วารีเฝ้าหาคำตอบให้ตัวเองมาตลอดว่าทำไมเธอถึงไม่มีใครสักคนจริงจังสักที ทั้งที่เธอมีพร้อมทุกอย่าง แต่หัวใจมันกลับว่างเปล่า ที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าไม่เจอคนที่ถูกใจ แต่หัวใจมันเหมือน.เฝ้ารอใครบางคนอยู่ตลอดเวลา
View Moreแสงแดดยามเช้าตกกระทบผิวน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ มุกดา หญิงสาววัยสามสิบปีกำลังยืนมองแผ่นป้ายตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย
วารีโฮมสเตย์ ตัวอักษรบนแผ่นไม้ตรงหน้าเขียนเอาไว้อย่างนั้น เส้นผมยาวสยายสีควันบุหรี่ปลิวไหวไปกับสายลม หญิงสาวในชุดเดรสสายเดี่ยวลายดอกไม้กวาดสายตามองรอบ ๆ สถานที่แห่งนี้
จะว่าที่ที่คุ้นเคยก็ใช่
แต่จะพูดว่าที่ที่ไม่คุ้นเคยก็ใช่อีกเหมือนกัน
ตรงหน้าของมุกดาคือ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่สร้างความประทับใจให้ใครหลายคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม
นอกจากโฮมสเตย์สำหรับค้างคืนแล้ว ยังมีบริการร้านอาหารจากวัตถุดิบในชุมชนที่สดใหม่ ซึ่งมาจากการเสาะหาของชาวบ้านในพื้นถิ่น รวมถึงพาท่องเที่ยวชมวิถีชีวิตของผู้คนในละแวกนี้
นอกจากนี้ยังมีฟาร์มหอยมุกที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ตให้ได้ศึกษาและเป็นแหล่งเรียนรู้งานวิจัยรวมไปถึงการศึกษานอกห้องเรียน ทั้งหมดที่กล่าวมาได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าของฟาร์มผู้ใจดี คุณ วารี เตชะรัตนดิลก เจ้าของสถานที่แห่งนี้
มุกดากวาดสายตามองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว พร้อมกับความรู้สึกหลากหลายที่เกิดขึ้นในใจ แม้ว่าเธอไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่นานมากแล้ว แต่เมื่อได้กลับมา บางความรู้สึกที่คุ้นเคยก็ยังหวนกลับมาเสมอ
“มายืนถ่ายเอ็มวีอยู่รึไง มาแล้วทำไมไม่เข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ผู้ใหญ่เค้ารอมันเสียมารยาท”
ภาพวิวสวยงามตรงหน้าหม่นหมองไปทันที เมื่อเสียงใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง มุกดาหันกลับไปหาต้นเสียงก็เจอเข้ากับบุคคลที่เธอไม่เจอนานเกือบยี่สิบปี
สายตาของทั้งคู่สบมองกันแน่นิ่งชั่วขณะ ไม่มีใครรู้ว่าอีกคนกำลังรู้สึกนึกคิดอะไรอยู่ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ความคุ้นเคยแปรเปลี่ยนเป็นความห่างเหิน สับสน และไม่เคยเข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย ตกกระทบเป็นความเย็นชาและผิดใจกัน
ถึงขนาดที่ว่า..เป็นไปได้ก็อย่าเจอกันอีกเลย
แต่โลกเรามันก็แบบนี้แหละ มักจะเหวี่ยงเราไปในที่ที่ไม่อยากกลับไปเสมอ
