุดเหออวี้หลันก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ "เกี่ยวกับงานเลี้ยงในคืนนี้ มีสิ่งใดที่ข้าควรต้องระวังเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ? นอกจากธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปแล้ว" นางถามอย่างเป็นทางการ เพื่อให้แน่ใจว่านางจะไม่ทำสิ่งใดผิดพลาดจนกระทบชื่อเสียงของจวน
จวินเหยียนซีละสายตาจากม้วนรายงาน เงยหน้าขึ้นมองนาง "เพียงแค่วางตัวให้เหมาะสมตามฐานะก็พอ" น้ำเสียงยังคงราบเรียบ "ไม่ต้องกังวลสิ่งใดมากนัก" แม้จะสั้นและห้วน แต่ก็ไม่ได้รับรู้ถึงความเย็นชาเสียดแทงเช่นแต่ก่อน
รถม้าเคลื่อนเข้าสู่เขตพระราชวังอันโอ่อ่าตระการตา โคมไฟนับพันดวงส่องสว่างราวกับดวงดาวบนพื้นดิน ทหารราชองครักษ์ยืนเรียงรายอย่างองอาจ รถหรูหราของเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทยอยกันเข้ามาไม่ขาดสาย เสียงดนตรีมงคลดังแว่วมาจากท้องพระโรง
เมื่อรถม้าของจวนแม่ทัพจอดสนิท ขันทีหน้าประตูวังก็ประกาศเสียงดัง "ท่านแม่ทัพจวินเหยียนซีและฮูหยินมาถึงแล้ว!"
ทุกสายตาพลันจับจ้องมายังคนทั้งสองทันที จวินเหยียนซีก้าวลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าสง่างามสมชายชาตินักรบ เหออวี้หลันก้าวตามลงมาอย่างนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยความมั่นคง นางเงยหน้าขึ้น เชิดคางเล็กน้อย แย้มยิ้มบางๆอย่างสุภาพ เดินเคียงข้างสามีเข้าไปในท้องพระโรงอันโอ่อ่า
แสงไฟจากโคมแก้วเจียระไนสาดส่องกระทบอาภรณ์แพรพรรณและเครื่องประดับล้ำค่าของผู้คน เกิดเป็นประกายระยิบระยับ กลิ่นหอมของดอกไม้และเครื่องหอมชั้นดีผสมผสานกับเสียงดนตรีอันไพเราะ สร้างบรรยากาศหรูหราสูงส่ง ทว่าภายใต้ความงดงามนั้น เหออวี้หลันสัมผัสได้ถึงสายตามากมายที่จับจ้องมายังนาง สายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความเคลือบแคลง และบางครั้งก็แฝงไว้ด้วยความไม่เป็นมิตร
"อ้าวจวินฮูหยิน ไม่ได้พบกันเสียนาน ดูแข็งแรงขึ้นมากนะเจ้าคะ" สตรีกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นภรรยาของขุนนางฝ่ายบุ๋นเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มหวานหยด แต่ดวงตากลับไร้แววยินดี
"ขอบคุณฮูหยินทุกท่านที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าสบายดีแล้ว" เหออวี้หลันยิ้มตอบอย่างสุภาพ ก้มศีรษะให้เล็กน้อยตามธรรมเนียม
"ได้ยินว่าพักนี้จวินฮูหยินเก็บตัวอยู่ในจวน ไม่ค่อยได้ออกมาร่วมงานสังสรรค์เลยนะเจ้าคะ คงจะอุทิศตนดูแลบุตรเลี้ยงทั้งสองเป็นอย่างดีกระมัง" สตรีอีกนางหนึ่งเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเหมือนจะชื่นชม แต่ก็แฝงนัยยะเสียดสีถึงการเปลี่ยนแปลงอันกะทันหันของนาง
"การดูแลบุตรธิดาและจวนให้เรียบร้อย ถือเป็นหน้าที่ของภรรยาอยู่แล้วเจ้าค่ะ" เหออวี้หลันตอบอย่างราบเรียบ ไม่ได้แสดงท่าทีขุ่นเคืองหรือแก้ตัวใดๆ
นางรับมือกับคำทักทายและสายตาเหล่านั้นด้วยความสงบนิ่ง วางตัวอย่างเหมาะสม พูดน้อยแต่ชัดเจน ไม่เข้าไปร่วมวงนินทา หรือแสดงท่าทีโอ้อวดเช่นในอดีต ความสง่างามอันสุขุมของนาง ทำให้เหล่าสตรีที่ตั้งใจจะมาเย้าแหย่หรือจับผิดรู้สึกผิดคาดไปตามๆกัน
