LOGINอาณาจักรหลิวเฟิง แผ่นดินนี้ไม่ใช่ดินแดนที่หลี่หลิงเฟิ่งรู้จัก ที่นี่ไม่เคยปรากฎขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์มาก่อน ถูกครอบครองด้วยผู้ฝึกพลังยุทธ์
อาณาจักรหลิวเฟิงแบ่งออกเป็นสี่แคว้นใหญ่ แคว้นตงเยว่ แคว้นจวิน แคว้นหลิวอวิ๋น และแคว้นเหลียน แต่ละแคว้นมีเมืองในเขตปกครองที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อแคว้นใหญ่อีกแปดเมือง โดยชื่อเมืองจะตั้งตามจวนตระกูลของเจ้าเมือง ซึ่งตระกูลหลี่เป็นตระกูลเจ้าเมืองหลี่และยังเป็นเมืองในปกครองของแคว้นหลิวอวิ๋น แผ่นดินของอาณาจักรหลิวเฟิงมีรูปลักษณ์เป็นวงกลม ตำแหน่งเขตแดนทั้งสี่แคว้นจะกั้นด้วยป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้าย ใจกลางอาณาจักรปกคลุมไปด้วยป่าทมิฬกาลและมีเทือกเขาลับแลที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรหายากและอันตราย เทือกเขาแห่งนี้ยังไม่เคยมีผู้ใดเหยียบย่างเข้าไปแล้วได้ออกมาเลยสักคน ล้วนแต่สังเวยชีวิตที่ป่าแห่งนั้นทั้งสิ้น
ยามลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งใหม่ครั้งแรกหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ในจวนเจ้าเมือง เพียงแต่เช้าวันรุ่งขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งถูกฮูหยินใหญ่ขับไล่ออกมาจากจวนให้มาอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ทางฝั่งตะวันออกใกล้กับป่าอัศดงซึ่งคั่นอยู่ระหว่างกลางแคว้นหลิวอวิ๋นและแคว้นจวิน เล่าลือกันว่าป่าแห่งนี้มีสัตว์อสูรขั้นสูงอาศัยอยู่ หลายพันปีมานี้จึงไม่มีใครย่างกลายเข้าไปในเขตหวงห้ามแห่งนั้น เห็นได้ชัดว่าฮูหยินใหญ่คงอยากให้นางตายเร็วขึ้น นางจำได้ว่าคืนนั้นฝนตกหนักทั้งคืนราวกับฟ้ารั่ว เด็กสาวอายุสิบสองปีถูกเนรเทศออกมาท่ามกลางฝนที่ตกกระหน่ำ ถูกกล่าวหาว่าสังหารมารดาตัวเอง ฝนตกหนักสามวันสามคืน ร่างกายที่เดิมอ่อนแออยู่แล้ว ขาข้างหนึ่งเหยียบย่างเข้าสู่ปรโลก นางล้มป่วยอยู่บนเตียงราวครึ่งปี
หลี่หลิงเฟิ่งมาอยู่โลกนี้สามปีแล้ว ช่างบังเอิญว่านางมีชื่อเดียวกันกับเจ้าของร่างเดิม แตกต่างก็ตรงคำว่าหลิง*เท่านั้น บิดาที่รักบุตรคนใดจะตั้งชื่อให้ลูกสาวตัวเองไร้ค่าเช่นนี้
บิดาของนางคือหลี่จ้ง เจ้าเมืองตระกูลหลี่ทั้งยังมีศักดิ์เป็นน้องชายของเสนาบดีแห่งแคว้นหลิ๋วอวิ๋นอีกด้วย มารดาที่จบชีวิตตัวเองของนางนั้นคือชิงหลัว เป็นอนุภรรยาลำดับที่สามที่หลี่จ้งซื้อตัวมาจากหอนางโลม ส่วนนางคือคุณหนูห้าผู้ไร้พลังยุทธ์เป็นตัวโง่เขลาประจำตระกูลหลี่
