วันคืนผ่านพ้น หลังเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ มีคนโศกเศร้าเสียใจ ย่อมมีคนดีอกดีใจ มีคนกลุ้มอกกลุ้มใจ ย่อมมีคนวางเฉย มีคนบินสูงสู่ยอดไม้ ย่อมมีบางคนตกต่ำไม่อาจผงาดขึ้นมาได้อีก พอเรื่องร้ายผ่านพ้นไป เรื่องดีๆ ก็เข้ามาพร้อมๆ กัน
วันนี้จวนไท่เว่ยคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากทางจวนจัดงานเลี้ยงฉลองเลื่อนตำแหน่งของเจิ้งกั๋วกงจ้าวมู่ อีกทั้งยังเป็นวันครบรอบขวบปีของคุณชายเจ็ดจ้าวลี่หมิง จวนไท่เว่ยจึงจัดพิธีจวาโจว[1] พร้อมกันเสียเลย เรียกว่าเป็นงานมงคลคู่ที่หาได้ยากยิ่ง ผู้คนในจวนทั้งบนล่างต่างวิ่งวุ่นจัดงานแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น แน่นอนว่าคนที่ว่างแสนว่างจนไม่มีอะไรให้ทำอย่างพวกสามแฝดตระกูลจ้าวก็มีเรื่องให้ทำเช่นกัน หลังจากสามแสบวุ่นวายอยู่ในห้องครัวอยู่พักใหญ่ ทำเอาห้องครัวของจวนไท่เว่ยอลหม่านจนไก่บินสุนัขกระโดดกำแพง[2] กันไปยกหนึ่ง จึงถูกกู้ฟางเหนียงโยนเข้าห้องไล่ให้ไปเลี้ยงน้องมันเสียเลย
“ลี่จูๆ ลี่จิน... ลี่หลินเบื่ออ่ะ” จ้าวลี่หลินกระตุกชายแขนเสื้อของฝาแฝด ใบหน้าเริ่มมีเค้าความงามงอง้ำ บุ้ยปากมองไปทางบรรดาสาวใช้และแม่นมที่กำลังเลือกชุดและเครื่องแต่งกายให้จ้าวลี่หมิงกันครึกครื้น ปล่อยให้พวกนางสี่คนพี่น้องนั่งจุ้มปุ๊กกันอยู่บนเตียง ไม่สนใจเล่นกับพวกนางเลยสักนิด
“ใช่ๆ ลี่จินก็เบื่อ แถมหิวแล้วด้วย” จ้าวลี่จินท้องร้องมาตั้งแต่เมื่อครู่เอ่ยเสริม ถึงแม้ขนมฝูหรง[3] ในจานหยกตรงหน้าจะถูกนางกินคนเดียวจนหมดก็เถอะ
“แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า ท่านแม่สั่งว่าให้อยู่เล่นเป็นเพื่อนเสี่ยวชี ถ้าพวกเจ้าเบื่อพวกเจ้าก็มาเล่นกับเสี่ยวชีด้วยกันกับข้าสิ” จ้าวลี่จูนั่งเขี่ยพุงน้องชายเล่นอย่างเบื่อหน่ายดุจเดียวกัน จ้าวลี่หมิงก็ให้ความร่วมมือยิ่ง จากที่นั่งๆ อยู่ก็นอนหงายพุงให้พี่สาวจิ้มได้เต็มที่แถมยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากสนุกสนานอีกต่างหาก
“ท่านแม่บอกให้เล่นกับเสี่ยวชี แต่ไม่ได้จำกัดว่าต้องเล่นอยู่แต่ในห้องนี้นี่นา ทำไมเราไม่พาเสี่ยวชีออกไปเล่นข้างนอกล่ะ เปลี่ยนบรรยากาศไง” จ้าวลี่หลินเสนอความคิดเห็น
“นั่นสิๆ พวกเราไปเล่นที่สวนด้านหลังกันดีกว่านะ” จ้าวลี่จินเห็นด้วย คิดถึงต้นท้อข้างกำแพงที่กำลังออกผลเต็มต้นแล้วอดน้ำลายสอไม่ได้
“แล้วพวกเราจะเล่นอะไรกันดีล่ะ” จ้าวลี่จูถามอย่างสนใจ ศีรษะเล็กๆ เกล้าผมทรงไหมย้อย[4] ปักปิ่นหยกสุมหัวกันเป็นกระจุก ช่วยกันขบคิดอย่างจริงจัง และก็เป็นจ้าวลี่หลินที่เสนอความคิดดีๆ ขึ้นมา
“เราเล่นซ่อนหากันดีหรือไม่”
“แล้วใครจะเป็นคนหาล่ะ” จ้าวลี่จูสบตาสองแฝดอย่างรู้กัน ก่อนสายตาไม่ประสงค์ดีทั้งสามคู่จะจับจ้องไปยังเจ้าตัวเล็กที่นอนมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“งั้นตกลงตามนี้” สามแฝดพยักหน้าให้กัน จ้าวลี่จูฉวยร่างอวบอ้วนของจ้าวลี่หมิงมากระเตงไว้ข้างเอวคอยดูต้นทาง จ้าวลี่จินและจ้าวลี่หลินช่วยกันม้วนผ้าขนาดเท่าตัวคนสี่ม้วนซุกเข้าไปในผ้าห่มผืนใหญ่ตบตาสาวใช้ พอสบโอกาสก็พากันกระโดดหนีออกนอกหน้าต่าง
