จากความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนที่เธออยากจะลืม กลายเป็นว่าชายคนนั้นทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาไว้ให้ดูต่างหน้า หกปีผ่านไปใครจะคิดว่าเธอจะได้เจอกับเขาคนนั้นอีกครั้ง และความลับของเธอจะถูกเขาล่วงรู้หรือไม่
View Moreไร่นภัสสร เจ้าของไร่แห่งนี้คือสาวสวยมากความสามารถคล้ายกับเบื่อเมืองกรุงจึงกลับมาที่ไร่แห่งนี้ และฟื้นฟูทุกอย่างให้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนสมัยปู่กับย่าเธอยังอยู่ นับเวลานี้ก็เกือบห้าปีแล้วที่เธอมาฟื้นฟูสมบัติของปู่กับย่าได้ทิ้งไว้ให้
นภัสสรทำสวนผลไม้และแปลงเกษตร เธอไม่มองว่าการเป็นชาวไร่ชาวสวนนั้นน่าอาย แต่เธอกลับมองว่านี่คือสิ่งที่ทำให้เธอมีกินมีใช้ มีเงินเก็บและมีเงินจ่ายลูกน้อยอีกเกือบร้อยชีวิต และยังเลี้ยงน้องชายอีกคนจนจบมหาวิทยาลัยได้ด้วยเกียรตินิยมความภาคภูมิใจของนภัสสรคือตรงนี้
“เหนื่อยจังเลย”
นภัสสรถอดหมวกปีกกว้างออกมานั่งหลบแดดใต้ต้นไม้ใหญ่ เธอกวาดสายตามองไปยังคนงานที่ต่างก็ช่วยเก็บเกี่ยวผลผลิตเตรียมจะส่งขายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่พอเห็นผลตอบรับและรอยยิ้มของทุกคนแค่นี้ก็ทำให้หญิงสาววัยสามสิบกว่าเช่นเธอก็แทบจะหายเหนื่อยเช่นกัน
“แม่เลี้ยงจะทานมื้อเที่ยงเลยไหม ป้าจะให้แจ๋วไปเตรียมให้ คุณนุกูลก็น่าจะกลับมาแล้ว”
แม่บ้านคนสนิทรีบเดินมาแจ้งนายสาวหรือแม่เลี้ยงนภัสสรที่เหล่าคนงานเรียกกัน ส่วนนุกูลคือน้องชายเพียงคนเดียวของแม่เลี้ยงนั่นเอง
“รอตากูลกลับมาก่อนดีกว่าค่ะป้า สรทานข้าวคนเดียวมานานแล้ว อยากกกินกับน้องชายบ้าง”
ไม่รู้เพราะอะไรนภัสสรจึงอยากใช้ชีวิตกับน้องชายให้มากที่สุด ในใจของเธอนั้นรู้สึกโหวงเหวง คล้ายกับจะมีเวลาอยู่กับน้องชายอีกไม่นาน
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ คุณสรอย่าหักโหมมากจนเกินไปนะคะป้าเป็นห่วงสุขภาพคุณสรเหลือเกิน ตั้งแต่คุณกลับมาและพัฒนาไร่แห่งนี้ ป้าไม่เห็นคุณจะมีเวลาพักหรือหาเวลาไปเที่ยวที่ไหนเลย ตอนนี้คุณนุกูลก็เรียนจบกลับมาช่วยพัฒนาไร่นี้แล้ว หากคุณท่านทั้งสองยังอยู่คงภูมิใจในตัวหลานทั้งสองคนมากนะคะ”
แม่บ้านคนนี้อยู่มาตั้งแต่ปู่กับย่าของนภัสสรยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ป้านาจึงกล้าพูดคุยและตักเตือนเจ้านายสาวเรื่องสุขภาพมากกว่าคนงานคนอื่น