ณ อาณาจักรหลิวเฟิงแห่งนี้ เด็กทุกคนที่มีพรสวรรค์สามารถฝึกพลังยุทธ์ได้ ตอนกำเนิดจะมีปรากฏการณ์แสดงถึงพื้นฐานของพลังที่แข็งแกร่งแตกต่างกันไป ทว่าคุณหนูห้านั้นกลับสงบนิ่งมีเพียงแสงสีขาววาบผ่านเท่านั้น พออายุสามขวบปีเด็กทุกคนจะต้องเข้ารับการทดสอบพลัง เพื่อกำหนดชะตากรรมของชีวิตและวิถีการฝึกฝนที่ถูกต้อง ในวันนั้นเองที่ทุกคนทั่วแคว้นล้วนรับรู้ว่านางเป็น ตัวไร้ค่า ที่ไม่มีพรสวรรค์สักอย่าง! และเป็นการขีดเขียนจุดเริ่มต้นโศกอนาฏกรรมของชีวิตที่บัดซบของนาง
ในดินแดนแห่งนี้มีการจัดลำดับขั้นพลังยุทธ์ไว้อย่างชัดเจน เพื่อประเมินระดับความแข็งแกร่งของแต่ละคน อันได้แก่ ขั้นกำเนิดใหม่ ขั้นหลอมรวม ขั้นนิลกาญจณ์ ขั้นพิภพ ขั้นนภา ขั้นปราชน์ และขั้นราชันย์ ในแต่ละลำดับยังจัดระดับพลังความแข็งแกร่งของร่ายกายไว้เช่นกัน คือ ระดับต่ำ ระดับกลาง และระดับสูง
นอกจากนี้ยังมีพลังธาตุที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ ลำดับพลังธาตุที่แข็งแกร่งที่สุด คือ ธาตุน้ำแข็ง รองลงมาคือธาตุพลังทั่วไป ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน และธาตุลม สีของพลังยุทธ์จะสามารถระบุธาตุของผู้ฝึกยุทธ์ได้เป็นอย่างดี เช่นพลังยุทธ์สีแดงคือผู้ฝึกยุทธ์ธาตุไฟ แต่พลังของหลี่หลิงเฟิ่งคือสีขาวที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในดินแดนแห่งนี้ ผู้คนจึงจัดให้นางอยู่ในลำดับผู้ไร้พลังยุทธ์
หลี่หลิงเฟิ่งคลึงขมับอย่างเหนื่อยอ่อน ขณะจัดการกับข้อมูลในหัวที่นางได้ศึกษามาเป็นเวลาสามปี “จากที่ข้าสังเกต พลังยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งสามารถควมคุมสัตว์อสูรได้ง่ายขึ้น ยามต่อสู้กับศัตรู ยิ่งสัตว์อสูรแข็งแกร่ง อานุภาพยิ่งไม่ต้องพูดถึง สัตว์อสูรทั่วไปนั้นหาง่าย เข้าไปจับเอาในป่าก็ได้มาแล้ว ทว่าผู้ควบคุมสัตว์อสูรนี่สิถึงจะเป็นได้ยากยิ่ง”
“น่าเสียดายที่ร่างนี้ฝึกพลังยุทธ์ไม่ได้ ต่อให้วางแผนมาดีแค่ไหน อยู่ใกล้ป่าอสูรนี่มากเท่าไหร่ ข้าก็เข้าไปจับพวกมันออกมาไม่ได้อยู่ดี นี่พระเจ้าเล่นตลกอะไรกัน ส่งข้ามาที่แห่งนี้แต่ทำไมไม่มีสกิลอะไรติดตัวมาบ้างเลย” ใช่ว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่เคยฝึกพลังยุทธ์เลย แต่ทุกครั้งที่ฝึกจะต้องเจ็บปวดที่จุดตันเถียนเสมอ ราวกับว่ามีสิ่งขวางกั้นไม่ให้พลังกายภายในเล็ดลอดออกมา
