LOGINแสงจากดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว บริเวณรอบด้านปกคลุมไปด้วยความมืดมิด คล้ายว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเท่านั้น แต่ก็ราวกับผ่านไปเนิ่นนานเช่นเดียวกัน เรื่องทั้งหมดคล้ายดั่งความฝันตื่นหนึ่งของนาง ถ้าหากนางไม่ได้ยินเสียงอ้อแอ้ที่ดังอยู่ในหัวปลุกให้นางตื่นขึ้นมาตอนนี้
หลี่หลิงเฟิ่งค่อยๆ ลืมตาช้าๆ แวบแรกที่เห็นก็คือสถานที่อันเวิ้งว้างและแห้งแล้งเหมือนทะเลทราย แต่ว่ามีขนาดเล็กประมาณห้องเก็บฟืนในเรือนของนาง ใกล้ๆ นางมีต้นไม้เหี่ยวเฉารอวันตายอยู่ต้นหนึ่งข้างโขดหิน ถัดไปอีกไม่ไกลมีบ่อน้ำ เอ่อ...ไม่ควรเรียกว่าบ่อ เรียกมันว่าแอ่งจะเหมาะสมกว่า
นี่...นี่คือก้นหุบเหวอย่างนั้นหรือ ช่างแตกต่างจากที่นางคิดไว้โดยสิ้นเชิง หรือว่าตอนนี้นางเป็นวิญญาณอยู่ในปรโลกกัน
นางจำได้ว่าครั้งสุดท้ายนางโดนวิหคเพลิงโจมตีที่หน้าอก แต่ตอนนี้นอกจากไม่เจ็บปวดแล้ว บาดแผลฉกรรจ์ก็หายไปด้วย ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าไม่ติดตรงที่นางเห็นรอยเสื้อขาดตรงอกและรอยเลือดที่เปื้อนอยู่ตามตัว
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็ฟื้นสักที ที่นี่ไม่ใช่ทะเลทรายและท่านยังไม่ตาย จิตของท่านแค่เข้ามาในมิติ ภายนอกจะดูเหมือนว่าท่านแค่หลับไปเท่านั้น” เสียงอ้อแอ้ที่นางเคยได้ยินดังขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้มันดังอยู่ข้างหูนี่เอง หลี่หลิงเฟิ่งฟื้นคืนสติ ภายในใจสะดุ้งอย่างรุนแรง สมองขาวโพลนไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก
นางหันไปมองรอบๆ อย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่เจอสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากต้นไม้นี่ แล้วใครกันที่พูดกับนาง
“นายท่าน ผ่านมาเนิ่นนาน ที่สุดแล้วข้าก็ได้พบท่านอีกครา” เสียงเด็กผู้ชายอายุราวสามสี่ขวบปีสะอื้นไห้อยู่ข้างหูนาง นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครกันที่กำลังพูดกับข้า
“นายท่าน ท่านไม่ต้องมองหาข้าหรอก ท่านเดาถูกตั้งแต่แรกแล้ว ข้าก็คือต้นไม้เหี่ยวๆ ที่บอกนั่นแหละ” เสียงเด็กชายดังขึ้นมาอีกครั้งด้วยความไม่พอใจ
“เดี๋ยวนะ เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ นายท่าน?” หลี่หลิงเฟิ่งลุกขึ้นนั่ง ขมวดคิ้วหันไปมองเจ้าต้นไม้ที่อ้างว่าพูดได้นั่น “เจ้าเป็นสัตว์อสูรหรือ แล้วที่นี่ที่ไหน”
นี่...เท่าที่นางรู้มาพืชอสูรมีน้อยมาก แต่พืชอสูรที่พูดได้นั้นนางไม่รู้จักมาก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวนางเป็นดั่งกบในกะลา ความรู้ยังไม่สู้ขนนกเลยด้วยซ้ำ
