ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงอันเงียบงันค่อยๆหยั่งรากลึกลงในเรือนจื่อเถิง จิตใจของจวินซิงเฉินกลับยิ่งสับสนว้าวุ่นมากขึ้น เขามิใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้ความอีกต่อไป สายตาคมกริบคอยเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านแม่อย่างเงียบเชียบ อาหารเลิศรส เสื้อผ้าอาภรณ์ที่อบอุ่น เครื่องเรือนที่สะดวกสบาย การศึกษาที่เข้มข้นขึ้น และท่าทีของบ่าวไพร่ที่นอบน้อมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดนี้คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
ทว่าความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตยังคงฝังแน่นราวรอยสลักบนแผ่นหิน แววตาเย็นชา น้ำเสียงตวาดดุด่า การลงโทษอย่างไร้เหตุผล ภาพเหล่านั้นยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ เขามองดูจวินเสวี่ยอัน น้องสาวตัวน้อยที่ค่อยๆกล้าเงยหน้าขึ้นมองโลกมากขึ้น เริ่มมีเสียงหัวเราะใสๆเล็ดลอดออกมาบ้างยามเรียนวาดภาพกับอาจารย์ซู ส่วนหนึ่งในใจเขาก็ยินดี แต่อีกส่วนหนึ่งกลับหวาดระแวง... นี่เป็นเพียงภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตหรือไม่?
วันหนึ่ง ขณะที่อาจารย์หลินกำลังอธิบายความหมายของบทกวีโบราณ จวินซิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น "ท่านอาจารย์ขอรับ... ในประวัติศาสตร์เคยมีบุคคลใดหรือไม่ ที่เปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างแท้จริง? จากคนโหดร้ายกลายเป็นคนเมตตา... เป็นไปได้หรือขอรับ?" เขาถามโดยทำทีเป็นสนใจเนื้อหาในตำรา
อาจารย์หลินชะงักไปเล็กน้อย มองศิษย์น้อยด้วยความประหลาดใจในคำถาม ก่อนจะลูบเคราครุ่นคิด "อืม เรื่องราวของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงตนเองนั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่การจะเปลี่ยนจากขั้วหนึ่งไปยังอีกขั้วหนึ่งอย่างสิ้นเชิงนั้นยากยิ่งนัก ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีเหตุปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เกิดการตื่นรู้ หรือผ่านพ้นเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนมุมมองชีวิต แต่ถึงกระนั้นแก่นแท้ของคนเรา ก็ยากที่จะเปลี่ยนได้โดยง่าย" คำตอบนั้นคลุมเครือ แต่ก็ยิ่งทำให้จวินซิงเฉินจมอยู่ในห้วงความคิดมากขึ้น
เขาเคยลองถามจางมามาอย่างเงียบๆ "จางมามา... ท่านคิดว่าท่านแม่เปลี่ยนไปจริงๆหรือ?"
จางมามาเพียงแต่ถอนหายใจเบาๆ มองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนระคนหนักใจ "คุณชาย... เรื่องของนาย บ่าวมิกล้าวิจารณ์เจ้าค่ะ แต่บ่าวก็เพียงแต่หวังว่าสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นความจริงและคงอยู่ตลอดไปนะเจ้าคะ"
ความไม่แน่นอนในคำตอบเหล่านั้น ยิ่งทำให้เงื่อนปมในใจของเด็กชายซับซ้อนขึ้นไปอีก
ท่ามกลางความสับสนภายใน ไม่กี่วันต่อมาเหตุการณ์ภายนอกก็เรียกร้องความสนใจ เมื่อเทียบเชิญสีแดงปิดทองประทับตราพระราชลัญจกรถูกส่งมายังจวนแม่ทัพ เป็นเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ณ พระราชวังหลวง โดยระบุชัดเจนว่าเชิญแม่ทัพจวินเหยียนซีและฮูหยินเข้าร่วมงาน
ชุนเถานำเทียบเชิญนั้นมามอบให้เหออวี้หลันด้วยท่าทีนอบน้อม เหออวี้หลันรับมาเปิดอ่านด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เนื้อความในเทียบเชิญทำให้นางนิ่งไปครู่หนึ่ง งานเลี้ยงในวังหลวง... ในอดีตนี่คือโอกาสที่นางจะไขว่คว้าเพื่อแสดงความโดดเด่น สร้างเครือข่าย และอาจจะหาทางกลั่นแกล้งผู้อื่นที่นางไม่ชอบหน้า แต่บัดนี้นางกลับรู้สึกว่าเป็นเพียงหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องกระทำ บางทีอาจเป็นภาระเสียด้วยซ้ำ
