แสงจากดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว บริเวณรอบด้านปกคลุมไปด้วยความมืดมิด คล้ายว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเท่านั้น แต่ก็ราวกับผ่านไปเนิ่นนานเช่นเดียวกัน เรื่องทั้งหมดคล้ายดั่งความฝันตื่นหนึ่งของนาง ถ้าหากนางไม่ได้ยินเสียงอ้อแอ้ที่ดังอยู่ในหัวปลุกให้นางตื่นขึ้นมาตอนนี้
หลี่หลิงเฟิ่งค่อยๆ ลืมตาช้าๆ แวบแรกที่เห็นก็คือสถานที่อันเวิ้งว้างและแห้งแล้งเหมือนทะเลทราย แต่ว่ามีขนาดเล็กประมาณห้องเก็บฟืนในเรือนของนาง ใกล้ๆ นางมีต้นไม้เหี่ยวเฉารอวันตายอยู่ต้นหนึ่งข้างโขดหิน ถัดไปอีกไม่ไกลมีบ่อน้ำ เอ่อ...ไม่ควรเรียกว่าบ่อ เรียกมันว่าแอ่งจะเหมาะสมกว่า
นี่...นี่คือก้นหุบเหวอย่างนั้นหรือ ช่างแตกต่างจากที่นางคิดไว้โดยสิ้นเชิง หรือว่าตอนนี้นางเป็นวิญญาณอยู่ในปรโลกกัน
นางจำได้ว่าครั้งสุดท้ายนางโดนวิหคเพลิงโจมตีที่หน้าอก แต่ตอนนี้นอกจากไม่เจ็บปวดแล้ว บาดแผลฉกรรจ์ก็หายไปด้วย ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าไม่ติดตรงที่นางเห็นรอยเสื้อขาดตรงอกและรอยเลือดที่เปื้อนอยู่ตามตัว
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็ฟื้นสักที ที่นี่ไม่ใช่ทะเลทรายและท่านยังไม่ตาย จิตของท่านแค่เข้ามาในมิติ ภายนอกจะดูเหมือนว่าท่านแค่หลับไปเท่านั้น” เสียงอ้อแอ้ที่นางเคยได้ยินดังขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้มันดังอยู่ข้างหูนี่เอง หลี่หลิงเฟิ่งฟื้นคืนสติ ภายในใจสะดุ้งอย่างรุนแรง สมองขาวโพลนไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก
นางหันไปมองรอบๆ อย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่เจอสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากต้นไม้นี่ แล้วใครกันที่พูดกับนาง
“นายท่าน ผ่านมาเนิ่นนาน ที่สุดแล้วข้าก็ได้พบท่านอีกครา” เสียงเด็กผู้ชายอายุราวสามสี่ขวบปีสะอื้นไห้อยู่ข้างหูนาง นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครกันที่กำลังพูดกับข้า
“นายท่าน ท่านไม่ต้องมองหาข้าหรอก ท่านเดาถูกตั้งแต่แรกแล้ว ข้าก็คือต้นไม้เหี่ยวๆ ที่บอกนั่นแหละ” เสียงเด็กชายดังขึ้นมาอีกครั้งด้วยความไม่พอใจ
“เดี๋ยวนะ เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ นายท่าน?” หลี่หลิงเฟิ่งลุกขึ้นนั่ง ขมวดคิ้วหันไปมองเจ้าต้นไม้ที่อ้างว่าพูดได้นั่น “เจ้าเป็นสัตว์อสูรหรือ แล้วที่นี่ที่ไหน”
นี่...เท่าที่นางรู้มาพืชอสูรมีน้อยมาก แต่พืชอสูรที่พูดได้นั้นนางไม่รู้จักมาก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวนางเป็นดั่งกบในกะลา ความรู้ยังไม่สู้ขนนกเลยด้วยซ้ำ