“นายท่าน ข้าไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นพืช” เจ้าต้นไม้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ที่นี่คือมิติมายาของท่านเอง ข้าอยู่ในนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เป็นเพราะข้าถูกปิดกั้นการสื่อสารจากท่านทำให้ท่านไม่รับรู้ตัวตนของข้า แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดการสื่อสารของท่านกับมิติมายาถึงใช้การได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าท่านมีอันตรายถึงแก่ชีวิตทำให้ท่านปลุกพลังธาตุมิติมายาขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าอยู่ในมิติมายาและพลังของข้าถูกปิดผนึกไว้งั้นหรือ แถมข้าก็เป็นเจ้านายของเจ้าอีกด้วย” สีหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งฉายแววฉงน
ถ้านางมีมิติมายา นางก็คือผู้ใช้พลังธาตุมิติมายาน่ะสิ จะใช่หรือ
หลี่หลิงเฟิ่งไม่คาดคิดมาก่อนว่าการที่นางตกอยู่ในอันตรายจะไปกระตุ้นพลังธาตุที่ถูกปิดผนึกของนางเข้า
นี่ไม่เท่ากับว่านางมีกระเป๋าโดเรม่อนหรอกหรือ มิติมายาที่นางครอบครองอยู่นี้สามารถไปกับนางได้ทุกที่ทุกเวลา ติดตัวนางเสมือนกระเป๋าล่องหน แถมยังเก็บสิ่งของต่างๆ ได้อีกด้วย ต่อให้พื้นที่แห่งนี้จะเล็กมากไปหน่อยก็ตาม
ถ้าคนพวกนั้นรู้ว่าตัวไร้ค่าอย่างนาง กลับกลายเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูล จะทำหน้ายังไงนะ แค่คิดก็สนุกขึ้นมาแล้วสิ
“ใช่แล้ว นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าใช้พลังทั้งหมดของข้าเพื่อช่วยให้ท่านรอดตาย เลือดของท่านออกมาเยอะเกินไป พวกเราจึงทำพันธสัญญากันโดยบังเอิญ นี่อาจเป็นอีกเหตุผลให้มิติมายาของท่านเปิดออกมา”
เสียงอ้อแอ้เงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยต่อ “ในเมื่อพวกเราเป็นนายบ่าวกันแล้ว ถ้าพลังท่านถูกผนึกไว้จริง ข้าสามารถช่วยท่านได้”
“เจ้าจะช่วยข้าอย่างไร” หลี่หลิงเฟิ่งตาเป็นประกาย น้ำเสียงที่ถามกลับไปติดจะตื่นเต้น
“ข้าคือต้นไม้แห่งจิตวิญญาณที่อยู่มาแล้วนับพันปี มีเรื่องไหนบ้างที่ข้าไม่รู้ เพียงท่านนำผลของข้าไปผสมกับน้ำทิพย์แล้วดื่ม เท่านี้พลังที่ถูกปิดผนึกอยู่ก็จะสลายไปทันที” เสียงอ้อแอ้ร้องออกมาอย่างผยอง ราวกับกำลังโอ้อวดสรรพคุณของตัวเอง
“ผลไม้ชนิดนี้ของข้าเรียกว่าผลจิตวิญญาณ นอกจากจะช่วยให้พลังของท่านปลดผนึกแล้ว พลังยุทธ์ของท่านก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอีกด้วย และแน่นอนว่าเมื่อไหร่ที่ข้ากลายร่างเป็นคนได้ ข้าก็ออกผลอย่างอื่นให้ท่านได้อีกหลายอย่าง”
“แต่ตอนนี้ข้าได้ใช้พลังเพื่อช่วยเหลือท่านจนหมดแล้ว เหนื่อยยิ่งนัก ท่านต้องสัญญานะว่าจะเลี้ยงดูข้า ไม่ทอดทิ้งข้าเหมือนที่ผ่านมา” เด็กน้อยพูดออกมาอย่างหดหู่ใจ
“ได้สิ นำผลไม้นั่นมาให้ข้า แล้วข้าจะรดน้ำพรวนดินให้เจ้าเป็นอย่างดี” นอกจากปลดปล่อยพลังออกมาได้แล้ว ยังเพิ่มพลังให้พลังยุทธ์ได้ด้วย แม้ในใจจะนึกฉงนอยู่บ้างว่าเหตุใดพืชอสูรตนนี้ถึงบอกว่านางเคยทอดทิ้งมัน แต่คิดไปก็ไร้ประโยชน์ โลกนี้ไม่เคยมีอะไรสมเหตุสมผลมาตั้งแต่วันแรกที่นางมาเยือนแล้ว
วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล หลี่หลิงเฟิ่งเชื่อว่าสักวันนางต้องได้คำตอบอย่างแน่นอน
นี่มัน...