นางรู้ดีว่าการปรากฏตัวในงานเลี้ยงครั้งนี้ นางจะต้องเผชิญกับสายตาอยากรู้อยากเห็นและคำซุบซิบนินทาจากเหล่าพระสนมและภรรยาขุนนางมากมาย ข่าวการเปลี่ยนแปลงของนางคงจะแพร่สะพัดไปบ้างแล้วไม่มากก็น้อย การวางตัวอย่างเหมาะสมและสุขุมจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง นางครุ่นคิดถึงบุตรทั้งสอง งานเลี้ยงเช่นนี้ไม่เหมาะกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย การนำพวกเขาออกไปเผชิญกับสายตาของสังคมในตอนนี้ รังแต่จะสร้างความกดดันและความเครียดให้เปล่าๆ ความสงบสุขของพวกเขาสำคัญกว่าหน้าตาทางสังคมใดๆทั้งสิ้น
"ชุนเถา" นางเอ่ยขึ้น "ถึงวันงานให้เตรียมชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินเข้มปักลายเมฆามงคลตัวนั้นให้ข้า เครื่องประดับ เอาเพียงปิ่นหยกกับตุ้มหูหยกชุดนั้นก็พอ"
ชุนเถาเบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ชุดนั้นงดงามสูงค่าก็จริง แต่ก็นับว่าเรียบง่ายกว่าชุดที่นายหญิงเคยเลือกใส่ไปงานเลี้ยงในอดีตมากนัก ไม่มีการเรียกร้องหาอาภรณ์ปักดิ้นทองหรือเครื่องประดับเพชรพลอยชุดใหม่แต่อย่างใด "เจ้าค่ะ นายหญิง" นางรับคำอย่างเข้าใจ
เมื่อถึงยามค่ำ เหออวี้หลันจึงไปยังห้องหนังสือของจวินเหยียนซี เพื่อแจ้งเรื่องเทียบเชิญตามธรรมเนียม เขากำลังตรวจดูแผนที่การทหารอยู่ เมื่อเห็นนางเข้ามา เขาก็เพียงแต่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาเรียบเฉย
“ท่านพี่” คำเรียกสามีที่นางเริ่มลองใช้ แม้จะยังรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง “ข้าได้รับเทียบเชิญงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์จากในวังแล้วเจ้าค่ะ ได้เตรียมการทุกอย่างสำหรับเข้าร่วมงานตามกำหนดแล้ว” นางกล่าวรายงานด้วยท่าทีสงบและเป็นทางการ
จวินเหยียนซีพยักหน้ารับเบาๆ เขาทราบเรื่องเทียบเชิญนี้อยู่ก่อนแล้ว และคงได้รับรายงานเรื่องการเตรียมตัวอันเรียบง่ายผิดปกติของนางจากพ่อบ้านเฉียนหรือชุนเถาแล้วเช่นกัน สายตาของเขามองสำรวจนางอย่างประเมินครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามแบบฉบับ "อืม ดูแลตนเองให้ดี อย่าให้จวนแม่ทัพต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง" คำพูดนั้นยังคงเน้นเรื่องหน้าตาและเกียรติยศของวงศ์ตระกูล แต่กลับไม่มีน้ำเสียงตำหนิหรือระแวงสงสัยเจือปนอยู่เท่าใดนัก เป็นเพียงคำสั่งตามหน้าที่ของผู้เป็นประมุขของบ้าน
"เจ้าค่ะท่านพี่" เหออวี้หลันรับคำอย่างนอบน้อม แล้วจึงขอตัวกลับออกมาเงียบๆ
โดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว จวินซิงเฉินซึ่งบังเอิญนำม้วนตำราที่ยืมไปมาคืนบิดา ยืนรออยู่หน้าห้องหนังสือพอดี เขาได้ยินบทสนทนาสั้นๆนั้นทั้งหมด น้ำเสียงที่สงบและให้เกียรติของท่านแม่และท่าทีที่แม้จะเย็นชา แต่ก็ไม่เกรี้ยวกราดของท่านพ่อ มันช่างแตกต่างจากบรรยากาศตึงเครียดและเสียงทะเลาะวิวาทที่เขาเคยได้ยินในอดีตลิบลับ ภาพเหล่านี้ยิ่งทำให้เงื่อนปมในใจของเขายุ่งเหยิงมากขึ้นไปอีก
เหออวี้หลันเดินกลับเรือนพัก ความรู้สึกหนักอึ้งกดทับอยู่ในใจ งานเลี้ยงในวังหลวงคือบททดสอบสำคัญบทแรกนอกกำแพงจวนแห่งนี้ นางจะต้องเผชิญหน้ากับโลกภายนอกในฐานะเหออวี้หลันคนใหม่ นางสูดหายใจลึก เตรียมพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น!
ส่วนจวินซิงเฉินยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าห้องหนังสือของบิดา ดวงตาเหม่อมองไปยังทางที่เหออวี้หลันเพิ่งเดินจากไป ใบหน้าเล็กๆนั้นฉายแววสับสนครุ่นคิดอย่างหนัก การเปลี่ยนแปลงอันเงียบงันภายในจวน กำลังจะถูกนำออกไปเผชิญหน้ากับสายตาของคนทั้งแผ่นดินแล้ว
เมื่อเหมันต์อันยาวนานและเยือกเย็นได้โบกมืออำลาไปอย่างแท้จริง วสันตฤดูอันแสนสดใสก็หวนกลับมาเยือนจวนแม่ทัพจวินอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพียงธรรมชาติภายนอกที่ผลิบาน แต่หัวใจของผู้อยู่อาศัยภายในจวนแห่งนี้ก็คล้ายจะเบ่งบานไปด้วยไอรักและความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนการดูแลเอาใจใส่ของจวินเหยียนซีในช่วงที่เหออวี้หลันล้มป่วยลงนั้น เปรียบเสมือนหยาดน้ำทิพย์สุดท้ายที่หลอมละลายกำแพงน้ำแข็งในใจของคนทั้งสองจนหมดสิ้น ความเคลือบแคลงสงสัย ความไม่เข้าใจ และความห่างเหินที่เคยมี บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความรู้สึกผูกพันอันลึกซึ้งอย่างแท้จริงกิจวัตรประจำวันของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด การร่วมโต๊ะเสวยกลายเป็นเรื่องปกติที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและรอยยิ้ม การดื่มชายามค่ำคืนในศาลากลางสวนกลายเป็นช่วงเวลาของการแบ่งปันความคิดและความรู้สึกอย่างเปิดอกมากขึ้น พวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา และรับฟังซึ่งกันและกันด้วยหัวใจที่เปิดกว้างจวินเหยียนซีดูจะผ่อนคลายและแสดงความรู้สึกออกมามากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มจางๆที่เคยหาได้ยากยิ่ง บัดนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้
ภายหลังจากค่ำคืนในการเผชิญหน้าอันตึงเครียดในโรงเก็บฟืนเก่า บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพจวินก็คล้ายจะถูกแช่แข็งไว้ด้วยความเงียบงันอันน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม แม้จวินเหยียนซีจะมิได้เอ่ยปากขับไล่ หรือแสดงท่าทีรังเกียจนางอย่างเปิดเผย แต่ความห่างเหินและสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและคำถามที่ไร้คำตอบของเขานั้น ก็เป็นดั่งกำแพงที่มองไม่เห็น แต่กลับสูงตระหง่านและเย็นเยียบยิ่งกว่าครั้งไหนๆเหออวี้หลันเข้าใจดีว่านางกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง และครั้งนี้หนักหนากว่าเดิมหลายเท่านัก ความไว้วางใจที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น บัดนี้ได้พังทลายลงไปแล้วด้วยความลับและการปิดบังของนางเอง คำพูดของเขาที่ว่า "ข้าจะตัดสินเจ้าจากการกระทำของเจ้าในปัจจุบันและอนาคต" คือโอกาสสุดท้ายที่นางได้รับ โอกาสสุดท้ายที่นางต้องรักษาไว้ให้จงได้นางทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการทำหน้าที่ของตนเองยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา นางตื่นแต่เช้าตรู่ เข้านอนดึกดื่น ตรวจตราดูแลทุกซอกทุกมุมของจวนด้วยความใส่ใจและความละเอียดลออที่ไม่เคยมีใครเทียบได้ ตั้งแต่การจัดสรรเสบียงในคลัง การดูแลความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่ การบริหารจัดการงบประมาณ ไปจนถึง