“นายท่าน ข้าไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นพืช” เจ้าต้นไม้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ที่นี่คือมิติมายาของท่านเอง ข้าอยู่ในนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เป็นเพราะข้าถูกปิดกั้นการสื่อสารจากท่านทำให้ท่านไม่รับรู้ตัวตนของข้า แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดการสื่อสารของท่านกับมิติมายาถึงใช้การได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าท่านมีอันตรายถึงแก่ชีวิตทำให้ท่านปลุกพลังธาตุมิติมายาขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าอยู่ในมิติมายาและพลังของข้าถูกปิดผนึกไว้งั้นหรือ แถมข้าก็เป็นเจ้านายของเจ้าอีกด้วย” สีหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งฉายแววฉงน
ถ้านางมีมิติมายา นางก็คือผู้ใช้พลังธาตุมิติมายาน่ะสิ จะใช่หรือ
หลี่หลิงเฟิ่งไม่คาดคิดมาก่อนว่าการที่นางตกอยู่ในอันตรายจะไปกระตุ้นพลังธาตุที่ถูกปิดผนึกของนางเข้า
นี่ไม่เท่ากับว่านางมีกระเป๋าโดเรม่อนหรอกหรือ มิติมายาที่นางครอบครองอยู่นี้สามารถไปกับนางได้ทุกที่ทุกเวลา ติดตัวนางเสมือนกระเป๋าล่องหน แถมยังเก็บสิ่งของต่างๆ ได้อีกด้วย ต่อให้พื้นที่แห่งนี้จะเล็กมากไปหน่อยก็ตาม
ถ้าคนพวกนั้นรู้ว่าตัวไร้ค่าอย่างนาง กลับกลายเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูล จะทำหน้ายังไงนะ แค่คิดก็สนุกขึ้นมาแล้วสิ
“ใช่แล้ว นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าใช้พลังทั้งหมดของข้าเพื่อช่วยให้ท่านรอดตาย เลือดของท่านออกมาเยอะเกินไป พวกเราจึงทำพันธสัญญากันโดยบังเอิญ นี่อาจเป็นอีกเหตุผลให้มิติมายาของท่านเปิดออกมา”
เสียงอ้อแอ้เงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยต่อ “ในเมื่อพวกเราเป็นนายบ่าวกันแล้ว ถ้าพลังท่านถูกผนึกไว้จริง ข้าสามารถช่วยท่านได้”
“เจ้าจะช่วยข้าอย่างไร” หลี่หลิงเฟิ่งตาเป็นประกาย น้ำเสียงที่ถามกลับไปติดจะตื่นเต้น
“ข้าคือต้นไม้แห่งจิตวิญญาณที่อยู่มาแล้วนับพันปี มีเรื่องไหนบ้างที่ข้าไม่รู้ เพียงท่านนำผลของข้าไปผสมกับน้ำทิพย์แล้วดื่ม เท่านี้พลังที่ถูกปิดผนึกอยู่ก็จะสลายไปทันที” เสียงอ้อแอ้ร้องออกมาอย่างผยอง ราวกับกำลังโอ้อวดสรรพคุณของตัวเอง
“ผลไม้ชนิดนี้ของข้าเรียกว่าผลจิตวิญญาณ นอกจากจะช่วยให้พลังของท่านปลดผนึกแล้ว พลังยุทธ์ของท่านก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอีกด้วย และแน่นอนว่าเมื่อไหร่ที่ข้ากลายร่างเป็นคนได้ ข้าก็ออกผลอย่างอื่นให้ท่านได้อีกหลายอย่าง”
“แต่ตอนนี้ข้าได้ใช้พลังเพื่อช่วยเหลือท่านจนหมดแล้ว เหนื่อยยิ่งนัก ท่านต้องสัญญานะว่าจะเลี้ยงดูข้า ไม่ทอดทิ้งข้าเหมือนที่ผ่านมา” เด็กน้อยพูดออกมาอย่างหดหู่ใจ
“ได้สิ นำผลไม้นั่นมาให้ข้า แล้วข้าจะรดน้ำพรวนดินให้เจ้าเป็นอย่างดี” นอกจากปลดปล่อยพลังออกมาได้แล้ว ยังเพิ่มพลังให้พลังยุทธ์ได้ด้วย แม้ในใจจะนึกฉงนอยู่บ้างว่าเหตุใดพืชอสูรตนนี้ถึงบอกว่านางเคยทอดทิ้งมัน แต่คิดไปก็ไร้ประโยชน์ โลกนี้ไม่เคยมีอะไรสมเหตุสมผลมาตั้งแต่วันแรกที่นางมาเยือนแล้ว
วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล หลี่หลิงเฟิ่งเชื่อว่าสักวันนางต้องได้คำตอบอย่างแน่นอน
นี่มัน...