“สรเข้าใจค่ะป้านา ต่อไปนี้สรสัญญาว่าจะไม่โหมงานเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว อย่าลืมสิสรยังไม่แต่งงาน ยังไม่มีลูกหรือมีสามีเลยนะคะ ตากูลเรียนจบมาช่วยงานในไร่ สรจะได้มีเวลาเสาะหาสามีเสียที”
นภัสสรพูดหยอกล้อ ในสมองของเธอไม่เคยคิดถึงการมีสามีมาก่อน เพราะในอดีตสมัยที่ยังเรียนเธอเคยมีคนรัก และคิดว่าหลังเรียนจบคงได้แต่งงานกับเขา
แต่ใครจะคิดว่าหลังจากคบหากันเพียงสองปี แฟนหนุ่มที่เธอรักกลับทรยศหักหลังเธอโดยการมีความสัมพันธ์กับเพื่อนสนิทของเธอเอง ตั้งแต่นั้นมา นภัสสรจึงไม่เคยเปิดใจให้กับใครอีกเลย
“สามีนะคะ ไม่ใช่ปลาทู คุณสรคิดว่าผู้ชายดี ๆ จะหาง่ายปานนั้นเชียวเหรอคะ ป้าคนหนึ่งล่ะไม่เชื่อ แต่เท่าที่ป้ารู้มีคนหนึ่งที่พอจะเข้าตา”
“ใครเหรอคะ คนที่ป้าคิดว่าเข้าตา”
นภัสสรเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ ตั้งแต่ป้านาจับได้ว่าสามีนอกใจเล่นชู้กับหลานสาว ตั้งแต่นั้นมาป้านาไม่เคยมองผู้ชายคนไหนดีอีกเลย
“ก็พ่อเลี้ยงจักรยังไงล่ะคะ รายนั้นทั้งหล่อทั้งรวย เสียอย่างเดียวคือเย็นชา โหดเหี้ยมไปหน่อย”
เมื่อป้านาเอ่ยชื่อทำให้นภัสสรนึกถึงชายหนุ่มวัยสี่สิบต้น ๆ ที่ใบหน้ามีแต่ความเย็นชาคนนั้นขึ้นมา หากเธอต้องมีสามีแล้วเป็นคนเย็นชาไม่พูดไม่จา เธอคงอกแตกตาย
“ถ้าเป็นพ่อเลี้ยงจักร สรขอบายนะคะ คนอะไรหน้าตาเหมือนคนที่โกรธอยู่ตลอดเวลา แบบนี้สรไม่เอาด้วยหรอก สามีสรไม่มีก็ไม่ตายค่ะ รอเลี้ยงลูกของตากูลแทน”
เมื่อพูดถึงน้องชายเพียงคนเดียวใบหน้าของนภัสสรกลับมีรอยยิ้มแห่งความอบอุ่นอย่างห้ามไม่อยู่
ป้านามองด้วยสายตาที่เอ็นดู แม่เลี้ยงนภัสสรคงขยาดผู้ชายเหมือนกับเธอ ไม่นานทั้งสองคนได้ยินเสียงรถกระบะของน้องชายขับเข้ามาในไร่พอดี นภัสสรจึงรีบเดินเข้าไปหยิบกระติกน้ำเย็น ๆ มายื่นให้น้องชายดับกระหาย เพราะงานในไร่นั้นไม่เหมือนกับงานบริษัทในกรุงเทพฯ
“กลับมาแล้วเหรอตากูล เป็นยังไงบ้างเหนื่อยไหม นี่น้ำหวานเย็น ๆ พี่เตรียมไว้ให้”
“ขอบคุณครับพี่สร พี่เองก็เหนื่อยเหมือนกันพักผ่อนบ้าง ผมโตแล้วครับ ต่อไปนี้ผมจะช่วยพี่พัฒนาไร่ของคุณปู่คุณย่าให้ดีขึ้นกว่าเดิม และจะเป็นคนดูแลพี่เอง”
นุกูลบอกพี่สาวด้วยสายตามุ่งมั่น พื้นที่ด้านหลังติดเขาเป็นมรดกของปู่กับย่าที่ทิ้งไว้ให้ เขาตั้งใจจะทำฟาร์มม้าและรีสอร์ตเพื่อให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของอำเภอที่เขาอยู่ ทว่าเรื่องนี้ต้องขอคำปรึกษาจากพี่สาวคนสวยเสียก่อน