สวนด้านหลังจวนไท่เว่ยทางทิศใต้เต็มไปด้วยต้นท้อผลิดอกออกผลบานสะพรั่ง ท่ามกลางป่าท้อมีศาลาแปดเหลี่ยมกรุกระจกใสให้คนด้านในชมสวนท้อท่ามกลางหิมะยามสายได้รอบด้าน หญิงรับใช้เข้ามาปัดกวาดเช็ดถู และจุดมังกรดิน[5] เอาไว้แต่เช้า เพราะวันนี้จะมีแขกเหรื่อมาเยือน ทำให้ด้านในศาลาหลังน้อยอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิเลยถูกสี่พี่น้องตระกูลจ้าวยึดเป็นฐานที่มั่นในการเล่นสนุกในครั้งนี้
“เอาล่ะ เราจะเล่นซ่อนหากันนะเสี่ยวชี พอพี่นับถึงสิบ เสี่ยวชีค่อยหาพวกพี่ให้เจอนะ เข้าใจหรือไม่” จ้าวลี่จูอธิบายกติกาการเล่นให้น้องชายฟัง แต่สิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตาคือจ้าวลี่หมิงที่นอนกลิ้งเล่นอยู่บนพื้น พยายามจะอมนิ้วเท้าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจสิ่งที่พวกนางพูดเลยสักนิด
“เสี่ยวชี” จ้าวลี่จูจิ้มเอวเจ้าอ้วนน้อยเรียกร้องความสนใจ จ้าวลี่หมิงจึงหยุดความพยายามที่จะอมนิ้วเท้าตัวเองอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก แล้วหันมามองบรรดาพี่สาวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
"༼ つ ◕_◕ ༽つ"
“เข้าใจที่พี่พูดหรือไม่”
“แอ๊ะ” จ้าวลี่หมิงเปลี่ยนเป็นดูดนิ้วหัวแม่มือแทน จ้าวลี่จูเลยสรุปเอาเองว่าน้องชายเข้าใจแล้ว จึงหันไปพยักหน้าให้ฝาแฝดอย่างรู้กัน
“งั้นพี่เริ่มนับล่ะนะ หนึ่ง”
จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน และจ้าวลี่หลิน กระโจนออกจากศาลาแปดเหลี่ยมพร้อมกัน ทั้งสามคนวิ่งไล่กันเข้าไปในสวนท้อ ทิ้งน้องชายไว้ในหอเก๋งเพียงลำพัง แต่ก็ไม่ลืมที่จะนับให้ถึงสิบตามที่บอกไว้
“สองงง”
“สามมมม”
พอนับถึงสามก็ไม่เห็นเงาคนเสียแล้ว ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงหลังจากนั้นแล้วด้วย แต่จ้าวลี่หมิงผู้ไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเขาทำเพียงลุกขึ้นนั่งมองบรรดาพี่สาววิ่งจากไป เด็กน้อยคลานไปตบกระจกร้องเรียกแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมาหาเขาเลยสักคน
“แอร๊ ಥ_ಥ"
จ้าวลี่หมิงเบ้ปากน้อยๆ น้ำตาคลอหน่วย พยายามร้องเรียกหาพี่สาวทั้งสามคน แต่ก็ไม่มีใครขานรับ เด็กน้อยเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น คลานไปทั่วศาลาหลังน้อย เพื่อตามหาพี่สาวหรือใครสักคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในนี้ มือเล็กๆ ทุบกระจกอีกหลายครั้งพยายามจะออกไป เสียงร้องอ้อแอ้เรียกหาใครก็ไม่ได้ยิน พอคลานจนเหนื่อยเด็กน้อยจึงเริ่มดูดนิ้วหัวแม่มืออีกครั้ง นอนกลิ้งไปกลิ้งมาก่อนจะกลิ้งเข้าไปใต้โต๊ะไม้ที่มีผ้าปูยาวจรดพื้น แล้วเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น
ทางด้านสามแฝดที่วิ่งออกมาไกลพอสมควรกำลังปรึกษากันอยู่เลยว่าจะไปซ่อนตัวที่ไหนดี
“บนต้นท้อดีไหม เราจะได้เก็บลูกท้อมากินด้วย” จ้าวลี่จินเสนอ เลยได้รับมะเหงกจากจ้าวลี่จูเป็นการตอบแทน
“เจ้าไม่เห็นหรือว่าผลมันทั้งเล็กทั้งเขียวยังไม่สุกดีจะกินเข้าไปได้อย่างไร ตะกละ!”