วันนั้นที่นางไม่ขัดขืนการจัดการของฮูหยินใหญ่เป็นเพราะนางกำลังสับสนกับสภาพแวดล้อมที่แปลกตา แต่นอกเหนือจากนั้นนางต้องการเวลาที่จะศึกษาดินแดนแห่งใหม่ และอาจเป็นเพราะโชคดีที่สถานที่แห่งนี้ใกล้กับป่าอัศดงที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้าย
ไม่แปลกใจเลยที่นางเป็นที่รังเกียจของทุกคน บิดาไม่แยแสความเป็นอยู่ของนาง ทุกคนค่อยๆ ลืมเลือนไม่สนใจว่านางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ มารดาเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในเรือน ไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป สุดท้ายก็คลุ้มคลั่งปลิดชีพตัวเองและบุตรสาวอย่างน่าเวทนา
คุณหนูห้าผู้น่าสงสารที่นางบังเอิญเก็บชีวิตมาแทนนี้ เมื่อก่อนจะเป็นคนไม่มีค่าอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อนางได้รับโอกาสให้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง จะเลวร้ายแค่ไหนคนอย่างนางก็ไม่มีวันยอมแพ้เป็นแน่
รอยยิ้มร้ายกาจพาดผ่านแววตา ชาติก่อนนางเคยฝึกฝนอย่างหนัก ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวของนางก็ส่งนางไปให้กับรัฐบาลแล้ว ต่อให้ชาตินี้นางไม่มีพรสวรรค์ก็ต้องสร้างให้มันมีให้ได้! ใครกล่าวกันว่าต้องเป็นแค่ผู้มีพรสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถฝึกพลังยุทธ์ได้ สักวันนางจะต้องแข็งแกร่งขึ้น ตอนทะลุมิติเข้ามาวันแรก นางยังจำความรู้สึกที่ถูกทารุณกรรมนั้นได้ทุกอย่าง ต่อให้นางไม่มีความผูกพันกับเจ้าของร่างเดิม แต่นางก็เป็นคนรู้คุณคน ความเจ็บแค้นทุกอย่างนางจะช่วยชำระให้เอง
ทุกเย็นนางจะเดินแถวๆ ชายป่าอัสดงเผื่อสักวันจะได้เจอสัตว์อสูร พลางสำรวจพื้นที่รอบนอกปากทางเข้าป่าไปพลางๆ
หลี่หลิงเฟิ่งก้มหน้าถอนหายใจแผ่วเบาอย่างปลงตก นางมาอยู่ที่นี่ก็หลายปีแต่ไม่มีความคืบหน้าบ้างเลย ปรับตัวเข้ากับโลกแห่งใหม่ได้สมบูรณ์แล้วแต่นางยังไม่มีหนทางฝึกพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง อย่าว่าแต่ให้นางฝึกเลย เห็นทีเจ้าของร่างเดิมคงอาศัยครูพักลักจำมาแอบฝึกอย่างมั่วๆ สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวไม่ต่างอะไรกับลงทุนไปก็สูญเปล่า ไม่ได้กำไรตอบแทน ซ้ำยังต้องเจ็บตัวหรอกหรือ
ตูม!
เสียงกึกก้องที่ดังแว่วมาแต่ไกล หลี่หลิงเฟิ่งออกจากโหมดความคิด เงยหน้าขึ้นทอดสายตาไปในป่าทึบ แววตาฉายแววครุ่นคิด พลันเบิกตากว้าง แสงสีขาวนั่น!