“จ้า ฉันเป็นพี่สาวนะยะ ไม่ใช่ลูกสาวหรือน้องสาวนาย พูดยังกับพี่สาวคนนี้ยังเป็นเด็ก พี่ยอมเหนื่อยเพื่อให้เราทั้งสองคนมีสิ่งดี ๆ ตอนนี้ตากูลของพี่เรียนจบแล้ว พี่จะค่อย ๆ วางมือก็แล้วกัน ว่าแต่ตอนนี้เราไปกินอาหารกันก่อนดีกว่าไหม หิวจนไส้จะขาดแล้ว”
เมื่อโดนน้องชายบ่นเรื่องที่เธอทำงานเหนื่อยเกินไป นภัสสรจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
สองพี่น้องต่างก็เดินคล้องแขนกันอย่างมีความสุขเพื่อไปที่โรงอาหารของไร่ นภัสสรและนุกูลไม่เคยแบ่งชนชั้นกับคนงาน ไม่ว่าโรงอาหารจะทำสิ่งใดสองพี่น้องมักจะกินเช่นเดียวกัน แม้บางครั้งเพื่อน ๆ ของทั้งสองคนมาที่ไร่นี้ยังต้องมากินรวมกันที่โรงอาหารเช่นกัน
นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลทำไมคนงานจึงรักและเคารพแม่เลี้ยงนภัสสรและพ่อเลี้ยงนุกูลนัก
จากวันนั้นจนถึงวันนี้เวลาผ่านมาร่วมเดือน สองพี่น้องยังคงช่วยกันทำงานเหมือนเดิม ในเวลานี้นุกูลเริ่มวางแผนงานเกี่ยวกับรีสอร์ตแล้วเช่นกัน
“พี่สร ช่วงนี้เหมือนพี่จะไม่สบายเลยไปหาหมอดีหรือเปล่า”
นุกูลมองดูว่าพี่สาวนั้นดูอ่อนเพลีย จึงอยากให้ไปตรวจร่างกายบ้าง
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอก ช่วงนี้อาจจะนอนน้อยไปหน่อย นายเองก็เถอะ อย่าทำงานให้มากนัก พี่ได้ข่าวว่าพ่อเลี้ยงขวัญเมืองอยากได้ที่ดินติดเขาของเรา ตอนนี้จึงกลั่นแกล้งเรื่องที่นายยื่นแบบกับอำเภอไม่ผ่านไม่ใช่เหรอ หากมันยุ่งยากและเสี่ยงอันตราย พี่ว่านายพับเก็บโครงการไปก่อนดีหรือเปล่า”
นภัสสรไม่ได้ห่วงตัวเองแต่ห่วงความปลอดภัยมากกว่า วันก่อนเธอได้พบกับพ่อเลี้ยงจักร ไม่รู้ว่าทำไมพ่อเลี้ยงจึงส่งคนมาพูดคุยเรื่องนี้
“ผมระวังตัวอยู่ พี่สรไม่ต้องเป็นห่วง จริงสิ ยายส้มจี๊ดใกล้จะเรียนจบแล้ว บอกกับผมว่าจะมาช่วยงานที่นี่ ยายนั่นจะมาอยู่กับเราได้เหรอพี่ ผมละไม่ค่อยอยากจะเชื่อ”
นุกูลนึกถึงลูกพี่ลูกน้องที่เปรี้ยวจี๊ดสมชื่อด้วยความระอา ส้มจี๊ดนั้นอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปี แต่ทำตัวยิ่งกว่าแม่เขาอีก
“เอาเถอะ ยายส้มจี๊ดมาอยู่ไร่ของเราจะได้มีสีสันไง อีกอย่างนายกับพี่ก็รู้ว่ายายส้มจี๊ดเข้ากับแม่เลี้ยงได้ที่ไหน น้าภูมิเองใช่ว่าจะสนใจลูกสาวคนนี้ มัวแต่หลงเมียใหม่กับใส่ใจลูกเลี้ยงยิ่งกว่าลูกตนเอง”
นภัสสรยิ้มให้น้องชายอย่างระอา หากนับญาติกัน ยายส้มจี๊ดก็มีศักดิ์เป็นน้องสาวเธอและน้องสาวตากูล ชีวิตของส้มจี๊ดน่าสงสารไม่น้อย พ่อแม่แยกทาง ดีที่ตากูลเรียนที่กรุงเทพฯ เธอจึงเช่าคอนโดให้สองคนนี้อยู่ด้วยกัน แม้ว่าน้องชายจะบ่นเป็นหมีกินผึ้ง แต่เขาก็รักยายส้มจี๊ดไม่น้อยไปกว่าเธอเลย