จวินเหยียนซีนั้นแยกไปทักทายกับเหล่าแม่ทัพและขุนนางชั้นผู้ใหญ่อื่นๆตามธรรมเนียม เขาไม่ได้เข้ามาปกป้องนางโดยตรง แต่การปรากฏตัวของเขาในฐานะแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจทางการทหาร ก็เป็นปราการที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าแสดงท่าทีก้าวร้าวต่อนางอย่างเปิดเผย ครั้งหนึ่งเมื่อพระสนมเอกนางหนึ่งเอ่ยถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า "ท่านแม่ทัพ ได้ยินว่าฮูหยินของท่านอาการป่วยดีขึ้นมากแล้ว คงจะแข็งแรงดีแล้วกระมัง?" เขาก็เพียงแต่ตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ภรรยาข้าสบายดีแล้ว ขอบพระทัยพระสนมที่เป็นห่วง" เป็นการตัดบทสนทนาอย่างสุภาพแต่เด็ดขาด
ในที่สุด ขันทีก็ประกาศเชิญทุกท่านเข้าประจำที่นั่งตามลำดับยศ เหออวี้หลันเดินตามจวินเหยียนซีไปยังโต๊ะที่จัดไว้สำหรับพวกเขา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระที่นั่งของฮ่องเต้และฮองเฮามากนัก แสดงให้เห็นถึงสถานะอันสำคัญของตระกูลจวิน
นางนั่งลงอย่างสง่างาม จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างแผ่วเบา ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองและการประชันขันแข่งทางสังคมเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางได้ผ่านบททดสอบแรกไปแล้ว แต่หนทางข้างหน้ายังคงทอดอีกยาวไกล ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างและบรรยากาศอันหรูหรานี้ มีอันตรายใดซ่อนเร้นอยู่บ้างนางยังไม่อาจรู้ได้
เมื่อเหมันต์อันยาวนานและเยือกเย็นได้โบกมืออำลาไปอย่างแท้จริง วสันตฤดูอันแสนสดใสก็หวนกลับมาเยือนจวนแม่ทัพจวินอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพียงธรรมชาติภายนอกที่ผลิบาน แต่หัวใจของผู้อยู่อาศัยภายในจวนแห่งนี้ก็คล้ายจะเบ่งบานไปด้วยไอรักและความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนการดูแลเอาใจใส่ของจวินเหยียนซีในช่วงที่เหออวี้หลันล้มป่วยลงนั้น เปรียบเสมือนหยาดน้ำทิพย์สุดท้ายที่หลอมละลายกำแพงน้ำแข็งในใจของคนทั้งสองจนหมดสิ้น ความเคลือบแคลงสงสัย ความไม่เข้าใจ และความห่างเหินที่เคยมี บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความรู้สึกผูกพันอันลึกซึ้งอย่างแท้จริงกิจวัตรประจำวันของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด การร่วมโต๊ะเสวยกลายเป็นเรื่องปกติที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและรอยยิ้ม การดื่มชายามค่ำคืนในศาลากลางสวนกลายเป็นช่วงเวลาของการแบ่งปันความคิดและความรู้สึกอย่างเปิดอกมากขึ้น พวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา และรับฟังซึ่งกันและกันด้วยหัวใจที่เปิดกว้างจวินเหยียนซีดูจะผ่อนคลายและแสดงความรู้สึกออกมามากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มจางๆที่เคยหาได้ยากยิ่ง บัดนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้