“ก็ลี่จินหิวอ่ะ” จ้าวลี่จินลูบท้องด้วยความหิว ถ้าไม่ติดว่าท่านแม่สั่งห้ามเด็ดขาดว่าไม่ให้ไปวุ่นวายในห้องครัวอีก นางคงไปซ่อนตัวที่นั่นแล้ว
“ขนมในห้องเจ้ากินหมดคนเดียวไม่ใช่หรือไง”
“ขนมแค่ไม่กี่ชิ้นมันจะไปพอยาไส้ได้ยังไงกันล่ะ”
“เอาล่ะไม่ต้องเถียงกันแล้ว ข้าว่าพวกเราขึ้นไปหลบบนต้นไม้นั่นแหละ จะได้หาไข่นกมาให้ลี่จินกินประทังหิวด้วย” จ้าวลี่หลินสรุปความ แต่จ้าวลี่จินกลับยกมือประท้วง
“ลี่จินไม่ปีนต้นท้อได้หรือไม่” จ้าวลี่จินบอกเสียงอ่อย จ้าวลี่หลินเห็นสภาพร่างกายอันอวบอัดของคู่แฝดแล้วก็นึกปลง ถ้าจ้าวลี่จินปีนขึ้นไปด้วยจริงคงไม่แคล้วตกลงมาเพราะกิ่งไม้หักรับน้ำหนักไม่ไหว
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้ารอเก็บไข่นกก็แล้วกัน”
“รับทราบ”
พอสามพี่น้องตกลงกันได้ จ้าวลี่จูและจ้าวลี่หลินเป็นหน่วยกล้าตายปีนขึ้นไปบนต้นท้อสำรวจดูว่ามีรังนกอยู่หรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าโชคของสามแฝดจะไม่ค่อยดีนักเพราะปีนมาหลายต้นแล้วก็ยังไม่เจอ เด็กหญิงทั้งสามตั้งใจหากันอย่างจริงจัง จนลืมไปแล้วว่าตนเองกำลังเล่นซ่อนหากันอยู่ และลืมน้องชายที่พามาทิ้งไว้ไปซะสนิทใจ
[1] พิธีจวาโจว (抓周) คือ พิธีเสี่ยงทายครบขวบปีของบุตร แต่ผลการเสี่ยงทายไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง เป็นเพียงการละเล่นในครอบครัว
[2] ไก่บินสุนัขกระโดดกำแพง หมายถึง สับสนอลหม่าน หรือวุ่นวายมาก
[3] ขนมฝูหรง เป็นขนมขึ้นชื่อของมณฑลอันฮุย ทำมาจากแป้ง ลักษณะคล้ายขนมถ้วยฟูของไทย ที่ได้ชื่อว่าขนมฝูหรงเพราะมีสีและรูปลักษณ์ที่เหมือนดอกฝูหรงหรือดอกพุดตาน
[4] ผมทรงไหมย้อย (垂练髻) เป็นลักษณะแกละเตี้ย ผูกเป็นข้อเดียวหรือหลายข้อแล้วแต่ความชอบของหญิงในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นที่นิยมในหมู่เด็กอายุ 12-18 ปี
[5] มีลักษณะเป็นท่อกลวงฝังอยู่ในพื้น เวลาจุดไฟที่เตา ไอร้อน และควันไฟจะไหลไปตามท่อทำให้ห้องอบอุ่นขึ้น ส่วนควันไฟจะออกไปทางปล่องควันที่อยู่ด้านนอกศาลาแปดเหลี่ยม