เหมันต์ยังคงทอดเงาทาบทับจวนแม่ทัพจวิน อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจแต่กลับมิอาจเทียบเท่าความหนาวเหน็บที่เกาะกุมจิตใจของเหออวี้หลันได้เลยนับตั้งแต่การปรากฏตัวของชิวเยว่ในอดีตชาติ แม้นางจะพยายามรักษาความสงบ ทำหน้าที่ฮูหยินและมารดาเลี้ยงอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง แต่ความหวาดระแวงและความกลัวก็กัดกินใจนางอยู่ทุกขณะลมหายใจนางเฝ้าสังเกตการณ์ชิวเยว่ผู้นั้นอย่างลับๆมาตลอด แต่สตรีผู้นั้นก็ยังคงทำงานของตนไปอย่างเงียบๆ ขยันขันแข็ง ไม่แสดงพิรุธใดๆออกมา ความสงบเสงี่ยมนั้นเองที่ยิ่งทำให้นางหวาดผวา มันเหมือนความเงียบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ หรือเหมือนอสรพิษที่ซ่อนตัวนิ่งรอจังหวะที่จะฉกกัดความอดทนของเหออวี้หลันใกล้จะถึงขีดสุด นางไม่อาจทนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวเช่นนี้ได้อีกต่อไป นางต้องรู้ให้แน่ชัด... ว่าชิวเยว่ต้องการสิ่งใดกันแน่!จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่นางกำลังตรวจดูผ้าปูที่นอนที่เพิ่งซักเสร็จใหม่ๆในห้องเก็บผ้าใกล้โรงซักล้าง สายตาของนางก็พลันสะดุดเข้ากับบางสิ่ง ปมเชือกสีแดงเส้นเล็กๆที่ถูกผูกซ่อนไว้ในเนื้อผ้าอย่างแนบเนียน เป็นปมแบบเดียวกันกับที่นางเคยใช้ผูกของเล่นชิ้นโปรดของเสวี่ยอัน แล้วโยนทิ้งไปด้วยคว
เหมันตฤดูยังคงดำเนินไปอย่างเนิบนาบ วันคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าภายใต้ท้องฟ้าสีเทาหม่น เหออวี้หลันพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและความเป็นปกติสุขภายในจวนแม่ทัพไว้ให้มั่นคงที่สุด แต่นางก็รู้ดีว่าภายใต้ความสงบนั้นมีพายุร้ายกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ... พายุที่มาจากอดีตของนางเองชิวเยว่ในชาติก่อนยังคงทำงานอยู่ในส่วนซักล้างและงานจิปาถะอื่นๆ อย่างขยันขันแข็งและดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยใดๆ นางพูดน้อย ยิ้มยาก และมักจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตนไปเงียบๆไม่สุงสิงกับผู้ใดเป็นพิเศษ แต่ยิ่งนางดูสงบเสงี่ยมมากเท่าใด เหออวี้หลันก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นเท่านั้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนอยู่ภายในว่าสตรีผู้นี้มิได้มาที่นี่โดยบังเอิญอย่างแน่นอนความหวาดระแวงนั้นได้รับการยืนยันในเวลาต่อมา...วันหนึ่งหลี่มามา บ่าวอาวุโสผู้รับใช้ตระกูลจวินมานานได้เข้ามาพบเหออวี้หลันเป็นการส่วนตัวด้วยสีหน้าที่ดูครุ่นคิดเล็กน้อย "เรียนฮูหยินเจ้าคะ บ่าวมีเรื่องประหลาดใจเล็กน้อยจะเรียนให้ทราบ""เรื่องอันใดหรือหลี่มามา?" เหออวี้หลันถาม พยายามควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นแรงจนผิดสังเกต"คือ... ชิวเยว่ คนงานใหม่ในโรงซักล้างน่ะเจ้า