ภายหลังจากค่ำคืนในการเผชิญหน้าอันตึงเครียดในโรงเก็บฟืนเก่า บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพจวินก็คล้ายจะถูกแช่แข็งไว้ด้วยความเงียบงันอันน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม แม้จวินเหยียนซีจะมิได้เอ่ยปากขับไล่ หรือแสดงท่าทีรังเกียจนางอย่างเปิดเผย แต่ความห่างเหินและสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและคำถามที่ไร้คำตอบของเขานั้น ก็เป็นดั่งกำแพงที่มองไม่เห็น แต่กลับสูงตระหง่านและเย็นเยียบยิ่งกว่าครั้งไหนๆเหออวี้หลันเข้าใจดีว่านางกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง และครั้งนี้หนักหนากว่าเดิมหลายเท่านัก ความไว้วางใจที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น บัดนี้ได้พังทลายลงไปแล้วด้วยความลับและการปิดบังของนางเอง คำพูดของเขาที่ว่า "ข้าจะตัดสินเจ้าจากการกระทำของเจ้าในปัจจุบันและอนาคต" คือโอกาสสุดท้ายที่นางได้รับ โอกาสสุดท้ายที่นางต้องรักษาไว้ให้จงได้นางทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการทำหน้าที่ของตนเองยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา นางตื่นแต่เช้าตรู่ เข้านอนดึกดื่น ตรวจตราดูแลทุกซอกทุกมุมของจวนด้วยความใส่ใจและความละเอียดลออที่ไม่เคยมีใครเทียบได้ ตั้งแต่การจัดสรรเสบียงในคลัง การดูแลความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่ การบริหารจัดการงบประมาณ ไปจนถึง
เหมันต์ยังคงทอดเงาทาบทับจวนแม่ทัพจวิน อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจแต่กลับมิอาจเทียบเท่าความหนาวเหน็บที่เกาะกุมจิตใจของเหออวี้หลันได้เลยนับตั้งแต่การปรากฏตัวของชิวเยว่ในอดีตชาติ แม้นางจะพยายามรักษาความสงบ ทำหน้าที่ฮูหยินและมารดาเลี้ยงอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง แต่ความหวาดระแวงและความกลัวก็กัดกินใจนางอยู่ทุกขณะลมหายใจนางเฝ้าสังเกตการณ์ชิวเยว่ผู้นั้นอย่างลับๆมาตลอด แต่สตรีผู้นั้นก็ยังคงทำงานของตนไปอย่างเงียบๆ ขยันขันแข็ง ไม่แสดงพิรุธใดๆออกมา ความสงบเสงี่ยมนั้นเองที่ยิ่งทำให้นางหวาดผวา มันเหมือนความเงียบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ หรือเหมือนอสรพิษที่ซ่อนตัวนิ่งรอจังหวะที่จะฉกกัดความอดทนของเหออวี้หลันใกล้จะถึงขีดสุด นางไม่อาจทนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวเช่นนี้ได้อีกต่อไป นางต้องรู้ให้แน่ชัด... ว่าชิวเยว่ต้องการสิ่งใดกันแน่!จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่นางกำลังตรวจดูผ้าปูที่นอนที่เพิ่งซักเสร็จใหม่ๆในห้องเก็บผ้าใกล้โรงซักล้าง สายตาของนางก็พลันสะดุดเข้ากับบางสิ่ง ปมเชือกสีแดงเส้นเล็กๆที่ถูกผูกซ่อนไว้ในเนื้อผ้าอย่างแนบเนียน เป็นปมแบบเดียวกันกับที่นางเคยใช้ผูกของเล่นชิ้นโปรดของเสวี่ยอัน แล้วโยนทิ้งไปด้วยคว
เหมันตฤดูยังคงดำเนินไปอย่างเนิบนาบ วันคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าภายใต้ท้องฟ้าสีเทาหม่น เหออวี้หลันพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและความเป็นปกติสุขภายในจวนแม่ทัพไว้ให้มั่นคงที่สุด แต่นางก็รู้ดีว่าภายใต้ความสงบนั้นมีพายุร้ายกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ... พายุที่มาจากอดีตของนางเองชิวเยว่ในชาติก่อนยังคงทำงานอยู่ในส่วนซักล้างและงานจิปาถะอื่นๆ อย่างขยันขันแข็งและดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยใดๆ นางพูดน้อย ยิ้มยาก และมักจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตนไปเงียบๆไม่สุงสิงกับผู้ใดเป็นพิเศษ แต่ยิ่งนางดูสงบเสงี่ยมมากเท่าใด เหออวี้หลันก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นเท่านั้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนอยู่ภายในว่าสตรีผู้นี้มิได้มาที่นี่โดยบังเอิญอย่างแน่นอนความหวาดระแวงนั้นได้รับการยืนยันในเวลาต่อมา...