ในขณะที่สองพี่น้องคุยกันถึงตัวป่วน อยู่ ๆ ก็มีเสียงรถเข้ามาในไร่พร้อมกับสาวน้อยหุ่นนาฬิกาทราย แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดแต่ไม่โป๊ ลงจากรถกระบะของไร่จักรพงษ์
“ฮัลโหล พี่สร พี่กูล น้องสาวสุดสวยมาหาแล้วค่ะ”
ส้มจี๊ดสาวน้อยวัยยี่สิบปีรีบวิ่งเข้ามาหาคนทั้งคู่ด้วยความคิดถึง ทำให้นภัสสรส่ายหน้าอย่างระอาในความรวดเร็วทันใจของน้องสาวคนนี้
“หยุดเลยยายส้มเน่า เราโทรบอกพี่ว่าจะมาแต่ไม่ใช่มาวันนี้ แล้วนี่ไปรบกวนพ่อเลี้ยงจักรได้ยังไงกัน ทำไมไม่โทรบอกพี่ พี่จะได้ไปรับ”
นุกูลเดินหน้าบอกบุญไม่รับเข้ามาเขกหัวน้องสาว ดูเถอะเช้าโทรมาบอกว่าเรียนจบจะมาช่วยงาน บ่ายดันมาถึงเสียแล้ว
“พี่กูล ฉันว่าพี่ถนอมน้องสาวหน่อยเถอะ ใช่ ฉันพูดว่าเรียนจบแล้วจะมาช่วยงาน แต่ตอนนี้ฉันต้องมาฝึกงาน เลยส่งใบสมัครมาที่ไร่จักรพงษ์ ฉันเห็นว่าอยู่ไม่ไกลกับไร่ของพวกพี่ น้องสาวคิดถึงไม่ได้หรือไง”
ส้มจี๊ดลูบหน้าผากปอย ๆ พร้อมทำหน้าทะเล้นใส่ ก่อนจะอธิบายถึงเหตุผลให้ฟัง
“ส้มจี๊ดทำไมไม่โทรบอกพี่หรือตากูลให้ไปรับ แม้จะฝึกงานที่ไร่จักรพงษ์แต่เรื่องไปรับพี่คิดว่าเรารบกวนเกินไปหรือเปล่า แล้วสาเหตุที่วิ่งแจ้นมาฝึกงานถึงจังหวัดน่านไม่ใช่เพราะอยากหนีคนบ้านนู้นมาเหรอ”
“ไม่ใช่อยากหนีหรอกพี่สร แต่โดนไล่ออกมาเลยต่างหาก พอดีฉันมีเรื่องกับลูกเลี้ยงสุดที่รักของเขามา แล้วก็ไม่อยากอยู่คอนโดคนเดียวเสียดายเงินอะพี่สร พี่จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยไง
ตอนนี้พี่กูลเรียนจบแล้ว ฉันก็ฝึกงานปีสุดท้าย เลยทำเรื่องมาฝึกงานที่จังหวัดน่านประจวบเหมาะกับไร่จักรพงษ์รับเลขาฝึกงานพอดี ทุกอย่างเหมาะเหม็งพอดีไง”
“เอ่อ ผมขอขัดจังหวะพวกคุณหน่อยนะ เมื่อกี้นี้ก่อนจะเข้ามาในบริเวณไร่นภัสสร ผมเห็นชายแปลกหน้าป้วนเปี้ยนอยู่หลายคน ผมเลยให้โทรให้ลูกน้องตามไปดูแล้ว ช่วงนี้คุณนุกูลและคุณสรระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ สายข่าวคนของผมแจ้งมาว่าพ่อเลี้ยงขวัญเมือง…”
“ขอบคุณมากนะคะพ่อเลี้ยงจักร จากนี้สรและน้องจะระวังตัวมากขึ้น”
นภัสสรไม่ทันพูดจบประโยค กลับมีเสียงปืนดังเข้ามาหลายนัด ทำให้ทั้งสี่คนต่างพุ่งตัวหลบโดยที่พ่อเลี้ยงจักรคว้าตัวของส้มจี๊ดไว้ ส่วนนุกูลคว้าตัวพี่สาวเข้าอ้อมกอด
ทว่านภัสสรเห็นมือปืนที่แอบซุ่มอยู่อีกคนเล็งปืนมาทางน้องชายของเธอ ด้วยสัญชาตญาณเธอจึงหมุนตัวเอาร่างตนเองมารับกระสุนแทนก่อนจะผลักร่างน้องชายให้ล้มลง
ปัง! ปัง! ปัง!