แสงสีขาวพุ่งวาบผ่านสายตานางไป ไม่ทันได้ฉุกคิดสองเท้าก็วิ่งตามแสงนั่นไปทันที แสงนั่นช่างคล้ายกับแสงที่นางเห็นก่อนลาโลกในชาติก่อนมาก ไม่ได้การ ขืนวิ่งช้ากว่านี้ต้องไม่ทันแน่
แต่ต่อให้หลี่หลิงเฟิ่งวิ่งเร็วแค่ไหนก็ยังไม่ทันอยู่ดี สุดท้ายแสงนั่นก็หายไปจากสายตานาง
หลี่หลิงเฟิ่งยืนหอบหายใจ มองทิวทัศน์รอบด้าน ป่าอัศดงเป็นที่เล่าลือกันว่ากว้างใหญ่ไพศาลเป็นอันดับสองของแผ่นดินนี้ พื้นที่สลับซับซ้อน และเต็มไปด้วยสมุนไพรมากมาย
ทว่า นางมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าเหล่านี้ เสียงสิงสาราสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่แข่งกันร้องลั่นผืนป่า หลี่หลิงเฟิ่งเบะปาก อย่างไรก็ตาม คำเล่าลือมักกล่าวเกินจริงเสมอ
ทว่าตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องแหลมของนกกรีดร้องเข้ามาใกล้ เปลวไฟร้อนระอุพ่นตรงมาที่หลี่หลิงเฟิ่ง ทำเอานางร้อนราวกับถูกไฟแผดเผาทั้งตัว ยามนี้สัตว์ตัวอื่นๆ ในละแวกใกล้เคียงต่างออกวิ่งกันคนละทิศคนละทาง หนีตายด้วยกลัวพลังอันน่าเกรงขามนี้ พากันกรีดร้องเสียงดังระงม
นี่มันนกประหลาดอะไร พ่นไฟได้ หญิงสาวอดพึมพำออกมาอย่างเสียไม่ได้
“สัตว์อสูร พ่นไฟได้ นก วิหคเพลิง!” ดวงตาของนางเหลือกขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “แย่แล้ว!” นี่ข้าไปทำอะไรให้พระเจ้าองค์ไหนโกรธหรือนี่ ถึงได้ซวยขนาดนี้
ก่อนที่วิหคเพลิงจะโฉบลงมาถึงตัวนางนั้น ไฟที่พ่นออกมาอย่างน่าหวาดผวาทำให้หัวใจของนางเต้นระรัว ความหวาดกลัวฉายชัดออกมาในแววตา ส่งผลให้สมองของนางไม่ทำงาน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจึงสั่งให้สองขาวิ่งหนีในทันที
เสียงกรีดร้องของวิหคเพลิงไล่มาตามหลัง เสียงนั้นเข้ามาใกล้นางเรื่อยๆ หลี่หลิงเฟิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น นี่คงเป็นการวิ่งที่เร็วที่สุดในชีวิตของนางแล้ว ในใจนางหดหู่ยิ่งนัก ความเร็วของเท้าไหนเลยจะสู้ปีกบิน สักพักคงโดนตามทันแน่
ไม่ได้! ต้องคิดหาทางสลัดมันออกไปก่อน แต่จะทำอย่างไรดี
มันไล่ตามหลังหญิงสาวอยู่ข้างหลังไปทั่วทุกทิศ ต้องยอมรับว่าการกระเสือกกระสนอยากมีชีวิตอยู่ของนางทำให้ความเร็วของฝีเท้านางตอนนี้ราวกับเหาะได้
เจ้าวิหคเพลิงไล่ตามหญิงสาวอยู่นานยังไม่มีวี่แววจะถึงตัวนางสักที ก็เริ่มหงุดหงิด มันกระพือปีกขึ้นลงด้วยความไม่พอใจที่จับมนุษย์ตัวเล็กๆ นี้ไม่ได้