ดวงตาของหลี่หลิงเฟิ่งส่องประกายวิบวับ บอกได้เลยว่าตอนนี้นางตื่นเต้นจนแทบเก็บอาการไม่อยู่แล้ว
“อย่าลืมนะ ท่านต้องเลี้ยงดูข้า” หลังจากสิ้นประโยคสุดท้าย ต้นไม้ที่เคยเหี่ยวเฉา ค่อยๆ หดตัวลงเป็นต้นกล้าเหลืองเฉาพร้อมกับผลไม้สีแดงสดลูกหนึ่งกลิ้งมาตรงหน้านาง
หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดอะไรมาก นางหยิบผลไม้สีแดงสดขึ้นมา ลุกขึ้นเดินไปวักน้ำมารดต้นอ่อนที่กำลังจะตาย ทันใดนั้นต้นกล้าอ่อนที่เคยเหี่ยวเฉาพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ชูใบสีเขียวอ่อนเต่งตึงสู้หน้านาง
“ฮึ เจ้าคงกระหายมากสินะ” หลี่หลิงเฟิ่งพูดอย่างติดตลก เปรียบดั่งเจ้าตัวน้อยนี่หิวน้ำมากจนจะเป็นลม
“ว่าแต่เจ้ามีชื่อหรือไม่ จะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไรดี” หลี่หลิงเฟิ่งรออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ นางทึกทักเอาเองว่าเจ้าพืชอสูรตัวนี้คงจะไม่มีชื่อแล้ว
“เอาอย่างนี้มั้ย ข้าเรียกเจ้าว่า เสี่ยวมู่ ดีหรือไม่” กระแสลมเย็นสายหนึ่งพัดผ่านตัวหลี่หลิงเฟิ่ง ราวกับบ่งบอกว่ามันยินดีกับชื่อนี้
หลี่หลิงเฟิ่งยักไหล่ ไม่รอเอาคำตอบจากเสี่ยวมู่ สำหรับนางในตอนนี้การฝึกพลังยุทธ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
นางเดินไปวักน้ำดื่มแก้กระหายเข้าไปสองสามอึก ไม่นานเรี่ยวแรงที่อ่อนล้ากลับมากระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม
เป็นไปได้ยังไง หรือว่านี่ไม่ใช่น้ำทั่วไป
หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดถึงความแปลกประหลาดนี้ น้ำที่รดพืชอสูรให้กลับมามีชีวิตได้ทันที ซ้ำยังมีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูร่างกาย นี่ต้องไม่ใช่น้ำแร่ธรรมดาแน่ๆ หรือว่าจะเป็น...น้ำทิพย์!
เสียงในหัวใจของนางกู่ร้องอยู่ภายในอย่างบ้าคลั่งกับการค้นพบนี้
พึงเข้าใจด้วยว่าในดินแดนแห่งนี้การได้ครอบครองน้ำแร่คือสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงน้ำทิพย์เลย สำหรับอาณาจักรหลิวเฟิงนั้น น้ำทิพย์มีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น!