สิ้นเสียงปืนร่างนภัสสรล้มลงนอนกับพื้นทันที พ่อเลี้ยงจักรที่กำลังจัดการมือปืนอีกคนจนล้มลง ได้หันมาลั่นไกใส่แบบไม่ยั้งทันที
“พี่สร! /พี่สร! /คุณสร!”
นุกูลเข้ามาช้อนร่างอาบเลือดของพี่สาวไว้พร้อมน้ำตาที่ไหลไม่หยุด โดยมีร่างเล็กของส้มจี๊ดที่สะบัดหลุดออกจากอ้อมกอดของพ่อเลี้ยงจักรรีบวิ่งเข้ามาเช่นกัน
“พี่กูล รีบพาพี่สรไปโรงพยาบาลสิ เร็วสิ!”
“ไม่ต้อง พี่…พี่รู้ตัวดีพี่ไม่ไหวแล้ว ทั้งสองสัญญากับพี่ได้ไหมว่าจะปกป้องดูแลกันและกัน แม้ว่าตากูลกับส้มจี๊ดจะเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง แต่พี่อยากให้ทั้งสองดูแลกันและกันเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา”
น้ำเสียงของนภัสสรอ่อนแรงเต็มที เธอรู้ดีว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว เพียงแค่อยากจะฝืนเพื่อขอคำมั่นสัญญาว่าทั้งสองคนจะไม่ทิ้งกันเมื่อเธอจากไปแล้ว
“ผมสัญญาครับ ส้มจี๊ดเปรียบเสมือนน้องสาวผมคนหนึ่ง ผมสัญญาว่าจะดูแลน้องตลอดไปครับ ผมรู้ว่าพี่เหนื่อยแล้ว พี่พักเถอะนะครับ ทุกอย่างในไร่แห่งนี้ผมกับส้มจี๊ดจะสานต่อให้เอง”
นุกูลไม่อายที่น้ำตาของลูกผู้ชายไหลไม่หยุด นี่คือคำสัญญาที่เขาให้กับพี่สาวเพียงคนเดียวที่กำลังจะจากไป
“หนูสัญญาค่ะ หนูจะช่วยพี่กูลดูแลไร่แห่งนี้ต่อไป หนูขอบคุณพี่สรที่ดูแลหนูมาตลอดในหลายปีที่ผ่านมา พี่ส่งหนูเรียนพี่ไม่ใช่เป็นเพียงพี่สาว แต่พี่เปรียบเสมือนแม่ของหนู พี่สรเหนื่อยแล้ว พี่สรพักเถอะนะคะ”
ส้มจี๊ดน้ำเสียงสะอื้นไม่หยุด เธอให้คำมั่นสัญญาเช่นกัน
นภัสสรยิ้มอย่างอ่อนแรง เมื่อน้องทั้งสองสัญญาว่าจะดูแลกันและกัน เพียงชั่วอึดใจร่างนภัสสรกระตุกสองสามครั้งก่อนจะหมดลมหายใจ
เสียงร้องไห้เสียใจกับการจากไปของแม่เลี้ยงนภัสสรดังไปทั่วไร่ นุกูลพอตั้งสติได้ว่าพี่สาวจากไปแล้วจึงคว้าร่างน้องสาวอย่างส้มจี๊ดมาด้านข้าง ทั้งสองกอดร่างไร้วิญญาณของพี่สาวด้วยใจที่แตกสลาย
นุกูลและส้มจี๊ดรวมถึงเหล่าคนงานจัดการพิธีศพของนภัสสรด้วยความเรียบง่ายตามความชอบของพี่สาว
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของนภัสสร นุกูลเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นิ่งขรึม เย็นชา และเหี้ยมโหด อีกทั้งยังหวงน้องสาวเพียงคนเดียวยิ่งกว่าจงอางหวงไข่
ส่วนส้มจี๊ดหลังจากฝึกงานเสร็จสิ้นและทำเรื่องจบ เธอจึงกลับมาอยู่กับพี่ชาย ทั้งสองต่างช่วยกันดูแลและสานต่อความต้องการของพี่สาวเพียงคนเดียวจนบรรลุเป้าหมาย แม้ทั้งสองจะมีครอบครัวของตนเองแต่ก็ยังดูแลกันและกันเสมอมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