แรงลมจากการกระพือปีกของมันสั่งผลให้หลี่หลิงเฟิ่งตัวลอยไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง หลังของนางกระทบกับลำต้นไม้อย่างแรง หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกราวกับกระดูกแผ่นหลังแหลกละเอียด หน้าอกเหมือนถูกของหนักๆ ทุ่มใส่ รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก มือข้างหนึ่งยันพื้น อีกข้างกุมหน้าอก ลำคอของนางฝืดเฝื่อน เลือดสดๆ ทะลักออกจากปากโดยไม่รู้ตัว
“อึก”
วิหคเพลิงไล่ตามมาอยู่เบื้องหน้านาง สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปทันที ฝืนทรงตัวให้มั่น หันหลังออกวิ่งด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่
หลี่หลิงเฟิ่งพลันท้อแท้ เสียแรงที่บำรุงร่างกายนี้มานานปี ร่างกายก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม โดนโจมตีครั้งเดียวก็เกือบตายแล้ว
นางพยายามวิ่งสุดกำลัง แต่ก็รู้สึกว่าช่างไร้ประโยชน์นัก ไม่นานเจ้าวิหคเพลิงก็ตามนางทัน
หญิงสาวหยุดวิ่งหันหน้ากลับไปมองมัน พลันเห็นแววตาสนุกสนานที่มันสามารถต้อนเหยื่อให้หมดทางหนี หลี่หลิงเฟิ่งจ้องมองมันอย่างหงุดหงิด แต่ในใจกลับหนาวยะเยือก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า นางพยายามคิดหาทางหนีสุดกำลัง แต่ดูเหมือนจะเกินกำลังของนางในตอนนี้
ขณะจ้องตากันอยู่นั้น เท้าของหญิงสาวค่อยๆ ขยับไปทางด้านข้างทีละนิด ก่อนหน้าที่นางจะหยุดวิ่งสายตาเหลือบเห็นหน้าผาสูงชันอยู่ด้านข้าง ด้านหน้ารายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ หลี่หลิงเฟิ่งปราดตามองตัวช่วยที่จะทำให้นางรอดชีวิตอย่างรวดเร็ว
ย่อมเป็นเช่นนั้น! พระเจ้าย่อมไม่ทอดทิ้งนาง สวรรค์ยังคงยืนอยู่ข้างนาง
หัวใจของนางเต็มตื้นด้วยความดีใจ นางมีทางรอดแล้ว ไม่รอช้า นางวิ่งไปคว้าเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาข้างต้นไม้อย่างชำนาญ นางใช้มือเท้ายันตัวเองโหนกลางอากาศไปอย่างว่องไว
แต่เหมือนนางจะลืมบางอย่างไป
ฟู่…
โดยไม่คาดคิดเถาวัลย์แห่งความหวังสุดท้าย พังทลายลงเพราะถูกเผาใหม้จากไฟที่พ่นออกมาจากปากของวิหคเพลิง
บัดซบ!
หลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้ามองขึ้นไป พลันเห็นเงาสีดำพุ่งเข้ามาจู่โจมด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็นรูปร่างชัดเจนได้ นางหัวเราะเย้ยหยันให้กับความอ่อนแอและไร้ความสามารถของตนเอง หลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม อย่างไรข้าคงไม่อาจมีชีวิตรอดได้อีกแล้ว เสียดายก็แต่ด่วนจากไปขณะที่ยังไม่ได้วางแผนครองแผ่นดินนี้เลย
ฉึก!