“สวัสดีค่ะคุณวารี ดิฉันไม่ได้มายืนถ่ายเอ็มวีค่ะ แค่มายืนดูวิวสวย ๆ แต่จู่ ๆ ก็มีคนมาทำลายบรรยากาศ”
มุกดายกมือไหว้คนตรงหน้า ต่อให้จะไม่ชอบหน้ากันยังไง แต่อีกฝ่ายก็อายุมากกว่าเธอหกปี แม้ไม่อยากจะเคารพแต่ก็ต้องแสดงกิริยาที่ดีงามออกไปก่อน
ทว่าอีกฝ่าย..กลับไม่รับไหว้เธอ
“แล้วมันใช่เวลารึไง ผู้ใหญ่เค้ารออยู่ ยังมีอารมณ์มาเสพบรรยากาศ ไม่เคยเห็นทะเลเหรอ หรือว่าไปอยู่กรุงเทพนานจนลืมทุกอย่างที่นี่ไปหมดแล้ว”
มุกดากำมือแน่นเมื่อได้ยินแบบนั้น สิ่งที่เธอไม่ชอบที่สุดคือคนที่ชอบประชดและพูดจาเหน็บแนม และเธอก็รู้ดีว่าสิ่งที่วารีพูดมาหมายถึงเรื่องอะไร
"ถ้าเจอหน้ากันแล้วคุยดีกันไม่ได้ การเงียบใส่กันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีนะคะพี่วา"
วารีไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก เธอละสายตาจากใบหน้าอีกฝ่ายแล้วเดินนำไปยังบ้านไม้หลังใหญ่ที่อยู่ใกล้กับโฮมสเตย์ ซึ่งบ้านหลังนี้สร้างติดกับริมฝั่งทะเล ทำให้โซนระเบียงของบ้านที่ยื่นออกไปสามารถนั่งรับลมชมวิวทะเลได้อย่างสบายใจ โดยเฉพาะยามเย็นช่วงดวงอาทิตย์ตก วิวหลังบ้านของวารีสวยอย่าบอกใคร
เมื่อก่อนมุกดาเองก็ชอบที่นี่ ชอบวิวหลังบ้านของพี่วามากเลยล่ะ แต่ก็แค่เมื่อก่อน ..
ตอนนี้เธอไม่ชอบที่นี่แล้ว เป็นไปได้ก็ไม่อยากมาเหยียบ
หากไม่ใช่คำเว้าวอนของคนเป็นแม่ มุกดาจะไม่พาตัวเองมาที่นี่อย่างแน่นอน
เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน มุกดาก็เจอผู้หญิงวัยหกสิบปีคนหนึ่งที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี อีกฝ่ายสวมแว่นตาและกำลังนั่งถักโครเชต์อยู่ตรงมุมนั่งเล่น เมื่อเห็นว่ามุกดาเดินเข้ามาในบ้านก็รีบวางมือจากทุกอย่าง
“มุก มาแล้วเหรอลูก มา ๆ เข้ามานั่งก่อน กลับมาเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย เดินทางเหนื่อยมั้ยลูก กินอะไรมารึยัง”
คำถามมากมายถูกส่งไปเกินกว่าจะตอบทัน มุกดาจึงส่งยิ้มหวานนำไปก่อนแล้วไปนั่งบนเก้าอี้โซฟาตัวข้าง ๆ ยกมือไหว้คนอาวุโสด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อม ทำให้คนที่ได้เห็นกิริยาของเธอยิ่งเอ็นดูมากยิ่งขึ้น
มีคนเดียวที่ไม่เคยชอบใจท่าทีอ่อนหวานของมุกดาก็คงจะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้นี่แหละ
วารีที่ยืนอยู่หลังเสาร์ในบ้านเบะปากในทันทีเมื่อเห็นว่ามุกดาสนิทสนมกับแม่ของเธอเหมือนเดิม
“สวัสดีค่ะแม่แวว มุกเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี่เองค่ะ เดินทางช่วงนี้เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ ช่วงเทศกาลหยุดยาวคนกลับบ้านกันเยอะ มุกยังไม่ได้กินอะไรเลยค่ะ พอดีแม่เค้าบอกให้มุกรีบมาหาแม่แววก่อน มุกก็เลยรีบมา”