บทส่งท้ายครอบครัวที่มีความสุขจิ้งเจี้ยนซาพาลูก ๆ มาที่เซียงไฮ้ และแวะมาเยี่ยมเยียนซีซวนด้วย ซ่งซีซวนนำลูก ๆ ออกมาต้อนรับเพื่อนสนิทด้วยความคิดถึง พอเจอหน้ากันก็รีบโผกอดอย่างเร็ว“ซวนซวนเป็นยังไงบ้าง” กุ้ยหนิงอันผละออกและเปิดปากถามก่อน“ก็เรื่อย ๆ ตอนนี้งานฉันเริ่มจะเข้าที่เข้าทางแล้ว”ซีซวนก็กลอกตามองบน ตอบคำถามไปอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะตั้งแต่แต่งงานมา เธอยังไม่มีเวลาส่วนตัวเลย เนื่องจากถูกนายท่านสามลากไปเรียนรู้งาน พอกลับมาบ้าน ก็ต้องรับมือกับลูก ๆ ตกดึกยังมีสามีที่นอนรออยู่บนเตียงอีก“เธอกับสามีล่ะ” จากนั้นก็ถามกุ้ยหนิงอันกลับไป พร้อมกับเหลือบไปมองสามีของเธอ และเพื่อนสนิทที่กำลังดูแลลูก ๆ อยู่“ก็กำลังปรับตัวกันอยู่ พี่เจี้ยนซาเขาไม่ค่อยถนัดงานบริหาร ฉันเองก็ต้องเรียนรู้ไปกับเขาด้วย” กุ้ยหนิงอันจึงตอบกลับไป เธอเองก็ไม่ต่างจากเพื่อนนัก“พอเธอมา ฉันเลยหาข้ออ้างที่จะหยุดกับอาสามได้”ซีซวนบ่นอุบให้เพื่อนสนิทฟังอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็พรั่งพรูความลำบากที่ถูกนายท่านสามซ่งใช้งานอย่างหนัก โดยมีกุ้ยหนิงอันนั่งฟังไปด้วย หัวเราะไปด้วยส่วนจิ้งเจี้ยนซาและหลันอี้ข่าย ก็รับหน้าที่ดูแลเด็กทั้งสี่ค
บทที่ 73ช่วยกันทำงานหลังจากที่นายท่านจิ้งเริ่มวางมือ งานของจิ้งเจี้ยนซาก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้แผนงานของเขานั้นแทบไม่มีเวลาที่จะได้อยู่กับภรรยา กุ้ยหนิงอันก็มาช่วยงานสามีเช่นกัน ในฐานะผู้ช่วย“สวัสดีครับคุณชายจิ้ง”นายท่านไช่ คู่ค้าของธุรกิจตระกูลจิ้ง ตั้งแต่รุ่นพ่อที่มีนัดกับจิ้งเจี้ยนซาในวันนี้มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อชายหนุ่มที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กเดินเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นและเอ่ยทักทาย“สวัสดีครับท่าน” จิ้งเจี้ยนซาก็คุ้นเคยกับชายวัยกลางคนตรงหน้าไม่น้อย เนื่องจากนายท่านไช่นั้นเป็นรุ่นน้องของพ่อเขาอีกที“ไม่เจอกันเสียนาน งานแต่งงานต้องขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ไป”นายท่านไช่เอ่ยขอโทษ เพราะงานแต่งงานของจิ้งเจี้ยนซานั้นเขาไม่ได้ไปร่วม เนื่องจากมีงานด่วนที่ต่างประเทศ ทำได้เพียงส่งของขวัญไปแสดงความยินดีเท่านั้น“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมเข้าใจว่าท่านไปต่างประเทศ” ซึ่งจิ้งเจี้ยนซาก็เข้าใจ“ยังไงก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะ” นายท่านไช่จึงแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง“ขอบคุณครับ นี่กุ้ยหนิงอัน ภรรยาของผมครับ” จิ้งเจี้ยนซาตอบรับ และแนะนำภรรยาที่มาด้วยกันให้ผู้ใหญ่รู้จัก“สวัสดีค่ะนายท่านไช่” กุ้ยหนิงอันค้อมก