ดวงตาของหลี่หลิงเฟิ่งส่องประกายวิบวับ บอกได้เลยว่าตอนนี้นางตื่นเต้นจนแทบเก็บอาการไม่อยู่แล้ว
“อย่าลืมนะ ท่านต้องเลี้ยงดูข้า” หลังจากสิ้นประโยคสุดท้าย ต้นไม้ที่เคยเหี่ยวเฉา ค่อยๆ หดตัวลงเป็นต้นกล้าเหลืองเฉาพร้อมกับผลไม้สีแดงสดลูกหนึ่งกลิ้งมาตรงหน้านาง
หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดอะไรมาก นางหยิบผลไม้สีแดงสดขึ้นมา ลุกขึ้นเดินไปวักน้ำมารดต้นอ่อนที่กำลังจะตาย ทันใดนั้นต้นกล้าอ่อนที่เคยเหี่ยวเฉาพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ชูใบสีเขียวอ่อนเต่งตึงสู้หน้านาง
“ฮึ เจ้าคงกระหายมากสินะ” หลี่หลิงเฟิ่งพูดอย่างติดตลก เปรียบดั่งเจ้าตัวน้อยนี่หิวน้ำมากจนจะเป็นลม
“ว่าแต่เจ้ามีชื่อหรือไม่ จะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไรดี” หลี่หลิงเฟิ่งรออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ นางทึกทักเอาเองว่าเจ้าพืชอสูรตัวนี้คงจะไม่มีชื่อแล้ว
“เอาอย่างนี้มั้ย ข้าเรียกเจ้าว่า เสี่ยวมู่ ดีหรือไม่” กระแสลมเย็นสายหนึ่งพัดผ่านตัวหลี่หลิงเฟิ่ง ราวกับบ่งบอกว่ามันยินดีกับชื่อนี้
หลี่หลิงเฟิ่งยักไหล่ ไม่รอเอาคำตอบจากเสี่ยวมู่ สำหรับนางในตอนนี้การฝึกพลังยุทธ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
นางเดินไปวักน้ำดื่มแก้กระหายเข้าไปสองสามอึก ไม่นานเรี่ยวแรงที่อ่อนล้ากลับมากระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม
เป็นไปได้ยังไง หรือว่านี่ไม่ใช่น้ำทั่วไป
หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดถึงความแปลกประหลาดนี้ น้ำที่รดพืชอสูรให้กลับมามีชีวิตได้ทันที ซ้ำยังมีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูร่างกาย นี่ต้องไม่ใช่น้ำแร่ธรรมดาแน่ๆ หรือว่าจะเป็น...น้ำทิพย์!
เสียงในหัวใจของนางกู่ร้องอยู่ภายในอย่างบ้าคลั่งกับการค้นพบนี้
พึงเข้าใจด้วยว่าในดินแดนแห่งนี้การได้ครอบครองน้ำแร่คือสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงน้ำทิพย์เลย สำหรับอาณาจักรหลิวเฟิงนั้น น้ำทิพย์มีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น!
นี่นางเจอขุมสมบัติเข้าแล้วหรือนี่ แถมยังมหาศาลอีกด้วย
หุบเขาหยกขาวมิใช่ชื่อที่คนในแผ่นดินไร้ขอบกล่าวถึงด้วยความยินดี ถึงแม้จะมีคำว่า “หยก” และ “ขาว” อันดูสูงส่งบริสุทธิ์อยู่ในชื่อ แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนภายังไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปลึกเกินสามลี้ที่แห่งนั้นคือเส้นแบ่งระหว่าง ความรุ่งโรจน์กับความตาย และในยามฤดูหนาวเช่นนี้ หิมะที่ปกคลุมมันก็ไม่ต่างจากผืนผ้าสะอาดที่กลบศพเน่าเปื่อยไว้ใต้รากไม้หลี่หลิงเฟิ่งเคลื่อนกายอย่างเงียบงัน ลมหายใจเป็นไอขาวราวควันจาง กลีบหิมะโปรยปรายแตะใบหน้าของนางแล้วละลายหายอย่างไม่ทันรู้สึกเย็น แต่ความเย็นกลับฝังลึกอยู่ในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุไฉนที่นี่จึงมีหิมะตก น่าแปลกหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างหน้าผาสูงชันและป่ารกเรื้อ นางอยู่คนเดียว ไร้ผู้ติดตาม ไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงฝีเท้าของตนที่ก้าวลงบนก้อนกรวด กับเสียงใบไม้เสียดสีกันจากกระแสลมที่ไม่หยุดนิ่ง“เงียบเกินไป…” นางพึมพำกับตัวเองนางชะลอฝีเท้า สายตามองไปรอบกาย แผ่กระจิตออกไปสำรวจ ทว่าไม่สิ่งมีชีวิตสักตัวในระแวกนี้เลยบนข้อมือข้างซ้ายของนาง มีกำไลสีแดงเข้มรูปวงแหวนมันวาวประดับอยู่ นุ่มนิ่มสิ่งมีชีวิตรูปร่