คนตรงหน้ามุกดาพยักหน้ารับทุกคำที่เธอพูด อีกทั้งสายตาที่มองมุกดาก็มีแต่ความเอ็นดูอยู่เสมอ
“แม่น่ะเพิ่งรู้จากมาลีว่ามุกลาออกจากงานแล้วจะกลับมาอยู่บ้าน แม่ก็เลยอยากให้มุกมาช่วยพี่วาเค้าที่ฟาร์ม ลีน่ะเค้าบอกว่ามุกจะหางานอื่นดูก่อน แม่เลยอยากให้มาคุยกัน มาทำงานกับพี่วาเค้าดีกว่าลูก จะได้อยู่ใกล้บ้าน ได้ดูแลลีเค้าง่ายขึ้นด้วย มุกสนใจรึเปล่า”
ไม่ทันที่มุกดาจะได้ตอบอะไรกลับไป คนที่ยืนเงียบอยู่นานก็โพล่งขึ้นมาซะก่อน
“ไม่เอาค่ะแม่ งานของวามีพนักงานพอแล้ว ไม่รับใครเพิ่มแล้วค่ะ”
วารีเอ่ยเสียงดัง เธอเดินมานั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวข้าง ๆ แม่ตัวเอง ส่วนมุกดาก็นั่งอยู่อีกฝั่ง เลยทำให้ทั้งคู่สบสายตากันได้โดยตรง
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ดูเหมือนไม่มีใครยอมกันเลย
“ขอบคุณนะคะแม่แวว แต่มุกเองก็ไม่ได้อยากจะทำงานที่นี่หรอกค่ะ ถ้าต้องมาเป็นพนักงานของพี่วา มุกคงประสาทกิน!”
“มุก!!”
คนกลางวัยหกสิบถึงกับถอนหายใจเมื่อได้ยินคำพูดของทั้งคู่ที่ตอบโต้กันไปมา
“พอ ๆ โตกันขนาดนี้แล้วยังจะทะเลาะกันอีก ตอนเด็ก ๆ ก็เห็นเล่นด้วยกันตลอด มันเกิดอะไรขึ้น โตมาถึงได้พูดจากันแบบนี้ หื้ม อีกอย่างตอนนี้ก็โต ๆ กันแล้ว ทำไมไม่คุยกันดี ๆ”
แม่แววหันมองลูกสาวตัวเอง สลับกับมองหน้ามุกดา เธอเองก็ไม่เข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทั้งที่แม่ ๆ ของทั้งสองฝ่ายก็เป็นเพื่อนสนิทกัน บ้านก็อยู่ใกล้กัน ตอนที่มุกดาเพิ่งคลอด วารีเองก็ยังไปหาน้องบ่อย ๆ แถมยังชมมุกดาให้แม่แววฟังไม่หยุดว่าเด็กคนนี้น่ารักมาก
‘วารักน้องค่ะแม่ น้องน่ารัก โตขึ้นวาจะดูแลน้องเอง’ คำพูดของวารียังติดอยู่ในใจคนเป็นแม่ตั้งแต่ตอนนั้น แต่พอขึ้นมัธยมปลาย มุกดาก็เลือกที่จะย้ายโรงเรียนไปเรียนม.ปลายที่กรุงเทพ
ทั้งที่ตอนนั้น มุกดาเรียนอยู่ม.สาม ส่วนวารีเรียนอยู่ปี.สาม โรงเรียนมัธยมและมหาลัยที่ทั้งคู่เรียน อยู่ในรั้วเดียวกัน จึงไปมาหาสู่กันได้ไม่ยาก แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับสิ้นสุดลง และแยกย้ายกันไปเติบโตนับตั้งแต่ตอนนั้น
หากจะพูดว่ามุกดาตั้งใจย้ายที่เรียนหนีวารีก็ไม่ผิดนัก แต่เหตุผลของเรื่องราวทุกอย่าง คงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าทั้งคู่
“ยังไงวาก็ไม่รับคนเพิ่มแล้วค่ะแม่ ขอตัวก่อนนะคะ วาจะไปทำงาน” วารีเอ่ยย้ำชัด ลุกจากเก้าอี้เตรียมจะเดินออกมา แต่แม่ของเธอคว้าข้อมือไว้ซะก่อน
“วา อยู่กินข้าวกับน้องก่อนสิ แม่ทำกับข้าวไว้เยอะแยะ วาเองก็ยังไม่ได้กินมื้อเช้าเลยหนิ”
วารีมองใบหน้าของแม่เธอสลับกับใบหน้าของมุกดา แล้วเธอก็เจอเข้ากับสายตาเย็นชา สายตาแบบเดิมที่เธอเกลียดมากที่สุด