บทที่ 72ค่าสินสอดที่ถูกกล่าวขาน จิ้งเจี้ยนซาพาครอบครัวภรรยา และลูก ๆ เดินทางมาที่ปักกิ่ง เพื่อจัดเตรียมงานแต่งงานของเขาที่นี่ ถ้าว่ากันตามความจริงแล้ว ก็ไม่เชิงว่ามาจัดเตรียมงานเท่าไรนัก เพราะคนที่จัดการเรื่องนี้ และอาสาทำเองทุกอย่างคือนายท่านจิ้งที่เดินทางมาจัดเตรียมงานก่อนพวกเขาเสียอีกครอบครัวกุ้ยได้เชิญคนในหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีมาด้วย แต่เว้นแต่บ้านใหญ่ ที่ตอนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว และคนที่ถูกเชิญก็จะตามมาเมื่อใกล้ถึงวันงาน โดยมีบ้านสามกุ้ยเป็นคนพามานั่นเองพอจิ้งเจี้ยนซา และคนบ้านกุ้ยมาถึงปักกิ่งก็เข้าพักที่คฤหาสน์ของตระกูลจิ้งกันวันแรกถือเป็นการพักผ่อน และทำตัวให้ชินในเมืองหลวง ซึ่งคนบ้านกุ้ยก็ไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้วแต่วันที่สองนั้นกุ้ยหนิงอันก็ถูกสามีลากมาลองชุดแต่งงานที่ห้องเสื้อแห่งหนึ่ง หญิงสาวก็ให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ“ชุดนี้เป็นยังไงบ้างคะ” เธอลองชุดออกมาให้สามีดูเป็นชุดที่ห้า ซึ่งเขาก็ดูพอใจกับทุกชุด เพียงแต่แค่เขาเห็นส่วนไหนที่วาบหวิวเพียงนิดเดียว ก็แสดงความไม่พอใจออกมาทันที“ชุดนี้ดีครับ” จิ้งเจี้ยนซาพยักหน้าพอใจเมื่อเห็นภรรยาในชุดแต่งงาน เขาอยากใ
บทที่ 71 งานมงคลของซ่งซีซวนหลังจากที่กุ้ยจื่อหลงจัดการปัญหากับบ้านใหญ่แล้ว คนบ้านกุ้ยก็มาทุ่มเทให้กับสวนผลไม้ โดยมีจิ้งเจี้ยนซาคอยช่วยเหลือทุกอย่าง เนื่องจากเขาลาออกจากราชการแล้วจึงมีเวลาช่วยงานภรรยากุ้ยหนิงอันเองก็ช่วยสามีทำงานเช่นกัน เพราะตอนนี้นายท่านจิ้งนั้นได้เริ่มวางมือให้ลูกชายไปช่วยดูแลธุรกิจให้แล้ว ทำให้สองสามีภรรยาไม่ค่อยมีเวลาว่างกันเลยจนใกล้วันที่เป็นงานแต่งงานของซ่งซีซวนและหลันอี้ข่ายแล้ว บ้านกุ้ยจึงขนกันไปที่เซียงไฮ้ เพื่อร่วมงานแต่งงานของทั้งสองคนในส่วนงานแต่งงานของกุ้ยหนิงอันและจิ้งเจี้ยนซานั้น ตกลงกันไม่ได้ เพราะนายท่านจิ้งก็อยากจะจัดงานที่ปักกิ่งด้วย จึงทำให้จะมีงานแต่งงานถึงสองที่ด้วยกัน งานแต่งงานของซีซวนในครั้งนี้ จิ้งเจี้ยนซาก็ถือโอกาสมาแจกการ์ดงานแต่งงานของเขาด้วยเช่นกันงานแต่งงานของซ่งซีซวนรอบบ่ายจัดขึ้นที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนายหญิงหลันที่เป็นคนจัดเตรียมทุกอย่าง ทำให้งานออกมาอลังการเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ทางเข้างานก็รับรู้ได้ถึงความหรูหรา ส่วนตอนเช้าได้ทำพิธียกน้ำชาตามธรรมเนียมเรียบร้อยแล้วกุ้ยหนิงอันนั้นถือว่าเป็นญาติทางซีซวน จึงมีคนมาพาเธอและลูก ๆ ไ