‘อา เจ็บจังเลย’
ความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งเข้าสู่หน้าอกซ้าย กรงเล็บเท้าของเจ้าวิหคเพลิงจิกลงมาราวกับกระบี่คมที่แทงทะลุร่างของนาง เจ็บปวดจนร้องไม่ออก สติของนางค่อยๆ ดับวูบ จมดิ่งลงไปเบื้องล่างหุบเหวลึกหมื่นจั้ง
ชั่วขณที่หลี่หลิงเฟิ่งกำลังจะหมดสติไปนั้นเอง นางราวกับได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทรมานของวิหคเพลิงดังสะเทือนเลื่อนลั่นก้องไปทั่วผืนป่า รู้สึกถึงพลังอันน่ากลัวบางอย่างพุ่งออกมาจากอกของนางอย่างต่อเนื่อง
สักพักพลันเปลี่ยนเป็นกระแสความเย็นสายหนึ่งห่อหุ้มตัวนางเอาไว้ เย็นสบายเหมือนสายลมยามวสันต์ ความเจ็บปวดตรงหน้าอกไม่รุนแรงเหมือนตอนแรกอีกต่อไป พลังอันกล้าแกร่งส่งผลให้หลี่หลิงเฟิ่งถึงพื้นเบื้องล่างอย่างปลอดภัยก่อนที่มันจะค่อยๆ หายวับไป
*หลิง คือ 玲 เสียงก้องกังวานคล้ายเสียงเคาะหยก แทนความน่ารัก น่าเอ็นดู ส่วน 零 ความหมายคือศูนย์ ไม่มีค่า
หลี่หลิงเฟิ่งวาดแผนที่ จนกระทั่งร่างชายผอมเดินโซเซออกจากห้องเวรด้วยกลิ่นเหล้าติดตัว หลี่หลิงเฟิ่งย่อกายต่ำ ติดตามชายผอมไป ทิศทางของเขาไม่ใช่ที่พัก ชายผอมเดินลึกเข้าไปในค่าย ทางเดินที่ควรเป็นเขตร้างยามกลับสว่างจ้าจากแสงไฟ เมื่อเดินผ่านอาคารสามหลัง ทั่วบริเวณเริ่มไร้เสียงผู้คน มีเพียงลมเย็นพัดผนังดังฟืด ฟืด จนรู้สึกคล้ายเสียงครางแผ่วที่มองไม่เห็น ในที่สุด ชายผอมก็หยุดหน้าประตูไม้หลังหนึ่ง อาคารนี้ภายนอกเหมือนศาลาฝึกยุทธ์ธรรมดา แต่ผนังสั่นตลอดเวลาเขาผลักประตูก้าวเข้าไป หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะนั้นลอบเล็ดลอดเข้าตามอย่างแนบเนียนสิ่งที่เห็นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง ภายในอาคารกว้างนี้มีผู้ฝึกกว่าห้าสิบคน นั่งเรียงเป็นแถวตั้งแต่ใกล้ประตูเรื่อยไปถึงแท่นหินใหญ่กลางห้องครืด ครืด ทุกคนนั่งหลับตา เร่งพลังจนเสียงดังออกมาจากกระดูก และสิ่งที่น่าตกใจคือ... ดวงตาสองข้างล้วนแดงฉาน!หลี่หลิงเฟิ่งเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์กำลังบ่มเพาะมามาก แต่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อนเลยพลังที่พวกเขาดูดซับเข้าร่างไม่ใช่จากไอปรานตามธรรมชาติ แต
เสียงกรนเบาของพวกโจรในห้องเวรยังดังลอยมาเรื่อย ๆ หลี่หลิงเฟิ่งยังเคลื่อนตัวบนคานไม้หลีกเลี่ยงอย่างแนบเนียนที่สุด ก่อนจะหยุดห้องหนึ่งเริ่มวาดแผนที่ สักพักมีสองคนเข้ามานั่งดื่มเหล้าสนทนา นางวาดไปพลางแอบฟังไปพลาง“เจ้าว่าหัวหน้าสามคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เสียงชายผอมเอ่ยขึ้นหลังดื่มไปอีกอึก ความอยากรู้เริ่มสุมจนทนไม่ไหวหน้าบากหัวเราะหึในลำคอ “เจ้าเพิ่งมาใหม่ อยากรู้นักก็ฟังไว้ แต่เก็บลิ้นเจ้าให้ดี ไม่งั้นมีหวังโดนโบยจนหลังเปิด”ชายผอมรีบพยักหน้า “รับรองได้ ข้าไม่พูดให้ใครฟังหรอก”หน้าบากว่าต่อเสียงต่ำ “ในค่ายเราน่ะ มีหัวหน้าใหญ่สามคน”หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัว ข้อมูลตรงกับสิ่งที่นางเดาไว้ไม่มีผิด“หัวหน้าใหญ่คนแรก คนเจอเขาน้อยจนนับนิ้วได้ กระทั่งข้าที่อยู่มานานยังไม่เคยเห็น ตอนนี้ลือว่ากำลังทำภารกิจอยู่ข้างนอก แต่อันที่จริงอยู่หรือไม่อยู่ในค่ายก็ไม่รู้ อีกอย่างคำสั่งหลักๆ ล้วนมาจากเขาทั้งนั้น”ชายผอมกลืนน้ำลาย “แล้วหัวหน้าคนที่สองกับคนที่สามล่ะ”หน้าบากส่ายหน้าเบา ๆ “พี่รองนิสัยร้อน อารมณ์ขึ้นง่าย ชอบแก้ปัญหาโผงผาง ช่วงก่อนยังเห็นอยู่ แต่พักหลังไม่รู้หายหัวไปไหน แต่น่าจะยังอยู่ในค่าย”หน้าบาก
หลี่หลิงเฟิ่งหยุดยืนบนคานไม้สูง ด้านล่างเป็นลานกว้างมีเวรยามเดินตรวจเป็นช่วง ๆ“เราจะหนีตอนที่พวกมันยังไม่ทันรู้ตัวดีหรือไม่นะ” หลี่หลิงเฟิ่งคิดแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้านางอุตส่าห์ลอบเข้ามาได้โดยไม่ถูกจับได้ นับว่าเป็นความโชคดีระดับสวรรค์เปิดทาง หากพลาดโอกาส ครั้งหน้าอยากจะกลับมาตรวจสอบอีก ก็เป็นไปไม่ได้แล้วหลี่หลิงเฟิ่งแตะปลายผ้าคลุมล่องหน ของวิเศษถ้าใช้อย่างถูกจังหวะ ประโยชน์ย่อมมหาศาล แต่ถ้าใช้ผิดเวลา คงกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองภายในชั่วเสี้ยวเดียวยามด้านล่างเหล่านั้น พลังมิได้แข็งแกร่งมาก ตราบใดที่นางซ่อนตัวแนบเนียน พวกนั้นไม่มีผู้ใดจับสัมผัสนางได้แน่มากสุด ก็เพียงผู้ฝึกขั้นสูงบางคนเท่านั้น แต่เท่าที่เห็นจากการสังเกตมาตลอดคืน ตอนนี้ยังไม่มีตัวตนอันตรายระดับนั้นผ่านเข้ามาในเขตหน้าเลยปลอดภัยพอสมควร แต่ไม่อาจประมาทหลี่หลิงเฟิ่งมองลานกว้างที่เรียงรายไปด้วยกระท่อมและอาคารหลายสิบหลัง เหยื่อหลายร้อยคนถูกขังไว้ภายในเหมือนฝูงปศุสัตว์รอวันเชือดผู้ฝึกยุทธ์ที่หายตัวไปในดินแดนช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นตออยู่ที่น
เกร้ง เกร้งเขย่าไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุด เสียงลากโซ่ดัง แล้วประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกหลี่หลิงเฟิ่งยังคงทำทีสลบ ปล่อยให้มือสากของสองคนลากนางลงจากรถม้าเหมือนหีบศพหลี่หลิงเฟิ่งยันกายลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเรื่อย ๆนางหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเหลือบไปรอบด้าน แล้วหรี่ลงในห้องนี้ ไม่ได้มีแค่นางใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่สว่างบ้างดับบ้าง คนยี่สิบกว่าร่างนั่งพิงกำแพงกระจัดกระจาย หลายคนมีโซ่ตรวนรัดข้อมือ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะสลบไสล ที่สำคัญ ทั้งหมดไม่มีพลังยุทธ์เหลืออยู่แม้แต่น้อย“ยาสะกดพลัง” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำ ลอบถอนหายใจเย็นเหยื่อพวกนี้ไม่ได้มีเฉพาะในห้อง แต่จากที่ผ่านมา น่าจะมีห้องติดกับนางมากกว่ายี่สิบห้อง รวมกันแล้วเหยื่อเป็นร้อยแน่หลี่หลิงเฟิ่งกำหมัดแน่น ซ่องโจรนี่ ชั่วช้านักในจังหวะที่นางกำลังจะสำรวจต่อ สายตาสะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่งตรงมุมอับของห้อง ร่างผอมบาง ผมยุ่งเหยิง ร่างกายสั่นเป็นระยะ จมูกมีคราบยาขาวแห้งเกาะอยู่ ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนจำใครไม่ได้ทั้งสิ้นหลี่เจี้ยน ขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรยาที่ถูกป้อนให้เขา ต้องไม่ธรรมดา ไม่เพียงสะกดพลังยุทธ์ แต่ยังทำให้สติพร่าเบลอ จิต
รอยแยกมิติปิดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ความคลุ้มคลั่งของเขตระดับห้ายังสะท้อนก้องในหูหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ นางมองไปรอบข้าง พบว่ากลับมายังที่เดิมใกล้รังมังกรดิน แต่อากาศเบื้องหน้าโปร่งใส สดชื่นกว่ามากนางยืนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนกลิ่นอันคุ้นเคยพุ่งเข้าหานางราวลูกศร“ “พี่สะใภ้!”เสียงมาก่อนตัว ร้อนรนจนคนทั้งคณะสะดุ้งถอยมองแทบพร้อมกัน โม่เจี้ยนหมิงพุ่งเข้ามา เสื้อตัวคลุมพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาที่ปกติเรียบเฉยกลับสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวในวินาทีแรก และโล่งอกในวินาทีถัดมาเขาหยุดตรงหน้านาง พรูลมหายใจหนัก สายตาคมกวาดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ละวาง“ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล ไร้รอยขีดข่วน ดียิ่งนัก” พี่สะใภ้ยังอยู่ครบสามสิบสอง เขาก็ไม่ต้องกลัวถูกพี่รองถลกหนังภายภาคหน้าแล้ว“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งที่อยู่ด้านหลังกล่าวเสียงโล่งอกไม่ต่างกันหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนสายตาจะเลื่อนไปพบใบหน้าเล็กของเด็กสาวคนหนึ่ง เป่ยฮวาซิน นางแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นโฉมหน้านางดวงตาเด็กสาวสว่า
อสูรฝูงแรกถูกกำจัดในไม่ช้า เหลือเพียงลมหอบสะท้านของคนทั้งสองคณะ แต่แรงสั่นของพื้นยังดำเนินต่อ แถมหนักกว่าเดิมหลายเท่า ชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝูงกำลังพุ่งทะลุเข้ามาเป็นคลื่นที่สองใครบางคนกลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยเสียงสั่น“มาอีกฝูงรึ”หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง เกรงว่าไม่ใช่แค่ฝูงเดียวนางเหลือบตามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหลบตาแทบไม่ทัน ความคิดหนึ่งแล่นในหัวหลี่หลิงเฟิ่งเจ้าหนู ดึงสัตว์อสูรมาซ้ำอีก คิดจะสังหารทุกคนที่นี่ทั้งหมดริมฝีปากนางยกยิ้มเหี้ยม จนคนมองหนาวถึงไขสันหลัง“ศิษย์พี่ ท่านว่าสัตว์อสูรพวกนี้แปลก ๆ หรือไม่” นางกระซิบ มีเพียงเยี่ยเหล่าโถวที่ยืนใกล้ที่สุดได้ยินเยี่ยเหล่าโถวเหลือบตามามอง กึ่งสงสัยกึ่งไม่แปลกใจเพราะเขารู้ดี ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ไม่เคยกลัวปัญหา ทว่า ชอบหาเรื่องใส่ตัว ทุกที่ที่ไป“ไม่นี่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ”ไม่ทันได้ตอบกลับ พื้นดินสั่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เงาอสูรตัวใหม่แลบออกจากหมอกมืดด้านหน้า เหมือนกำลังจะกลืนทั้งคณะลงในคราวเดียวส