นี่นางเจอขุมสมบัติเข้าแล้วหรือนี่ แถมยังมหาศาลอีกด้วย
เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต
กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้
ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ
ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้
ห่างจากตำแหน่งของหลี่หลิงเฟิ่งไปไม่กี่ลี้ กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ห้าคนเดินเรียงกันบนทางดินที่ถูกเถาวัลย์กลืนกิน กำลังจะประสบกับเหตุการณ์คล้ายคลึงกับพวกนาง คนที่นำหน้าเป็นชายร่างใหญ่ในชุดเกราะหนา สวมปลอกแขนหนังงูอัสนี เขามีแผลเป็นลากจากขมับจรดปลายคาง ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของความเคยชินกับความตาย ด้านหลังเขาเป็นหญิงสาวสองคน และชายอีกสองคนที่แบกหีบเครื่องมือบนหลัง“ข้าบอกแล้วว่าเส้นทางนี้มีพลังจิตประหลาด เจ้ายังจะเดินเข้ามาอีก” เสียงชายหนุ่มด้านหลังบ่น แต่ก็ไม่ได้หยุดเดินหัวหน้ากลุ่มหันมามองแวบหนึ่ง แววตาเฉียบคม “ในเขตจิตลวงนี้ ทุกย่างก้าวคือโอกาส ถ้าไม่เสี่ยง ก็ไม่มีวันได้อะไรกลับไป”หญิงสาวที่เดินข้างหลังเขายกคิ้ว “หมอกหนาแบบนี้ ขนาดจิตสัมผัสยังถูกสะท้อนกลับ ข้าว่าพวกเราคงโคร้ายมากกว่าโชคดี”“พอ” หัวหน้ากลุ่มพูดขัดเสียงเรียบ “หากกลัวก็กลับ แต่ทรัพยากรของวันนี้จะไม่มีส่วนแบ่งของพวกเจ้า”ครั้นพูดจบ เสียงโต้เถียงจึงหยุดลง ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงฝีเท้าที่กระทบดินแฉะเท่าน
ชั่วพริบตา ร่างเงานางพลันแตกแยกออกเป็นห้าสิบภาพในอากาศ แต่ละร่างจับท่าทางเดียวกัน แผ่นหลังตรงดุจคันศร เส้นไหมแดงในมือร่ายวนรอบตน ภาพทั้งหมดเคลื่อนไหวพร้อมกันราวระลอกคลื่นยักษ์“ภาพลวงห้าสิบ!”ระยะเวลาเพียงสิบลมหายใจเท่านั้น ทว่า พลังสะท้อนที่ส่งออกจากห้าสิบร่างกลับเทียบเท่าร่างจริงทุกประการ ประกายเพลิงจากเงาแต่ละร่างพุ่งเข้าใส่ฝูงยุงเลือดจากคนละทิศ ยุงเลือดหลายสิบตัวถูกแผดไหม้จนกลายเป็นเพียงธุลีธุลี ทว่าอีกนับร้อยกลับพุ่งเข้ามาแทนที่อย่างบ้าคลั่งโม่เจี้ยนหมิงสบช่อง ดวงตาเปล่งประกายบ้าบิ่น โผเข้าประชิดด้านข้าง เสียงฟ้าร้องระเบิดในอากาศอีกครั้ง"พายุเจ็ดดารา!" แรงลมหมุนเจ็ดชั้นกระแทกใส่ฝูงยุงจากด้านหลัง กระบี่ลมสับกลางอากาศเสียงฉึบฉับ"ถ้าจะตายขอให้ข้าตายพร้อมพวกเจ้าละกัน!" เสียงของโม่เจี้ยนหมิงดังขึ้นตามหลัง เขาร่ายกระบี่กวาดเป็นวง ก่อเป็นกระแสพายุอันบ้าคลั่งรอบตัวทั้งสองสายลมบ้าคลั่งพัดหมอกกระจายออก เผยให้เห็นร่างของยุงเลือดนับไม่ถ้วนที่แหวกเข้ามา ทว่า เพียงไม่นาน ฝูงอสูรระดับหกสองตัว พุ่งฝ่าเข้ามาอย่างดุดัน แรงคลื่นพลังของมันทำให้ร่างแยกของนางหายวับไปครึ่งหนึ่งในพริบตา หลี่หลิงเฟิ่