ท้องฟ้าสีดำสนิทปราศจากแสงจันทร์และดวงดารา สายลมหนาวพัดผ่านไปทั่วอาณาเขต เงามืดเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบบนหลังคาโม่จื่อหลิงยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสูงสุดของหอสิบทิศ ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังเมืองที่แผ่กว้างออกไปสุดสายตา ลางสังหรณ์บางอย่างบีบคั้นหัวใจของเขา คล้ายกับว่ามีพายุที่มองไม่เห็นกำลังพัดโหมเข้ามาและแล้ว...ตูม!เสียงระเบิดดังสนั่นทำลายความเงียบงันของค่ำคืน แสงเพลิงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสียงร้องของผู้คนปะปนกับเสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ"ในที่สุด พวกมันก็มาจนได้ คนที่ควรมาก็มาแล้ว" โม่จื่อหลิงกระซิบกับตัวเอง ดวงตาของเขาเย็นเยียบไร้ซึ่งความหวาดหวั่นชายในชุดดำจำนวนมากพุ่งทะยานเข้ามาภายในหอสิบทิศ ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ รวดเร็ว และโหดเหี้ยม"นายท่าน! หอสิบทิศถูกจู่โจม!" หนึ่งในลูกน้องของเขารีบวิ่งเข้ามารายงาน "พวกมันมีกำลังพลมหาศาล และมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอยู่ด้วย!"โม่จื่อหลิงกวาดตามองไปรอบ ๆ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้เป้าหมายของพวกมัน คือ สังหารเขาเสียงกระบี่ปะทะกันดังกึกก้อง ลูกธนูเพลิงถูกยิงเ
ในโรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบมิขาดสาย ข่าวการแตกหักของตระกูลหนานและตระกูลหลินแพร่กระจายราวเพลิงลามป่า“ได้ยินมาว่า เจ้าสาวหายตัวไปหลังจากถูกพวกโจรลักพาตัว แต่จู่ ๆ นางกลับมาเองอย่างไร้รอยแผล”“แล้วนางก็ปฏิเสธการแต่งงานทันที! ข้ารู้สึกเหมือนเรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น”“หรือว่านางมิได้ถูกลักพาตัว แต่ไปด้วยความยินยอมเอง”เสียงพูดคุยนั้นกระทบถึงหูโม่จื่อหลิง เขานั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง สวมอาภรณ์ธรรมดาไม่สะดุดตา เขามองภาพของเจ้าสาวตระกูลหลินจากที่ไกลๆ เหมือนกับภาพจากมือสอดแนมของหอสิบทิศไม่ผิดเพี้ยนในภาพนั้น หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในสวนของตระกูลหลิน ใบหน้าเรียบสงบ ผมที่เคยสลวยถูกรวบไว้ลวก ๆ ราวผู้ที่เพิ่งผ่านบางสิ่งบางอย่างมา อย่างเช่นเหตุการณ์เฉียดตายภายในเรือนรับรองของตระกูลเป่ย หลี่หลิงเฟิ่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลัก นางจิบชาหอมกรุ่นอย่างใจเย็น ขณะที่สายตาเหลือบไปทางกลุ่มสาวใช้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า “อยู่ดี ๆ เจ้าสาวของตระกูลหลินก็กลับไปโดยไม่กล่าวอะไรเลย เมื่อตระกูลหนาน
สองวันหลังจากโม่จื่อหลิงจากไป แสงอรุณในจวนตระกูลเป่ยคล้ายหม่นลงกว่าทุกวัน ลมเหนือพัดเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งพาเอากลิ่นของบางสิ่งจากอดีตย้อนกลับมาและหลี่หลิงเฟิ่งรับรู้มันตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่ตื่นขึ้นณ ห้องคุณชายสาม นางยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงไม้แกะสลัก มือหนึ่งแตะที่ชีพจรของเป่ยเฉินหลงที่ยังคงหลับใหล ลมหายใจของเขาราบเรียบขึ้นเล็กน้อย แต่กลิ่นพลังปราณยังขุ่นมัวไม่เสื่อมคลายทว่าสิ่งที่ทำให้นางกังวล ไม่ใช่สภาพของเขา แต่เป็นเงาที่ค่อย ๆ เริ่มเผยตัวนางใช้เวลาทุกวินาทีอย่างแยบคาย เฝ้าสังเกตความผิดปกติของคนในจวน เฝ้าฟังเสียงก้าวเท้าที่ไม่ได้ยินจากทหารยาม และเฝ้ารอสิ่งที่แน่ใจว่ายังไม่สิ้นสุด