“มุกเค้าโตแล้วนะแม่ กินข้าวคนเดียวคงไม่ยากอะไรหรอก ใช่มั้ยคะ คุณมุกดา”
วารีจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายแทบไม่กะพริบตา ดวงตาคู่สวยที่มุกดาเคยคุ้นชิน ตอนนี้เธอกลับอ่านอะไรไม่ออกเลย สายตาของวารีที่มองกันมีแต่ความว่างเปล่าและเย็นชา
“ไม่ยากหรอกค่ะคุณวารี ดีซะอีกค่ะ จะได้มีเวลาดื่มด่ำบรรยากาศวิวหลังบ้านโดยที่ไม่มีใครมาขัดคอ ช่วงเช้าแบบนี้ น้ำทะเลส๊วยสวย คุณวารีว่ามั้ยคะ?”
มุกดาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย สายตาของทั้งคู่ที่มองกันราวกับใบมีดที่พร้อมจะเฉือนกันได้ทุกวินาที
“เชิญดื่มด่ำบรรยากาศให้เต็มที่ค่ะ พี่ขอตัว!!”
“เชิญเลยค่ะพี่วา เอาไปทั้งตัวทั้งหัวเลยค่ะ ใบหน้าเหวี่ยง ๆ ของพี่ด้วย เอาไปให้ครบ เพราะเห็นแล้วมันขวางหูขวางตาเหลือเกิน!!”
วารีกำมือแน่น สายตาดุคมจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายไม่กะพริบ เธอขยับเข้าประชิดตัวมุกดาก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูคนตัวเล็กกว่าด้วยน้ำเสียงบางเบา แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ
“อย่ามาที่นี่อีก พี่ไม่อยากเห็นหน้าเธอ!”
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่
บรรยากาศรอบ ๆ บ้านไม้สองชั้นของมุกดาในเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แม่ลี แม่แวว วารี มุกดา และลูกจันทร์ ทั้งห้าคนกำลังนั่งล้อมวงอยู่ตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่หน้าบ้าน นับตั้งแต่มุกดากลับมาอยู่บ้าน อาการป่วยของแม่ลีก็ดูจะดีขึ้นมาก ยิ่งในวันนี้ใบหน้าของคนที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หากเป็นคนที่ไม่รู้จักกันคงแทบไม่รู้เลยว่าแม่ลีกำลังป่วย เพราะใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เรื่องของการหมั้นหมายและการแต่งงานคือหัวข้อสำคัญในการคุยกันในเย็นนี้ ทว่าคนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใครคือลูกจันทร์ เพราะเธอคือคนที่รับรู้เรื่องราวของทั้งคู่มาโดยตลอด ยิ่งได้รู้ว่าพี่สาวที่ตัวเองรักทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกัน ความอิ่มอกอิ่มใจมันเอ่อล้นภายในใจจนแสดงออกมาผ่านสายตาเปล่งประกาย “ค่าสินสอด ค่าเลี้ยงดูน่ะ เรียกมาเถอะลี ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันกับลูกตั้งใจเต็มที่กับงานนี้ ยังไงก็ไม่ให้น้อยหน้าหรอก” แม่แววหันไปคุยกับแม่ลี เพื่อนรักที่รู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต แน่นอนว่าทั้งคู่ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ลูกสาวของตนปรองดองกัน “โอ้ย ฉ
“มันจะเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของน้อง เป็นความสบายใจของน้อง เป็นความสุข และเป็นสิ่งที่จะทำให้น้องยิ้มได้ พี่จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้เลยนะ หลังจากนี้ไป ให้พี่ดูแลนะ ให้พี่ได้มีโอกาสแก้ไขเรื่องที่ผ่านมา ความเข้าใจผิดในทุกอย่าง เราสองคนมาปลูกต้นรักกันใหม่ มาสร้างครอบครัวของเราด้วยกันนะ” ทุกคำพูดของวารีเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย เธอมองหน้ามุกดาตลอดเวลาที่พูด สายตาที่มองคนอายุน้อยกว่าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ขอบคุณนะคะพี่วา สำหรับทุกอย่างที่คิดจะทำ จริง ๆ น้องเองก็เป็นฝ่ายผิดเหมือนกันที่ไม่เคยรับฟังพี่เลย เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองจนลืมไปว่าพี่ก็มีความรู้สึก พี่ก็คงเจ็บปวดไม่น้อย งั้นหลังจากนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะคะ น้องสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนกัน” “ได้สิคะ เราสองคนเริ่มต้นกันใหม่ได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พี่ง่วงแล้วอะ ไม่รู้แหละคืนนี้น้องต้องให้พี่นอนด้วย” “อะไรกัน จู่ ๆ วนมาเรื่องนี้ได้ยังไง อีกอย่าง ระยะทางแค่สามกิโลมันคงไม่ทำให้พี่ขับรถกลับโดยใช้เวลานานเกินไปหรอกนะคะ กลับไปนอนที่บ้านเลยค่ะ อีกอย่างกลุ่มนักศึกษาก็ยังอยู่ เจ้า
วารีใจแป้วไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของมุกดาที่ส่งกลับมาแบบนั้น แต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า การที่อีกฝ่ายมองเธอด้วยสายตาแบบนี้ แปลว่ากำลังมีเรื่องขุ่นเคืองบางอย่าง “คืนนี้ขอนอนด้วยนะคะ” วารีถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ไม่ค่ะ บ้านตัวเองก็มี โฮมสเตย์ก็มีตั้งหลายห้อง เลือกเอาสักห้องสิคะอยากนอนห้องไหน” “คืนนี้โฮมสเตย์เต็มทุกห้องค่ะ ให้พี่นอนด้วยนะคะ” “ไม่ค่ะ พี่วากลับไปเลย ไม่แน่ตอนนี้อาจจะมีคนรอพี่อยู่ก็ได้นะคะ” “น้องหมายถึงใคร พี่ไม่เข้าใจ” วารีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ก็ใครกันล่ะที่เข้ามาใกล้ชิดพี่จนวันนี้เราแทบไม่ได้คุยกันเลย ใครล่ะที่พี่คุยด้วยกระหนุงกระหนิง หน้าชื่นตาบานขนาดนั้น ใครกันที่มองพี่ซะสายตาหวานหยดย้อยอย่างกับอยากจะกลืนกินซะเหลือเกิน เห็นแล้วมันน่าโมโหชะมัด” วารีเข้าใจได้มากขึ้นเมื่อมุกดาบอกถึงการกระทำของบุคคลที่ว่าอย่างละเอียดยิบ และวันนี้ทั้งวันก็มีเพียงคนเดียวที่เข้ามาใกล้ชิดเธอ “พี่เข้าใจแล้วค่ะ แต่มันไม่มีอะไรเลย น้องก็รู้ว่าเวลามีคนมาดูงานที่ฟาร์ม พี่ทั้งตื่นเต้นแล้วก็ดีใจ อย
Comments