วันหนึ่งหลี่มามา บ่าวอาวุโสผู้รับใช้ตระกูลจวินมานานได้เข้ามาพบเหออวี้หลันเป็นการส่วนตัวด้วยสีหน้าที่ดูครุ่นคิดเล็กน้อย "เรียนฮูหยินเจ้าคะ บ่าวมีเรื่องประหลาดใจเล็กน้อยจะเรียนให้ทราบ""เรื่องอันใดหรือหลี่มามา?" เหออวี้หลันถาม พยายามควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นแรงจนผิดสังเกต"คือ... ชิวเยว่ คนงานใหม่ในโรงซักล้างน่ะเจ้า
เหมันตฤดูแผ่ปกคลุมจวนแม่ทัพจวินด้วยไอเย็นยะเยือก หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งคราว แต่งแต้มให้หลังคาและกิ่งก้านของต้นไม้กลายเป็นสีขาวโพลน ชีวิตภายในจวนดำเนินไปอย่างอบอุ่นและสงบสุขภายใต้การดูแลของเหออวี้หลันและจวินเหยียนซี ความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับ ความรักและความเข้าใจค่อยๆถักทอสายใยอันมั่นคงขึ้นมาแทนที่ความเย็นชาในอดีต เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นอย่างร่าเริงและมั่นคงภายใต้ร่มเงาแห่งความรักของครอบครัวทว่าความสงบสุขที่ดูเหมือนจะยั่งยืนนี้ กลับมีอันต้องสั่นคลอน... เมื่ออดีตที่ไม่คาดฝันได้หวนกลับมาทวงถามเนื่องด้วยขนาดของจวนที่กว้างขวางและจำนวนบ่าวไพร่ที่มีอยู่เดิมเริ่มไม่เพียงพอ ประกอบกับมีบ่าวบางส่วนลาออกหรือถึงวัยเกษียณ พ่อบ้านเฉียนจึงได้นำเสนอเรื่องการว่าจ้างบ่าวรับใช้ระดับล่างเพิ่มเติมสองสามตำแหน่ง เช่น คนงานในโรงซักล้าง หรือคนสวนชั้นผู้น้อย เขาได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นเหมาะสมมาหลายคน และนำรายชื่อพร้อมประวัติย่อมาให้เหออวี้หลันในฐานะฮูหยินเป็นผู้พิจารณาอนุมัติขั้นสุดท้าย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการบริหารจัดการจวนเหออวี้หลันรับรายชื่อมาตรวจดูอย่างละเอียดตามปกติ นาง
ค่ำคืนงานเลี้ยงรับรองมาถึง จวนแม่ทัพจวินสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมไฟนับร้อยดวง บรรยากาศโอ่อ่าสง่างามสมเกียรติ แขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติ ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ นายทหารระดับสูง และฮูหยินต่างทยอยเดินทางมาถึงด้วยรถม้าคันหรูจวินเหยียนซีและเหออวี้หลันยืนรอต้อนรับแขกอยู่ที่โถงทางเข้าหลัก เคียงข้างกันอย่างสง่างาม เขาสวมชุดขุนนางเต็มยศสีน้ำเงินเข้มดูน่าเกรงขาม ส่วนนางอยู่ในชุดสีทองอ่อนอันงดงาม ขับเน้นความงามอันสุขุมและสูงศักดิ์ ทั้งสองเป็นดั่งหยกคู่งามที่เปล่งประกาย สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนตั้งแต่แรกเห็นเหออวี้หลันทำหน้าที่เจ้าบ้านได้อย่างไร้ที่ติ นางกล่าวต้อนรับแขกแต่ละคนด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและเป็นมิตร สามารถจดจำชื่อและตำแหน่งของทุกคนได้อย่างแม่นยำ สนทนาด้วยถ้อยคำที่เหมาะสมและแสดงความใส่ใจทำให้นางได้รับคำชื่นชมในความอ่อนน้อมและความเฉลียวฉลาดจากเหล่าแขกเหรื่อ โดยเฉพาะบรรดาฮูหยินทั้งหลายที่เคยมีอคติต่อนางมาก่อนส่วนจวินเหยียนซีนั้นเขารับหน้าที่ดูแลต้อนรับแขกฝ่ายชาย สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเหล่าขุนนางและนายทหารด้วยท่าทีที่สุขุมและน่าเชื่อถือ เขาสังเกตการณ์ปฏิกิริยาและท่าทีของแขกแต่ละคนอย่