อย่างการลอบสังหาร“ครั้งก่อนเจ้ามาเพื่อวางยา” นางกระซิบ ขณะบดสมุนไพร “ครั้งนี้ เจ้าจะเอาอะไรมาทิ้งร่องรอยอีกล่ะ”ระหว่างที่ปลายนิ้วนางบรรจงหยดยาแยกพิษใส่ถ้วยสมุนไพร กลิ่นหนึ่งก็ลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ใช่จากยา ไม่ใช่จากดอกไม้ในสวน ทว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นอย่างน่ากลัวจนรู้สึกขนลุกกลิ่นเช่นนี้ นางเคยได้กลิ่นมันในความฝันในชาติก่อนตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฝันที่ไม่มีใบหน้ามีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กหญิง กลิ่น
*ขอเปลี่ยนจากตำหนักเทพธิดา เป็นตำหนักธิดาสวรรค์*คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งดุจสายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เงาสะท้อนแห่งศรัทธาที่เหล่าผู้อาวุโสเคยยึดมั่นภักดี เริ่มแตกร้าว เทพธิดาแห่งตำหนักธิดาสวรรค์มิได้ตอบกลับทันที นางยืนนิ่งราวรูปสลักกลางห้อง ศูนย์รวมแห่งความเคารพที่เคยเปล่งประกายความสง่างามไร้ราคี บัดนี้กลับถูกความเงียบห่มคลุมราวหมอกหนาอาภรณ์ขาวสะอาดที่เคยดั่งแสงจันทร์เหนือเมฆ บัดนี้ดูซีดหม่นลงในสายตาของหลายคน ม่านผ้าบางเบาที่บดบังใบหน้างดงามพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบา ดวงตาเรียวยาวใต้ผืนผ้าทอแสงแข็งกร้าว เงาที่เคยสงบ บัดนี้กลับเจือความตึงเครียดแนบแน่นฝ่ามือเรียวงามของนางละจากจุดชีพจรของเป่ยเฉินหลง ราวกับตัดขาดพันธะบางอย่างที่มองไม่เห็น“หากพวกท่านเห็นว่า ตำหนักธิดาสวรรค์ไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าย่อมถอย” เสียงของนางยังคงอ่อนหวานดั่งระฆังเงิน ทว่าในห้วงลึกของถ้อยคำกลับมีความเยียบเย็นที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก “ข้ามิเคยยัดเยียดตนเข้าสู่ที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับ ข้าเพียงทำตามวิถีที่ควรจะเป็น หากพวกท่านมิอาจวางใจ ข้าย่อมไม่อยู่ให้เป็นภาระใจผู้ใด” แม้ถ้อยคำจะฟังดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยม ทว่าแรงสะท้อนกลับตึงเครียดเ
ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ก้าวเข้ามาในห้อง"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงอันทรงอำนาจของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากำลังมองนางด้วยสายตาคมกริบ ด้านหลังของเขามีชายชราผู้อาวุโสหลายคนยืนเรียงราย สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวล"ท่านพ่อ!" ผู้อาวุโสเป่ยรีบคารวะชายผู้นั้น "นางผู้นี้เป็นหมอที่สามารถตรวจพบพิษของเฉินหลง และตอนนี้กำลังรักษาเขาอยู่ขอรับ""พิษรึ" ประมุขเป่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้ากำลังจะบอกว่าเฉินหลงถูกพิษ ไม่ใช่ต้องคำสาปอย่างที่เราคิดมาโดยตลอดรึ"หลี่หลิงเฟิ่งไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยานั้น นางจ้องประมุขเป่ยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ถูกต้อง"บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสหลายคนหันมองหน้ากันอย่างลังเล ทว่าเมื่อเห็นโม่จื่อหลิงในห้องก็ไม่กล้าปริปากเสียมารยาทต่อหลี่หลิงเฟิ่ง"หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าที่ผ่านมามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้" ผู้อาวุโสเป่ยคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งตอบ "ข้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ข้