เหมันตฤดูแผ่ปกคลุมจวนแม่ทัพจวินด้วยไอเย็นยะเยือก หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งคราว แต่งแต้มให้หลังคาและกิ่งก้านของต้นไม้กลายเป็นสีขาวโพลน ชีวิตภายในจวนดำเนินไปอย่างอบอุ่นและสงบสุขภายใต้การดูแลของเหออวี้หลันและจวินเหยียนซี ความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับ ความรักและความเข้าใจค่อยๆถักทอสายใยอันมั่นคงขึ้นมาแทนที่ความเย็นชาในอดีต เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นอย่างร่าเริงและมั่นคงภายใต้ร่มเงาแห่งความรักของครอบครัวทว่าความสงบสุขที่ดูเหมือนจะยั่งยืนนี้ กลับมีอันต้องสั่นคลอน... เมื่ออดีตที่ไม่คาดฝันได้หวนกลับมาทวงถามเนื่องด้วยขนาดของจวนที่กว้างขวางและจำนวนบ่าวไพร่ที่มีอยู่เดิมเริ่มไม่เพียงพอ ประกอบกับมีบ่าวบางส่วนลาออกหรือถึงวัยเกษียณ พ่อบ้านเฉียนจึงได้นำเสนอเรื่องการว่าจ้างบ่าวรับใช้ระดับล่างเพิ่มเติมสองสามตำแหน่ง เช่น คนงานในโรงซักล้าง หรือคนสวนชั้นผู้น้อย เขาได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นเหมาะสมมาหลายคน และนำรายชื่อพร้อมประวัติย่อมาให้เหออวี้หลันในฐานะฮูหยินเป็นผู้พิจารณาอนุมัติขั้นสุดท้าย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการบริหารจัดการจวนเหออวี้หลันรับรายชื่อมาตรวจดูอย่างละเอียดตามปกติ นาง
ค่ำคืนงานเลี้ยงรับรองมาถึง จวนแม่ทัพจวินสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมไฟนับร้อยดวง บรรยากาศโอ่อ่าสง่างามสมเกียรติ แขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติ ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ นายทหารระดับสูง และฮูหยินต่างทยอยเดินทางมาถึงด้วยรถม้าคันหรูจวินเหยียนซีและเหออวี้หลันยืนรอต้อนรับแขกอยู่ที่โถงทางเข้าหลัก เคียงข้างกันอย่างสง่างาม เขาสวมชุดขุนนางเต็มยศสีน้ำเงินเข้มดูน่าเกรงขาม ส่วนนางอยู่ในชุดสีทองอ่อนอันงดงาม ขับเน้นความงามอันสุขุมและสูงศักดิ์ ทั้งสองเป็นดั่งหยกคู่งามที่เปล่งประกาย สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนตั้งแต่แรกเห็นเหออวี้หลันทำหน้าที่เจ้าบ้านได้อย่างไร้ที่ติ นางกล่าวต้อนรับแขกแต่ละคนด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและเป็นมิตร สามารถจดจำชื่อและตำแหน่งของทุกคนได้อย่างแม่นยำ สนทนาด้วยถ้อยคำที่เหมาะสมและแสดงความใส่ใจทำให้นางได้รับคำชื่นชมในความอ่อนน้อมและความเฉลียวฉลาดจากเหล่าแขกเหรื่อ โดยเฉพาะบรรดาฮูหยินทั้งหลายที่เคยมีอคติต่อนางมาก่อนส่วนจวินเหยียนซีนั้นเขารับหน้าที่ดูแลต้อนรับแขกฝ่ายชาย สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเหล่าขุนนางและนายทหารด้วยท่าทีที่สุขุมและน่าเชื่อถือ เขาสังเกตการณ์ปฏิกิริยาและท่าทีของแขกแต่ละคนอย่