บทที่ 70 รบเร้าอยากแต่งงานหลังจากงานศพของแม่เฒ่ากุ้ยผ่านพ้นไป กุ้ยจื่อหลงแม้จะมีเศร้าใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นทุกข์ตรม แต่ว่าพอเสร็จสิ้นงานศพ พี่ใหญ่ หรือลุงใหญ่กุ้ยก็มาคุยกับเขา คือเรื่องที่อีกฝ่ายนั้นใช้เงินไปจนหมดกับการจัดงานแล้ว ไหนจะหลานชายที่ถูกจับตัวไปอีก ทางนั้นต้องการให้เขาบอกกับลูกเขย ใช้เส้นสายพาหลานชายออกมา“พ่อเป็นอะไรไปคะ” กุ้ยหนิงอันเดินผ่านไปแล้วเห็นพ่อนั่งคิดอะไรอยู่จึงเดินเข้าไปถามไถ่“อันอัน”“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” กุ้ยหนิงอันเห็นสีหน้าของคนเป็นพ่อก็รู้สึกไม่ดี เพราะพ่อกุ้ยเหมือนมีเรื่องเครียดอะไรที่เธอไม่รู้“ลุงใหญ่ของลูกขอให้ช่วยลูกชายเขาที่ติดคุกอยู่ตอนนี้”แต่เมื่อกุ้ยจื่อหลงเอ่ยออกมา กุ้ยหนิงอันกลับมีสีหน้าที่เอือมระอา ขนาดตงเฉิงทำเรื่องร้ายแรง จนทำให้ย่ากุ้ยต้องตายไป บ้านใหญ่ยังถือหางอยากจะช่วยเขาอีก เธอไม่แปลกใจเลยที่ลูกชายของลุงใหญ่จะเติบโตมาแบบนี้“เราช่วยไม่ได้หรอกนะคะพ่อ เขาทำผิด ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีเอง” และแน่นอนว่าเธอต้องปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือเรื่องนี้“พ่อว่าจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกี่ยวกับงานศพของย่า อันอันคิดเห็นยังไงลูก”กุ้ยจื่อหลงก็ไม่ได้ค
บทที่ 69 ตัดสินใจลาออก หลังจากผ่านเรื่องราวร้าย ๆ ในที่สุดก็ถึงวันที่ซีซวนขึ้นรับตำแหน่งแทนนายท่านซ่ง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วนหรือกรรมการต่างก็เห็นด้วย เพราะรู้ดีว่าซีซวนนั้นเป็นสะใภ้รองของตระกูลหลัน และยังมีตระกูลหยางรวมถึงเธอยังเป็นเพื่อนรักกับสะใภ้เพียงหนึ่งเดียวของตระกูลจิ้งอีกด้วยวันนี้ภายในงานจึงมีแขกมากมายมาร่วมยินดี ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจไม่ใช่เพราะซีซวนขึ้นรับตำแหน่งแทนบิดา แต่เป็นคนที่ซีซวนเอ่ยขึ้นเพื่อให้รักษาการในตำแหน่งนี้แทนเธอมากกว่า“วันนี้ต้องขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงาน วันนี้ฉันจะขอแจ้งรายชื่อรองผู้นำ ซึ่งนั่นก็คือซ่งโหมวช่าย หรือก็คืออาสามของฉันเอง”นายท่านสามซ่งได้แต่นิ่งค้างเมื่อตำแหน่งรองผู้นำตระกูลตกลงมาบนหัว ก่อนจะมองหน้าพี่ชายและหลานสาวด้วยคำถามทันทีที่เห็นพี่ชายพยักหน้าให้ เขาจึงเดินมาหาหลานสาวบนเวที“เพราะอะไรซีซวน”“เพราะอาไม่เคยคิดร้ายฉันและคุณพ่อยังไงล่ะคะ อีกทั้งตัวฉันเองอายุยังน้อย ยังต้องศึกษาอีกหลายเรื่อง เมื่อคุณพ่อวางมืออาสามจึงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุดแล้ว อีกทั้งเราคือครอบครัวเดียวกันค่ะ”ต่อให้ที่ผ่านมาเธอใช้ความรู้คำว่าครอบครัวต
Comments